ทำไม ต้อง " ขาว " .. ทำไม ต้อง " เอาชีวิต สุขภาพ ของเรา " เพื่อให้คนอื่นเขาดู ???






เห็นข่าว เห็นกระทู้ เกี่ยวกับ ความต้องการ ทำให้ " ผิวขาว " เยอะมาก .. ทั้ง ๆ ที่มี ข่าวสารความรู้ เกียวกับ อันตราย ผลเสียต่อสุขภาพ ออกมาเยอะแยะ ..

แต่ก็ยังมี คนที่อยากขาว .. ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ดู "ผิวขาว" ยอมเอาชีวิต ยอมเอาสุขภาพ ของตนเอง (ในอนาคต) ไปเสี่ยง

อาจเป็นเพราะ

สื่อ โฆษณา ....ที่ออกมามากมายให้ดูกันทั้งวันทั้งคืน ... ซึ่งก็ต้องรวมไปถึง คนที่ได้ชื่อว่าเป็น " แพทย์ " ด้วย

ความเจ็บป่วยทางจิตใจ .. ที่ขาดความมั่นคงในจิตใจ ทำให้รู้สึกว่า ต้องทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ คนอื่น ชื่นชม ไม่ว่า จะข้าวของ เสื้อผ้า โทรศัพท์ หน้าตา ฯลฯ


สาว ๆ ที่อยากขาว ... เคยลองคิดหรือเปล่าว่า " ผู้ชาย " ที่ชอบคุณ ที่ความขาว .. ถ้าวันหนึ่ง คุณไม่ขาว .. เขาก็จะไปหาคนอื่น ที่ ขาวกว่า สวยกว่า เด็กกว่า อึ๊มกว่า ฯลฯ ... คุณสาว ๆ ยังกล้าฝากชีวิต ไว้กับผู้ชายพรรณนั้นอีกหรือ


ผมเชื่อว่า คุณสาว ๆ มีอะไร อีกเยอะแยะที่ดีกว่า มีคุณค่ามากกว่า ... ผิวขาว อกโต ...



ก็ลองคิดดูนะครับว่า เรา จะเอาชีวิต เอาสุขภาพของเรา เพียงเพื่อ ให้ ใคร ก็ไม่รู้ ชื่นชม แค่นั้นหรือ ??? แถม เขา ก็ไม่ได้รัก ไม่ได้ชื่นชม คุณจริง ๆ อีกต่างหาก ...

เพราะ ถ้าเขารัก " คุณ " จริง .... เขาก็คงไม่ยอมให้คนที่เขารัก ไปเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้แน่นอน ...




#สารอันตรายในครีมผิวขาว
จากการสำรวจของ สนง. คณะกรรมการอาหารและยา พบว่าผลิตภัณฑ์ฟอกผิวขาวกว่าร้อยละ 25 มีส่วนผสมของสารเคมีอันตราย การใช้ผลิตภัณฑ์อันตรายต่อเนื่องมีผลร้ายต่อสุขภาพในระยะยาว ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ ไม่ชัวร์ ไม่ใช่ และควรเช็คเลขจดแจ้งอย. ก่อนซื้อทุกครั้ง ไม่มีหัวเชื้อหรือครีมเร่งขาวที่ใช้ได้ผลใน 3 วัน 5 วัน
#ปรอท #ไฮโดรควิโนน #กรด #สเตียรอยด์
20.8.2561


เครดิต เพจ วิทย์สนุกรอบตัว
https://www.facebook.com/witsanook/photos/a.327375767415926/1131638176989677/?type=3&theater

แถม..


อาหารเสริม ดีจริงหรือ ??? กินกูลต้าไธโอน ขาวจริงป่ะ ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2008&group=7&gblog=4


บทความเรื่อง : สาร Glutathione สำหรับทำให้ผิวขาวที่กำลังเป็นที่นิยม

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=05-01-2009&group=7&gblog=9

กลูต้าไทโอน ทำให้ผิวขาวจริงหรือไม่.. โดย...สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=17-02-2009&group=7&gblog=16







Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 20 สิงหาคม 2561 15:39:08 น.
Counter : 9722 Pageviews.

9 comments
  
สวัสดีค่ะคุณหมอ ขอบคุณสำหรับบล๊อคสาระความรู้ดีดีอีกหนึ่งบล๊อคค่ะ เรื่องความขาวคงต้องโบ้ยไปที่ค่านิยมจากสื่อค่ะคุณหมอ ลามไปถึงโรลออน และอื่นๆมากมาย ส่วนตัวครั้งนึงเคยไปติดขนตาปลอมมา อาบน้ำล้างหน้าทุกวันยังทรมาณเลย นี่ขนาดเป็นแค่ขนตาค่ะ ยังทรมาณขนาดนี้

ไปๆมาๆขอรบกวนความรู้คุณหมอเรื่องนึงนะคะถ้าคุณหมอไม่รังเกียจ ในเคสของ ไมเคิล แจ๊คสันนี่เค้าทำยังไงกันหรอคะ .. สงสัยมานานแล้วค่ะ ได้ยินแต่ข่าวลือมา อยากรบกวนขอความรู้จากคุณหมอค่ะ

ขอบคุณคุณหมอล่วงหน้าค่า
โดย: xiao ye zi วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:58:20 น.
  
อ่าว ถามเสร็จเพิ่งมาเห็นคำแนะนำคุณหมอว่าไม่แนะนำให้ถามหน้าบล๊อคค่า ฮ่าๆๆ ขอโทษด้วยนะคะ
โดย: xiao ye zi วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:59:49 น.
  
ตั้งกระทู้นี้ ในห้องสวนลุม .. มีผู้สนใจเพียบ .. ว่าง ๆ ก็เชิญนะครับ

ทำไม ต้อง " ขาว " .. ทำไม ต้อง " เอาชีวิต สุขภาพ ของเรา " เพื่อให้คนอื่นเขาดู ???

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L8849756/L8849756.html


มาต่อกันเรื่อง ป้องกัน ไม่ให้ผิวคล้ำ .. ด้วย ครีมกันแดด...


//www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000026676

“ครีมกันแดด” เลือกอย่างไร ใช้อย่างไร

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

25 กุมภาพันธ์ 2553 08:27 น.




ปัจจุบันนี้ แสงแดดในหน้าร้อนทวีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากชั้นโอโซนถูกทำลายด้วยมลภาวะที่มีมากขึ้นทำให้ทุกวันนี้ “ครีมกันแดด” กลายเป็นของจำเป็นในชีวิตประจำวัน ทุกวันนี้ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือเป็นคนที่ใส่ใจสุขภาพผิว ก็มักจะซื้อครีมกันแดดมาใช้ แต่เชื่อแน่ว่ายังคงมีคนรักผิวอีกเป็นจำนวนมาก ยังคงสับสนในข้อมูลรายละเอียด ตลอดจนวิธีดู วิธีเลือก รวมไปถึงวิธีใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

นพ.จิโรจน์ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ไขสารพัดข้อข้องใจในประเด็นนี้ว่า แสงแดดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก แต่ก็มีโทษอยู่ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะสภาพแดดที่ร้อนขึ้นในยุคนี้

“หาก ตากแดดมากๆ ก็ส่งผลเสียได้ ระยะสั้นทำให้ดำลง เกรียมแดด แต่ถ้าตากมากๆ บ่อยๆ สะสมเอาไว้ ก็มีสิทธิเป็นมะเร็งผิวหนัง เวลาเราตากแดดมากๆ เราจะเกรียมแดด ซึ่งเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากรังสียูวีหรืออัลตร้าไวโอเลต ที่ในแสงแดดมีทั้งยูวีชนิดเอและยูวีชนิดบี

ชนิด เอ จะทำให้ผิวคล้ำขึ้นในขณะที่ชนิด บี จะทำให้เกรียมแดด แต่สองชนิดนี้กระตุ้นให้เกิดมะเร็งผิวหนังทั้งคู่โดยจะเสริมฤทธิ์ของกันและกัน

