สืบเนื่องจาก อ.นิธิ เขียน " ใครเสีย ในร่างพ.ร.บ.คุ้มครองความเสียหายฯ " .. ขอแจมหน่อย นะครับ..
//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1281341620&grpid&catid=02วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:00:14 น. มติชนออนไลน์
ใครเสีย ในร่างพ.ร.บ.คุ้มครองความเสียหายฯ โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ก่อนอื่น อยากจะชี้แจงไว้ก่อนว่า ผมไม่ได้คัดค้านไม่เห็นด้วยกับหลักการของร่าง พรบฯ นี้ .. ไม่ได้อยากคว่ำร่าง พรบฯ นี้ ... พรบ.นี้ มีหลักการดี แต่ในเมื่อมีข้อสงสัย ข้อกังวลใจ จาก ผู้ประกอบวิชาชีพ ( แพทย์ ทันตะ เภสัช พยาบาล เทคนิกการแพทย์ แพทย์แผนไทย ฯลฯ ) .. ผมจึงคิดว่า น่าจะคุยกันก่อนดีกว่า ที่จะดันทุรังเข้าสภา ในตอนนี้ ..
ผมได้อ่านบทความ ของ อจ.นิธิ .. มีประเด็น อยากจะร่วมแสดงความคิดเห็น... ในฐานะ
หมอที่ "ยังทำหน้าที่เป็น หมอ" อยู่ในขณะนี้ " .. ไม่ใช่ นักบริหาร ที่เคยเป็นหมอ ...นั่งในห้องแอร์แล้วคิดโน่นคิดนี่แล้วบอกว่า ดี .. ประหนึ่งว่า คนอื่นคิดไม่เป็น ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นดี ..
สิ่งที่ดีกับ สิ่งที่ทำได้ นั้นอาจเป็นคนละเรื่องกัน .. เทียบง่าย ๆ เหมือนกับ ผมรู้ว่า รถเบนซ์ดี แต่ที่ไม่ใช่ เพราะ ไม่มีเงินซื้อ .. ไม่ใช่ "ไม่รู้ว่า มันดี "
มาเข้าประเด็นกันดีกว่า .. จากบทความของ อาจารย์นิธิ ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน ต้องเข้าไปอ่านก่อนนะครับ จะได้เข้าใจตรงกัน ...
๑. สิทธิเรื่องการฟ้องร้อง ทั้ืงแพ่ง และ อาญา ...... เห็นด้วยกับอาจารย์ ไม่ควรมีการกำหนดกฎหมาย ยกเว้นให้กับวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่งเป็นการเฉพาะ
๒. หลักการไม่พิสูจน์ถูกผิด .. ..... แต่ในแง่ของกฎหมาย ตาม มต.๖ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นนั้น ทำให้ต้องมีการหาข้อมูล (จากเวชระเบียน จากการสอบถามผู้เกี่ยวข้อง) ซึ่งถ้าจะได้เงิน ก็แสดงว่า " ผิดพลาด " (ไม่ปกติ ทั่วไปไม่เกิด) ใช่หรือเปล่าครับ ???
..... ดังนั้น จึงต้องมีการสืบสวน สอบสวนหาข้อมูล อยู่ดี ประเด็นนี้ได้คุยกันหลายครั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่ หมอที่ยังทำหน้าที่เป็นหมอ "ติดใจ" มากที่สุด ..
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=02-08-2010&group=7&gblog=69//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=06-08-2010&group=7&gblog=72
๓.อาจารย์บอกว่า ผู้ที่เดือดร้อนคือ "รพ.เอกชน" ... ..... แต่ว่า ผู้ที่ออกมาต่อต้าน ในขณะนี้
เกือบทั้ืงหมด เป็นบุคลากรภาครัฐ ..
ไม่ใช่เอกชน ...
..... อาจารย์คิดว่า น่าแปลกหรือเปล่าครับ ??? มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ หมอ พยาบาล ทันตะ เภสัช ฯลฯ ที่อยู่ ใน รพ.รัฐ .. ออกมารวมตัวกันแต่งดำ ถือป้ายประท้วง แบบนี้
..... " หมอที่ไม่ได้ทำหน้าที่หมอ " บอกว่าเป็นเพราะ " หมอ รพ.รัฐ ไม่เข้าใจ ถูกหลอก ทำให้เข้าใจผิด ฯลฯ " ... แบบนี้ ผมว่า มันดูถูกสติปัญญา ของ ผู้ประกอบวิชาชีพ ใน รพ. รัฐ มากไป ..
