ฟ้องร้องแพทย์ ความยุติธรรมแก่ใคร ฤๅ??? นำมาฝาก ... //www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act02270152§ionid=0130&day=2009-01-27 วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11280 มติชนรายวัน ฟ้องร้องแพทย์ ความยุติธรรมแก่ใคร ฤๅ??? โดย "ดุจเดือน" กฎหมายได้เกิดขึ้นหรือถูกเขียนขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาในสังคมให้เกิดความยุติธรรม ความยุติธรรมที่กล่าวถึงนี้เป็นความยุติธรรมตามกาละและเทศะ เพราะกฎหมายที่มีความยุติธรรมในยุคหนึ่ง อาจไม่เหมาะสมไม่ยุติธรรมในอีกยุคหนึ่ง เมื่อสถานการณ์ สภาพแวดล้อม เงื่อนไขทางสังคมเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ของสมาชิกในสังคมได้แปรเปลี่ยนไป ในความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป คำว่ายุติธรรมตามกฎหมาย หมายถึงการให้ความยุติธรรมแก่คู่กรณีแต่กฎหมายบางเรื่องก็เป็นการจัดระเบียบสังคมหรืออำนวยความยุติธรรมแก่สมาชิกในสังคม เป็นการทั่วไปมิใช่เพื่อเพียงการให้ความยุติธรรมแก่คู่กรณีเท่านั้น ลอร์ดเดนนิ่ง (Lord Denning) ผู้พิพากษาผู้จุดความคิดทางกฎหมายหลายเรื่องของอังกฤษได้กล่าวไว้ในหนังสือ What Next in the Law(1982) ว่า กฎหมายอังกฤษในเรื่องความเสียหายต่อร่างกาย (personal injuries) ล้าสมัย ไม่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะเป็นกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในยุคของการขนส่งโดยม้าและรถไฟ จึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นการขนส่งโดยทางรถยนต์ ซึ่งมีผลให้เกิดความตายและความพิการ ผู้บาดเจ็บไม่อาจพิสูจน์ถึงความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงควรนำหลักชดเชยความเสียหายผู้บาดเจ็บ ซึ่งแม้นไม่สามารถพิสูจน์ถึงความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่ได้ หลักนี้เรียกว่าหลักความรับผิดแม้ไม้ผิด (non-fault llability) เมื่ออ่านความเห็นของลอร์ดเดนนิ่ง อดหวนคิดไม่ได้ว่า กฎหมายอาญาเรื่องความรับผิดต่อการกระทำที่ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนาหรือโดยประมาท เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับความรับผิดทางการแพทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัจของไทยหรือไม่ หลักความรับผิดแม้ไม่ผิด (non-fault liability) ที่นำมาใช้เยียวยาความเสียหายทางแพ่งนั้น มิได้เป็นหลักประกันว่าแพทย์ไม่ต้องรับผิดทางอาญาหรือทางแพ่งแต่อย่างใด ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยที่ได้รับการเยียวยาความเสียหายมาบ้างตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ยังสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายอื่นได้อยู่ การรักษาผู้ป่วยแล้วไม่ประสบผลสำเร็จตามที่แพทย์ ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยคาดหวังมีสาเหตุหลายประการ อาทิ การดำเนินของโรคเข้าสู่ภาวะวิกฤต ผู้ป่วยถึงแก่ความตายอาจเกิดจากธรรมชาติของโรค เหตุสุดวิสัยทางการแพทย์ ภาวะแทรกซ้อนอาการอันไม่พึงประสงค์ การแพ้ยาอย่างรุนแรงซึ่งแพทย์ไม่รู้มาก่อนหรือเกิดปฏิกิริยาต่อโรค/ต่อยาในลักษณะที่มีอัตราเกิดขึ้นน้อยมาก (rare case) ซึ่งไม่ปรากฏหรือปรากฏน้อยมากในตำราหรือวารสารทางการแพทย์ แพทย์ที่มีความรู้ปฏิกิริยาต่อโรค/ต่อยาในลักษณะ rare case จึงเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์การรักษาที่ได้สั่งสมความรู้จากประสบการณ์ การรักษาโรคในมนุษย์มีความแตกต่างเนื่องจากปัจจัยอื่นๆ มาก ในบางกรณีการแพทย์ก็อธิบายไม่ได้ โดยเฉพาะปัจจัยทางพันธุกรรมที่เป็นเหตุให้ผลการรักษา ไม่เป็นดังคาด ผลการรักษาพยาบาลมิได้ขึ้นจากตัวบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ยังต้องขึ้นกับตัวบุคคลผู้ป่วย พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ การบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับสภาวะของร่างกาย ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา การออกกำลังกายหรือการทำกายภาพบำบัดและการปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆ ที่ผู้ป่วยหรือญาติผู้ดูแลปฏิบัติมีผลต่อความสำเร็จในการรักษาพยาบาล พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ได้อธิบายไว้ในบทความหนึ่งว่า แม้ผู้ป่วยจะป่วยด้วยโรคเดียวกัน แต่ระดับความรุนแรงของโรคก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยและความแตกต่างในโรคที่ซ่อนเร้นภายใน (underlying diseases) ในอวัยวะต่างๆ ของผู้ป่วย ที่แพทย์อาจจะตรวจไม่พบในตอนแรกที่พบผู้ป่วย แต่อาการของผู้ป่วยมาแสดงออกในภายหลังจนสามารถตรวจพบได้หลังจากโรคที่เป็นมีอาการรุนแรงขึ้น แม้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันและได้รับการรักษาเหมือนๆ กัน แต่ร่างกายและโรคของผู้ป่วยก็อาจตอบสนองต่อการรักษาไม่เหมือนกัน ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา เคยกล่าวเปรียบเทียบว่า "รถยนต์เราเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ เหมือนกันได้ แต่คนเราทำไม่ได้ คนสิบคนเป็นโรคเดียวกัน ใช้ยาเหมือนกันขนาดเท่ากัน บางคนดีขึ้น บางคนไม่ดีขึ้น บางคนหายเร็ว บางคนหายช้า บางคนแพ้ยา สิ่งมีชีวิตเอาไปเทียบกับสิ่งไม่มีชีวิตไม่ได้" การใช้หลักเกณฑ์เดียวกันตามข้อแนะนำคู่มือแนวทางต่างๆ ในการรักษาโรคก็ใช้ไม่ได้ผลเดียวกันกับคนไข้ทุกคน ผู้ป่วยที่มีอาการเหมือนกัน อาจมีสาเหตุมาจากโรคได้หลายโรค เช่นอาการไอเพียงอย่างเดียว ก็อาจมีสาเหตุมาจากโรคได้หลายโรค เช่น หลอดลมอักเสบ วัณโรค ถุงลมโป่งพอง แพ้อากาศ หอบหืดไอกรน มะเร็งปอด การตรวจรักษาผู้ป่วยของแพทย์จึงเป็นกระบวนการแห่ง "การคาดคะแน" ถึงความจะเป็นไปได้โดยอาศัยหลักการทางการแพทย์และสถิติของโรค ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการวินิจฉัยแยกโรคว่า ผู้ป่วยน่าจะมีอาการเหมือนกับเป็นโรคอะไรมากที่สุด แล้วตรวจร่างกายผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยอาการไม่มากก็จะต้อง "ลอง" รักษาตามความรู้ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ได้เล่าเรียนหรือมีประสบการณ์ในการรักษามาก่อน ต่อจากนั้นก็ติดตามผลและสังเกตอาการว่า การคาดคะเนในการวินิจฉัยและการรักษาโรคนั้นถูกต้องหรือไม่ หากถูกต้องผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น แต่ถ้าผู้ป่วยอาหารไม่ดีขึ้นก็อาจจะเกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่ตอบ สนองต่อยาที่ให้ไปแล้ว แพทย์ก็อาจจะต้องพิจารณาเปลี่ยนยาหรือเปลี่ยนวิธีการรักษาใหม่ ร่างกายมนุษย์ไม่เหมือนเครื่องจักรที่ถอดออกมาดูได้ ความรู้ทางการแพทย์ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลจากเป็นผลจากการศึกษาผู้ป่วยรุ่นก่อนเก็บเป็นข้อมูลและสถิติ การตรวจรักษาผู้ป่วยเป็นจึงการ "คาดคะเนล่วงหน้า" โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยแต่ละคนโดยการใช้ดุลพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษา ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ แพทย์จึงไม่สามารถแน่ใจ 100% ว่าการวินิจฉัยโรคของตนจะถูกต้อง 100% การรักษาผู้ป่วยตั้งอยู่บนพื้นฐานการใช้ความรู้ ประสบการณ์และดุจพินิจที่ดีที่สุดของแพทย์ผู้รักษา แพทย์เองก็ประสงค์รักษาผู้ป่วยให้ประสบผลสำเร็จอันเป็นความภาคภูมิใจในการทำงานวิชาชีพ แต่แพทย์ก็ไม่สามารถเลือกผู้ป่วยที่รักษาให้ประสบความสำเร็จสูงสุดได้ในหลายๆ กรณีหลาย โรคสิ่งที่แพทย์รักษาได้ คือ "การบรรเทาทุกข์" ให้กับผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา ในบางกรณีแม้แต่ในโรงเรียนแพทย์ซึ่งมีแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ที่ครบครัน ยังพบว่าเมื่อรักษาจนวาระสุดท้ายของผู้ป่วย คณะแพทย์ผู้รักษาซึ่งประกอบด้วยอาจารย์แพทย์ แพทย์ที่ศึกษาเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา (resident) ซึ่งได้มีการปรึกษาร่วมกันรักษา (consult) ระหว่างสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับโรคหลายสาขา ผ่าศพพิสูจน์แล้วยังไม่รู้สาเหตุการตายว่าเกิดจากสาเหตุใด ดังที่นักเรียนแพทย์ได้เรียนใน dead case conference ในกรณีที่การรักษาผู้ป่วยไม่ประสบผลสำเร็จและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตหรือพิการ การสูญเสียชีวิตของผู้ป่วยย่อมนำความเสียใจมาสู่ทุกคน แพทย์ผู้รักษาเองก็มีความเสียใจที่การรักษาพยาบาลซึ่งเป็นงานวิชาชีพของตนต่อผู้ป่วยรายดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ภาวะที่แพทย์พบผู้ป่วยที่เสียชีวิตเป็นประจำในระหว่างการรักษามาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแพทย์ได้กลายเป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นปกติสามัญในการประกอบวิชาชีพ ทั้งยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่รอการรักษาอยู่ แพทย์อยู่ในภาวะที่ต้องรีบเร่งจึงไม่ได้แสดงการมีส่วนร่วมเห็นอกเห็นใจญาติผู้ป่วยที่เสียชีวิต หรือใช้เวลาสื่อสารกับญาติผู้ป่วยที่เสียชีวิตเท่าที่ควร ส่วนของญาติผู้ป่วยที่เสียชีวิตก็อาจเข้าใจผิดว่าแพทย์ไม่นำพาต่อการตายของผู้ป่วย แพทย์ละเลยหรือประมาทเลินเล่อในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วย และก่อให้เกิดการฟ้องร้องคดีขึ้น แพทย์ผู้รักษาพยาบาลผู้ป่วย ตามความรู้ความสามารถทางการแพทย์ที่ได้ศึกษาร่ำเรียนมา ภายใต้บริบทและศักยภาพของสถานพยาบาลที่แพทย์อยู่ ด้วยข้อจำกัดของเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ในการรักษาพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ข้อจำกัดของจำนวนแพทย์ที่มีเพียง 2-3 คนต่อหนึ่งโรงพยาบาลที่ต้องดูแลคนไข้นอกที่มารับการรักษา (OPD) ในรายวันประมาณ 200-300 คนต่อวัน ยังต้องดูแลผู้ป่วยในที่นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล (IPD) ซึ่งแพทย์ต้องไปตรวจเยี่ยมสังเกตอาการ (round) ทุกวันเพื่อเก็บข้อมูลการดำเนินโรคเพื่อนำไปประเมินและคาดคะเนว่า การรักษาด้วยวิธีใดจะเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อคนไข้มากที่สุด และยังต้องอยู่เวรรักษาพยาบาลประจำห้องฉุกเฉิน (ER) ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุหรือมีการดำเนินโรคที่รุนแรงขึ้น เพื่อรีบรักษาหรือกู้ชีพ โดยแพทย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นแพทย์ใช้ทุน ซึ่งเป็นแพทย์ที่ประสบการณ์ในการรักษาพยาบาลต่ำกว่า 5 ปี ยังต้องเก็บเกี่ยวสั่งสมประสบการณ์ในการรักษาพยาบาล ในหลายกรณีที่เกิดเป็นข่าวเป็นกรณี rare case อาทิ กรณีแพ้ยาอย่างรุนแรง หรืออาการของโรคแสดงออกในภายหลังเมื่อมีอาการรุนแรง นอ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ ได้ชี้ให้เห็นในบทความตอนหนึ่งว่า แพทย์ผู้ให้บริการในภาครัฐในโรงพยาบาลระดับอำเภอบางแห่งไม่มีแพทย์หรือมีแพทย์คนเดียว ที่ต้องดูแลผู้ป่วยทั้งใน และนอกในโรงพยาบาลระดับคนไข้ 30 เตียง แพทย์ต้องทำงาน 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน โดยในโรงพยาบาลระดับอำเภอทั้ง 709 แห่ง (ระดับ 2.1-2.2) มี 419 แห่ง ที่ขาดแคลนแพทย์ (58%) และ มี 185 แห่ง ขาดแพทย์ระดับรุนแรง มีแพทย์ประจำการในอัตราที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราบรรจุ ตัวเลขนี้ยังไม่นับรวมการขาดแคลนพยาบาลและวิชาชีพอื่น สภาพคนไข้ล้นโรงพยาบาลจึงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในหลายๆ จังหวัด การฟ้องทั้งทางอาญาและทางแพ่งที่เพิ่มขึ้นก่อให้แพทย์รักษาคนไข้แบบเชิงป้องกัน (defensive medicine) คือ การหาผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยร่วมหาโรคอย่างมากมาย เพื่อให้มีแพทย์ร่วมเป็นพยานและใช้กลไกการวินิจฉัยซับซ้อน หรือใช้ระบบส่งต่อให้โรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าไปรักษาต่อ เพราะแพทย์ไม่อาจแน่ใจในสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วยแต่ละคนที่มารับการรักษา หากมองอย่างผิวเผินดูจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยในการได้รับการรักษาพยาบาลที่ได้รับการตรวจรักษาที่ละเอียดถี่ถ้วนขึ้น แต่เมื่อพิจารณาในมุมกลับ การรักษาแบบเชิงป้องกันและการส่งต่อ จะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยในภาพรวมของประเทศ ประชาชนจะเสียหายมากขึ้นจากการที่เสียช่วงเวลาดีที่สุดในการรักษา (golden period) จากการรอขั้นตอนมากขึ้นถูกตรวจมากขึ้นเพื่อป้องกันคดี แต่ผลการรักษาอาจกลับแย่ลง หรือแพทย์ต้นทางอันเป็นสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชน (โรงพยาบาลอำเภอขนาด 10-30-60-90 เตียง) เป็นแพทย์ทั่วไปยังไม่ได้ศึกษาต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง หรือเป็นโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทาง แต่มีเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์และบุคลากรยังไม่พร้อม แพทย์ก็จะปฏิเสธที่จะรักษาผ่าตัดไส้ติ่งหรือทำคลอดด้วยเหตุที่ตนมิใช่ศัลยแพทย์หรือสูติแพทย์หรือมีบุคลากรหรือมีอุปกรณ์ไม่พร้อม ด้วยเกรงว่าตนจะถูกฟ้องร้อง หากการรักษาพยาบาลไม่ประสบผลสำเร็จ จึงส่งผู้ป่วยต่อไป สถานพยาบาลระดับทุติยภูมิ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทั่วไป (โรงพยาบาลอำเภอใหญ่ๆ หรือโรงพยาบาลจังหวัดขนาด 120-150-250 เตียง) หรือสถานพยาบาลระดับคติยภูมิซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ (โรงพยาบาลจังหวัดหรือโรงพยาบาลที่ต้องรับการส่งต่อขนาด 300-500-700 เตียง หรือระดับโรงเรียนแพทย์ขนาด 1,000 เตียงขึ้นไป) ที่มีความพร้อมกว่า ในขณะที่แต่เดิมแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาแพทย์ทุกคนสามารถผ่าตัดไส้ติ่งหรือทำคลอดได้ แต่ด้วยความเกรงกลัวว่าในกรณีที่การรักษาไม่ประสบความสำเร็จในการรักษา ตนอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้จึงลดความเสี่ยงลงเพราะมิใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง การส่งต่อผู้เชี่ยวชาญจะเกิดขึ้นแบบไม่จำเป็น เพราะแพทย์คุณวุฒิน้อยและประสบการณ์น้อยหรืออยู่ในสถานพยาบาลที่มีศักยภาพไม่เพียงพอจะไม่กล้ารับความเสี่ยง ระบบการส่งต่อจะก่อให้เกิดการรักษาที่ล่าช้ากว่าเดิมจากกลไกการเดินทาง การส่งต่อ ความคับคั่งในระบบผู้เชี่ยวชาญที่ผู้ป่วยต้องรอคิวในการรักษายาวขึ้น ผู้ป่วยอาจจะเกิดความเสียหายและเสียช่วงเวลาดีที่สุดในการรักษามากขึ้น ในขณะที่ยังไม่มีกฎหมายเรื่องความรับผิดทางการแพทย์ใช้บังคับเป็นการเฉพาะ กฎหมายที่จะนำมาใช้บังคับการพิจารณาว่าแพทย์จะต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่ คือ ประมวลกฎหมายอาญา โดยพิจารณาว่าการรักษาพยาบาลของแพทย์นั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาหรือประมาทหรือไม่ การพิจารณาความรับผิดทางอาญาจึงควรจะพิจารณาจากสภาพแวดล้อมของสถานพยาบาลภายในบริบทที่รัฐเป็นผู้กำหนด มาตรฐานขั้นต่ำในการรักษา (ซึ่งไม่อาจจะนำมาตรฐานของโรงเรียนแพทย์เป็นมาตรฐานของการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลทั่วไป เพราะมีความแตกต่างในเรื่องสาขาความเชี่ยวชาญของแพทย์และเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ) ระยะเวลา ความจำเป็นเร่งด่วนในการรักษาชีวิตผู้ป่วยในช่วงเวลาได้ที่สุดในการรักษา (golden period) ตามหลักวิชาการ ประสบการณ์และระยะเวลาในการปฏิบัติวิชาชีพของแพทย์ หากการฟ้องร้องแพทย์อันเนื่องมาจากการรักษาพยาบาลผู้ป่วยแล้วไม่ประสบผลสำเร็จในการรักษาพยาบาล โดยแพทย์ผู้รักษาไม่ได้ปฏิบัติภายในกรอบและเงื่อนไขที่วิชาชีพกำหนดไว้ ละเลยหรือประมาทในการรักษาพยาบาล เมื่อพิจารณาประกอบกับเงื่อนไขและปัจจัยต่างๆ ดังที่ข้างต้นแล้ว หากแพทย์ผิด แพทย์ก็สมควรถูกลงโทษตามกฎหมาย