แสงยูวีชนิด บี จะมีช่วงคลื่นอยู่ระหว่าง290-320 นาโนเมตร และชนิดเออยู่ที่ 320-400 นาโนเมตร ชนิด บี จะทำปฏิกิริยากับผิวชั้นตื้น ในขณะที่ชนิด เอ จะยาวและทำลายได้ลึกกว่า ยูวีทั้งสองชนิดนี้จะมาพร้อมกันเป็นแถบเลยเวลาแดดออก”

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน ผิวหนังรายนี้อธิบายต่อไปอีกว่าเมื่อก่อนนี้การศึกษาวิจัยและการพัฒนาการ ผลิตครีมกันแดดนั้นเข้าใจกันว่าเฉพาะรังสียูวีชนิดบีเท่านั้นที่ก่อให้เกิด มะเร็ง และคิดว่ายูวีชนิดเอทำให้ผิวคล้ำลงเท่านั้น ชาวตะวันตกที่มักจะชอบย้อมผิวเป็นสีแทนด้วยการอาบแดดจึงผลิตแต่ครีมกันแดด ที่ป้องกันยูวีชนิดบีเท่านั้น ไม่ได้ผลิตแบบป้องกันชนิดเอเพราะยังนิยมทำผิวแทนในความเชื่อว่ายูวีชนิดเอ ไม่ส่งผลให้เกิดมะเร็ง

“แต่ หลังจากการศึกษาที่พบว่ายูวีชนิด เอ ก็ก่อมะเร็งได้ จึงมีการคิดผลิตครีมกันแดดที่ป้องกันยูวีชนิด เอ ด้วย แต่ก็ใหม่มาก เพิ่งเริ่มมาได้ประมาณสิบปีนี้เอง ดังนั้นในขณะนี้จึงมีทั้งครีมกันแดดที่มีทั้งชนิดที่ป้องกันยูวีบีแต่เพียง อย่างเดียว และมีที่แบบป้องกันได้ทั้งชนิดเอและบีด้วย”

นพ.จิโรจน์กล่าวต่อถึงสิ่งที่หลายคนยังสงสัยคือค่า Sun Protection Factor หรือที่ได้ยินบ่อยๆ ในโฆษณาและหน้าฉลากผลิตภัณฑ์ว่า “ค่าSPF” ว่า ค่านี้คือค่าการปกป้องผิวจากแสงแดด ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งป้องกันแสงได้มากเท่านั้น

“วิธี การหาค่า SPFในห้องปฏิบัติการแบบคร่าวๆ ที่อธิบายง่ายๆ ก็คือ สมมติว่าหากผิวปกติไม่ทาครีมแล้วไปตากแดดประมาณ 50 มิลลิจูน ผิวจะแดง ในการทดลองค่า SPF ของครีมกันแดดนั้นๆ ก็จะนำครีมมาทาผิว แล้วกลับออกไปตากแดดในปริมาณเท่ากัน สมมติว่าคราวนี้ได้ 150 มิลลิจูนถึงจะแดง ก็เอา 150 มาหารผลครั้งแรกคือ 50 ก็จะได้ออกมาเป็นค่า SPF ในกรณีนี้ก็คือค่าเท่ากับ3”

แต่ที่ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนังเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้ก็คือ ตามปกติแล้วการทดลองหาค่า SPF ในห้องปฏิบัติการนั้น จะมีมาตรฐานการทาครีมให้หนาตามกำหนด แต่ในชีวิตจริงๆ ของการใช้ทั่วไปของประชาชนจะทาบางกว่ามาก

“ใน แล็ปจะมีข้อกำหนดให้ทาครีมหนาค่อนข้างมาก คือประมาณ 2 มิลลิกรัม ซึ่งในวิถีประจำวันของคนไม่ได้ทาหนาขนาดนั้น เพราะมันจะขาววอกไปทั้งหน้า เราจะทาแค่พอบางๆ ซึ่งนั่นจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของครีมกันแดดลดลง เช่นถ้า SPF ข้างขวดเขียนไว้ 40 มันคือ 40 ที่การทาหนา 2 มิลลิกรัมบนพื้นผิว เมื่อเราทาบางมันอาจจะเหลือแค่ 10 หรือแค่8 อันนี้ต้องระวัง ทางออกก็คือทาบ่อยๆ ยิ่งเดี๋ยวนี้อากาศร้อน เหงื่อไหลออกมาลบครีม แนะนำว่าควรจะทาครีมกันแดดทุก 3 ชั่วโมง หรือทาเช้า เที่ยง แต่จะดีมากหากได้ทาตอนเย็นด้วย”

นพ.จิโรจน์กล่าว ว่า ในสภาพอากาศและแดดแรงอย่างเมืองไทย ครีมกันแดดถือเป็นผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวที่ค่อนข้างจำเป็น โดยเฉพาะคนที่ต้องตากแดดบ่อยๆ โดย ค่า SPF ที่เหมาะสมที่จะใช้ทั่วไปสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศหรือคนที่ทำงานในร่มและ ต้องออกแดดเป็นบางครั้งอยู่ที่ 20-30 ในขณะที่ SPF สำหรับคนที่มีกิจกรรมกลางแจ้งความจะสูงประมาณ 40-50

“ส่วนวิธีการเลือกซื้อครีมกันแดด ควรซื้อที่มีทั้งการปกป้องผิวจากยูวีเอ และยูวี บี ค่าที่ปกป้องยูวีบีคือ SPF แบบทั่วๆ ไป แต่ค่าปกป้องยูวี เอ จะไม่เหมือนกัน หากเป็นยี่ห้อจากฝั่งอเมริกาจะเขียนว่าค่าPA+ ที่มีค่าสูงสุดจะมีเครื่องหมายบวก 3 อัน ส่วนยี่ห้อจากฝั่งญี่ปุ่นจะมีสัญลักษณ์เป็นรูปดาว โดยสูงที่สุดคือ 4 ดาว ดังนั้นผู้บริโภคควรจะสังเกตและสอบถามผู้ขายให้ดีก่อนซื้อว่าครีมกันแดด ยี่ห้อนั้นๆ ป้องกันผิวได้มากน้อยแค่ไหน และสามารถป้องกันแสงยูวีได้ทั้ง 2 ชนิดหรือไม่” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังทิ้งท้าย


โดย: หมอหมู วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:16:04:59 น.
  


//www.doctor.or.th/node/10266

กลูตาไทโอน...สวยต้องเสี่ยงและสวยเพียงพอ เตือนวัยรุ่นคลั่งขาว ระวังอันตราย

Fri, 01/01/2553 - 00:00 — somsak
ข้อมูลของสื่อ
File Name: 369-010
เล่ม: 369
เดือน-ปี: 01/2010

ปัจจุบันพบบ่อยว่าวัยรุ่นให้ความสำคัญกับการมีรูปร่างหน้า ตาดี การมีผิวพรรณสดใส ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร หากหนทางที่ได้มานั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ เช่น จากการกินอาหารให้ครบหมู่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับพบว่าวัยรุ่นบางส่วนหมกมุ่นอยู่กับการดูแลรูปร่าง หน้าตาตนเอง ความอยากมีผิวขาวใส ยอมทุ่มเททั้งเวลาและเงินทองกับสิ่งภายนอกเหล่านี้ จนบางคนให้เวลากับหน้าที่หลักคือการศึกษาน้อยมาก



ผิวขาวใส... ดีจริงหรือ?

