1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30
เราไปเที่ยวประเทศไต้หวันกัน ค่ะ (ตอนที่ 2)
เราไปเที่ยวประเทศไต้หวันกัน ค่ะ (ตอนที่ 2) บล็อกวันนี้ เป็นบล็อกต่อจาก ตอนที่ 1 ค่ะ เป็นการเที่ยวของวันที่ 18 และ 19 มีนาคม ค่ะ วันที่ 18 เราต้องตื่นเช้า เป็นพิเศษ เนื่องจากเหล่าซือนัดกับทางวัด จงไถฉานซื่อ ที่จะพาพวกเราไปไหว้พระที่วัดนี้ โดยขอให้ทางวัดจัดวิทยากรมาอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ของวัดนี้ ให้ พวกเราได้ฟัง ได้ดูสิ่งต่าง ๆ บนชั้น 33 ซึ่งถ้าไม่มี คนของวัด เขาไม่อนุญาตให้ขึ้นไป แต่คณะเราเป็นคณะพิเศษที่ได้ ขึ้นไปถึงชั้นนี้ได้ ขึ้นรถแล้ว ไกด์ไมค์ ก็อธิบาย ให้ความรู้แก่พวกเราบ้าง สรุปได้สั้น ๆ ว่า เราจะเดินทางไปยังเมือง หนานโถว เพื่อไปไหว้พระและเที่ยววัด จงไถฉานซื่อ เล่าว่า วัดนี้ออกแบบดีและแข็งแรงมาก เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ไม่ได้ เกิดความเสียหายแต่อย่างไร มีฮวงจุ้ยดี จังหวัดหนานโถว ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ไม่มีทะเล มีชื่อเสียงเรื่องเหล้าขาว และหน่อไม้ วัดจงไถฉานซื่อ เป็น 1ใน 4 วัดใหญ่ของไต้หวัน เป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่อันดับสามของโลก รองจากนครวาติกันและ วัดมหายานที่ธิเบต เป็นวัดที่มีการออกแบบที่ทันสมัย ที่สุดในไต้หวัน มีรูปทรงคล้ายคนที่นั่งสมาธิ มีความสูง 1.50 เมตร ผู้ออกแบบ คือ นาย C.Y. Lee ซึ่งเป็นวิศวกร คนเดียวกันที่ออกแบบ ตึกไทเป 101 ใช้หินแกรนิตมาเป็นโครงสร้าง ที่แข็งแกร่ง เริ่มสร้างปี ค.ศ. 1990 เสร็จปี 2001 โดยอาศัยแรงศรัทธาของชาวพุทธ และเหล่าลูกศิษย์ของอาจารย์ เหวยเจวี้ย ซึ่งมีลูกศิษย์เป็นแสน ๆ คน วัดจงไถฉาน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ให้พระได้ศึกษาพระธรรมคำสอน สร้างด้วยหินอ่อน สวยงาม สะอาดสะอ้าน ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐาน ของพระพุทธรูปหลายองค์ เช่น พระสังกัจจายน์ ผ่านเข้าไปในวัด จะมีองค์เทพเจ้าสี่ทิศ ที่เรียกว่า "สี่เทียนไต้อ๊วง" องค์พระประธานพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชื่อว่า "หนี่เล่อ" นอกจากนี้ ยังมีองค์พระปรมาจารย์ ตั๊กม้อ ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวอินเดีย ผู้ให้กำเนิดนิกายเซน ในประเทศจีน มีองค์เทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ในเรื่องสามก๊ก ค่ะ สัญลักษณ์ของวัดนี้ เป็นรูปมือ ถือดอกบัว ภายในวัด แม่ชีซึ่งเป็น วิทยากร อธิบาย เป็นภาษาจีน มีที่เสียบหูให้เราฟังด้วย พาไปชมรูปปั้นแกะสลักจากหินหยก เป็นจำนวนมาก วัดนี้ได้รับความ ศรัทธาอย่างมากจากชาวไต้หวัน ที่ชอบมา ข้ามสะพานทองคำ สะเดาะเคราะห์ ต่ออายุ แก้ปีชง แต่พวกเราไม่มี เวลาไป ค่ะ (ค้นคว้าความรู้เพิ่มจากอินเทอร์เน็ต) พวกเรามาถึงวัดจงไถฉานซื่อ ได้พบแม่ชี คอยต้อนรับอยู่แล้ว ค่ะ แม่ชีพูดได้แต่ภาษาจีน ค่ะ ได้แบ่งพวกเราเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกพอจะฟังคำบรรยายเป็นภาษาจีนออก โดยไม่ต้องอาศัยล่าม แปลเป็นภาษาไทยอีกคน ฉันเองอยากไปอยู่กลุ่มที่ต้องการแปลเป็นไทย แต่ พัช บอกว่า เราพอ จะฟังรู้เรื่อง ไปอยู่กลุ่มแม่ชีเถอะ จะได้ฝึกฟังภาษาจีนด้วย เหะเหะ ไปอยู่แล้ว ก็ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แม่ชีก็เป็นคนอธิบายเร็ว มาก ๆ เลย ค่ะ เธอตั้งใจให้ความรู้มาก ค่ะ เริ่มเล่าถึงเจ้าอาวาสองค์เก่าซึ่งเป็นผู้สร้างวัดนี้ แต่เพิ่งมรณภาพไป เมื่อไม่นานมานี้เอง คือ ปี 2016 เมื่อเข้ามาแล้ว ห้ามพูดคุยกัน ห้ามถ่ายรูปต่าง ๆ ในวัด (แต่มีคนแอบถ่ายพระพุทธรูปที่ แกะสลักจากหยก หลายภาพมาก ฉันเลยได้ภาพ จากลายน์กลุ่มมาลงบล็อกด้วยค่ะ) มาชมภาพ ค่ะ ทางที่จะเดินเข้าไปไหว้และชมวัด จงไถฉาน ซื่อ ค่ะ ฟังไกด์อธิบายก่อนเข้าไหว้พระและชมวัด ค่ะ ถ่ายรูปที่ประตูทางเข้าวัด ค่ะ เพื่อนร่วมทริป ค่ะ รูปปั้น พระอาจารย์ ตั๊กม้อ เสียดาย ไม่รู้ว่า ด้านนี้เขาให้ถ่ายรูป ฉันกับเพื่อน ๆ อีกหลายคนเลยไม่ได้ถ่ายรูป ค่ะ มุมนี้ น่าจะเป็น "สี่เทียนไต้อ๊วง" ค่ะ อีกมุมหนึ่งของความงดงามของวัด ค่ะ มุมด้านข้างของวัด ค่ะ อีกมุมหนึ่งของวัด เสียดายไม่ได้ไปเดินชมความงามด้านหลังนี้ ค่ะเพราะไม่มีเวลา ค่ะ หลังจากที่เราฟัง แม่ชีที่เป็นวิทยากร อธิบายและประวัติและสถานที่ที่ เราไปชม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปแกะสลักจากหยก และใส่ไว้ ในกรอบกระจก ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก แม่ชีพาพวกเราขึ้นไปชั้น 31 ชั้น นี้มีความอลังการมาก รอบ ๆ เป็นกระจก มองลงไป ด้านล่าง เห็นวิวรอบ ๆได้ ชัดเจน สวยงาม ที่นี่ได้กราบรูปพระพุทธเจ้า องค์ใหญ่โตมาก มีรูปภาพของเจ้าอาวาส ผู้ก่อตั้งวัดนี้ด้วย น่าเสียดาย เขาไม่ให้ถ่ายรูป แต่ฉันก็เห็นมีคนแอบ ถ่ายรูปนะ ถ้าแม่ชีเห็น ก็จะทำปากจุ๊ ๆ เตือน อิอิ ฉันถ่ายรูปของเจ้าอาวาสผู้ก่อตั้งวัด แต่ถ่ายจากในหนังสือที่ทางวัด แจกให้ค่ะ ใบหน้าท่านอิ่มบุญมาก ๆ เลย ค่ะ รูปท่านเจ้าอาวาสผู้ก่อตั้งวัด จงไถฉานซื่อ ค่ะ ภาพนี้ น่าจะอยู่บนเพดาน มีความเชื่อว่า ให้ไปยืนในวงกลมบนพื้น ให้ตรงกับรูปบนเพดานนี้ เพื่อรับรังสีแห่งความโชคดี ภาพนี้ ฉันได้จากในลายน์กลุ่ม ดีใจที่มีคนถ่ายภาพนี้มาประกอบคำ อธิบายของฉัน อิอิ พวกเราทุกคนก็ทำตามที่แม่ชีวิทยากร ได้อธิบายให้ฟัง ตรงด้านหน้ามีพระพุทธรูป ฉันยืนแล้ว พนมมือ ตั้งจิต อธิฐานขอพร ฉันก็ขอพรให้สุขภาพแข็งแรง อธิษฐานเผื่อญาติ เผื่อเพื่อนเยาว์ เพื่อนจ๋าและลูกศิษย์ที่รักด้วย วัดนี้ ก็มีกล่องให้หยอดปัจจัยเพื่อทำบุญหลายจุด ทำบุญไป 120 เหรียญ ค่ะ เผื่อเยาว์และจ๋า ซึ่งฝากทำบุญเป็นประจำ ต่อไป จะเป็นภาพแกะสลักจากหินหยก ซึ่งเก็บไว้ในกรอบป้องกันการ ถูกสัมผัสจากคนชม ซึ่งจะทำให้รูปเสียหาย คิดเอง นะ ภาพเหล่านี้ เพื่อนในกลุ่ม แอบถ่ายออกมาค่ะ ฉันเลยได้รวบรวม เอาไว้ในบล็อกนี้ มาให้ทุกคนได้ชื่นชมค่ะ นี่เป็นเอกสารที่ทางวัดแจกให้พวกเราไปศึกษา และเป็นที่ระลึกค่ะ ด้านหลังเป็นสวนดอกไม้ ทิวทัศน์งดงาม สะพานที่เห็น น่าจะ เป็นสะพานทองคำ ที่มีความเชื่อว่า มาข้ามสะพานนี้แล้ว สะเดาะเคราะห์ ต่ออายุ และแก้ปีชง ได้ พวกเราไม่น่าจะมีใครไปข้าม มั้ง เพราะว่า ไม่มีเวลาเหลือแล้ว ค่ะ จากวัดนี้แล้ว ก็ถึงเวลาอาหารมื้อเที่ยง ค่ะ อาหารมื้อเที่ยง ค่ะ กินอิ่มแล้ว พวกเราก็ถูกต้อนไปเข้าห้อง เพื่อ ฟังคนขาย อธิบาย สรรพคุณของเห็ดหนิวจังจือ แต่ราคาแพงมาก ไม่มีคนซื้อเลย ค่ะ ราคากล่องหนึ่งเกือบ 2 หมื่นนั่งฟัง คนที่บรรยายสรรพคุณของเห็ดหนิวจังจือ ค่ะ ไม่มีคนสนใจเลย เพราะว่า มันแพง จากที่นี่แล้ว ไกด์ก็พาพวกเราไปเที่ยว ทะเลสาบ สุริยัน จันทรา ซึ่ง ที่นี่ ฉันเคยมาแล้วในสมัยที่ ผอ.