..... อาจารย์ไม่ลองหาข้อมูลเพิ่มหน่อยหรือครับว่า ทำไม ???
..... สำหรับ
รพ.เอกชน ไม่ต้องสนใจกับเขาเลย เขาเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว และการเพิ่มเงินอีกแค่ ๕ บาทในผู้ป่วยนอก และ ๘๐ บาทในผู้ป่วยใน (ตามการเสนอของ สวรส) ถึงแม้ว่าจะไม่เก็บเพิ่ม ก็ไม่มีผลอะไรกับ รายได้ของ เอกชน .. แถมถ้า พรบ.นี้ออกมา อาจถูกนำไปอ้างว่าต้องเก็บเงินเพิ่มเพื่อนำเข้า่กองทุน อีกต่างหาก ..
๔ ที่อาจารย์บอกว่า กลุ่มสหภาพแพทย์โรงพยาบาลเอกชน ที่เรียกตนเองว่า "แพทยสภา" ..... อาจารย์ลองคิดดูนะครับว่า คะแนนของกรรมการแพทยสภานั้น ได้จาก แพทย์ ซึ่ง
แพทย์ส่วนใหญ่ก็คือ แพทย์ จาก รพ.รัฐ .. ไม่ใช่เอกชนอย่างที่อาจารย์เข้าใจ
..... น่าแปลกหรือเปล่าที่
หมอบางคนอ้างว่าเป็นตัวแทนของแพทย์ที่อยู่ในชนบท กลับไม่ได้รับเลือก ไม่ได้รับความไว้วางใจจาก แพทย์ที่ทำงานอยู่ในชนบทจริงๆ ??? ..... อาจารย์ไม่ลองหาข้อมูลเพิ่มหน่อยหรือครับว่า ทำไม ???
๕ อาจารย์ บอกว่า " หมอ รพ.รัฐ ไม่เดือดร้อน เพราะ ไม่ได้เก็บเงินโดยตรงกับหมอ รัฐ มี พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ คุ้มครองอยู่ " ..... ก็ถูกส่วนหนึ่ง ถ้ามองในมุมเดียวเรื่อง "เงิน"
..... แต่ ถ้ามองว่า หมอ รพ.รัฐ ต้องถูกเรียกสอบจาก คกก. (ส่วนหนึ่งเป็น NGO ซึ่งไม่ไว้วางใจแพทย์ ระบบบริการสาธารณสุข) ถ้าเรียกแล้วไม่ไป ไม่ให้ความร่วมมือ ก็โดนอาญา ในมต.๑๘ ..แบบนี้ คิดว่า
หมอคนที่ตั้งใจทุ่มเททำงาน ทุกวันทุกคืน จะรู้สึกอย่างไร จิตใจของหมอคนนั้นจะเป็นอย่างไร ??? ..... ผมเคยอยู่ รพ.รัฐ ที่มีคดีฟ้องร้อง หมอ ..ต้องต่อสู้คดีถึง ๕ ปี ถึงแม้จะจบด้วยการ ยกฟ้อง แต่หมอทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดี ได้รับผลกระทบ หมอผ่าตัด ลาออกจากราชการ เลิกเป็นหมอผ่าตัด .. หมอเด็กขอย้ายไปอยู่ รพ.ใหญ่กว่า ..แพทย์ใช้ทุน ๒ ท่าน ที่ขอทุนเรียนต่อไว้ เปลี่ยนใจขอยกเลิก ...
ผมจึงไม่เคยเชื่อคำพูดที่ว่า " หมอทำดี ไม่ต้องกลัวการฟ้องร้อง..ต่อให้ฟ้องร้อง หมอก็ไม่เดือนร้อน " .. คนที่พูดแบบนี้ ก็อาจไม่ได้เป็นหมอ (ตัวเองไม่เสี่ยง) หรือไม่ก็ เป็นหมอที่ไม่เคยโดนฟ้อง ..
๖ ประเด็นเรื่อง จำนวนการฟ้องร้อง .. ลดลง จาก มต.๔๑ ..... ข้อมูล ของกระทรวงสาธารณสุขและแพทยสภา พบว่า ... คดี ทั้งแพ่ง และ อาญา ในศาลเพิ่มขึ้น ทุกปี ทั้ง ๆ ที่มี มต.๔๑ ใช้มา ๕ ปี ???