หากแพทย์ได้รักษาโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานการประกอบวิชาชีพแล้วตามหลักวิชาการโดยสุจริตแล้ว ภายใต้และสภาวะเงื่อนที่รัฐเป็นผู้กำหนด การรักษาเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยแล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จตามความคาดหวังของญาติ และมีการฟ้องร้องที่เพิ่มขึ้นอยู่ต่อไป โดยไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ตามสภาวะและเงื่อนไขของโรงพยาบาล และสภาวะการดำเนินโรคหรือความเร่งด่วนในการรักษาพยาบาล แพทย์ก็เป็นปุถุชนในสังคมที่ต้องการความเป็นอยู่ที่สบายใจทั้งตนเองและครอบครัว แพทย์ย่อมต้องแสวงหาที่อยู่ที่ทำงานที่มีความพร้อมทั้งในเรื่อง ยา อุปกรณ์การรักษา บุคลากรทางการแพทย์ ความมั่นคงปลอดภัยในการทำงาน ความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องที่ต่ำกว่าเป็นธรรมดา เมื่อถึงเวลานั้นการขาดแคลนแพทย์ที่ชนบทห่างไกลยิ่งมากขึ้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือ ประชาชนในชนบท ด้วยปัจจัยสถานพยาบาลขนาดเล็กที่ไม่มีความพร้อมดังเช่นสถานพยาบาลในเมืองใหญ่ ระยะทางที่ห่างไกลในการนำผู้ป่วยส่งเข้ามายังเมืองใหญ่ หากผู้ป่วยเกิดเจ็บป่วยในเวลาดึกดื่นค่ำคืนที่ไม่อาจหารถนำส่งผู้ป่วยมายังโรงพยาบาลได้ หรือเมื่อส่งต่อมาถึงโรงพยาบาลขนาดใหญ่แล้วแต่ไม่มีห้องหรือไม่มีแพทย์เพียงพอ เพราะผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมีจำนวนล้นหลามเกินกำลังของแพทย์ที่จะรักษาได้ทันการ การกำหนดความรับผิดชอบทางอาญาในทางการแพทย์จึงต้องสร้างสมดุลระหว่างการให้ความยุติธรรมแก่คู่กรณี และการให้ความยุติธรรมแก่บุคคลในสังคม หมายเหตุ ข้อมูลบางส่วนที่เรียบเรียง บทความนี้มาจาก "บทวิเคราะห์ ผลกระทบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดี ผู้บริโภค พ.ศ.2551 กับวิชาชีพสุขภาพ" โดย นอ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ และ "ประเทศชาติและประชาชนเสียอะไรถ้าใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคกับการบริการทางการแพทย์" โดย พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ![]() ![]() ![]() เอามาแบ่งกันอ่าน ... เป็นข้อมูล ความเป็นจริง อีกด้าน ... ที่ บางท่าน อาจยังไม่ทราบ ... " การตรวจรักษาผู้ป่วยเป็นจึงการ "คาดคะเนล่วงหน้า" โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยแต่ละคนโดย การใช้ดุลพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษา ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ แพทย์จึงไม่สามารถแน่ใจ 100% ว่าการวินิจฉัยโรคของตนจะถูกต้อง 100% การรักษาผู้ป่วยตั้งอยู่บนพื้นฐานการใช้ความรู้ ประสบการณ์และดุจพินิจที่ดีที่สุดของแพทย์ผู้รักษา แพทย์เองก็ ประสงค์รักษาผู้ป่วยให้ประสบผลสำเร็จ อันเป็นความภาคภูมิใจในการทำงานวิชาชีพ แต่แพทย์ก็ไม่สามารถเลือกผู้ป่วยที่รักษาให้ประสบความสำเร็จสูงสุดได้ ใน หลายๆ กรณีหลาย โรคสิ่งที่แพทย์รักษาได้ คือ "การบรรเทาทุกข์" ให้กับผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา " ประโยคนี้ คือ ความเป็นจริง ของ การทำงาน ของแพทย์ ... ที่ต้อง พบเจอ อยู่ทุกวัน ... ถึงมีคำกล่าวที่ว่า " ไม่อะไร ๑๐๐ % ใน เมดิซีน " ![]() การแพทย์เมืองไทยเปลี่ยนไปอย่างน่าใจหายเลยค่ะ