ที่จริงแล้วคนมีผิวขาวน่าจะเรียกว่าเป็นผู้มีโชคไม่ดีนัก เพราะผิวขาวสามารถกลั่นกรองอันตรายจากแสงแดดได้น้อยกว่าคนผิวดำ
ใต้ผิวหนังของเรามีเม็ดสีที่เรียกว่า "เมลานิน" กระจายตัวอยู่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวหนังจากรังสีในแสงแดดตามธรรมชาติ และทำให้สีผิวแตกต่างกันไป

คนผิวขาวนั้นที่จริงน่าจะกล่าวว่าเป็นคนอาภัพ เพราะมีเม็ดสีขนาดเล็ก เวลาที่โดนแสงแดดจัดๆ ทำให้ผิวหนังไหม้แดดได้เร็ว ลองสังเกตดูคนต่างชาติที่มีผิวขาว พบว่าจะมีผิวตกกระ ผิวเหี่ยวแก่เร็วกว่า และยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังสูงกว่าพวกเราคนไทยที่มีผิวเหลืองหรือ ผิวที่คล้ำกว่า และนับวันโลกเราจะได้รับอันตรายจากแสงแดดมากขึ้น เพราะชั้นโอโซนถูกทำลายให้บางลงจนเกิดภาวะโลกร้อนไปทั่ว เคยมีคนทำนายว่าหลายๆ พันปีต่อนี้ไป พื้นโลกจะได้รับรังสีมากขึ้นเรื่อยๆ คนผิวดำจะเป็นเพียงเผ่าพันธุ์สุดท้ายที่ยังเหลือชีวิตรอดอยู่ได้

แสงแดดมีผลเสียต่อผิวหนัง โดยผลเสียที่เกิดขึ้นทันที คือทำให้โรคผิวหนังมากกว่า 40 ชนิดกำเริบ เช่น ผิวไหม้แดด ผิวคล้ำลง โรคเอสแอลอี (SLE) ที่มีอาการปวดข้อและมีผื่นแดงรูปปีกผีเสื้อที่แก้ม สิวบางชนิดกำเริบเมื่อโดนแดด เริม ฝ้า-กระเข้มขึ้น โรคผิวด่างแดด โรคพอร์ไฟเรีย (porphyria) ที่มีอาการปวดท้อง ผิวไหม้แดดเป็นแผลและตุ่มน้ำ เชื่อว่าแดร็กคิวล่าและแวมไพร์น่าจะเป็นโรคนี้

ส่วนผลเสียของแสงแดดที่สะสมระยะยาว ได้แก่ ผิวเหี่ยวแก่ เนื้องอกขั้นก่อนเป็นมะเร็ง และมะเร็งผิวหนัง


สมาคมโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริการะบุว่า คนอเมริกัน (รวมทุกสีผิว) 1 ใน 5 คนมีโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนัง แต่ถ้าดูเฉพาะคนผิวขาวโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังสูงถึง 1 ใน 3 คน

ส่วนคนไทยก็พบมะเร็งผิวหนังบ่อยขึ้น เนื่องจากมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น มีกิจกรรมกลางแดด มีการตรวจและให้ความสำคัญกับมะเร็งผิวหนังมากขึ้น และยังมีการใช้ยาและเทคนิคทำให้ผิวขาวกันมากขึ้น โดยละเลยการเลี่ยงแสงแดดจัด



กระแสคลั่งสวย คลั่งผิวขาว... อันตรายต่อสุขภาพทั้งกายและใจ

ปัจจุบัน มีกระแสวัยรุ่นไทยอยากมีผิวขาวใส มีการใช้ผลิตภัณฑ์และเทคนิคต่างๆ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายได้ จนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องออกมาเตือนอยู่เสมอ

ที่จริงแล้วค่านิยมอยากมีผิวขาวนั้นไม่เหมาะ สมสำหรับคนไทยที่อยู่ในภูมิประเทศที่มีแสงแดดจัดทั้งปี คนไทยเรานับว่าเป็นชาติพันธุ์ที่มีผิวสวย และเหมาะสมกับการดำรงชีวิตอยู่แล้ว จึงพบเสมอว่าเวลาคนไทยอายุเกิน 30 ปีจะเข้าบาร์ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในต่างประเทศ มักจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า เพราะใบหน้าดูเด็กกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของฝรั่ง

กระแสคลั่งอยากมีผิวขาวนั้นส่วนหนึ่งน่าจะเป็นจากค่านิยมที่จะต้องเป็นเจ้าคนนายคน ต้องนั่งทำงานในห้องแอร์ และการตีความสำนวนไทย "คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ" ผิดพลาด โดยเข้าใจว่าเน้นที่หน้าตา ทั้งที่ความหมายจริงนั้นเน้นจิตใจมากกว่า

ส่วนหนึ่งมาจากกระแสคลั่งดาราเกาหลี และอีกส่วนหนึ่งมาจากการโหมโฆษณาเครื่องสำอางทำให้ผิวขาวที่มีงบโฆษณาสูงมาก

บริษัทเครื่องสำอางจึงควรแสดงความรับผิดชอบโดยการพิมพ์ผลเสียของแสงแดดไว้ที่กล่องบรรจุว่า "ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวอาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง และทำให้ผิวเหี่ยวแก่เร็ว" เช่นเดียวกับที่ซองบุหรี่มีคำเตือนว่า "การสูบบุหรี่อาจทำให้เป็นมะเร็งปอด และทำให้แก่เร็ว"

วัยรุ่นที่หมกหมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องความสวยความหล่อ บางคนกังวลเรื่องผมบาง ขนดก รูขุมขนโต ผิวไม่ขาว... เหล่านี้ถ้ามากเกินไปอาจเข้าข่ายความผิดปกติทางจิตใจที่เรียกว่า body dysmorphic disorder (BDD หรือ "บีดีดี")

นอกจากนั้น การตกแต่งร่างกายแบบถาวร เช่น การสัก การเจาะ การใส่ห่วง การฝังหมุด การผ่าลิ้น ๒ แฉก ก็อาจเข้าข่ายความเจ็บป่วยทางจิตชนิดนี้เช่นกัน บางคนเสพติดศัลยกรรมจนใบหน้าเสียโฉม ในรายที่สงสัยความเจ็บป่วยทางจิตชนิดนี้ ผู้ปกครองควรพาวัยรุ่นไปปรึกษาจิตแพทย์ เพราะที่น่าเป็นห่วงคือพบอาการซึมเศร้ารุนแรงของผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้บ่อย และมีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายสูง

โรค "บีดีดี" นี้ถ้าพบในผู้ใหญ่อาจแสดงอาการออกมาในรูปความกลัวความแก่อย่างสุดๆ ที่ภาษาหมอเรียกว่า กลุ่มอาการโดเรียน เกรย์ (Dorian Gray syndrome) โรคนี้ตั้งชื่อตามชื่อของตัวละครในนวนิยาย "ภาพวาดโดเรียน เกรย์" (The Picture of Dorian Gray) แต่งโดย Oscar Wilde ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มรูปงามนามเพราะว่าโดเรียน เกรย์ ซึ่งหลงใหลกับรูปลักษณ์ของตนเอง จนไม่อยากสูญเสียมันไป และยินดีแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคงความอมตะของตนเองไว้

โรค "บีดีดี" พบบ่อยขึ้นทั้งในไทยและทั่วโลก น่าจะมาจากค่านิยมที่เปลี่ยนมาเน้นความงามความขาว เชื่อว่าดาราและหนุ่มสาวเกาหลีหลายคนที่ฆ่าตัวตาย ส่วนหนึ่งอาจเป็นโรค "บีดีดี" ร่วมด้วย

แม้แต่ราชาเพลงป๊อปที่ล่วงลับเมื่อปีที่ผ่านมาก็ น่าจะเข้าข่ายเป็นโรค "บีดีดี" ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าไมเคิล แจ็คสันเป็นโรค "บีดีดี" ชนิด "โดเรียน เกรย์" ชัดเจน และถึงจะเป็นโรคนี้จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำลายอัจฉริยภาพทางดนตรีและการแสดงของเขา

เชื่อกันว่ามีคนอเมริกันถึง 9 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรค "บีดีดี" เช่นเดียวกับราชาเพลงป๊อปผู้นี้

ผู้ป่วยโรค "บีดีดี" นี้จะไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง พบว่าร้อยละ 75 ของผู้ป่วย "บีดีดี" จะไปพบแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง หรือแพทย์ผิวหนัง เพื่อแก้ไขให้รูปลักษณ์ของตัวเองเป็นดังฝัน ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยจำนวนไม่น้อยที่น่าจะเข้าข่ายเป็นโรค "บีดีดี" และยังพบผู้ใหญ่ของไทยหลายรายที่น่าจะเป็นโรค "โดเรียน เกรย์"



กลูตาไทโอนที่ใช้ทำให้ผิวขาว... เป็นสารอันตรายหรือไม่?