นพคุณจัดทัวร์ ค่ะ ไกด์พาพวกเรามาลงเรือ ซึ่งจะมีเฉพาะพวกเรา คนขับเรือและพวกเรา ช่วยกันจูงและรับพี่นงค์ลงเรือกันอย่างปลอดภัย มารู้ประวัติความเป็นมาของ ทะเลสาบ สุริยันต์จันทรากันสักหน่อยเป็น ความรู้ นะคะ ฉันจำจากที่ไกด์เล่าบ้าง ค้นคว้า เพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตบ้าง ค่ะ ทะเลสาบสุริยัน จันทรา ภาษาอังกฤษใช้ว่า Sun Moon Lake เป็น ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด สวยที่สุด ของประเทศไต้หวัน ตั้งอยู่ ที่เมือง หยูซี เขตหนานโถว มีความสวยงาม ได้รับยกย่องว่า เป็น สวิตเซอร์แลนด์ของไต้หวัน เป็นทะลาบน้ำจืด ที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน มีพื้นที่ประมาณ 5.4 ตารางกิโลเมตร ห้อมล้อม ไปด้วยภูเขาใหญ่น้อยมากมาย ความเป็นมาของชื่อ ทะเลสาบ สุริยันจันทรา น่าจะเกิดจากการจินตนา การของคนเรา กล่าวคือ ทางด้านตะวันออกของ ทะเลสาบ จะมีรูปร่างคล้ายพระอาทิตย์ (สุริยัน) ทางฝั่งตะวันตกนั้น มี ลักษณะคล้ายพระจันทร์ (จันทรา) คนพื้นเมือง ที่นี่ ซึ่งเป็นเผ่าที่เรียกว่า ชาวเชา มีตำนานเล่าว่า ชาวเชาได้ไล่ล่า กวางขาวตัวหนึ่ง และุวิ่งมาถึงที่ทะเลสาบแห่งนี้ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ จึงได้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ สร้างบ้าน เล็ก ๆ อาศัยอยู่โดยรอบทะเลสาบแห่งนี้ถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน ยังมีรูปกวางขาวอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ด้วยค่ะ ทะเลสาบแห่งนี้ อยู่เหนือ ระดับน้ำทะเลประมาณ 748 เมตร ล้อมรอบ ด้วยภูเขาใหญ่น้อยไล่ระดับตั้งแต่ 600-2000 เมตร มีการจำกัดเรือที่แล่นในทะเลสาบอย่างเคร่งครัด ทำให้น้ำใน ทะเลสาบมีสีเขียวใส ดั่งมรกต สะอาดสะอ้าน อากาศเย็นสบาย บริสุทธิ์ตลอดทั้งปี ยามเช้า จะมีหมอกลอยละล่องอยู่เหนือทะเลสาบ สวยงามมาก ยามค่ำคืน จะเห็นดาวมากมายบนฟากฟ้า พวกเราลงเรือกันแล้ว ก็มีการถ่ายรูปกัน อยู่นอกห้องเรือ บ้าง ในห้อง เรือบัาง สนุกสนานกัน เป็นกลุ่ม ๆ ค่ะ มาชมรูปที่ฉันรวบรวมมาให้ชมค่ะ กวางขาวที่กล่าวถึงในตำนาน ค่ะ มุมหนึ่งของเรือ ค่ะ ในเรือ ค่ะ ถ่ายรูปที่รวบรวมจากกล้องของเพื่อนร่วมทริป ค่ะ นั่งเรือ น่าจะประมาณไม่ถึงชั่วโมง ก็ได้ขึ้นเกา ะ เพื่อไปไหว้ศาลที่มี พระถังซำจั๋ง มีป้ายชื่่อ สุริยัน จันทรา ที่สลักบนก้อนหิน มีนักท่องเที่ยวไปเข้าแถวเพื่อถ่ายรูป กับป้ายชื่อยาวมาก ที่จริง เมื่อ ครั้งแรกที่ฉันมาเที่ยวไต้หวัน ก็เคยเข้าแถวถ่ายรูปแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปเข้าแถวถ่ายกับเขา เกษมออกความเห็นถ่ายเอาด้านข้าง ที่เห็นป้ายชื่อ นิดเดียว เอาตามนั้น ค่ะ ก่อนถ่ายรูปเข้าไปไหว้พระถังซำจั๋ง แต่ไม่ได้จุดธูปหรอก คนเยอะมาก ได้แต่ยกมือไหว้เท่านั้น ค่ะ ถ่ายรูปกับป้ายชื่อ สุริยัน จันทราตามคำแนะนำของเกษม อิอิ ถ่ายรูปด้านนอกของศาล เห็นพระถังซำจั๋งได้ชัดเจน ค่ะ เจอพัชและนัท เลยถ่ายรูปด้วยกัน ค่ะ ป้ายหินแท่งนี้ คนก็มาถ่ายรูปเยอะแต่น้อยกว่า ป้ายสุริยัน จันทรา ด้านบนเขาเที่ยวจวนได้เวลาแล้ว พวกเราก็ลงจากบนเขาลงไปด้าน ล่าง ซึ่งพี่นงค์และวรรณ ไม่ได้เดินขึ้นไปบนเขา พวกเราก็ได้ถ่ายรูปร่วมกันที่ด้านล่างอีกหลายรูป ค่ะ ไข่ดำที่ไกด์ไมค์ ซื้อให้กินคนละ ฟอง ค่ะ เจอเหล่าซือ เลยชวนถ่ายรูปหมู่ ค่ะ ก่อนลงเรือกลับ เจอคุณวิภาค เขาถ่ายรูปหมู่ให้พวกเรา ค่ะ จากที่ ทะเลสาบสุริยัน จันทรา แล้ว พวกเราก็ขึ้นรถ ไกด์ไมค์แจกไข่ดำ พวกเราคนละฟอง รสชาติอร่อยดี ค่ะ เดินทางต่อไปเที่ยววัดเหวินหวู่ ซึ่งไม่ไกลจากทะเลสาบสุริยัน จันทรา