..... และตัวเลขจำนวน การฟ้องร้องและชดเชยใน มต.๔๑ เพิ่มมากขึ้นทุกปี เช่นกัน และ ที่น่าตกใจก็คือ
๙๗%เป็นของภาครัฐ ..... ผมคิดว่า
การที่จะสรุปว่า มต.๔๑ ทำให้การฟ้องร้องลดลง จึงอาจเป็นการ "ด่วนสรุป" ไปหน่อยนะครับสิ่งที่ผม ผมอยากจะเน้นสำหรับ ประชาชนทั่วไป ช่วยกันคิด .. ก็คือ ที่มากองทุนฯ และ ผู้บริหารกองทุน ฯ
๑ ที่มาของกองทุนนี้ ได้จาก สถานบริการสาธารณสุข ...ที่ น่าเป็นห่วง ก็คือ
รพ.รัฐ ที่มีเงินน้อย ..งบที่รัฐให้มานั้นก็ไม่พออยู่แล้ว ถ้าสถานบริการภาครัฐ จะต้องนำเงินส่วนหนึ่งเข้ากองทุน ก็ต้องหักเงินจากงบที่ให้มาอีก .. มิกลายเป็น รีดเลือดกับปู หรอกหรือ ??? ในเมื่อ การบริการสาธารณสุข เป็นบริการพื้นฐาน ที่รัฐ ต้องดูแล จัดให้กับประชาชนทุกคน และ รพ.ของรัฐ ก็เป็น หน่วยงานของรัฐ อยู่แล้ว มันก็แปลก ๆ เหมือนกันที่จะต้องให้ รพ.รัฐ เอาเงินที่ได้จัดสรรมาจากรัฐ มาแบ่งเข้ากองทุนอีกที ???
๒ . สิ่งที่แอบแฝงไว้ ก็คือ
" ประชาชน คนไทยทุกคน ก็จะเป็น " ผู้จ่ายเงิน " เข้ากองทุนนี้ " -
สถานบริการภาค รัฐ เงินที่เข้ากองทุน นี้ก็คือ เงินที่รัฐ ( ซึ่งก็คือ
ภาษี ที่เก็บไปจากทุกคน เป็นการจ่ายทางอ้อม ) จัดสรรให้กับ รพ. เป็นเงินที่จะนำไปจ้างเจ้าหน้าที่ ซื้อวัสดุอุปกรณ์ ยารักษาโรค ปรับปรุงฯลฯ ทำให้เงินส่วนหนึ่ง ต้องหายออกไป จากระบบ เข้าไปสู่กองทุน ??? แทนที่จะนำเงินนั้น มาให้บริการกับผู้ป่วย ก็ต้องส่งไปเก็บไว้สำรอง เผื่อมีการชดเชยที่เกิดน้อยมาก ๆ ๆ ๆ
-
สถานบริการเอกชน (คลินิก + รพ.เอกชน).. ถ้าเพิ่มค่าบริการ เพื่อนำไปเข้ากองทุนนี้ .. นั่นก็คือ เงินที่ผู้รับบริการ ประชาชน จ่ายทางตรง
ไม่ว่าจะเป็นทางไหน ประชาชน ก็เป็น ผู้จ่าย อยู่ดี ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ ประชาชนคนไทยทุกคนว่า ยอมจ่ายเงินตรงนี้หรือเปล่า ???
ยอมให้เงินหลายพันล้านไปให้ คกก. ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น NGO (ไม่รู้ว่าใครแต่งตั้ง เลือกกันมาอย่างไร ไม่รู้ว่ามีสมาชิกเท่าไหร่ ฯลฯ ) นำไปใช้จ่ายหรือเปล่า ??? (ค่าบริหารจัดการ ตาม พรบฯ นี้ ระบุไว้ไม่เกิน ๑๐% ของกองทุน ก็น่าจะสัก ๔๐๐ ล้านต่อปี )

ขัดคอนิธิ เอียวศรีวงศ์ (๑): ผู้กล่าวว่า "กลุ่มผู้ต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นี้อย่างรุนแรงที่สุด จึงเป็นกลุ่มสหภาพแพทย์โรงพยาบาลเอกชน ที่เรียกตนเองว่า "แพทยสภา"..."
