กลูต้าไทโอน ทำให้ผิวขาวจริงหรือไม่.. โดย...สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย โครงการ FACT SHEET แพทยสภา :: โดย...สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กลูต้าไทโอน (Glutathinone) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกายที่สามารถสร้างขึ้นเองจากอาหาร ประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผลไม้ประเภท อะโวคาโด และจะถูกเก็บไว้ที่ตับที่ได้รับ สามารถพบได้ทุกเซลล์ เป็นสารที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid หน้าที่หลักมีอยู่ 3 ประการ คือ 1. ต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant : กลูตาไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่ 2. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA 3. การขจัดสารพิษ Detoxification : กลูตาไทโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกาย โดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ และยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ ข้อบ่งใช้ในทางการแพทย์ สารนี้บางประเทศขึ้นทะเบียนเป็นยา และ บางประเทศใช้เป็นอาหารเสริม แต่ในประเทศไทย สารนี้ยังไม่ผ่านการอนุมัติจาก องค์การอาหารและยา มีรายงานการใช้สาร กลูต้าไทโอน ในหลายกรณี เช่น โรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน โดยใช้ฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ ใช้รักษาภาวะการเป็นพิษจากโลหะหนัก พิษจากยาพาราเซ็ทตามอล ทำลายพิษในตับ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในคนไข้ AIDS , มะเร็ง และใช้ต้านความชรา แต่ข้อมูลที่ใช้รักษาฝ้า และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเหมือนมีแสงออร่า นั้นยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน พบว่าเป็น ผลข้างเคียง จากการใช้สารนี้ที่ใช้รักษาโรคอื่นแล้วผิวขาวขึ้น จึงมีการนำมาใช้ทำให้ผิวขาวขึ้น ปัญหาของกลูต้าไทโอน 1. ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้สารกลูตาไทโอน เอง หรืออาจจะแพ้ สารฆ่าเชื้อ หรือ สารกันเสีย หรือ สารปนเปื้อน ขณะนี้มีรายงานในต่างประเทศ ว่าผู้ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไทโอนขนาดสูงที่ใช้กันอยู่มีอาการช็อค ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และ เสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที 2. สารกลูต้าไทโอน ที่ใช้อยู่ เป็นการลักลอบนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา สารนี้ที่ใช้ในการแพทย์ มีชื่อว่า Tationil ซึ่งผลิตโดยบริษัท Roach ประเทศอิตาลี แต่ บริษัท Roach ประเทศไทย ได้ยืนยันมาว่าบริษัทไม่ได้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย และยังพบว่ามียาปลอมมีที่ผลิตที่เวียดนาม และ จีน โดยที่พิมพ์ว่าผลิตในอิตาลี ทำให้เกิดผลข้างเคียงในการฉีดได้ 3. การที่ฉีดมักจะให้วิตามินซีในขนาดสูงร่วมด้วย ซึ่งการฉีดวิตามินซี ในขนาดที่สูงและ เร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึนศีรษะ คล้ายจะเป็นลมได้ 4. พบว่าการที่ได้รับสารกลูต้าไทโอน เป็นเวลานานๆจะทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง ทำให้รับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต ทางวารสารทางการแพทย์สหรัฐอเมริกาจัดว่าเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา 5. การใช้สารกลูต้าไทโอนในผู้ป่วยมะเร็ง ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาทางเคมีลดลง 5. การได้รับสารกลูต้าไทโอนปริมาณมาก มีผลต่อแร่ธาตุในขบวนการเมตาบอลิซึม และ ตัวมันเองสามารถกลายเป็นอนุมูลอิสระ มาทำร้ายร่างกายได้ 6. ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในเรื่อง "กลูต้าไธโอน" นั้น เท่าที่ทราบมีการขายเกลื่อนตามเว็บไซต์ ราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท และมีการแนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณจนทำให้คนที่อยากขาวเกิด ความสนใจ และซื้อหาไปทดลองทั้งฉีดกันเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ การติดเชื้อ และปัญหาอื่นๆอีกมากมาย ผู้บริโภค ไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นเพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ในที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยา อาจช่วยได้ชั่วคราวแต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ ทั้งนี้การที่ประชาชนในแถบเอเชียมีผิวคล้ำ ถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะสามารถป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต จากแสงอาทิตย์ได้ ทำให้โอกาสการเกิดมะเร็งผิวหนังน้อยกว่าคนผิวขาว จึงไม่ควรมีค่านิยมที่ผิดในการเปลี่ยนสีผิวให้ ผิดธรรมชาติ ข้อมูลโดย :: สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เผยแพร่โดย :: สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา ----------------------------------------------------------------------------------------------- กรณีพบสถานพยาบาล หรือ คลินิกที่มีการใช้ กลูต้าไธโอน ถือเป็นการผิดกฎหมาย กรุณาแจ้งได้ที่ 1.นพ.ธารา ชินะกาญจน์ ผู้อำนวยการ กองการประกอบโรคศิลป์ โทร .02 5918844 https://203.157.6.200/web/home/ 2.ฝ่ายจริยธรรม แพทยสภา โทร. 02-590-1881,02-590-1888 กด 2 แฟกซ์ 02 5918614-5 email :tmc@tmc.or.th 3.นอ.(พ.)นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา email :ittaporn@gmail.com เพื่อดำเนินการต่อไป ขอบคุณครับ... ![]() ปล. เรื่องนี้ มีกระทู้เก่า ๆ พูดกันเยอะแล้ว แต่ก็ยังมีคนมาถามเป็นระยะ ... เลยนำมาฝากอีกรอบ อาหารเสริม ดีจริงหรือ ??? กินกูลต้าไธโอน ขาวจริงป่ะ ??? https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2008&group=7&gblog=4 บทความเรื่อง : สาร Glutathione สำหรับทำให้ผิวขาวที่กำลังเป็นที่นิยม https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=05-01-2009&group=7&gblog=9 บริษัท Roach ประเทศไทย เคยออกมาชี้แจงแล้วว่า ไม่ได้นำเข้ากลูต้าไธโอน ที่มีขายกันเกลื่อน อ้างว่าเป็นของบริษัท Roach ผิดกฎหมาย ทั้งนั้น ... เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา .. ส่วนการตัดสินใจ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่าน เพราะ คนที่จะได้รับผลที่ตามมา ก็คือ ตัวท่านเอง .. ![]() อย.ชี้สารฉีดผิวขาวเด้งสุดอันตราย! ที่แท้ยารักษามะเร็งต่อมลูกหมาก
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2550 18:54 น. //www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000140331 อย.ชี้สารฉีดให้ผิวขาวเด้งสุดอันตราย เผย “สารกลูตาไธโอน” ที่ใช้ฉีดยังไม่ขึ้นทะเบียนกับอย. ประโยชน์ที่แท้จริงอิตาลีใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก แต่ผลข้างเคียงทำให้ผิวขาวชั่วคราว จับตาเอาผิดแพทย์ที่ให้บริการ ฟันผิดมาตรฐานการรักษา สถานพยาบาลนำเข้า รักษาผิดกฎหมาย วันนี้ (26 พ.ย.) นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวถึงกรณีที่คลินิกผิวหนังหลายแห่งนำสารกลูตาไธโอนฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่ อทำให้ผิวขาวนั้น ว่า ขณะนี้อย.ยังไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนสารกลูตาไธโอน (banTHIONE) เพื่อใช้ในการรักษาโรคใดๆทั้งสิ้น แม้ว่าในประเทศอิตาลีจะมีการขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตถูกต้องแต่ก็มีการนำ สารดังกล่าวในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะอาหารเท่านั้น ส่วนการทำให้ผิวขาวขึ้นถือเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาดังกล่าว “การนำสารตัวนี้มาฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดเองในปริมาณที่มากตามที่เป ็นข่าวคือประมาณ 600 มิลลิกรัมต่อหลอด ถือว่าเสี่ยงอันตรายมาก เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ยาถึงขั้นช็อคและเสียชีวิตได้ การฉีดสารดังกล่าวในปริมาณมากเกินไปไม่เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสารทุกอย่างต้องได้รับปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งในเครื่องสำอางทั่วไปพบว่ามีการผสมลงไปบ้าง แต่เพียง 0.000001-0.000005% เท่านั้น แม้ว่ายังไม่มีข้อมูลว่าใช้สารในปริมาณเท่าใดและนานเท่าใดจึงเป็นอันตรายแต่ ก็ไม่ควรฉีดเข้าเส้นเพราะมีอาการเสี่ยง และที่สำคัญเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ เพราะไปหยุดการสร้างเอ็นไซม์เม็ดสีที่เป็นธรรมชาติของคนผิวเอเชีย ที่เป็นสีคล้ำ ทำให้ผิวคนเอเชียจากที่เคยกรองแสงอัลตร้าไวโอเลตได้มากก็ทำให้กรองได้ลดลง นอกจากนี้เม็ดสีในตาดำของคนเอเชียจะกรองแสงได้ลดลงมีอันตรายต่อจอประสาทตา”น พ.ศิริวัฒน์ กล่าว นพ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่คลินิกผิวหนังหลายแห่งให้บริการสารดังกล่าวนำสารดังกล่าวมาใช้นั ้น ขณะนี้ยังไม่พบข้อมูลแต่อย่างใด หากพบว่ามีความผิดจริง โดย อย.รับผิดชอบในตัวของสาร หากเข้าไปตรวจพบสารดังกล่าวมีความผิดฐานมีการใช้ยาโดยไมได้อนุญาตตามพ.ร.บ.ย า พ.ศ.2510 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5 พันบาท และหากมีการโฆษณาสารดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิดปรับไม่เกิน 1 แสนบาท แต่หากสถานพยาบาลมีความผิดก็ดำเนินการโดยกองประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และหากตัวแพทย์ที่ดำเนินการประกอบวิชาชีพเวชกรรมก็เป็นหน้าที่ของแพทยสภา “เนื่องจากสารดังกล่าวยังถือว่าเป็นการปฏิบัติทางการแพทย์ที่ไม่ถูกต้อง เพราะยังไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ แพทย์ที่ฉีดสารดังกล่าวให้ถือว่าผิดจรรยาบรรณ สามารถฟ้องร้องแพทยสภาได้ ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมผิดมาตรฐานทางการแพทย์ แต่หากไม่ใช่แพทย์ก็ถือว่ามีความผิด ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้เป็นไปตามพ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 หากใครพบข้อมูลอย่างใดสามารถแจ้งมาได้ที่อย.”นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว นพ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า จากการสืบค้นข้อมูลทางวิชาการพบว่า หน้าที่หลักของสารกลูตาไธโอนประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ คริสทีอีน(Cysteine) ไกลซีน(Glycine)และ กลูตามิค เอซิด (banmic Acid) โดยสารดังกล่าวช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ เพื่อขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทั้งยาฆ่าแมลง โลหะหนัก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร่างกายได้รับ นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างเอ็นไซม์ต้านอนุมูลอิสระ โดยทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินซี ซึ่งได้ร่วมกันซ่อมแซมสารพันธุกรรมที่อาจเปลี่ยนแปลงการเป็นมะเร็งได้ และยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทซิเนส(Tysinase) ไม่ให้สามารถเปลี่ยนเป็นโดปาควินโนน( Dopaquinone) ซึ่งมีผลทำให้สร้างเม็ดสีน้อยลง ทำให้มีผิวขาวชั่วคราว “การที่สารดังกล่าวทำให้ผิวขาว ถือเป็นผลทางอ้อม เป็นการนำผลข้างเคียงมาใช้ ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของสารดังกล่าวโดยตรง และยังไม่พบว่ามีการหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันชัดเจน ขณะที่สารดังกล่าวก็มีอยู่ในธรรมชาติจากการบริโภคอาหารอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเนื้อสัตว์ ผลไม้ เช่น อโวคาโด หากรับประทานอาหารในแต่ละวันอย่างหลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ก็เพียงพออยู่แล้ว”นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว นพ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ข้อแนะนำในการรับประทานคือห้ามทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้น การที่มีโฆษณาในอินเทอร์เน็ตจำหน่ายตั้งแต่ 500- 1,000 มิลลิกรัมนั้นก็ไม่ควรเชื่อถือและซื้อมาบริโภค ขณะนี้ได้ประสานงานกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการตามหาตัวผู้ลงโฆษณาในอินเทอร์เน็ตที่จำหน่ายสารดังกล่าวด้วย “การฉีดสารดังกล่าวเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรงนั้น ถือว่ามีอันตรายอย่างมาก เนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้อย่างเฉียบพลันถึงขั้นช็อคและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะหากฉีดในสถานที่ที่ไม่มีเครื่องมือช่วยในการช่วยชีวิต หากเกิดอาการแพ้ก็ทำให้เสี่ยงอย่างมาก ยิ่งหากซื้อสารดังกล่าวจากอินเทอร์เน็ตมาฉีดเองเป็นเรื่องอันตรายมาก”นพ.ศิร ิวัฒน์ กล่าว โดย: หมอหมู
![]() ![]() //www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11526071/L11526071.html
กลูต้าไธโอนสามารถซึมผ่านผิวหนังได้มั้ยคะ จขกท.กำลังลังเลใจเรื่องครีมตัวนึงค่ะ เป็นครีมที่รีวิวในกะทู้ขาวสวยที่ขึ้นแนะนำในห้ทงแป้งเมื่อประมาณอาทิตย์ สองอาทิตย์ที่แล้วน่ะค่ะ แต่ครีมตัวนี้มันมีส่วนผสมของกลูต้าไธโอน เราจำได้ว่ามันจะได้ผลเมื่อฉีดผ่านกระแสเลือด แต่กินกับทานี่ เราไม่ทราบค่ะ เลยอยากขอสอบถามผู้รู้หน่อยว่า มันจะส่งผลอันตรายมั้ยคะ ถ้าใช้ทาผิว(ซัก3-4 ชม. แล้วล้างออก) อีกอย่าง เราคงไม่ได้ใช้บ่อยเท่าไหร่ค่ะ คงซักเดือนล่ะครั้งหรือน้อบกว่านั้น จากคุณ : กวีไร้นาม ความคิดเห็นที่ 1 ขึ้นทะเบียนอย.ผ่านหรอครับ? ดีไม่ดีครีมนั้นอาจจะเป็นสารอันตรายอื่นที่ทำให้ผิวขาวด้วยซ้ำ(สารปรอท สเตียรอยด์) เรื่องกลูต้าซึมผ่านผิวหนังได้มั๊ยลองคิดดู กลูต้าโครงสร้างของมันเป็นโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน3ตัว(Cysteine Glutamate และ Glycine) ขนาดกินร่างกายยังต้องย่อยสลายให้มันกลายเป็นกรดอะมิโนอิสระถึงจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้(หมดฤทธิ์กลูต้า) แล้วทาที่ผิวหนังมันจะไปดูดซึมยังไงโมเลกุลใหญ่ขนาดนั้น กินกับทาจึงไม่มีประโยชน์ครับ ถ้าไม่เชื่อลองไปอ่านงานวิจัยของคนนี้ Eur J Clin Pharmacol. 1992;43(6):667-9 เค้ายืนยันว่ากินไปไม่ได้อะไรชัวร์ จากคุณ : chokedeemark ![]() โดย: หมอหมู
![]() ![]() //doctor.or.th/article/detail/10266 ข้อมูลสื่อ ชื่อไฟล์: 369-010 นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 369 เดือน/ปี: มกราคม 2010 คอลัมน์: เรื่องเด่นจากปก นักเขียนหมอชาวบ้าน: นพ.ประวิตร พิศาลบุตร ปัจจุบันพบบ่อยว่าวัยรุ่นให้ความสำคัญกับการมีรูปร่างหน้าตาดี การมีผิวพรรณสดใส ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร หากหนทางที่ได้มานั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ เช่น จากการกินอาหารให้ครบหมู่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับพบว่าวัยรุ่นบางส่วนหมกมุ่นอยู่กับการดูแลรูปร่างหน้าตาตนเอง ความอยากมีผิวขาวใส ยอมทุ่มเททั้งเวลาและเงินทองกับสิ่งภายนอกเหล่านี้ จนบางคนให้เวลากับหน้าที่หลักคือการศึกษาน้อยมาก ผิวขาวใส... ดีจริงหรือ? ที่จริงแล้วคนมีผิวขาวน่าจะเรียกว่าเป็นผู้มีโชคไม่ดีนัก เพราะผิวขาวสามารถกลั่นกรองอันตรายจากแสงแดดได้น้อยกว่าคนผิวดำ ใต้ผิวหนังของเรามีเม็ดสีที่เรียกว่า "เมลานิน" กระจายตัวอยู่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวหนังจากรังสีในแสงแดดตามธรรมชาติ และทำให้สีผิวแตกต่างกันไป คนผิวขาวนั้นที่จริงน่าจะกล่าวว่าเป็นคนอาภัพ เพราะมีเม็ดสีขนาดเล็ก เวลาที่โดนแสงแดดจัดๆ ทำให้ผิวหนังไหม้แดดได้เร็ว ลองสังเกตดูคนต่างชาติที่มีผิวขาว พบว่าจะมีผิวตกกระ ผิวเหี่ยวแก่เร็วกว่า และยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังสูงกว่าพวกเราคนไทยที่มีผิวเหลืองหรือผิวที่คล้ำกว่า และนับวันโลกเราจะได้รับอันตรายจากแสงแดดมากขึ้น เพราะชั้นโอโซนถูกทำลายให้บางลงจนเกิดภาวะโลกร้อนไปทั่ว เคยมีคนทำนายว่าหลายๆ พันปีต่อนี้ไป พื้นโลกจะได้รับรังสีมากขึ้นเรื่อยๆ คนผิวดำจะเป็นเพียงเผ่าพันธุ์สุดท้ายที่ยังเหลือชีวิตรอดอยู่ได้ แสงแดดมีผลเสียต่อผิวหนัง โดยผลเสียที่เกิดขึ้นทันที คือทำให้โรคผิวหนังมากกว่า 40 ชนิดกำเริบ เช่น ผิวไหม้แดด ผิวคล้ำลง โรคเอสแอลอี (SLE) ที่มีอาการปวดข้อและมีผื่นแดงรูปปีกผีเสื้อที่แก้ม สิวบางชนิดกำเริบเมื่อโดนแดด เริม ฝ้า-กระเข้มขึ้น โรคผิวด่างแดด โรคพอร์ไฟเรีย (porphyria) ที่มีอาการปวดท้อง ผิวไหม้แดดเป็นแผลและตุ่มน้ำ เชื่อว่าแดร็กคิวล่าและแวมไพร์น่าจะเป็นโรคนี้ ส่วนผลเสียของแสงแดดที่สะสมระยะยาว ได้แก่ ผิวเหี่ยวแก่ เนื้องอกขั้นก่อนเป็นมะเร็ง และมะเร็งผิวหนัง สมาคมโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริการะบุว่า คนอเมริกัน (รวมทุกสีผิว) 1 ใน 5 คนมีโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนัง แต่ถ้าดูเฉพาะคนผิวขาวโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังสูงถึง 1 ใน 3 คน ส่วนคนไทยก็พบมะเร็งผิวหนังบ่อยขึ้น เนื่องจากมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น มีกิจกรรมกลางแดด มีการตรวจและให้ความสำคัญกับมะเร็งผิวหนังมากขึ้น และยังมีการใช้ยาและเทคนิคทำให้ผิวขาวกันมากขึ้น โดยละเลยการเลี่ยงแสงแดดจัด กลับไป ข้างบน กระแสคลั่งสวย คลั่งผิวขาว... อันตรายต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ปัจจุบันมีกระแสวัยรุ่นไทยอยากมีผิวขาวใส มีการใช้ผลิตภัณฑ์และเทคนิคต่างๆ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายได้ จนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องออกมาเตือนอยู่เสมอ ที่จริงแล้วค่านิยมอยากมีผิวขาวนั้นไม่เหมาะสมสำหรับคนไทยที่อยู่ในภูมิประเทศที่มีแสงแดดจัดทั้งปี คนไทยเรานับว่าเป็นชาติพันธุ์ที่มีผิวสวย และเหมาะสมกับการดำรงชีวิตอยู่แล้ว จึงพบเสมอว่าเวลาคนไทยอายุเกิน 30 ปีจะเข้าบาร์ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในต่างประเทศ มักจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า เพราะใบหน้าดูเด็กกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของฝรั่ง กระแสคลั่งอยากมีผิวขาวนั้นส่วนหนึ่งน่าจะเป็นจากค่านิยมที่จะต้องเป็นเจ้าคนนายคน ต้องนั่งทำงานในห้องแอร์ และการตีความสำนวนไทย "คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ" ผิดพลาด โดยเข้าใจว่าเน้นที่หน้าตา ทั้งที่ความหมายจริงนั้นเน้นจิตใจมากกว่า ส่วนหนึ่งมาจากกระแสคลั่งดาราเกาหลี และอีกส่วนหนึ่งมาจากการโหมโฆษณาเครื่องสำอางทำให้ผิวขาวที่มีงบโฆษณาสูงมาก บริษัทเครื่องสำอางจึงควรแสดงความรับผิดชอบโดยการพิมพ์ผลเสียของแสงแดดไว้ที่กล่องบรรจุว่า "ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวอาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง และทำให้ผิวเหี่ยวแก่เร็ว" เช่นเดียวกับที่ซองบุหรี่มีคำเตือนว่า "การสูบบุหรี่อาจทำให้เป็นมะเร็งปอด และทำให้แก่เร็ว" วัยรุ่นที่หมกหมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องความสวยความหล่อ บางคนกังวลเรื่องผมบาง ขนดก รูขุมขนโต