กลูตาไทโอน (glutathione) เป็น tripeptides ของกรดอะมิโน 3 ตัว คือ ซิสทีน (cysteine) กรดกลูตามิก (glutamic acid) และไกลซีน (glycine) ปกติร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ และยังได้จากอาหารหลายอย่าง เช่น โปรตีน นม ไข่ ผลอะโวคาโด สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอกโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม

หน้าที่หลักของกลูตาไทโอนมีอยู่ 3 ประการคือ ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย และขจัดสารพิษ

กลูตาไทโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยในแง่ชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพราะอนุมูลอิสระจะวิ่งสะเปะสะปะไปชนเซลล์ต่างๆ ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสื่อมสภาพ มีผลในแง่เสริมภูมิต้านทานและยังช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

กำลังมีงานวิจัยที่จะนำสารกลูตาไทโอนตัวนี้มารักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้ออักเสบ โรคพาร์กินสัน (ที่มีอาการมือสั่น ควบคุมการทรงตัวลำบาก) โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ ภาวะเป็นหมันในเพศชาย และภาวะหูตึงจากเสียงดัง ยังไม่แนะนำให้สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรรับสารตัวนี้โดยไม่ปรึกษาแพทย์

สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลว่า ปัญหาของกลูตาไทโอนที่ควรระวังคือ การฉีดยาตัวนี้เข้าหลอดเลือดดำมีโอกาสแพ้ได้ มีรายงานในต่างประเทศว่าผู้ที่ได้รับการฉีดกลูตาไทโอนขนาดสูงที่ใช้กันอยู่ มีอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก จนถึงขั้นเสียชีวิต และการฉีดนั้นมักให้วิตามินซีในขนาดสูงร่วมด้วย ซึ่งการฉีดวิตามินซีขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึนศีรษะคล้าย จะเป็นลมได้

พบว่าการได้รับสารกลูตาไทโอนเป็นเวลานานๆ ทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลงเสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต จึงจัดว่าเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา และการใช้สารกลูตาไทโอนในผู้ป่วยมะเร็งทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาทางเคมีลดลง



บัญญัติ 10 ประการเพื่อผิวสวยอย่างพอเพียง

ข้อที่ 1 ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน

เวลาล้างหน้าให้ล้างเบาๆ แล้วซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาด อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าแรงๆ เพราะจะทำให้สิวอักเสบมากขึ้น ไม่ควรใช้แปรง ฟองน้ำ สบู่ยา หรือสบู่ที่ผสมเม็ดขัดถูใบหน้า เพราะทำให้ใบหน้าระคายเคือง กระตุ้นให้สิวกำเริบ


ข้อที่ ๒ หากเป็นสิวน้อย อาจทายาเองได้

ผู้มีปัญหาสิวเพียงเล็กน้อย เช่น สิวหัวดำ หัวขาว หรือสิวอักเสบเพียง 1-2 เม็ด อาจหาซื้อยามาทาเองได้ แต่ต้องอ่านฉลากยาให้เข้าใจวิธีใช้โดยละเอียดเสียก่อน ถ้าใช้ครีมทารักษาสิวแล้วเกิดอาการผิวแห้งหรือระคายเคือง ควรปรึกษาแพทย์

ต้องระวังยาที่โฆษณาว่ารักษาได้ทั้งสิวและฝ้า เพราะยาพวกนี้มักผสมสตีรอยด์ ซึ่งอาจทำให้สิวยุบเร็วจริง แต่มีข้อแทรกซ้อนตามมามากมาย กรณีที่เป็นสิวอักเสบมากจัดเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ ยารักษาสิวบางตัวทั้งในรูปยากินยาทาทำให้ทารกในครรภ์พิการได้


ข้อที่ 3 พิจารณาให้ดีก่อนใช้เครื่องสำอาง

ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีผลต่อการทำงานของผิวหนัง ต้องไม่มีสารสตีรอยด์เจือปน ควรเลือกใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นที่ไม่มีส่วนประกอบที่เป็นสารเคมีกระตุ้นให้เกิดสิว เครื่องสำอางที่มีราคาแพงที่สุดอาจไม่ใช่เครื่องสำอางที่ดีที่สุด


ข้อที่ 4 ไม่แนะนำให้บีบแกะสิวออกด้วยตัวเอง

การบีบแกะสิวออกด้วยตัวเองจะทำให้เกิดการอักเสบลุกลามและเกิดแผลเป็นได้มาก แพทย์อาจกดสิวอุดตันหัวดำออกให้ในกรณีที่จำเป็น

ส่วนสิวที่อักเสบหรือสิวหัวช้างนั้น การฉีดยาสตีรอยด์เข้าไปในสิวอาจทำให้สิวยุบลงรวดเร็ว เหมาะสำหรับกรณีเร่งด่วน เช่น จะเข้าพิธีแต่งงานหรือจะรับปริญญาในอีก 2-3 วัน แต่วิธีนี้อาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมาได้


ข้อที่ 5 หลีกไกลรอยย่นโดยขจัดสาเหตุต้นตอ

รอยเหี่ยวย่นบนผิวหน้าแบ่งเป็น 3 ชนิดหลัก คือ รอยเหี่ยวจากอารมณ์ รอยเหี่ยวจากแสงแดด และรอยเหี่ยวแห้ง ผู้ที่มีแต่ความเครียดชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหรือเลิกหน้าผาก จะเกิดร่องย่นได้ตามหัวคิ้วและหน้าผาก

ครีมบำรุงผิวที่อ้างว่าลบรอยเหี่ยวต่างๆ จึงไม่เป็นจริง เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้ออกฤทธิ์เพียงแค่ผิวชั้นนอกสุดคือชั้นขี้ไคล แต่ส่วนที่เสียไปคือส่วนชั้นหนังแท้

การป้องกันรอยย่น 3 แบบนี้คือ การมีอารมณ์แจ่มใส อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นจากอารมณ์ หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดเพื่อป้องกันรอยเหี่ยวย่นจากแสงแดด และการใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นทาในกรณีของรอยเหี่ยวแห้ง


ข้อที่ 6 รักษาฝ้าและกระโดยเลี่ยงแดด

ยังไม่มีวิธีใดที่รักษาฝ้าและกระให้หายขาดและไม่เกิดขึ้นใหม่ได้อีก จึงไม่ควรเสียเงินและเวลาให้กับการรักษาฝ้าและกระจนเกินไป ในต่างประเทศถือว่ากระเป็นเสน่ห์ของใบหน้า

หนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันและรักษาฝ้าและกระคือ หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 08.00-17.00 น. เพราะรังสีในแสงแดดนอกจากทำให้ฝ้าและกระเข้มขึ้น ยังทำให้ผิวเหี่ยวแก่ เกิดมะเร็งผิวหนังได้


ข้อที่ 7 พักผ่อนให้เพียงพอ

การทำงานหนักโดยไม่พักผ่อนเลย หรือเอาแต่เล่นโดยไม่ทำงานให้เป็นแก่นสาร ต่างมีผลเสียต่อสุขภาพ การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายอ่อนแอก่อผลเสียต่อผิวได้