ผู้เขียน ไทสยาม
การกล่าวอ้างของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในบทความ "ใครเสีย ในร่างพ.ร.บ.คุ้มครองความเสียหายฯ" จากมติชนออนไลน์ เป็นความคิดเห็นที่น่าฟัง เนื่องจากอาจารย์นิธิมีคุณวุฒิและมีบทบาทชี้นำสังคมมานาน ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของผู้เขียนมาโดยตลอด จนกระทั่งได้เห็นชื่ออาจารย์นิธิเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ผู้เขียนจึงไม่ได้ติดตามต่อไป เพราะไม่สะดวกใจที่จะศึกษากันในเงื่อนไขที่ไม่ปกติ
การเป็นผู้ชี้นำสังคมมายาวนานของอาจารย์นิธิ สังคมจึงมีมายาคติเป็นความโน้มเอียงที่จะเชื่อไว้ก่อน แม้ ผู้เขียนก็มีมายาคติเช่นเดียวกันกับสังคม แต่เมื่อได้อ่านบทความของอาจารย์นิธิแล้ว มายาคติที่โน้มเอียงจะเชื่อก็สลายไป เพราะสิ่งที่อาจารย์นิธิได้นำเสนอนั้น มาจากความเชื่อที่ผิดจากข้อเท็จจริง ซึ่งผู้เขียนได้คลุกคลีกับประชาชนมาโดยตลอด อีกทั้งได้ทราบกระบวนการเคลื่อนไหวและเจตนารมณ์ของผู้คัดค้านร่างพ.ร.บ.คุ้ม ครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... มาโดยตลอดเช่นกัน
ดังนั้น จึง นิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ ต้องออกมาขอใช้สิทธิขั้นพื้นฐาน เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานในระบบบริการสาธารณ สุขกว่า ๒๐ ปี ต้องนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อแก้ไขมายาคติที่ไม่ถูกต้องจากการชี้นำสังคมของ อาจารย์นิธิ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกยิ่งของท่านอาจารย์
การนำเสนอเพียงความดีของหลักการและเหตุผลที่อ้างปะหน้าร่างกฎหมายนั้น คนสติปัญญาสมประกอบคนใดก็ปฏิเสธไม่ได้ถ้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน
แต่ ถ้าเป็นเพียงเพื่ออธิบายความชอบธรรมที่จะมีกองทุนขนาดใหญ่ และให้กลุ่มเอ็นจีโอผู้เสนอกฎหมาย เข้าไปบริหารกองทุน และมีระเบียบปฏิบัติที่เขียนเองโดยระเบียบกระทรวงการคลัง และการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเข้าไม่ถึง นั้นเป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย
การออกกฎหมายโดยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมักจะอ้างความเป็นธรรม ความเสมอภาคและความเท่าเทียม ตามแนวทางทฤษฎีเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ของราษฎรอาวุโส ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับทฤษฎีแก้วสามประการในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ ตามลัทธิความเชื่อที่ว่า การล้มล้างอำนาจรัฐ เป็นแนวทางการเปลี่ยนแปลง ไปสู่ความเป็นรัฐในอุดมคติ ที่จะนำความเสมอภาค เท่าเทียม มาสู่มหาประชาชน ทำนองนั้น
ลัทธิหรือความเชื่อนั้น เป็นมายาคติอย่างหนึ่ง ซึ่งโน้มน้าวด้วยเหตุผลต่างๆ ให้คนเชื่อและคาดหวัง ถ้ามายาคติหรือความเชื่อเป็นจริงได้และเป็นธรรมย่อมเป็นสิ่งที่ดี และเป็นได้ถึงศาสนาวัฒนธรรมประเพณีที่ทุกผู้คนยึดเหนี่ยว แต่ถ้ามายาคติที่เกิดขึ้นจากความเชื่อที่เป็นเท็จ มายาคติย่อมสลายไป เมื่อความจริงปรากฏ ต่อไปนี้จะได้อธิบายถึงเหตุที่ทำให้มายาคติจากการชี้นำของอาจารย์นิธิได้ สลายไป ดังต่อไปนี้
๑.การกล่าวอ้างที่ว่า "...กลุ่มผู้ต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นี้อย่างรุนแรงที่สุด จึงเป็นกลุ่มสหภาพแพทย์โรงพยาบาลเอกชน ที่เรียกตนเองว่า "แพทยสภา"..." นั้นเป็นความเท็จสองประการ
-ความเท็จประการที่๑ กลุ่มผู้ต่อต้านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของรัฐทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข
-ความเท็จประการที่๒.แพทยสภาไม่ใช่สหภาพแพทย์โรงพยาบาลเอกชน แต่มาจากแพทย์ผู้ได้รับเลือกตั้งจากแพทย์ผู้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบ วิชาชีพเวชกรรมในประเทศไทย ๒๖ ตำแหน่ง และเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๒๖ ตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข,อธิบดีกรมการแพทย์,อธิบดีกรมอนามัย,เจ้ากรมแพทย์ทหาร บก,เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ,เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ,นายแพทย์ใหญ่สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ,คณบดีคณะแพทยศาสตร์๑๘สถาบัน และผู้อำนวยการสถาบันพระบรมราชชนก
ตรงไหนที่เรียกว่ากลุ่มสหภาพแพทย์โรงพยาบาลเอกชน ? อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์เป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคม จะชี้นำสังคมเช่นนี้หรือ?