ผิวไม่ขาว... เหล่านี้ถ้ามากเกินไปอาจเข้าข่ายความผิดปกติทางจิตใจที่เรียกว่า body dysmorphic disorder (BDD หรือ "บีดีดี") นอกจากนั้น การตกแต่งร่างกายแบบถาวร เช่น การสัก การเจาะ การใส่ห่วง การฝังหมุด การผ่าลิ้น ๒ แฉก ก็อาจเข้าข่ายความเจ็บป่วยทางจิตชนิดนี้เช่นกัน บางคนเสพติดศัลยกรรมจนใบหน้าเสียโฉม ในรายที่สงสัยความเจ็บป่วยทางจิตชนิดนี้ ผู้ปกครองควรพาวัยรุ่นไปปรึกษาจิตแพทย์ เพราะที่น่าเป็นห่วงคือพบอาการซึมเศร้ารุนแรงของผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้บ่อย และมีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายสูง โรค "บีดีดี" นี้ถ้าพบในผู้ใหญ่อาจแสดงอาการออกมาในรูปความกลัวความแก่อย่างสุดๆ ที่ภาษาหมอเรียกว่ากลุ่มอาการโดเรียน เกรย์ (Dorian Gray syndrome) โรคนี้ตั้งชื่อตามชื่อของตัวละครในนวนิยาย "ภาพวาดโดเรียน เกรย์" (The Picture of Dorian Gray) แต่งโดย Oscar Wilde ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มรูปงามนามเพราะว่าโดเรียน เกรย์ ซึ่งหลงใหลกับรูปลักษณ์ของตนเอง จนไม่อยากสูญเสียมันไป และยินดีแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคงความอมตะของตนเองไว้ โรค "บีดีดี" พบบ่อยขึ้นทั้งในไทยและทั่วโลก น่าจะมาจากค่านิยมที่เปลี่ยนมาเน้นความงามความขาว เชื่อว่าดาราและหนุ่มสาวเกาหลีหลายคนที่ฆ่าตัวตาย ส่วนหนึ่งอาจเป็นโรค "บีดีดี" ร่วมด้วย แม้แต่ราชาเพลงป๊อปที่ล่วงลับเมื่อปีที่ผ่านมาก็น่าจะเข้าข่ายเป็นโรค "บีดีดี" ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าไมเคิล แจ็คสันเป็นโรค "บีดีดี" ชนิด "โดเรียน เกรย์" ชัดเจน และถึงจะเป็นโรคนี้จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำลายอัจฉริยภาพทางดนตรีและการแสดงของเขา เชื่อกันว่ามีคนอเมริกันถึง 9 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรค "บีดีดี" เช่นเดียวกับราชาเพลงป๊อปผู้นี้ ผู้ป่วยโรค "บีดีดี" นี้จะไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง พบว่าร้อยละ 75 ของผู้ป่วย "บีดีดี" จะไปพบแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง หรือแพทย์ผิวหนัง เพื่อแก้ไขให้รูปลักษณ์ของตัวเองเป็นดังฝัน ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยจำนวนไม่น้อยที่น่าจะเข้าข่ายเป็นโรค "บีดีดี" และยังพบผู้ใหญ่ของไทยหลายรายที่น่าจะเป็นโรค "โดเรียน เกรย์" กลับไป ข้างบน กลูตาไทโอนที่ใช้ทำให้ผิวขาว... เป็นสารอันตรายหรือไม่? กลูตาไทโอน (glutathione) เป็น tripeptides ของกรดอะมิโน 3 ตัว คือ ซิสทีน (cysteine) กรดกลูตามิก (glutamic acid) และไกลซีน (glycine) ปกติร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ และยังได้จากอาหารหลายอย่าง เช่น โปรตีน นม ไข่ ผลอะโวคาโด สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอกโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม หน้าที่หลักของกลูตาไทโอนมีอยู่ 3 ประการคือ ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย และขจัดสารพิษ กลูตาไทโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยในแง่ชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพราะอนุมูลอิสระจะวิ่งสะเปะสะปะไปชนเซลล์ต่างๆ ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสื่อมสภาพ มีผลในแง่เสริมภูมิต้านทานและยังช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย กำลังมีงานวิจัยที่จะนำสารกลูตาไทโอนตัวนี้มารักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้ออักเสบ โรคพาร์กินสัน (ที่มีอาการมือสั่น ควบคุมการทรงตัวลำบาก) โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ ภาวะเป็นหมันในเพศชาย และภาวะหูตึงจากเสียงดัง