1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30
ความศรัทธาของชาวพุทธ กับ สังเวชนียสถาน (ตอนที่ 3)
ความศรัทธาของชาวพุทธ กับ สังเวชนียสถาน (ตอนที่ 3) วันนี้ คือ วันที่ 23 ก.พ. เป็นวันที่ 3 ของการที่พวกเรามาแสวงบุญที่ ประเทศอินเดียแล้วค่ะ สถานที่ที่พวกเราไปนมัสการวันนี้ ที่จริงตามโปรแกรมอยู่ในวันที่ 22 แต่เมื่อวานนี้ เราไปไม่ทัน โปรแกรมนี้ จึงต้องมาต่อในวันนี้ ค่ะ เช้าวันนี้ พวกเรา 8 คน ใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำได้รวดเร็ว ฉัน ตื่นก่อนคนอื่นเช่นเคย แต่ก็ใช้เวลาไม่นาน เสร็จก่อนนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ ค่ะ ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อย เตรียม กระเป๋าเดินทางกัน แล้วลงไปทานอาหารเช้า ประมาณ 6.30 น. พวกเราก็ออกจากวัดไทยเชตวันเพื่อเดินทางต่อไป ออกจากเมืองสาวัตถี เพื่อเดินทางไปประเทศเนปาล เมื่ออยู่บนรถ พระอาจารย์ ก็ ทักทายสมาชิกร่วมแสวงบุญ แล้ว พระอาจารย์ก็ให้ทุกคนทำวัตรเช้าเหมือนทุกวัน ค่ะ ช่วงเช้านี้ พระอาจารย์ได้พาพวกเราไปนมัสการสถานที่ต่าง ๆ ที่ค้าง โปรแกรม เมื่อวานนี้ เช้านี้ พระอาจารย์พาเดินขึ้น ไปยังตึกสูง ชี้ให้เห็นบริเวณด้านล่าง ซึ่งเป็นสระน้ำ ได้อธิบายว่า เป็นสถานที่ที่สำคัญ แต่ฉันจำไม่ได้ว่า สระนั้นคือสถานที่ อะไรบ้าง แหะแหะ บันทึกไม่ทัน ได้แต่ถ่ายรูปเอาไว้ เท่านั้น นี่เป็นสระน้ำ ที่พระอาจารย์ชี้ให้ดู ค่ะ มีอีกที่หนึ่ง ได้รูปจากเพื่อนร่วมทริป เขียนไว้ เลยนำมาให้ชม ค่ะ นี่เป็นสถานที่ที่ พระเทวทัตถูกพระธรณีสูบ ค่ะ ขอเพิ่มเติมภาพที่พระอาจารย์กิติพันธ์ กรุณาเพิ่มเติมและอธิบายให้ฉัน หลังจากที่ท่านได้อ่านและทราบว่า ฉันจดบันทึกคำอธิบาย ท่านไม่ทัน ค่ะ ภาพนี้ คือสถานที่ ที่แผ่นดินสูบนันทมาณพที่ข่มขืนภิกษุณีอุบลวรรณา นางอุบลวรรณา เถรี เป็นคนสวย เป็นที่หมายปองของ ชายหนุ่มทั้งกษัตริย์และเศรษฐี แต่นางเบื่อหน่ายทางโลกียสุข ได้ออก บวชตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่ว่า นันทมานพ ที่เคยหลงรักนางอุบลวรรณา ก็ยังไม่ละความ พยายาม วันหนึ่งได้ไปแอบซุ่มอยู่ในป่าข้างกระท่อม ที่นางอุบลวรรณาจำพรรษาอยู่ โดยเข้าไปแอบซุ่มอยู่ใต้เตียง เมื่อนาง กลับมายังกระท่อม ก็เข้าปลุกปล้ำนางอุบลวรรณา นางได้เตือนสติ นันทมานพ ว่า อย่าได้กระทำเช่นนี้เลย นะ จะเกิดวิบัติ แก่ตนเอง แต่ นันทมานพ ไม่ฟังคำขอร้อง ปลุกปล้ำ จนสำเร็จความใคร่ หลังจากนั้น เขาก็เดินออกจากแคร่ ก็ถูกแม่พระ ธรณีสูบลงนรกอเวจี เพราะเป็นกรรมหนักที่กระทำต่อพระอรหันต์ สถานที่ที่นางจิญจมาณวิกา ถูกพระธรณีสูบ ค่ะ นางจิญจมาณวิกา นางหลงผิด ได้รับจ้างจากพวกปริพพาชก ซึ่งพวก ปริพพาชกที่อิจฉาพระพุทธองค์ ที่เห็นมีคนไปเชื่อถือ เคารพคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงจ้าง นางจิญจมาณวิกา แกล้งทำ เป็นท้อง โดยนำไม้กลึงนูนไปผูกไว้ที่ท้องใต้เสื้อ แล้วไปเต้นต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าซึ่งกำลังเทศนาให้พุทธ บริษัทฟัง โดยกล่าวหาว่า พระพุทธเจ้าทำให้นางท้อง ต่อว่าว่า อย่ามัวแต่นั่งเทศน์เลย รีบกลับไปหาฟืน เพื่อเตรียมพร้อม ในเวลาที่นางจะคลอดลูก พระพุทธเจ้าเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็หยุดเทศน์ และได้ตรัสแก่นางว่า "เรื่องที่เธอกล่าวมา คนอื่นเขา ไม่รู้หรอก จะมีเธอกับฉันสองคนเท่านั้นที่รู้ " พุทธบริษัที่นั่งฟังเทศน์รู้สึกแปลกใจที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงปฏิเสธ เดือดร้อนถึง พระอินทร์ ต้องแปลงกายเป็น หนู ลงมากัดเชือกที่ท้องของนางจิญจมาณวิกา ทำให้ท่อนไม้ที่ซ่อน อยู่ที่ท้องหล่นลงสู่พื้นดิน นางตกใจวิ่งหนีไป แต่ก็หนีไม่พ้นจากกรรมที่ตนเองได้ก่อขึ้น คือ ถูกแม่พระธรณีสูบลง ไปสู่นรกอเวจี ไป เรื่องเล่าจากชาดกว่า นางจิญจมาณวิกา ก็คือ นางอมิตตดา ในเรื่องพระเวสสันดร ชาดกมา เกิด เช่นเดียวกับชูชก ก็มาเกิดเป็นพระเทวทัต มาตามจองเวรพระพุทธองค์ จนในที่สุดก็ถูกพระแม่ธรณีสูบ เช่นกัน ค่ะ รูปที่ถ่ายจากบนตึกสูงลงไปเบื้องล่าง ค่ะ จากนั้นพระอาจารย์ได้นำคณะเรา นั่งสวดมนตร์ที่บริเวณบ้านของ ท่านอนาถบิณฑกเศรษฐี มีพระอินเดีย อยู่ด้วยค่ะ พระอาจารย์นำสวดมนตร์ บริเวณบ้าน ท่านอนาถบิณฑกเศรษฐี พวกเราได้ถวายปัจจัยให้พระอินเดียด้วยค่ะ ฉันกับ เพื่อน ๆ ที่ฝากเงินมา ถวายไป 60 รูปี จากนั้น พระอาจารย์ก็พาไปคฤหาสน์ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งปัจจุบันที่เห็นก็เป็นซากโบราณสถานไปแล้ว ค่ะ ลงจากรถแล้วก็ต้องเข้าทางประตูนี้ แล้วก็ต้องเดินขึ้นเนินไปไกล พอสมควร คฤหาสน์ของท่านตั้งอยู่บนเนิน ค่ะ ครั้งแรกว่าจะไม่ขึ้นไป เพราะดูท่าทางจะชันและเดินลำบาก ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ จอย เดินมาถามและชวนเดินขึ้นอีกทางซึ่งขึ้น ได้ง่ายกว่า โดยอาสาจะช่วยดึงกันขึ้นไป