การพักผ่อนให้เพียงพอคือ นอนหลับวันละไม่ต่ำกว่า 6-8 ชั่วโมง กินอาหารให้ครบหมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ นอกจากนั้นต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีอาหารเสริม วิตามิน และกรรมวิธีมหัศจรรย์ตัวใดที่ทำให้ผิวสวยได้ หากไม่ปฏิบัติตามกติกาอนามัยพื้นฐานเหล่านี้


ข้อที่ 8 งดสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ทำให้แก่เร็ว เพราะนิโคตินในบุหรี่ทำให้การไหลเวียนของเลือดช้าลง ทำให้ผิวบาง ผิวหย่อนยานและผิวแห้ง ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ง่ายขึ้น เวลาเกิดแผล แผลจะหายช้า

การสูบบุหรี่ทำอันตรายต่อผิวหนังได้รุนแรงพอๆ กับการโดนแสงแดดเผา การเที่ยวกลางคืนบ่อยๆ อาจทำให้ผิวเสียได้ เนื่องจากสถานบันเทิงมักอบอวลไปด้วยควันบุหรี่ สารพิษในบุหรี่ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย

สังเกตได้ว่ารอบๆ หางตาของผู้ที่สูบบุหรี่หรือของผู้ที่อยู่ในแวดวงดงควันบุหรี่ มักปรากฏริ้วรอยที่เรียกว่า "รอยตีนกา" ตั้งแต่อายุยังน้อย รอบๆ มุมปากก็อาจเกิดรอยย่นเป็นร่องลึกสั้นๆ ตั้งฉากกับริมฝีปาก ผิวพรรณก็จะเป็นสีเหลืองหม่นหรือหมองคล้ำไม่สดใส


ข้อที่ 9 เลิกดื่มแอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์ มีผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้เป็นโรคตับ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน หัวใจเต้นผิดปกติ หลอดเลือดในสมองแตก ทารกในครรภ์พิการ มะเร็งเต้านม กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาจเกิดอุบัติเหตุเมื่อขับรถ

นอกจากผลเสียต่อสุขภาพกายทั่วไปแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพผิวพรรณทำให้เปลือกตาบวม ผู้ที่ดื่มจัดร่างกายจะขาดวิตามินบี ซึ่งผิวหนังต้องอาศัยวิตามินบีจึงจะมีสุขภาพผิวที่ดี การขาดวิตามินบีทำให้ผิวพรรณซีด เหี่ยว แห้ง หย่อนยาน

นอกจากนั้นโรคสะเก็ดเงินซึ่งมักมีอาการเป็นปื้นนูนแดงมีสะเก็ดสีเงินปกคลุม พบบ่อยที่ข้อศอก หัวเข่า ลำตัว และแนวไรผม จะมีอาการกำเริบรุนแรงเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จนเมามักไม่ได้ทำความสะอาดใบหน้าก่อนนอน ทำให้เกิดผื่นแพ้เครื่องสำอาง และสิวได้ง่าย


ข้อที่ 10 อยากมีผิวสวยต้องไม่เครียด

อารมณ์กับสุขภาพ ถือเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันแนบแน่น ความเครียดทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นลมพิษ ผมร่วง เริมกำเริบ เหงื่อออกมากจนมีกลิ่นตัว หรือสิวกำเริบขึ้นได้ บางรายเวลาเครียดมากจะแกะสิวเล่น ทำให้ใบหน้าเกิดแผลเป็น และยิ่งเครียดเพิ่มขึ้นอีก

วิธีหลีกเลี่ยงความเครียดมีหลายวิธี เช่น ออกกำลังกาย ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา การนั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การนวด และการมีอารมณ์ขันมองโลกในแง่ดี คิดดี ทำดี เมื่อความเครียดลดลงแล้ว สุขภาพผิวจะดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน



* คอลัมน์: เรื่องเด่นจากปก
* Keyword: โรคบีดีดี, กลูตาไทโอน
* หมวดหมู่: ดูแลสุขภาพ, สุขภาพพอเพียง, คู่มือดูแลสุขภาพ, (พฤติกรรม) อันตราย
* นักเขียนหมอชาวบ้าน: นพ.ประวิตร พิศาลบุตร

โดย: หมอหมู วันที่: 10 มีนาคม 2553 เวลา:13:07:53 น.
  

//www.thairath.co.th/content/edu/177723

Thairath

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2554

June 9, 2011, 10:14pm


อย.ทลายเว็บขายยาฉีดหน้าขาว เตือนอันตรายถึงตาย




อย.ร่วมกับตำรวจ ปอท. ล่อซื้อ “กลูตาไธโอน” อ้างฉีดให้หน้าขาว เปิดขายโจ๋งครึ่มผ่านเว็บไซต์ ยึดของกลางได้กว่า 8 แสนบาท เตือนอันตรายถึงชีวิต...

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 9 มิ.ย. ที่ศูนย์ราชการ ถ.แจงวัฒนะ นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)พร้อมด้วย ภก.ไพศาล ปวงนิยม ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แถลงข่าวการสืบสวนจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย โดยเฉพาะ กลูตาไธโอนซึ่งเป็นยาฉีดทำให้ผิวขาว ว่า อย.ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีให้ตรวจสอบเว็บไซต์ชื่อ //www.whitefairyskin.com

โดยระบุว่าเว็บไซต์ดังกล่าวมีการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่คาดว่าน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายหลายรายการ อย.จึงได้ประสานกับตำรวจกองบังคับการปราบปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตรวจสอบเว็บไซต์ //www.whitefairyskin.com

นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายตามที่มีผู้แจ้งเข้ามาจริง โดยมีการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขออนุญาตหลายรายการ เช่น ยาฉีดกลูตาไธโอน ฉีดสำหรับผิวขาว กลูต้าผสมวิตามินซี กลูต้าเข้มข้น โบท็อกซ์ ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก อาหารเสริม จำพวก วิตามินซี อาหารเสริมประเภทต่างๆ

โดยโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง และจำหน่ายในราคาสูง โดยในเว็บไซต์ดังกล่าว ได้มีการแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ 089-012-0122 สำหรับการติดต่อและสั่งซื้อไว้ด้วย ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่า เบอร์โทรศัพท์ดังกล่าว เป็นของ นายธนะโรจน์ อิทธิมงคลวัฒน์ ซึ่งแจ้งที่อยู่ของการจดโดเมน (Domain) เว็บไซต์ไว้ที่ บ้านเลขที่ 54/174 หมู่ 2 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120

นอกจากนี้ยังมีการระบุหมายเลขของบัญชีธนาคารและที่อยู่ที่สามารถติดต่อกลับได้ทั้งทางอีเมล์ และการติดต่อผ่านทางเว็บไซต์ เลขาธิการอย. กล่าวอีกว่า ภายหลังจากได้ข้อมูลดังกล่าว ในวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมาได้ประสานกับตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)ทำการล่อซื้อยาฉีดกลูต้าที่จำหน่ายทางเว็บไซต์ ซึ่งมีการตอบกลับรับการสั่งสินค้าทางเว็บไซต์ โดยผู้ล่อซื้อได้โอนเงินให้ 4,500 บาท และนัดส่งสินค้าที่หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาลาดพร้าว เมื่อถึงเวลานัดหมาย เจ้าหน้าที่ อย.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปรับของตามที่นัดไว้ จากนั้นจึงแสดงตัวเข้าจับกุมผู้ที่นำสินค้ามาส่ง

นพ.พิพัฒน์ กล่าวอีกว่า จากการจับกุม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า รับสินค้ามาจากคอนโดย่านลาดพร้าว จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปอท. ไปตรวจสอบอพาร์ทเม้นท์ เลขที่ 1108 ชื่อ เอส วี เพลส เรสซิเดนท์ ตั้งอยู่ที่ ซ.ลาดพร้าว 64 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ พบเจ้าของห้องที่เก็บสินค้า คือ นายปรวัฒน์ วงศ์วาณิชยานุกูล

จากการตรวจสอบภายในห้องพบ ยาฉีดกลูตาไธโอนผสมวิตามินซีหลายยี่ห้อจากประเทศต่างๆ ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ อย. รวมทั้งพบครีมรกแกะพลาเซนต้า ยาฉีดคอลลาเจน วิตามินบีคอมเพล็กซ์ และวิตามินซี รวมทั้ง แผ่นพับโฆษณาผลิตภัณฑ์ บัญชีการซื้อขาย รวมของกลาง 15 รายการ จำนวน 60 กล่อง มูลค่าของกลางที่ยึดได้กว่า 800,000 บาท

จากนั้นในวันเดียวกันได้ขยายผล จับกุมนายธนะโรจน์ อิทธิมงคลวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้เปิดเว็บไซต์จำหน่ายสินค้าดังกล่าว บริเวณถนนรามอินทรา เขตบางเขน ซึ่งนายธนะโรจน์ รับสารภาพว่าเป็นผู้เปิดเว็บไซต์ โดยรับการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าทางเว็บไซต์ และสั่งสินค้าจากเอเยนต์รายใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ขยายผล เพื่อจับกุมเอเยนต์ใหญ่รายต่อไป

เลขาธิการอย. กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินคดี อย.ได้แจ้งข้อหาดำเนินคดีผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ในข้อหาจำหน่ายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท (มาตรา 12) จำหน่ายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 72 (4)) และโฆษณาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท (มาตรา 88 ทวิ(2) )

นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า ขอเตือนไปยังเจ้าของเว็บไซต์ทุกราย และคลินิกสถานเสริมความงามทุกแห่ง หรือแหล่งใดๆ ที่โฆษณาฉีดสารกลูตาไธโอน พร้อมการขายยา หรืออาหารเสริม อวดสรรพคุณทำให้ผิวขาว อย่าได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายผลิตภัณฑ์สุขภาพ หากเป็นเว็บไซต์ จะประสานไปยังกระทรวงไอซีที ดำเนินการตรวจสอบและสั่งปิดเว็บไซต์ พร้อมดำเนินคดีต่อเจ้าของเว็บไซต์ และเจ้าของคลินิกสถานเสริมความงาม หรือบุคคลใดๆ ก็ตาม อย่างเคร่งครัดมีโทษทั้งจำและปรับ ที่สำคัญ ผู้ประกอบการควรมีคุณธรรม จริยธรรม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม

โดยได้สั่งให้ อย. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ตรวจสอบแหล่งที่คาดว่ากระทำผิดกฎหมายอย่างใกล้ชิดด้านภก.ไพศาล ปวงนิยม ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า อันตรายจากสารกลูตาไธโอน (Glutathione) ผู้ใช้อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย โดยทำให้ผิวหนังแดง ความดันโลหิตต่ำ หอบหืดเฉียบพลัน อาจเกิด anaphylactic reaction ซึ่งเป็นอาการแพ้ที่รุนแรง ทำให้ตัวบวม หลอดลมตีบ หายใจติดขัด หากรักษาไม่ทัน อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ จึงขอเตือนประชาชนอย่าได้หลงเชื่อการโฆษณาผ่านทางเว็บไซด์ หรือตามคลินิกสถานเสริมความงามต่างๆ ที่โฆษณาการฉีดสารกลูตาไธโอน อวดอ้างสรรพคุณทำให้ผิวขาวใส เพราะเป็นการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง เนื่องจากเป็นการนำสารกลูตาไธโอนมาใช้ในทางที่ผิด เพราะสารกลูตาไธโอนไม่ได้มีข้อบ่งชี้ในการช่วยทำให้ผิวขาวใสขึ้นแต่อย่างใด มีเพียงประโยชน์ที่อาจนำมาใช้ในทางการแพทย์ตามที่ระบุในเอกสารวิชาการคือ การรักษาพิษจากยาพาราเซตามอล โดยใช้เบื้องต้นสำหรับรักษาโรคมะเร็งบางชนิด และขณะนี้ อย. ไม่ได้มีการรับขึ้นทะเบียนตำรับยาที่ใช้สารนี้แต่อย่างใด

ดังนั้น ผู้ที่หลงเชื่อรับการฉีดสารกลูตาไธโอนเข้าร่างกาย อาจเกิดปฏิกิริยา ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย จนอาจถึงแก่ชีวิตได้ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หากประชาชนพบเห็นเว็บไซต์หรือการกระทำผิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการขายหรือการโฆษณาที่เข้าข่ายอาจจะเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค โอ้อวดสรรพคุณเกินจริงผ่านทางสื่อต่างๆ ขอให้แจ้งเบาะแสมาได้ที่ สายด่วน อย. 1556 อีเมล์ 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือ ร้องเรียนได้ด้วยตัวเองที่ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย. อาคาร 1 ชั้น 1 ทุกวันเวลาราชการ หรือที่ บก.ปคบ. ตู้ปณ. 459 ปณศ. สามเสนใน พญาไท กทม. 10400

ไทยรัฐออนไลน์

โดย ทีมข่าวการศึกษา
9 มิถุนายน 2554, 13:40 น.

โดย: หมอหมู วันที่: 9 มิถุนายน 2554 เวลา:23:09:33 น.
  
//www.tja.or.th/cyberreporter/detail.php?content=1195

ความสวยที่มาพร้อมกับความตาย แพทย์เตือน ฉีดผิวขาวเสี่ยง

ผู้รายงานข่าว ธงไทย ระวังวงศ์ (ม.รามคำแหง) , วันที่ 19 สิงหาคม 2555 ,


ฉีด-กิน กลูตาไธโอน ทำผิวขาวใส นวลเนียน คนเคยใช้สารขาวรับมีผลข้างเคียง แพทย์เตือนเสี่ยงอันตราย


ข้อความคำโฆษณาที่ปรากฎบนเว็ปไซต์และใบปลิว เช่น “ อยากผิวสวยเหมือนดารา กลูตาไธโอน ช่วยคุณได้” หรือ “ ผิวขาวสวยทั่วเรือนร่าง เห็นผลทันตาใน 3 วันด้วยกลูตาไธโอนแบบฉีด” เป็นการอวดอ้างสรรพคุณของสารกลูตาไธโอนหรือที่วัยรุ่นเรียกว่าสารขาว ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้ผิวขาวนวลผ่องเป็นยองใยเหมือนดารา ซึ่งสารชนิดนี้ถูกคิดค้นเพื่อใช้รักษาโรคมะเร็งตับ

เมื่อไม่นานกลูตาไธโอนตกเป็นข่าวใหญ่ จากกรณีคลินิกเสริมความงามชื่อดังหลายแห่งนำสารนี้มาใช้และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกประกาศเตือนว่า ยังไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียน พร้อมทั้งให้ข้อมูลว่าการฉีดสารดังกล่าวถือว่าเสี่ยงอันตรายมาก อาจทำให้เกิดการแพ้ยาถึงขั้นช็อกและเสียชีวิต และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วย แต่ปรากฎว่ายังคงมีการโฆษณาและใช้สารนี้เช่นเดิม

นางสาวภัทรา มาโนรส นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงและอดีตพนักงานเชียร์เบียร์ กล่าวยอมรับว่าการกินยาที่ทำให้ผิวขาวมีกระแสมานานแล้ว แต่จะรู้จักกันในชื่อของสารขาว ช่วงที่มีความนิยมพุ่งสูงราคายาอยู่ที่ 2,000 บาทต่อกล่อง จากนั้นก็ลดลงเป็นลำดับ จนถึงขณะนี้ราคาลดลงเหลือประมาณ 1,200 บาทต่อกล่อง เพราะส่วนใหญ่คนที่กินยาชนิดนี้จะเป็นเพศที่ 3 ส่วนผู้หญิงมีบ้างแต่ไม่มากนัก เท่าที่ทราบเป็นที่นิยมในกลุ่มเด็กนักเรียน นักศึกษา พริตตี้ และวัยทำงาน

" กินยาทำให้ผิวขาวมาได้ 3 สัปดาห์แล้ว โดยยาที่ซื้อมากินจะมี 60 เม็ด กินวันละ 2 เม็ด เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น ก็ลดเหลือกินวันละ 1 เม็ด ก่อนจะกินยาจะศึกษาหาข้อมูลและรายละเอียดของยา จากบูธที่ขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป "นางสาวภัทรากล่าว

นางสาวภัทรา กล่าวต่อว่ายาที่ทานมาแล้ว 3 สัปดาห์นั้น ตอนนี้ยังไม่เห็นผล เพราะยากินจะเห็นผลช้า เนื่องจากตัวยามีส่วนผสมที่ไม่ออกฤทธิ์แรงมากนัก ต้องใช้เวลาประมาณ 3เดือน จะมากกว่าหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ส่วนผลกระทบข้างเคียงจากการกินยากก็มี เช่นทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เลือดแข็งตัวและเม็ดเลือดทำงานไม่ปกติ แต่ส่วนตัวคิดว่ายาทุกชนิดที่กิน ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ไข้ ยาแก้ปวดหัว ยารักษาสิว หรืออาหารเสริมต่างๆก็มีผลข้างเคียงทั้งสิ้น จึงไม่น่ากังวลมากนัก แต่จะพยายามหาข้อมูลก่อนกินยาด้วย

ในขณะที่นายณัฐพล แก้วมณีนักศึกษามหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิตและพริตตี้บอย เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยลองฉีดยาเพื่อให้ผิวขาวขึ้น ยอมรับว่าได้รับคำแนะนำจากเพื่อนสาวประเภทสอง ฉีดครั้งแรกตอนเรียนปี 1 มีการฉีดบ้างหยุดบ้างแล้วแต่เวลาและโอกาส จนกระทั่งอยู่ปี 4 ได้หยุดฉีดหันมากินวิตามินเสริมแทน

นายณัฐพล กล่าวต่อว่า ยาที่ใช้นั้นซื้อยามาแล้วนำไปให้คลินิกฉีดให้ แต่ไม่ใช่ทุกคลินิกที่จะฉีดให้ ฉีดครั้งหนึ่งต้องจ่ายค่าเข็ม 40 บาท ยาที่ซื้อมาจากร้านขายยาหน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ส่วนผลหลังการฉีดผิวจะเนียน ละเอียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและขาวขึ้นแต่ไม่ชัดมาก แต่จะขาวขึ้นเรื่อยๆ หลังจากฉีดเข็มต่อไป ส่วนผลข้างเคียงของการฉีดยาคิดว่ามีผลน้อยกว่าการกินยา แต่การกินยาจะเห็นผลต้องกินเป็นเวลานาน หากกินปริมาณมากจำทำให้มีสารสะสมในร่างกาย ส่วนการฉีดยาหากใช้ปริมาณที่เหมาะสมจะไม่มีผลอะไร



ทางด้านรศ.นพ.นภดล นพคุณ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่าสารกลูตาไธโอนหรือที่คนทั่วไปเรียกว่า สารขาวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี สารชนิดนี้เป็นสารที่ยับยั้งการทำงานของเม็ดสี ทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนไป

รศ.นพ.นภดล กล่าวว่ต่อา นอกจากการฉีดยาแล้ว ยังมีในรูปแบบของอาหารเสริมซึ่งจะมีสารกลูตาไธโอนอยู่ในปริมาณน้อย ทำให้ไม่ค่อยได้ผลหรือได้ผลน้อยและไม่มีผลข้างเคียงมากนัก

สำหรับการฉีดเข้าเส้นเพื่อให้ผิวขาวก็เป็นการทำที่ไม่ถาวรเป็นเพียงเปลี่ยนการสร้างเม็ดสีเท่านั้น และอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ส่วนใหญ่จะมีการนำสารกลูตาไธโอนมาใช้ในคลินิก ซึ่งเป็นอันตราย ถ้าฉีดแล้วทำให้เกิดอาการแพ้ หรือถ้ารุนแรงกว่านั้น ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้

“การฉีดนั้น นอกจากจะไม่เกิดผลดีต่อร่างกายแล้ว ยังต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ การมีผิวคล้ำใช่ว่าจะมีผลเสียเสมอไป แต่กลับมีผลดีด้วยซ้ำ เพราะสามารถป้องกันแสงยูวีได้ ที่สำคัญคนผิวคล้ำเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังน้อยกว่าคนผิวขาว” รศ.นพ.นภดล กล่าว

โดย: หมอหมู วันที่: 23 สิงหาคม 2555 เวลา:15:32:55 น.
  


หนังสือ เคล็ด(ไม่)ลับ การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย่างรู้เท่าทันโฆษณา ( หนังสือ pdf แจกฟรี)

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2012&group=7&gblog=160


หนังสือ ทุกข์ล้นเหลือ เหยื่อโฆษณา ............ของดี ฟรีด้วย โหลดอ่านกันได้เลยครับ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=26-10-2012&group=7&gblog=163


ทำไม ต้อง " ขาว " .. ทำไม ต้อง " เอาชีวิต สุขภาพ ของเรา " เพื่อให้คนอื่นเขาดู ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=05-02-2010&group=7&gblog=49
โดย: หมอหมู วันที่: 17 มกราคม 2556 เวลา:15:45:04 น.
  
จากเฟส บันทึกหมอโหด
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=646253605445333&set=a.449146728489356.98098.448465111890851&type=1&theater


ความจริงของกลูต้า ... ในวันนี้ (อนาคตยังไม่รู้)

กลูต้าไธโอน เป็นยา (อาหารเสริม) ตัวนึงที่ผมอยากจะบอกตรงๆว่า เป็นอะไรที่พูดยากนะ

เพราะข้อมูลตามตำราและการวิจัย ยังอยู่แถวๆเกรย์โซน นั่นคือ

บางแหล่งบอกว่า กลูต้ากินเข้าไปแล้ว ถูกย่อยไปเสียเกือบหมด ไม่มีประโยชน์ที่จะกินเข้าไป ต้องฉีดเท่านั้น

แต่ไปดูบางแหล่งกลับบอกว่า กินกลุต้าเข้าไปแล้ว สามารถเพิ่มระดับกลูต้าในเลือดได้

หรือแม้แต่สรรพคุณเรื่องผิวขาว จะเห็นได้ว่า ผมไม่เอ่ยถึงเลย ถึงแม้จะด่าไปหลายๆตัว แต่ก็จะเล่นประเด็นผิดกฏหมายเท่านั้น

เพราะกลูต้ามันทำให้ขาวได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของยา และเป็นผลข้างเคียงระยะเวลาสั้นๆ หยุดยาก็กลับมาผิวสีเดิม (โคตรพ่อโคตรแม่ผิวคล้ำ มึงน่ะดำตั้งแต่ในยีนส์แล้ว)

การวิจัยของกลูต้ายังอยู่ในวงแคบๆ ไม่แพร่หลาย ไม่มีวิจัยขนาดใหญ่ๆและเชื่อถือได้ รวมถึงในคนท้องและเด็ก ยังไม่มีวิจัยที่ออกมาชัดเจนว่าปลอดภัยหรือไม่ แต่แนะนำให้เลี่ยงก่อนไว้ดีกว่า หรืออยากลองเสี่ยงก็ตามสบายครับ เผื่อได้ลูกออกมาง่อยๆจะได้เป็นอุทาหรณ์แก่คนอื่นๆ

ส่วนข้อเสียของกลูต้าก็ยังก้ำกึ่ง บางแหล่งบอกว่าทำให้มีโอกาสตาบอด เป็นมะเร็งมะเส็ง ฯลฯ แต่บางแหล่งก็บอกว่าปลอดภัยสูงเพราะในร่างกายคนเรามันก็มีอยู่แล้ว

แต่ถึงอย่างไรก็ต้องกลับมาพิจารณาความจริงตรงที่ ... ยังไม่มีความชัดเจนออกมาไม่ว่าจะข้อดี ข้อเสีย ขนาดที่เหมาะสม ของเจ้ากลูต้านี้

ความจริงอีกข้อคือ อย.ไม่อนุญาตในการใช้กลูต้าชนิดฉีด และ ขนาดยาที่เกิน 250 มก. ต่อเม็ด (ขนาด Hi dose ในการทำวิจัยคือ 3,000 มก/วัน ฉะนั้นถ้ามากกว่านี้พึงระวังให้ดีๆ)

และความจริงอีกอย่างคือ กลูต้าในประเทศไทย ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยา แต่เป็นแค่อาหารเสริม นั่นหมายถึง ไม่มีหลักฐานที่ว่าได้ประโยชน์แบบชัดเจน ห้ามขี้โม้เกินจริง และ ห้ามใช้ในคนท้องและเด็ก โดยเด็ดขาด

... ดังนั้น ผมแนะนำว่า ควรจะรอให้มีข้อมูลที่ชัดเจนเชิงประจักษ์ออกมาก่อนดีกว่า และ อย่าไปเชื่อผลรีวิวห่าเหวอะไรนั่นมาก เพราะจะรู้ได้ไงว่าแม่ค้าไม่ได้เมคขึ้นมา หรือ จะรู้ได้ไงว่าระยะยาวแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ... ไม่ใช่ว่า ตาบอดหลังกินยาไปได้ไม่กี่ปี หรือว่าตั้งท้องอีก 10 ปีต่อมา ได้ลูกง่อยๆออกมาแทน

ปล. แต่ถ้ากลูต้าเถื่อนนี่ ถ้าอยากลองก็ตามสบายนะ เพราะไม่มีอะไรรับรองว่า ในเม็ดยานั้นคือกลูต้าเพียวๆ หรือ ผสมสารอื่น หรือ เป็นสารอื่นล้วนๆ (ขนาดได้ อย.ยังเสียวๆเลย)

ปล2. ถ้าใครมีแหล่งข้อมูล/ผลวิจัยเกี่ยวกับกลูต้าแบบเจ๋งๆ รบกวนบอกด้วย

ปล3. ในประเทศไทยเองก็มีการวิจัยโดยจุฬา แต่ผลสรุปก็คือยังก้ำกึ่งอยู่ดีและยังติดตามผลเสียระยะยาวอยู่ (รู้สึกว่าศึกษาในนักศึกษาไม่กี่สิบคน)

ปล4. ปล่อยให้มีคนกินก็ดีอยู่บ้าง จะได้มีหนูลองยาไปก่อน 555

ปล5. ไปหายามั่วๆกินเองนี่สุดท้ายเวลาเกิดผลเสีย ขอให้จำคำนี้ไว้ "สมน้ำหน้า มึงทำตัวมึงเอง" ...

โดย: หมอหมู วันที่: 3 เมษายน 2557 เวลา:13:41:29 น.
  
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคพร้อมผู้เสียหายจากครีมผิวขาว ‘เพิร์ลลี่’ ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 40 ล้านบาท
วันที่ 21 กันยายน 2560.
//www.consumerthai.org/news-consumerthai/ffc-news/4048-press-21092017-001.html

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภค พร้อมทนายความ นำผู้เสียหายจากการใช้เครื่องสำอางผิวขาว ยี่ห้อ เพิร์ลลี่ จำนวน 4 ราย ยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่ม เรียกค่าเสียหายกว่า 40 ล้านบาท หลังบริษัทผู้ผลิตเพิกเฉยไม่รับผิดชอบ และยังมีเหยื่อกว่าอีก 40 ราย รอการเยียวยา จี้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเอาผิด เพื่อจำกัดความเสียหาย



เมื่อวันที่ 18 ก.ย.60 เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมทนายความอาสาฯ นำผู้เสียหายจำนวน 4 ราย จากการใช้ครีมผิวขาวยี่ห้อ เพิร์ลลี่ ยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่ม หรือ Class Action กับผู้ผลิตและจัดจำหน่าย เรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินกว่า 40 ล้านบาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551

ผู้เสียหายทั้ง 4 รายให้ข้อมูลว่า หลังจากที่ซื้อโลชั่นดังกล่าวไปใช้ระยะหนึ่ง เริ่มมีอาการแสบคันบริเวณผิวที่แขนและขา รวมถึงบริเวณอื่นๆ ที่ใช้ครีม ปรากฏเส้นเลือดฝอย เป็นรอยแตกริ้ว จนเริ่มลามเป็นลายกว้าง แพทย์ให้ความเห็นว่า รอยแตกดังกล่าวเกิดจากการใช้สารสเตียรอยด์ ซึ่งรอยแผลไม่สามารถรักษาให้กลับมามีสภาพเหมือนเดิมได้ ผู้เสียหายรายหนึ่งได้ร้องเรียนไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล เมื่อหน่วยงานได้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวพบว่า มีส่วนผสมของสารโคลเบทาซอล โพรพิโอเนต (Clobetasol Proprionate) ซึ่งเป็นสารต้องห้ามในเครื่องสำอาง

นางสาวศรินธร อ๋องสมหวัง เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิผู้บริโภค กล่าวว่า หลังจากที่มูลนิธิได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย ได้ติดต่อไปยังบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อนัดเจรจาไกล่เกลี่ย แต่บริษัทฯ กลับ เพิกเฉย จึงจำเป็นต้องฟ้องคดีเพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการชดเชยเยียวยาอย่างเป็นธรรม

“นอกจากผู้เสียหาย 4 ราย ที่ได้ร่วมยื่นฟ้องคดีแล้ว ยังมีผู้เสียหายอีกกว่า 40 ราย ที่มีอาการคล้ายกันหลังจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องใช้การฟ้องคดีแบบกลุ่ม หรือ Class Action เพื่อที่จะช่วยให้ผู้เสียหายทุกคนได้รับการชดเชยเยียวยาจากการฟ้องคดีในครั้งเดียว เป็นการดำเนินคดีทางกฎหมายที่รวดเร็วและเป็นธรรมกับผู้เสียหายทั้งหมด” เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ กล่าว

ด้าน นายสิษฐวัศ ภาคินสกุลพัฒน์ ทนายความ ให้ความเห็นว่า การฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.ความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 เนื่องจากมีผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชัดเจน ส่วนที่ฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่ม เพราะเห็นว่า ผู้ผลิตมีช่องทางการขายผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจมีผู้เสียหายที่ยังไม่ได้ร้องเรียนอีกจำนวนมาก การฟ้องคดีแบบกลุ่มจะทำให้ผู้เสียหายทุกคนได้รับการเยียวยา

นางสาวนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายอย่างรวดเร็วและจริงจัง เพราะหากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังวางขายอยู่ในท้องตลาด อาจเกิดความเสียหายเป็นวงกว้างกับผู้บริโภคอีกเป็นจำนวนมาก รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์ยี่ห้ออื่นๆ ที่เข้าข่ายเป็นเครื่องสำอางไม่ปลอดภัย เครื่องสำอางปลอม แสดงฉลากไม่ถูกต้อง หรือมิได้จดแจ้งหรือจดทะเบียนการค้า หากหน่วยงานของรัฐเร่งเอาผิดกับผู้ประกอบการ จะทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายในท้องตลาดลดน้อยลง ผู้บริโภคจะปลอดภัยมากขึ้น

ทั้งนี้ ผู้บริโภคท่านใดที่ได้รับความเสียหายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อดังกล่าว สามารถร้องเรียนได้ที่ ระบบออนไลน์ ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หมายเลขโทรศัพท์ 02 248 3737 หรือร้องเรียนผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค //www.facebook.com/fconsumerthai

โดย: หมอหมู วันที่: 22 กันยายน 2560 เวลา:15:41:13 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Cmu2807.BlogGang.com

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]

บทความทั้งหมด