เท่าไรนัก เรามาทราบประวัติความเป็นมา ของวัดนี้ ซึ่งฉันค้นคว้าเพิ่มเติมมาจากอินเทอร์เน็ต มาฝาก ค่ะ นี่คือ หน้าวัด เหวินหวู่ หรือ วัดกวนอู ค่ะ วัดเหวินหวู่ (Wenwu Temple) เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของไต้หวัน อยู่ ที่จังหวัดหนานโถว วัดนี้ตั้งอยู่บริเวณระหว่างเขา เป็นจุดพักชมวิว วัดนี้ตั้งอยู่ด้านเหนือของทะเลสุริยัน จันทรา มีชื่อ ด้านความเชื่อ ด้านศักดิ์สิทธิ์ ในการขอพรให้อายุยืนยาว โดยผู้ขอพร ต้องซื้อกระดิ่งประจำปีเกิดของตน แล้วนำไปเวียนรอบ กระถางธูป 3 รอบ เจ้าของกระดิ่ง เขียนชื่อ เขียนคำพร ลงไปที่กระดิ่ง จากนั้นนำกระดิ่งไปแขวนไว้ที่บันไดสวรรค์ ซึ่งมี ทั้งหมด 366 ขั้น โดยต้องเดินจากริมตลิ่งขึ้นไป บนวัด แต่ละขั้นจะแทนวันใน 1 ปี เจ้าของจะต้องนำกระดิ่ง ขึ้นไปบน ยอดสูงสุดของบันไดวัด เพื่อสั่นกระดิ่งก่อนที่จะนำ กระดิ่งขึ้นบันไดแขวนให้ตรงกับวันเกิดของตนเอง เป็นอันเสร็จพิธี ทีี่เล่ามานี้ นำมาจากมีผู้อธิบายในอินเทอร์เน็ต แต่เท่าที่ฉันได้สังเกตจากคณะทัวร์ของเรา มีผู้ซื้อกระดิ่งหรืออาจจะ ไม่ใช่กระดิ่ง ฉันก็ไม่ทันสังเกต เพราะฉันไม่มี ความประสงค์จะขอให้อายุยืนยาวหรือร่ำรวย นอกจากขอเรื่องสุขภาพ แข็งแรง เที่ยวได้นาน ๆ ห้าห้า อิอิ เลยไม่ได้ซื้อตามที่ ไกด์ไมค์และเจ้าหน้าที่ของวัดแนะนำ เพื่อนทัวร์ที่ซื้อ มีพี่นงค์และ เกษม และคนอื่น ๆ อีก คนสองคนมั้ง ด้วยราคา คนละ 100 เหรียญ ไต้หวัน และฉันก็ไม่เห็นพวกเขาต้องขึ้นบันไดตั้ง 366 ขั้น เพื่อไปแขวนอย่างที่กล่าวมาข้างต้น เห็นแต่ไปเวียน 3 รอบตรงรูป เทพเจ้ากวนอู มั้ง ถ้าต้องปีนบันไดขึ้นไปบนวิหาร พี่นงค์ของฉันจะไปปีนไหวที่ไหนเนาะ และฉันคิดว่า เจ้าหน้าที่อาจจะ เห็นว่าคณะทัวร์ของเราล้วนแต่สูงอายุเกือบทั้งนั้น จึงไม่ได้บอกวิธีที่มีคนเขียนเล่าไว้ข้างต้น ก็อาจจะเป็นไปได้เนาะ และ ไกด์ไมค์ก็ไม่ได้บอกวิธีการต่าง ๆ ก็อาจจะเป็น เหตุผลว่า พวกเราแก่ ๆ กันแล้ว ทำพิธีข้างล่างก็พอกระมัง อิอิ ฉันและ คณะ ก็ยังไม่รู้ว่ามีบันไดขึ้นไปบนวิหารดังกล่าว ที่รู้ก็เพราะ ดูจากรูปในกลุ่มลายน์ที่เพื่อนร่วมทัวร์ลงรูป จึงได้รู้ค่ะ ส่วนฉันไม่ได้ซื้อกระดิ่งดังกล่าว ได้แต่ใส่เงินทำบุญในกล่องและ อธิฐานให้สุขภาพแข็งแรงและอธิฐานเผื่อเยาว์และจ๋าด้วย ก่อนที่จะขึ้นไปบนวัด จะมีสิงโต ตัวใหญ่มากอยู่ทั้ง 2 ด้านของวัด เป็น สิงโตหินอ่อน มีมูลค่าตัวละ 1 ล้านเหรียญไต้หวันนี่ค่ะ สิงโตหินอ่อน ตัวละ 1 ล้านเหรียญไต้หวัน การออกแบบของวัดเหวินหวู่ นั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระราชวัง ต้องห้าม กู้กง ที่ นครปักกิ่ง ภายในวิหาร ยังมีรูปของท่านขงจื้อ เทพกวนอู การบูชาเทพกวนอู เขาเชื่อว่า จะมีคนซื่อสัตย์ต่อตนเอง มีคนจงรักภักดี บูชาท่านขงจื้อ ซึ่งถือเป็นเทพแห่งการศึกษา จะทำให้เรียนเก่ง ประสบ ความสำเร็จในการเรียน น่าเสียดาย พวกเราหลาย ๆ คนไม่รู้ว่า ยังมีวิหารที่มีสิ่งต่าง ๆ ที่สวยงามอยู่ด้านบน ของวัดนี้ เห็นเพื่อนที่ขึ้นไปเล่าว่า ด้านบนสวยงามมาก เป็นจุดชมวิวที่มองลงมาเบื้องล่าง สวยงาม ฉัน พี่นงค์ เกษม ก็ได้รูปสวย ๆ งาม ๆ ภายในวัดชั้นล่าง และบริเวณ วัดเท่านั้นเอง ค่ะ บันไดด่านแรกที่จะเดินขึ้นไปยังวัดค่ะ ไม่ใช่บันไดที่จะไปแขวน กระดิ่ง ให้อายุยืนยาว นะคะ อิอิ ทิวทัศน์บริเวณวัด ซึ่งก็มีความสวยงาม ค่ะ นี่เป็นรูปในวัดชั้นล่าง ค่ะ มีเทพสององค์ องค์ที่มีหน้าสีแดง ต้องเป็น เทพกวนอูแน่นอน เพราะตามที่กล่าวในสามก๊ก