ไม่ต้องกลัวลื่น เอาละนะ มี คนเดินขึ้นไปด้วย คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจ ก็เลยตัดสินใจค่อย ๆ เดินกับ จอย ขึ้นไปตามไหล่ทาง ในที่สุดก็เดิน ไปถึงยังคฤหาสน์ของท่านเศรษฐี จนได้ นี่แหละหนา พลังแห่งความศรัทธาและพลังใจจากเพื่อนจอย ห้าห้า ส่วนตอน ขาลง มี เอม ลงมาพร้อมกัน ขาลงง่ายหน่อย เพราะว่า มันลาดลง เดินง่ายกว่า ขาขึ้น ค่ะ ภาพนี้ เป็นภาพรูปเต็มของคฤหาสน์ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ฉัน นำมาจากภาพในอินเทอร์เน็ต ค่ะ ก่อนจะไปชมภาพของพวกเรา ฉันขอเล่าประวัติของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี นั้น มีชื่อเดิมว่า สุทัตตะ เป็นชาวเมือง สาวัตถี แห่งแคว้นโกศล การที่ได้ชื่อใหม่ว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี เพราะท่าน เป็นคนใจบุญ ชื่อใหม่นี้แปลตามศัพท์ได้ว่า เศรษฐีผู้มีก้อนข้าว (บิณฑ แปลว่า ข้าว เดิม ก ปัจจัย แปลว่า ผู้) ให้คนยากจน ตระกูลของท่าน เป็นพ่อค้า และท่าน ได้เดินทางไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์ ได้พบกับพระพุทธเจ้าและได้ ฟังธรรมจากพระองค์จนบรรลุพระโสดาบัน จึงมีความศรัทธา พระพุทธองค์เป็นอย่างมาก ได้ซื้อที่ดินและถวายเงิน 54 ล้านโกฏิ สร้างวัดเชตวันมหาวิหารถวายพระพุทธเจ้า และเป็นผู้อุปถัมภ์ บำรุงพระพุทธองค์ พระสงฆ์ และพระพุทธศาสนา ตลอดชีวิตของท่าน ค่ะ สถูปเล็ก ๆ ที่คนมานมัสการนำพวงมาลัยมากราบไหว้ ค่ะ หลังจากที่ขึ้นมาจากเนินเขาแล้ว ยังมีบันไดขึ้นไปอีกด้วย ภาพซ้ายเป็นบันไดหินที่ต้องเดินข้ามไปยังอีกฝั่งที่เป็นช่องลึก น่ากลัว มาก ฉันไม่มั่นใจว่า ตัวเองจะเดินข้ามไปถึงอีกฝั่งได้ อย่างมั่นคง กำลังชั่งใจอยู่ นก และ เบญจ์ ก็เชียร์ให้เดินข้ามและเดิน มาจูงมือฉัน คนหนึ่งระวังหน้า อีกคนระวังหลัง ในที่สุดก็เดินข้ามไปสำเร็จ ห้าห้า ส่วน เอม ชวนแล้ว ไม่ยอมข้ามไป อย่างเด็ดขาด อิอิ ตื่นเต้นดีจริง ๆ พลังความกล้าหาญ กับพลังของการช่วยเหลือของ นก และ เบญจ์ ขอบใจน้องมาก ค่ะ รูปนี้ น้องต้อย ส่งมาให้ ค่ะ บรรยากาศบริเวณบ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี น้องเล็กศรัทธามากเลย เห็นโปรยแบงค์ร้อยหลายใบลงในช่องลึก แห่งนี้ อิอิ ที่นี่ พวกเรามีการถวายปัจจัยให้กับพระอาจารย์ทุกรูปที่มากับคณะ ของเราเพื่อท่านจะได้ใช้ทำบุญของท่านเองบ้าง ฉันถวายปัจจัย 3 รูปแรก รูปละ 100 บาท อธิษฐานให้เพื่อนที่ฝากมาด้วย รูปสุดท้ายคือ พระอาจารย์ที่เป็นผู้บรรยายตลอดทริป ถวายใส่ย่ามท่าน ไป 200 บาท ค่ะ คนอื่น ๆ ก็มีการถวายตาม ๆ กันไปด้วยหลังจากที่พระอาจารย์อธิบาย เกี่ยวกับคฤหาสน์ของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐีแล้ว พวกเราก็มาถ่ายรูปกับพระอาจารย์ไว้เป็นที่ระลึก ค่ะ ท่านพระอาจารย์เหมือน ค่ะ น้องต้อยส่งรูปมาให้ ค่ะ ออกจาก คฤหาสน์ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว ก็เดินทางต่อไป จนถึงวัด สิทธารถราชมณเฑียร เราพักทานข้าวมื้อเที่ยง ที่วัดนี้ และมีการทอดผ้าป่าที่วัดนี้ด้วยค่ะ วัดนี้ มีก๋วยเตี๋ยวมังสวิรัติ ให้ทานด้วย ส่วนข้าวของเรา มีไข่ต้มและผัดผัก เราเลยกินเพียงเล็กน้อย ส่วนไข่ให้น้องสุนทรไป กินก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ แทน ค่ะ รสชาติก็อร่อยด้วย ค่ะ มีขนมหวานให้กินด้วย หลังจากทานกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เตรียมทอดผ้าป่าที่วัดนี้ เหมือนกับวัดทุกวัดที่เราแวะ คณะทำหน้าที่ ก็ชุดเดิม ค่ะ มีน้องเล็ก น้องต้อย น้องจุ๊ น้องเหน่ง บอกสมาชิกร่วม กันทำบุญกันใส่ถาด มีผ้าไตรที่เตรียมมา มาชมภาพ ค่ะ ช่วยกันนับเงินทำบุญ เพื่อแจ้งสมาชิกก่อนถวาย ค่ะ วัดนี้ ฉันกับเพื่อน ทำบุญไป 500 บาท วัดนี้ ตัวแทนของคณะในการถวาย คือ น้องบุญชู ค่ะ หลังจากทอดผ้าป่าเสร็จแล้ว พวกเราก็ต้องรีบออกเดินทางอันยาวไกล ประมาณ 70 กิโลเมตร เพื่อที่จะไปที่ด่านชายแดน อินเดีย เพื่อทำเรื่องผ่านไปประเทศเนปาล เราน่าจะมาถึงที่นี่ ประมาณ บ่ายสาม น่าจะได้ แต่การตรวจวีซ่าผ่านด่าน ช้ามาก ๆ ขนาด มีมัคคุเทศก์ จันดาลเดินเรื่องติดต่อให้แล้ว กว่าจะผ่านออก มาแต่ละคน ยืนเข้าแถวจนเมื่อยขาไปหมดเลย นอกจากคณะเราแล้ว ยังมีคณะอื่นและนักท่องเที่ยวทั่วไปที่มาเอง ไม่ได้เป็นคณะใหญ่ ๆ ก็มีบ้าง เจ้าหน้าที่ที่นี่ ทำงานช้ามาก กว่าจะครบทุกคนน่าจะ 3 ชั่วโมง ที่แย่กว่านั้นก็คือ รถติดมาก ทั้งขาออกจาก เนปาลและขาเข้าเนปาล พวกเรา นั่งติดอยู่ในรถเป็นชั่วโมง บางคนก็ทนปวดปัสสาวะไม่ไหว ก็ลงจาก รถไปเข้าห้องน้ำแถว ๆ นั้นกัน นอกจากนี้ ฉันยังได้เห็นภาพที่น่าอนาถใจมาก ที่มีขอทานที่อุ้มลูกเล็ก ๆ กระเตง ใส่เอว มาขอทาน อยู่ข้าง ๆ รถ เด็กตัวเล็กตัวน้อย ก็มาที่หน้าต่างขอเงิน และที่อนาถใจมากไปกว่านั้น ก็คือ เมื่อรถ เคลื่อนไปได้ไม่กี่ช่วง ก็เริ่มติดต่อไป พบภาพที่อนาถใจ เหลือเกิน ก็คือ ภาพที่เด็กหญิงอายุน่าจะ7-8 ขวบ อุ้มเด็กที่น่าจะ เพิ่งคลอดไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือน มายืนขอทานอยู่ริมถนน ทำไมพ่อแม่ของเด็กคู่นี้ ไม่ห่วงใยลูกทั้งสองคน ซึ่งยังเล็กมากอยู่ โดยเฉพาะเด็กที่ตัวพี่อุ้มอยู่ จะทนฝุ่นพิษ ที่กระจายเห็นชัด ๆ อยู่ทั่วท้องถนนได้เหรอ เป็นภาพที่ฉันเห็นและ ได้แต่ปลงสังเวชในใจ โชคดีเหลือเกินที่เรา ได้เกิดมาอยู่ที่ประเทศไทย เพราะที่นี่ ไม่ว่าจะไปถึงตรงจุดไหน ฉันก็จะเห็นเด็กชาวอินเดียตัวเล็กตัวน้อย มายืนขอเงินจากนักท่องเที่ยว แม้แต่ในวัดที่เราไปทอดผ้าป่าบางวัด ก็มีเด็ก ๆ อินเดียดังกล่าวมาขอเงิน แต่ดู จะได้ถูกจัดให้เป็นระเบียบ คือ นั่งเข้าแถวยาวเหยียดกัน พวกเรา บางคนที่แลกเงินรูปีมา ก็แจกไปบ้าง บางที่ก็นำเงินรูปี ให้พระอาจารย์เป็นผู้แจก หรือ พระอาจารย์แต่ละรูปก็แจกเงินรูปี ส่วนตัวให้เด็ก ๆ บ้าง เฮ้อ ! กว่ารถของเราจะผ่านวิกฤตของการติดอยู่ที่ด่าน รอดออกจากด่านได้ ก็น่าจะสองทุ่มได้แล้ว มั้ง และออกจากด่านเพื่อที่จะเดินทาง ไปพักที่ อู่ข้าววัดไทยลุมพินี ก็น่าจะเกือบสามทุ่ม มาถึงแล้วก็เหนื่อยอีก เพราะที่พักที่เราจองมาเต็ม พระอาจารย์ ที่วัดไทยลุมพินี จึงได้จองโฮเตล ซึ่งก็ห่าง จากวัดไทยลุมพินีไม่ไกลนะ เป็นอันว่า เราต้องทานข้าวที่วัดนี้แล้ว ก็เดินทางไปพักที่โฮเตล ชื่อ Hotel Peace Z one คืนนี้ นอนกันสบายหน่อย เพราะนอนห้องละ 2 คน ไม่ต้องกังวล ในเรื่องการใช้ห้องน้ำ นั่นเอง การเดินทางและการไปกราบนมัสการสถานที่สำคัญของวันนี้ มีเพียง แห่งเดียว เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ใช้ในการเดินทาง โดยเฉพาะด่านชายแดนอินเดียที่จะข้ามไปประเทศเนปาล ทำให้เสีย เวลามากเหลือเกิน ค่ะ ทำให้โปรแกรมต่าง ๆ ต้องเลื่อน ไปด้วยในแต่ละวัน ซึ่งมันก็เป็นเหตุสุดวิสัย ที่พระอาจารย์ผู้นำทัวร์ ฝ่ายสงฆ์ต้องจัดการแก้ปัญหาและให้ลูกทัวร์แต่ละคน ให้ได้ประโยชน์จากการมานมัสการ สังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ใน ครั้งนี้ ซึ่งพระอาจารย์มหาดร.กิติพันธ์ ก็ได้ จัดสรรเวลาให้ได้ประโยชน์มากที่สุดแล้วค่ะ ต้องกราบขอบพระคุณ ในการบริหารเวลาในการนำทัวร์บุญครั้งนี้ ค่ะ และคิดว่า ถ้าคณะเพิ่มบุญพูนสุขทัวร์ จะจัดไปทัวร์บุญในครั้งต่อไป พระอาจารย์ก็คงจะให้ความกรุณารับเป็น วิทยากร อีก นะเจ้าคะ โปรดติดตามตอนที่ 4 ต่อไป ค่ะ
Create Date : 02 เมษายน 2563
Last Update : 25 เมษายน 2563 12:36:15 น.
40 comments
Counter : 2032 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณชีริว , คุณสองแผ่นดิน , คุณโอน่าจอมซ่าส์ , คุณhaiku , คุณtoor36 , คุณกะว่าก๋า , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณอุ้มสี , คุณสันตะวาใบข้าว , คุณทนายอ้วน , คุณmariabamboo , คุณnewyorknurse , คุณเนินน้ำ , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณtuk-tuk@korat , คุณKavanich96 , คุณ**mp5** , คุณmambymam , คุณร่มไม้เย็น
โดย: ชีริว วันที่: 3 เมษายน 2563 เวลา:21:13:38 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 4 เมษายน 2563 เวลา:0:03:10 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 เมษายน 2563 เวลา:6:48:43 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 4 เมษายน 2563 เวลา:9:33:44 น.
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 4 เมษายน 2563 เวลา:15:31:57 น.
โดย: mariabamboo วันที่: 4 เมษายน 2563 เวลา:20:21:23 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 เมษายน 2563 เวลา:22:52:38 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 เมษายน 2563 เวลา:6:56:46 น.
โดย: เนินน้ำ วันที่: 5 เมษายน 2563 เวลา:8:35:03 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 เมษายน 2563 เวลา:21:57:38 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 6 เมษายน 2563 เวลา:3:43:10 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 เมษายน 2563 เวลา:6:43:10 น.
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 6 เมษายน 2563 เวลา:18:29:03 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 เมษายน 2563 เวลา:22:33:33 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 เมษายน 2563 เวลา:6:13:25 น.
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 7 เมษายน 2563 เวลา:15:26:57 น.
โดย: **mp5** วันที่: 8 เมษายน 2563 เวลา:8:29:59 น.
โดย: mariabamboo วันที่: 8 เมษายน 2563 เวลา:11:19:12 น.
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 8 เมษายน 2563 เวลา:14:32:36 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 เมษายน 2563 เวลา:16:19:55 น.
โดย: ชีริว วันที่: 8 เมษายน 2563 เวลา:19:06:23 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 เมษายน 2563 เวลา:6:25:24 น.
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 9 เมษายน 2563 เวลา:15:36:04 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 เมษายน 2563 เวลา:19:53:36 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 เมษายน 2563 เวลา:6:30:54 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 เมษายน 2563 เวลา:13:43:51 น.
โดย: ชีริว วันที่: 10 เมษายน 2563 เวลา:22:08:24 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 เมษายน 2563 เวลา:6:10:49 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 เมษายน 2563 เวลา:19:08:46 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 เมษายน 2563 เวลา:7:23:45 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 เมษายน 2563 เวลา:13:35:03 น.
โดย: ชีริว วันที่: 12 เมษายน 2563 เวลา:20:37:14 น.
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [? ]
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
ตอนท่องเที่ยวในดินแดนแถบนี้ คงผ่านสถานที่สำคัญๆเยอะเลยนะครับ
มีอารยธรรมเกิดขึ้นยาวนาน ประวัติศาสตร์ก็เลยเยอะไปด้วย
สถานที่ที่พระเทวทัตถูกสูบยังชี้จุดถูกอีก คนสืบหาประวัติศาสตร์พุทธศาสนานี่ละเอียดจริงๆ
บ้านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถึงจะเป็นเศษอิฐไปแล้วก็น่าไปนะครับ
สมัยนั้นคงเป็นบ้านที่ใหญ่โตน่าดู
อินเดียขอทานเยอะจริงๆครับ พวกขายของก็ตื๊อมาก กระโดดตามเราขึ้นรถเมล์ยังมี
ยิ่งจำได้ว่าทัวร์ให้ตังค์เขาบ่อยๆก็ยิ่งแห่มากันใหญ่