ยังไม่แนะนำให้สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรรับสารตัวนี้โดยไม่ปรึกษาแพทย์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลว่า ปัญหาของกลูตาไทโอนที่ควรระวังคือ การฉีดยาตัวนี้เข้าหลอดเลือดดำมีโอกาสแพ้ได้ มีรายงานในต่างประเทศว่าผู้ที่ได้รับการฉีดกลูตาไทโอนขนาดสูงที่ใช้กันอยู่มีอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก จนถึงขั้นเสียชีวิต และการฉีดนั้นมักให้วิตามินซีในขนาดสูงร่วมด้วย ซึ่งการฉีดวิตามินซีขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึนศีรษะคล้ายจะเป็นลมได้ พบว่าการได้รับสารกลูตาไทโอนเป็นเวลานานๆ ทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลงเสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต จึงจัดว่าเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา และการใช้สารกลูตาไทโอนในผู้ป่วยมะเร็งทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาทางเคมีลดลง กลับไป ข้างบน บัญญัติ 10 ประการเพื่อผิวสวยอย่างพอเพียง ข้อที่ 1 ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน เวลาล้างหน้าให้ล้างเบาๆ แล้วซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาด อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าแรงๆ เพราะจะทำให้สิวอักเสบมากขึ้น ไม่ควรใช้แปรง ฟองน้ำ สบู่ยา หรือสบู่ที่ผสมเม็ดขัดถูใบหน้า เพราะทำให้ใบหน้าระคายเคือง กระตุ้นให้สิวกำเริบ ข้อที่ ๒ หากเป็นสิวน้อย อาจทายาเองได้ ผู้มีปัญหาสิวเพียงเล็กน้อย เช่น สิวหัวดำ หัวขาว หรือสิวอักเสบเพียง 1-2 เม็ด อาจหาซื้อยามาทาเองได้ แต่ต้องอ่านฉลากยาให้เข้าใจวิธีใช้โดยละเอียดเสียก่อน ถ้าใช้ครีมทารักษาสิวแล้วเกิดอาการผิวแห้งหรือระคายเคือง ควรปรึกษาแพทย์ ต้องระวังยาที่โฆษณาว่ารักษาได้ทั้งสิวและฝ้า เพราะยาพวกนี้มักผสมสตีรอยด์ ซึ่งอาจทำให้สิวยุบเร็วจริง แต่มีข้อแทรกซ้อนตามมามากมาย กรณีที่เป็นสิวอักเสบมากจัดเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ ยารักษาสิวบางตัวทั้งในรูปยากินยาทาทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ข้อที่ 3 พิจารณาให้ดีก่อนใช้เครื่องสำอาง ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีผลต่อการทำงานของผิวหนัง ต้องไม่มีสารสตีรอยด์เจือปน ควรเลือกใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นที่ไม่มีส่วนประกอบที่เป็นสารเคมีกระตุ้นให้เกิดสิว เครื่องสำอางที่มีราคาแพงที่สุดอาจไม่ใช่เครื่องสำอางที่ดีที่สุด ข้อที่ 4 ไม่แนะนำให้บีบแกะสิวออกด้วยตัวเอง การบีบแกะสิวออกด้วยตัวเองจะทำให้เกิดการอักเสบลุกลามและเกิดแผลเป็นได้มาก แพทย์อาจกดสิวอุดตันหัวดำออกให้ในกรณีที่จำเป็น ส่วนสิวที่อักเสบหรือสิวหัวช้างนั้น การฉีดยาสตีรอยด์เข้าไปในสิวอาจทำให้สิวยุบลงรวดเร็ว เหมาะสำหรับกรณีเร่งด่วน เช่น จะเข้าพิธีแต่งงานหรือจะรับปริญญาในอีก 2-3 วัน แต่วิธีนี้อาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมาได้ ข้อที่ 5 หลีกไกลรอยย่นโดยขจัดสาเหตุต้นตอ รอยเหี่ยวย่นบนผิวหน้าแบ่งเป็น 3 ชนิดหลัก คือ รอยเหี่ยวจากอารมณ์ รอยเหี่ยวจากแสงแดด และรอยเหี่ยวแห้ง ผู้ที่มีแต่ความเครียดชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหรือเลิกหน้าผาก จะเกิดร่องย่นได้ตามหัวคิ้วและหน้าผาก ครีมบำรุงผิวที่อ้างว่าลบรอยเหี่ยวต่างๆ จึงไม่เป็นจริง เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้ออกฤทธิ์เพียงแค่ผิวชั้นนอกสุดคือชั้นขี้ไคล แต่ส่วนที่เสียไปคือส่วนชั้นหนังแท้ การป้องกันรอยย่น 3 แบบนี้คือ การมีอารมณ์แจ่มใส อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นจากอารมณ์ หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดเพื่อป้องกันรอยเหี่ยวย่นจากแสงแดด และการใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นทาในกรณีของรอยเหี่ยวแห้ง ข้อที่ 6 รักษาฝ้าและกระโดยเลี่ยงแดด ยังไม่มีวิธีใดที่รักษาฝ้าและกระให้หายขาดและไม่เกิดขึ้นใหม่ได้อีก จึงไม่ควรเสียเงินและเวลาให้กับการรักษาฝ้าและกระจนเกินไป ในต่างประเทศถือว่ากระเป็นเสน่ห์ของใบหน้า หนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันและรักษาฝ้าและกระคือ หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 08.00-17.00 น. เพราะรังสีในแสงแดดนอกจากทำให้ฝ้าและกระเข้มขึ้น ยังทำให้ผิวเหี่ยวแก่ เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ข้อที่ 7 พักผ่อนให้เพียงพอ การทำงานหนักโดยไม่พักผ่อนเลย หรือเอาแต่เล่นโดยไม่ทำงานให้เป็นแก่นสาร ต่างมีผลเสียต่อสุขภาพ การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายอ่อนแอก่อผลเสียต่อผิวได้ การพักผ่อนให้เพียงพอคือ นอนหลับวันละไม่ต่ำกว่า 6-8 ชั่วโมง กินอาหารให้ครบหมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ นอกจากนั้นต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีอาหารเสริม วิตามิน และกรรมวิธีมหัศจรรย์ตัวใดที่ทำให้ผิวสวยได้ หากไม่ปฏิบัติตามกติกาอนามัยพื้นฐานเหล่านี้ ข้อที่ 8 งดสูบุหรี่ การสูบบุหรี่ทำให้แก่เร็ว เพราะนิโคตินในบุหรี่ทำให้การไหลเวียนของเลือดช้าลง ทำให้ผิวบาง ผิวหย่อนยานและผิวแห้ง ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ง่ายขึ้น เวลาเกิดแผล แผลจะหายช้า การสูบบุหรี่ทำอันตรายต่อผิวหนังได้รุนแรงพอๆ กับการโดนแสงแดดเผา การเที่ยวกลางคืนบ่อยๆ อาจทำให้ผิวเสียได้ เนื่องจากสถานบันเทิงมักอบอวลไปด้วยควันบุหรี่ สารพิษในบุหรี่ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย สังเกตได้ว่ารอบๆ หางตาของผู้ที่สูบบุหรี่หรือของผู้ที่อยู่ในแวดวงดงควันบุหรี่ มักปรากฏริ้วรอยที่เรียกว่า "รอยตีนกา" ตั้งแต่อายุยังน้อย รอบๆ มุมปากก็อาจเกิดรอยย่นเป็นร่องลึกสั้นๆ ตั้งฉากกับริมฝีปาก ผิวพรรณก็จะเป็นสีเหลืองหม่นหรือหมองคล้ำไม่สดใส ข้อที่ 9 เลิกดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์มีผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้เป็นโรคตับ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน หัวใจเต้นผิดปกติ หลอดเลือดในสมองแตก ทารกในครรภ์พิการ มะเร็งเต้านม กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาจเกิดอุบัติเหตุเมื่อขับรถ นอกจากผลเสียต่อสุขภาพกายทั่วไปแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพผิวพรรณทำให้เปลือกตาบวม ผู้ที่ดื่มจัดร่างกายจะขาดวิตามินบี ซึ่งผิวหนังต้องอาศัยวิตามินบีจึงจะมีสุขภาพผิวที่ดี การขาดวิตามินบีทำให้ผิวพรรณซีด เหี่ยว แห้ง หย่อนยาน นอกจากนั้นโรคสะเก็ดเงินซึ่งมักมีอาการเป็นปื้นนูนแดงมีสะเก็ดสีเงินปกคลุม พบบ่อยที่ข้อศอก หัวเข่า ลำตัว และแนวไรผม จะมีอาการกำเริบรุนแรงเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จนเมามักไม่ได้ทำความสะอาดใบหน้าก่อนนอน ทำให้เกิดผื่นแพ้เครื่องสำอาง และสิวได้ง่าย ข้อที่ 10 อยากมีผิวสวยต้องไม่เครียด อารมณ์กับสุขภาพถือเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันแนบแน่น ความเครียดทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นลมพิษ ผมร่วง เริมกำเริบ เหงื่อออกมากจนมีกลิ่นตัว หรือสิวกำเริบขึ้นได้ บางรายเวลาเครียดมากจะแกะสิวเล่น ทำให้ใบหน้าเกิดแผลเป็น และยิ่งเครียดเพิ่มขึ้นอีก วิธีหลีกเลี่ยงความเครียดมีหลายวิธี เช่น ออกกำลังกาย ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา การนั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การนวด และการมีอารมณ์ขันมองโลกในแง่ดี คิดดี ทำดี เมื่อความเครียดลดลงแล้ว สุขภาพผิวจะดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน ![]() โดย: หมอหมู
![]() |
บทความทั้งหมด
|
_/l\\_