ท่านจะมีหน้าสีแดงค่ะ ตรงนี้ เป็นมังกรที่ฐานวิหาร ข้าง ๆ น่าจะมีบันไดขึ้นไปวิหาร แต่เรา ไม่รู้ เลยถ่ายรูปอยู่บริเวณนี้เท่านั้น จุดถ่ายรูปอีกจุดหนึ่งค่ะ ด้านหน้า เป็นจุดชมวิวทะเลสาบ สุริยัน จันทรา นั่งรอกับเพื่อน ๆ ค่ะ เพื่อเดินทางต่อไป รูปนี้ น่าจะเป็นฝีมือถ่ายรูปของคุณวิภาค ค่ะ เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ไกด์ก็โทรตามรถบัสมารับพวกเรา เพราะบริเวณ นี้ เขาไม่ให้จอดรถ ค่ะ ตอนนี้ เราก็ออกเดินทางไปยังอีกจังหวัดหนึ่ง คือ เจียยี่ ไปกินอาหาร มื้อเย็นที่เมืองนี้ ค่ะ หน้าตาของอาหารมื้อเย็นของวันนี้ค่ะ อาหารเกลี้ยงเหมือนเดิม อิอิ หลังอาหารแล้ว พวกเราก็ไปยังที่พัก คืนนี้ เราพักที่โรงแรมChiayi Orientalpearlสภาพของโรงแรม คืนที่ 3 ค่ะ ช่วง คืนที่ 2 พี่อนงค์ ตกเตียงในห้องนอน แก้มไปโขกกับขอบโต๊ะ หัวเตียง ตอนต้น ฉันสังเกตเห็นวันนี้ เพราะตรงโหนกแก้มมีรอยเขียว ขอบตามีสีแดงเรื่อ ๆ ฉันถามแกแล้ว แต่แกบอกไม่ได้เป็นอะไร มันเป็นอยู่แล้ว ฉันได้แต่สงสัย วันนี้แกใส่แว่นด้วย ปรกติไม่ได้ใส่ เหมือนจะให้บังที่ โหนกแก้ม แกคงไม่อยากบอกกลัวคนเป็นห่วง แต่เมื่อผ่านอีกวันรอยเขียวคล้ำกระจายเป็นวงกว้างขึ้น แกจึงยอมรับ ว่า แกตกเตียง ฉันบอกแกให้หาหมอดีกว่า แต่แกไม่ยอม บอกว่า ซือหมู่ ก็ได้บอกจะพาแกไปหาหมอ แต่แก เกรงใจ ไม่อยากไป จนผ่านไปน่าจะสองวัน ได้ข่าวว่า พัช บอกคุณวิภาค ให้ไปบอกเหล่าซือ ไปช่วยพูดให้แกไป หาหมอ ในที่สุด แกก็ยอม ได้ข่าวว่า เสียค่ารถไป 400 เหรียญ ค่าหมออีก 700 เหรียญ เหล่าซือจะช่วยไปเคลมประกัน ให้แก 700 เหรียญได้ยามาหลอดเดียว วันที่ 19 พ.ค. วันนี้ พวกเราต้องตื่นเช้ากว่าปรกติอีกวันหนึ่ง คือ 5:6:7 เพราะว่าต้องเดินทางไกลประมาณ ชั่วโมงครึ่ง ถึงสองชั่วโมง เพื่อไปเที่ยว ป่าสงวนพันปีอาลีซัน เช้าวันที่ 19 มี.ค. ฉันกับวรรณตื่นก่อนเวลาปลุกเหมือนทุกวัน เตรียม จัดกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนนอน เพราะจะต้อง ลากกระเป๋าลงไปที่ห้องชั้นล่างทุกวัน คือ เราต้องย้ายโรงแรมนอนทุก วัน นั่นเอง วันนี้ ออกรถช้ากว่ากำหนด 10 นาที เมื่อขึ้นรถ ไกด์ไมค์ เล่าประวัติของชื่อสถานที่ อาลีซัน ด้วยและฉันก็ หาความรู้เพิ่มจากในอินเทอร์เน็ตด้วยค่ะ อุทยานแห่งชาติ อาลีซัน ตั้งอยู่ในเมืองเจี่ยยี่ของตอนกลางของเกาะ ไต้หวัน ตั้งอยู่บนภูเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเล 3952 เมตร ที่นี่ เขาบอกว่า ถ้าจะมาเที่ยวให้ได้อารมณ์ฟิน ๆจริง ๆ ต้องค้างที่นี่ สัก 1 คืน เพื่อจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก ซึ่งมีจุดให้เดินไปชมจุดไฮไลท์ดังกล่าว น่าเสียดาย เราไม่มีโอกาส ดังกล่าวเลยในโปรแกรม นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม นั่งรถไฟไปชมธรรมชาติระหว่างทาง ของเราก็มีนั่งรถไฟโบราณ แต่ เพียงระยะทางสั้น ๆ น่าจะประมาณ 10 นาที เท่านั้น ที่จริง ที่นี่ ไฮไลท์นอกจากชมพระทิตย์ขึ้นและตกแล้ว ก็คือการเดิน ป่าเพื่อชื่นชมป่า ชมธรรมชาติที่ร่มรื่น เขียวขจี ที่นี่อุทยานนี้ ทำทางเดินให้อย่างดี เดินไม่ยาก แต่คณะเราเป็นคนสูง อายุเกือบทั้งหมด จึงตัดตอนเดินเพียงระยะทางสั้น ๆ เท่านั้น ฉันเห็นคนถือไม้แทรคกิ้งเดินกันเป็นแถว ๆ น่าสนุกมาก คิดถึงตอนไป เดินแทรคกิ้งที่ อินโดนีเซีย ชมภูเขาคาวาอีเจี้ยน ภูเขาไฟ โบว์โบ หรือไปแทรคกิ้งที่ หุบเขาเสือกระโจน หรือที่ คานาสือ เดินลุยหิมะเพื่อ ไปชมหอปลาบนเขาสูง การเดินไปชม พระอาทิตย์ขึ้นที่เขาหวงซาน ยังจำได้ว่า สนุกมาก เหนื่อย แต่ว่า มัน ได้บรรยากาศ ฟินมากจริง ๆ เลย แต่ตอนนี้ สงสัย เหะเหะ คงจะไปเที่ยวเช่นนั้นยากเสียแล้ว ห้าห้า ช่วงปลายเดือนมีนาคม ที่เราไปนี้ ยังมีต้นซากุระ สีชมพู สวยสดใสให้ เราได้ชื่นชมอยู่บ้าง ค่ะ ที่นี่ยังมีวัด Shouzhen Temmple ขนาดใหญ่สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1969 ชาวบ้านนิยมมากราบไหว้ขอพรจาก เทพธิดา แห่งความอุดมสมบูรณ์และเทพแห่งการค้า มีทะเลสาบสองพี่น้อง แต่ พวกเราไม่ได้ไปหรอก อยู่มุมไหนก็ไม่รู้ อิอิ น้ำตกก็มี ชาวจีนเชื่อว่า หมอกเมฆจากยอดเขาในยามเช้าอุดมไปด้วยพลังชี่ ซึ่งมีพลังลมปราณ ถือเป็นพลังลมปราณพื้นฐานของ ชีวิต ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยสาเหตุนี้เอง จึงทำให้ ภูเขาอาลีซันเป็น สถานที่ยอดนิยมของประเทศไต้หวัน น่าเสียดาย พวกเราไม่มีโอกาสทำตามสิ่งที่กล่าวมา เรามาเพียงเดินชม ต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ พันปี ร้อยปี ป่าสน อันเขียวขจี ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ เพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ น่าจะประมาณ ชั่วโมง เศษ ๆ ที่เดินอยู่ในป่าอาลีซันแล้วก็ต้องเดินทางกลับ มาชมภาพที่ฉันรวบรวมมา ค่ะ เช้านี้ กินข้าวมิ้อเช้าที่โรงแรมแล้ว ระหว่างรอเพื่อนขึ้นรถ มีโอกาส ได้ถ่ายรูปหน้าโรงแรมที่พักเมื่อคืนไว้เป็นที่ระลึก ค่ะ ขอรูปหมู่อีกรูปนะ อิอิ ทิวทัศน์ระหว่างที่จะไปยังเขา อาลีซันค่อนข้างคดเคี้ยว และอันตราย ขับเร็วไม่ได้ คนขับต้องมีฝีมือพอสมควร มีการแจกยาหม่องให้คนในรถทา เพื่อแก้เมารถ ซึ่งเป็นการหารายได้ ให้กับคนขับรถด้วย กระปุกละ 250 เหรียญ คนในรถ ส่วนใหญ่ก็ช่วยอุดหนุนกันไป คนไทยใจบุญอยู่แล้ว เนาะ ตั๋วที่ไกด์ไมค์ซื้อมาให้พวกเราไปเที่ยวเขาอาลีซัน ค่ะ ไมค์ กำลังอธิบายให้พวกเราฟังถึง วัดที่พาเราชมค่ะ นี่คือวัด Shouzhen Temple เป็นวัดขนาดใหญ่ ชาวไต้หวันนิยม มากราบขอพรเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์และเทพธิดาแห่งการค้า กลุ่มเรา ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ค่ะ ฉันกับพี่นงค์เข้าไปไหว้เทพธิดาในวัด ค่ะ จากนั้น ไมค์พาพวกเราไปเข้าแถวนั่งรถของอุทยาน พวกเราไม่ได้ เดินแทรคกิ้งเหมือนกลุ่มอื่น ๆ ค่ะ รูปบนสุดกำลังรอรถของอุทยาน กลุ่มนักท่องเที่ยวเดินแทรคกิ้งกันน่าสนุก เนาะ พวกเราลงจากรถของอุทยานแล้ว ก็เริ่มเดินชมอุทยานกันแล้ว ฉัน คิดว่าที่เรานั่งรถของอุทยาน น่าจะเป็นการย่นระยะทาง ในการเดินชมอุทยานส่วนหนึ่งนะ พวกแทรคกิ้ง เขาคงได้ชื่นชม ธรรมชาติมากกว่าพวกเรา ค่ะ ทางเดินในอุทยานแห่งชาติ อาลีซัน ไม่ลำบากค่ะ เพราะมีบันได มีราวให้จับเดินได้ พี่นงค์ ก็เก่ง ตอนนี้ไม่ต้องจูง เพราะมีราวบันไดให้จับและค่อย ๆ เดินได้ ดูแลแกอยู่ด้านหลังได้ ฉัน มีโอกาสได้ถ่ายรูปต้นไม้ใหญ่ ๆและแปลก ๆ มากขึ้น รูปนี้ น่าจะเป็นฝีมือของน้องอรนุช ซึ่งเป็นคนชอบถ่ายรูปให้คณะเที่ยว แต่ตัวเองไม่ค่อยชอบถ่ายรูป ค่ะ เก็บรูปนี้จากกลุ่มลายน์ ไม่ทราบชื่อ ค่ะ เห็นว่าน่ารักและมีชื่อ อาลีซัน เป็นภาพต้นไม้ ทิวทัศน์ในอาลีซัน ที่มีอายุพันปี ร้อยปี ตามที่ไมค์ เล่าให้ฟัง แต่จำไม่ได้หรอกว่า ต้นไหน ห้าห้า ออกจากเดินชมธรรมชาติในอุทยานแล้ว ก็มารอขึ้นรถไฟโบราณ เพื่อที่จะไปกินข้าวมื้อกลางวันกันค่ะ ยืนรอรถไฟโบราณกันค่ะ พวกเราได้ขึ้นรถไฟโบราณกันแล้วค่ะ น่าจะนั่งเพียง 10 กว่านาที ก็ถึงสถานี ปลายทาง พวกเราก็ลงไป เดิน ออกนอกชานชลา ก็เจอต้นซากุระสีชมพู บานสะพรั่ง ฉันกับวรรณก็ไปถ่ายต้นซากุระไว้เป็นที่ระลึกด้วย คนละ ภาพสองภาพ นี่ค่ะ ต้นซากุระ ของไต้หวัน แถวสถานีรถไฟโบราณ เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ไกด์ไมค์ ก็พาพวกเราไปกินอาหารมื้อกลางวันอาหารเพียบ มากมาย โต๊ะของเรา มีผู้ชาย คือ เกษม คนเดียว นอกนั้นผู้หญิงหมด แต่อาหารก็ไม่เคยเหลือ อิอิ ทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อ ค่ะ ไปที่ร้าน ขายบัวหิมะ ชา โคลาฟิล ตามข้อบังคับของทัวร์ ต้องไปชมและฟังคำอธิบายของร้านขายของ จะซื้อหรือไม่ซื้อก็เป็น สิทธิ์ของลูกทัวร์ แต่บางครั้ง เราก็สงสารและใจอ่อน ซื้อของเขา ไกด์ที่พามาเขาจะได้เปอร์เซ็นต์บ้าง ร้านนี้ คณะของ เราก็ซื้อหลายคนนะ เช่น โคลาฟิล ที่ว่าจะแก้ และป้องกันวุ้นตาเสื่อม บัวหิมะ ฉันก็ใช้เงินไทยซื้อมา 1 กระปุก เพราะบัวหิมะที่ซื้อจากจีนแดง ใกล้หมดแล้ว ลองซื้อของไต้หวันไปใช้บ้าง คนขายเล่าว่า ที่จริง คนที่ทำบัวหิมะ ขาย เป็นพี่น้องกัน ต่อมาคนพี่ไปตั้งบริษัทที่ ประเทศจีนอีกสาขาหนึ่ง แต่ต่อมา มีการปลอมแปลงยา ทำให้เสียชื่อ พี่น้องเลยแยกกัน ต่างคนต่างขายไม่เกี่ยวข้องกัน นี่แหละหนา เงินทองไม่เข้าใครออกใคร พี่น้องกัน ก็โจมตีกัน ต่างก็ ว่าของของตนเองเป็นต้นตำรับ เฮ้อ ! ออกจากร้านขายยานี้แล้ว ก็เดินทางต่อไป เพื่อไปเมืองเกาสง ตาม ทางที่ผ่าน ก็มีการจอดรถให้เข้าร้านขายของ เพื่อให้พวกเราได้ไปเข้าห้องน้ำและเดินซื้อของ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของ กินทั้งนั้น ก็มีคนซื้อกินบ้างเป็นธรรมดา แล้วไกด์ไมค์ ก็บอกว่า วันนี้มีรายการแถมที่เที่ยวให้หนึ่งแห่ง เพราะ มันเป็นทางผ่านอยู่แล้ว ที่ว่านี้ ก็คือ "แม่น้ำแห่งความรัก" พวกเราก็ชอบใจ ที่จริง ก็มีแต่แม่น้ำ มีป้ายเขียน ไว้ว่าอย่างไร ไม่ได้อ่าน มัวแต่หามุมถ่ายรูป อิอิ ที่ริมแม่น้ำ นี้ มีราวกั้นยาว ก่อนจะถึงลานไม้ไปที่ราวริมแม่น้ำ เป็นที่สูง ต่ำ ถ้าไม่ได้สังเกตระวังก็จะถลำหกล้มได้ ปรากฏว่า คณะของเรา หกล้มคนแรก คือน้องอัญชลี ล้มเสียงดังป้าบ ทุกคนตกใจกันหมด รีบช่วยกันพยุงเธอขึ้นมา นี่ดีละ ที่ยังสาวอยู่ แต่คิดว่า คงฟอกช้ำดำเขียวแน่นอน และอีกครู่ หนึ่ง น้องอีกคน ก็มาล้มข้างที่ไม่เหลื่อมกันมากนัก อีกรายหนึ่ง แต่น่าจะเจ็บน้อยกว่าอัญ เพราะเสียงไม่ดังนัก ส่วนฉันก็ เกือบไปเหมือนกัน ดีที่ยั้งตัวไว้ทัน เลยไม่ล้มทิวททัศน์ของแม่น้ำแห่งรัก แถบกระดานไม้นี่แหละะที่ทำให้ เพื่อนของฉันหกล้มไปถึงสองคน พี่วรรณวิไล รูมเมดของพี่อนงค์ ถ่ายคู่กันสักรูป ค่ะ มินิฮาร์ดกันสักรูป ค่ะ ที่ริมแม่น้ำแห่งรัก รูปนี้ น่าจะฝีมือของคุณวิภาค ค่ะ ออกจาก แม่น้ำแห่งรักแล้ว ไมค์ก็พาพวกเราไปที่ภัตตาคารที่จะกิน ข้าวมื้อเย็นของวันนี้ ค่ะ แต่เราไปเร็วเกินไป อาหารยังไม่พร้อม จะพร้อมประมาณ ห้าโมงเย็น พวกเราเลยนั่งคุยกันที่โต๊ะ อาหารมื้อเย็นวันนี้เยอะมากเหมือนเดิม กินกันอย่างเอร็ดอร่อยตามเคย แต่ละจานแทบไม่เหลืออะไรเลย อิอิ อิ่มข้าวแล้ว ไมค์ พาพวกเราไปเดินเที่ยวตลาดกลางคืน ชื่อ ลิ่วเหอ ตลาดนี้ มีแต่ของกินทั้งนั้น ให้เวลา 1 ชั่วโมง เดินแป๊บเดียว ก็เบื่อ เพราะไม่รู้จะซื้ออะไร ถ่ายรูปที่ตลาดนี้ไว้เป็นที่ระลึก 1 รูป ค่ะ คืนนี้ พวกเราพักที่โรงแรมชื่อว่า โรงแรม Kachsiung International Citizen เป็นโรงแรมที่ดีพอควร ค่ะ มีไวไฟ ใช้ เช่นกัน ทริปการเที่ยวไต้หวัน ตอนที่ 2 ก็จบลงอีกตอนหนึ่งแล้ว ค่ะ ขอเชิญ เพื่อน ๆ และผู้ที่สนใจเที่ยวไต้หวัน อ่านได้ค่ะ ถ้ามีข้อเสนอแนะใด ก็เสนอได้นะคะ ยินดีรับไว้เพื่อปรับปรุงให้ งานเขียนน่าอ่านมากยิ่งขึ้น ค่ะ