![]() โดย: ลูกแม่ดอกบัว
![]() หมอ ก็เป็นแค่หัวโขน วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนเป็น ผู้ป่วย หรือ ญาติผู้ป่วย ..
รวบรวมมาฝาก .. จะได้เข้าใจกันมากขึ้นว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ผลกระทบของ "หมอ" เท่านั้น มีผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม และ มีความสลับซับซ้อนกว่า คำพูดไม่กี่คำ ที่ยกขึ้นมาอ้าง ถอดความ รายการสามัญชน คนไทย ตอน กฎหมายคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบทางสาธารณสุข ... ชเนษฎ์ ศรีสุโข https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-11-2016&group=7&gblog=208 ร่าง พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ... ปัญหา หรือ โอกาส ... https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=11-07-2010&group=7&gblog=61 เมื่อแพทย์และพยาบาลต้องล้มละลายเพราะถูกไล่เบี้ย https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=15-11-2016&group=7&gblog=207 การกระทำของแพทย์ในการรักษาโรค https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=24-09-2016&group=7&gblog=204 ประกันภัยภาระรับผิดชอบในวิชาชีพ (Professional Liability Insurance) ทางออกหนึ่งสำหรับคดีทางการแพทย์ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-04-2016&group=7&gblog=197 ได้ไม่เท่าเสีย ....โดย สุนทร นาคประดิษฐ์ ( ความเห็น เกี่ยวกับ การฟ้องร้องแพทย์ ) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=13-03-2009&group=7&gblog=21 ฟ้องร้องแพทย์ ความยุติธรรมแก่ใคร ฤๅ??? https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=28-01-2009&group=7&gblog=12 ปัจจุบันแพทย์พยาบาลสามารถถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย(คดีแพ่ง) โดยง่าย เหตุเพราะมีการตีความว่าการรักษาช่วยชีวิตคนไม่ต่างอะไรจากสินค้าหรือบริการที่มุ่งหวัง กำไรทั่ว ๆ ไป (ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค)ทำให้มีแนวโน้มการฟ้องร้องสูงขึ้น เรื่อย ๆ ที่ผ่านมาประเด็นนี้ ได้รับการปลอบขวัญจากรัฐเพื่อลดความวิตกกังวลของบุคลากรภาครัฐว่าไม่ต้องกังวล เพราะมีพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เป็นเกราะป้องกันการฟ้องร้องไว้ จึงทำให้แพทย์พยาบาล หลายคนชะล่าใจ คิดว่าไม่ว่าผิดถูกอย่างไร ไม่ว่าศาลจะทำคำตัดสินออกมาเช่นไรบุคลากรก็ไมได้รับผลกระทบ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วแพทย์พยาบาล อาจตกอยู่ในฐานะล้มละลายโดยง่ายได้เหตุเพราะแท้จริงแล้วบุคลากรยังคงมีความรับผิดชอบต่อเงินที่หน่วยงานต้นสังกัดต้องทดรองจ่ายให้ไปก่อนควรเข้าใจเสียใหม่ว่า กฎหมายนี้เป็นเพียงเกราะป้องกันมิให้แพทย์พยาบาลตกเป็นจำเลยโดยตรง แต่ความรับผิดทางอ้อม (การโดนไล่เบี้ย )ยังคงอยู่ ที่สำคัญคือในการอภิปรายและการประชุมในหลายๆ ครั้ง ผู้บริหารระดับสูง ในกระทรวงก็ยอมรับว่าท่านไม่มีอำนาจสั่งห้ามการไล่เบี้ยได้ เพราะเมื่อกระทรวงต้องนำเงินหลวงออกไปจ่ายให้กับโจทก์ตามคำพิพากษาท่านมีหน้าที่ตั้ง กรรมการสอบเพื่อพิจารณาการ ไล่เบี้ยและรายงานผลให้กระทรวงการคลังที่เป็นเจ้าของเงินที่แท้จริงซึ่งส่วนใหญ่แล้วกระทรวงการคลัง จะดูคำพิพากษาศาลเป็นหลักหากศาลตัดสินว่ามีความผิด การไล่เบี้ยนั้น เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก !!ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านี้คือขณะนี้มีคดีแพ่งที่กระทรวงตกเป็นจำเลยและรอฟังคำตัดสินของศาล อยู่อีกประมาณ ๕๐ คดีคิดเป็นทุนทรัพย์ประมาณ ๓,๐๓๙ ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ ๙กรกฎาคม ๒๕๕๙ กลุ่มกฎหมาย กระทรวงสาธารณสุข) ที่น่าวิตกยิ่งไปกว่านี้คือหากรัฐยอมผ่านพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขจะมีคดีฟ้องร้องเพิ่มขึ้นอีกกี่ร้อยเท่าเพราะเดิมพันตามร่างกฎหมายใหม่นี้เป็นเงินจำนวนหลายล้านบาทต่อการร้องเรียนหนึ่งรายและเมื่อจ่ายเงินไปหลายล้านบาทออกไป กระทรวงการคลัง จะยอมมิให้มีการไล่เบี้ยอย่างที่ผู้ผลักดันกฎหมายออกมาโฆษณาชวนเชื่อ จริงหรือ !?! แนะนำให้อ่านอย่างยิ่งยวด .. โดยเฉพาะ แพทย์พยาบาล ที่ยังรับราชการอยู่ เมื่อแพทย์และพยาบาลต้องล้มละลายเพราะถูกไล่เบี้ย ผศ.นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กรรมการแพทยสมาคม ดาวน์โหลด วารสารเมดิคอลโฟกัส MedicalFocusปีที่ 8 ฉบับที่ 94 ตุลาคม 2559 //www.luckystarmedia.co.th/download/medical_focus_vol_94.pdf ............................... ตัวอย่างคดีที่แพทย์พยาบาลโดนไล่เบี้ย - คดีแรก Drug allergy ศาลเห็นว่าแพทย์กระทำการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจึงมีคำพิพากษาให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องชดใช้สินไหมเป็นเงินจำนวน ๓,๖๘๘,๖๓๐ บาท เมื่อคดีนี้ เข้าสู่คณะกรรมการพิจารณาไล่เบี้ยคำตัดสินที่ได้ออกมาคือแพทย์ต้องควักเงินส่วนตัว เพื่อชำระในอัตรา ๕๐% คิดตกเป็นเงินทั้งสิ้นที่แพทย์ต้องจ่ายคืนให้กับรัฐ๑,๘๔๔,๓๑๕ บาท - คดีที่สอง Compartment syndrome ศาลจึงมีคำพิพากษาถึงที่สุด ต้องชดใช้สินไหมพร้อมค่าเสียหายเป็นเงิน ๔,๒๕๑,๓๗๗ บาท โดยมีการไล่เบี้ยให้แพทย์ต้องชดใช้เงินคืนรัฐจำนวน ๗๐% และพยาบาล ๓ คนอีก ๓๐% - คดีที่สาม Snake bite ศาลจึงตัดสินให้จำเลยมีความผิดและต้องชดใช้เงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท คดีนี้ มีคำสั่งให้ไล่เบี้ยแพทย์คิดเป็น ๖๐% พยาบาล ๔๐% - คดีที่สี่ Extubation ศาลจึงมีคำพิพากษาว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง!! ต้องชดใช้เงินรวมทั้งสิ้น ๕,๑๒๕,๔๑๑ บาท กระทรวงสาธารณสุข ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการไล่เบี้ย มีคำสั่งให้ไล่เบี้ยเป็นจำนวนเงิน ๕๐% ของเงินที่จ่ายไป โดยให้แพทย์รับไป ๗๐% พยาบาล ๒ คน ๓๐% - คดีที่ห้า Pulmonary tuberculosis คำพิพากษาให้จำเลย ที่เป็นกุมารแพทย์มีความผิดฐานประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องจ่ายเงินประมาณ ๓,๘๐๐๐,๐๐๐ บาท โดย: หมอหมู
![]() |
บทความทั้งหมด
|