๒.การกล่าวถึง "...สิทธิพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งเพื่อปกป้องตนเอง และถ้าคิดให้กว้าง ย่อมปกป้องสังคมโดยรวมจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ขายหรือให้ บริการด้วย..."นั้น
การแพทย์ไทยตั้งแต่สมเด็จพระราชชนกพระราชทานแก่ประชาชนไทยนั้น มิใช่การขายหรือการให้บริการ แต่เป็นการดูแลรักษาประชาชนด้วยพรหมวิหาร๔ (เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา) ไม่มีแพทย์ผู้ดูแลรักษาประชาชนคนไหนในประเทศไทยอยากจะบอกตนเองว่าตนเป็นผู้ให้บริการ เพราะการช่วยชีวิตคนนั้นสูงกว่าการเป็นงานบริการ
หากอาจารย์นิธิยังซาบซึ้งกับการบริการด้วยหัวใจมนุษย์นั้น ขอเรียนให้ทราบว่า แพทย์ต่างประเทศนั้น เขาคิดกันแบบงานบริการ คือ เป็นธุรกิจกันนานมาแล้ว หัวใจคนมันหายไป แต่เมืองไทยมิใช่เช่นนั้น แพทย์ไทยถูกสอนให้ดูแลประชาชนด้วยพรหมวิหารธรรม มิได้เลือกยากดีมีจน ความทุกข์ของประชาชนคือทุกข์ของแพทย์และพยาบาล
ส่วนคนที่ไม่ได้ดูแลคนไข้ แต่มักไป "ศึกษาดูงาน" บ่อยๆ ด้วยภาษีประชาชน ณ ประเทศแถบสแกนดิเนเวียนั้น ติดอกติดใจใจภาษาหรูเลยเอามาใช้ ไม่ได้ดูแลคนไข้มานานจึงไม่รู้ว่า บ้านเรานั้นหมอกับประชาชนผูกพันกันตามธรรมเนียมไทยที่สูงด้วยคุณธรรมอยู่ แล้ว เว้นแต่ ใครที่เลวมาแต่เดิม พัฒนาไม่ได้ จึงมีทุรเวชอยู่บ้างที่หาความรวยจากคนที่รู้ไม่ทัน
อีกทั้งการประทับใจกับกิจการแถบสแกนดิเนเวียนั้น ผู้เขียนอดนึกถึง "ปฏิญญาฟินแลนด์" อันโด่งดังมิได้ จึงอยากทราบว่า ระบบการดูแลแบบสแกนดิเนเวียนั้นเป็นส่วนหนึ่งในปฏิญญาฟินแลนด์หรือไม่???
และเมื่อกล่าวถึง สิทธิพื้นฐานของมนุษย์ แพทย์และผู้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาประชาชนผู้มีความ เจ็บป่วย ก็ย่อมมีสิทธิพื้นฐานของมนุษย์เช่นเดียวกันกับมนุษย์ผู้อื่น และแพทย์ก็ต้องการได้รับการปฏิบัติด้วยหัวใจมนุษย์เช่นเดียวกัน
ดังนั้น การ เคลื่อนไหวเพื่อขัดแย้งสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในร่าง พ.ร.บ.นั้น จึงเป็นการใช้สิทธิพื้นฐานของมนุษย์ หากมนุษย์ที่มีสติปัญญาและมีสำนึกดีต่อวิชาชีพที่ดูแลรักษาชีวิตคน เห็นว่า มีสิ่งที่ไม่สมควรในกฎหมายที่จะออกบังคับใช้กับคนทั้งหมดย่อมทนไม่ได้ที่จะ ให้อธรรมเกิดแก่ประชาชนและประเทศชาติ การเคลื่อนไหวจึงเป็นการสมควร การไม่ปล่อยให้เกิดกฎหมายอธรรมออกใช้จึงชอบแล้ว
การคัดค้านร่างกฎหมายอธรรม จึงไม่เป็นการลิดรอนสิทธิ และผู้เจริญย่อมไม่ควรมองเป็นการลิดรอนสิทธิผู้อื่น หลักประชาธิปไตยย่อมมีการถกเหตุผลที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยได้ มีแต่ลัทธิเผด็จการเท่านั้นที่จะไม่พอใจที่มีผู้มีความเห็นแย้ง
โปรดปฏิบัติต่อแพทย์และผู้ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วย ด้วยหัวใจมนุษย์