Create Date : 12 เมษายน 2562
Last Update : 23 เมษายน 2562 13:34:32 น.
40 comments
Counter : 1424 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโอน่าจอมซ่าส์ , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณชีริว , คุณtoor36 , คุณSai Eeuu , คุณnewyorknurse , คุณกะว่าก๋า , คุณtuk-tuk@korat , คุณสันตะวาใบข้าว , คุณhaiku , คุณเรียวรุ้ง , คุณNior Heavens Five , คุณRinsa Yoyolive , คุณอุ้มสี , คุณ**mp5** , คุณmambymam , คุณเกศสุริยง , คุณkae+aoe
โดย: sawkitty วันที่: 23 เมษายน 2562 เวลา:13:56:27 น.
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 23 เมษายน 2562 เวลา:17:52:29 น.
โดย: ชีริว วันที่: 23 เมษายน 2562 เวลา:21:50:43 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 เมษายน 2562 เวลา:6:22:48 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 25 เมษายน 2562 เวลา:10:55:45 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 เมษายน 2562 เวลา:14:34:19 น.
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 25 เมษายน 2562 เวลา:17:07:04 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 เมษายน 2562 เวลา:6:22:38 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 เมษายน 2562 เวลา:20:05:51 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 26 เมษายน 2562 เวลา:22:37:18 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 เมษายน 2562 เวลา:6:37:20 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 27 เมษายน 2562 เวลา:13:45:02 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 เมษายน 2562 เวลา:14:17:12 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 เมษายน 2562 เวลา:6:24:21 น.
โดย: **mp5** วันที่: 28 เมษายน 2562 เวลา:17:50:28 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 เมษายน 2562 เวลา:19:43:21 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 เมษายน 2562 เวลา:6:23:47 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 เมษายน 2562 เวลา:22:58:29 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 เมษายน 2562 เวลา:6:21:36 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 เมษายน 2562 เวลา:11:08:20 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤษภาคม 2562 เวลา:6:20:12 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤษภาคม 2562 เวลา:11:40:19 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 พฤษภาคม 2562 เวลา:6:29:31 น.
โดย: เกศสุริยง วันที่: 2 พฤษภาคม 2562 เวลา:11:59:27 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 พฤษภาคม 2562 เวลา:13:56:10 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 พฤษภาคม 2562 เวลา:6:47:46 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 3 พฤษภาคม 2562 เวลา:13:57:41 น.
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [? ]
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif