|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
 |
|
เราไปเที่ยวเวียดนามกลางกัน นะ |
|
เราไปเที่ยวเวียดนามกลางกัน นะ
ประเทศเวียดนาม หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการ คือ ประเทศสาธารณรัฐ สังคมนิยมเียดนาม เป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรา ฉันเคยไปเที่ยวที่ประเทศนี้ มา 2 ครั้ง ครั้งแรก ไปเที่ยวที่เวียดนาม เหนือ ไฮไลท์ คือ ฮานอย ฮาลองเบย์ ครั้งที่ 2 เที่ยวเวียดมนามใต้ ไฮไลท์ คือ โฮจิมินท์ มุยเน่ ดาลัก มีทะเลทราย ขาว ทะเลทรายแดง ไปกับทริปของ ผอ.นพคุณ ครั้งที่ 3 ครั้งนี้ ก็ไปเที่ยว เวียดนามกลาง ไฮไลท์ ที่อยากไป ก็คือ บาน่าฮิลล์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิด เมื่อไม่นานมานี้เอง อยู่ในเมือง ดานัง ครั้งนี้ ไปเที่ยง 3 เมืองใหญ่ ๆ คือ เมืองดานัง เมืองเว้ และ เมืองฮอยอัน ค่ะ
ไปเที่ยวครั้งนี้ ฉันติดต่อ เจ ซึ่งเป็นพนักงานหาคนเที่ยวส่งบริษัท เอเย่นของเขา คือ บลิสส์ ทริป ทัวร์ แล้วเอเย่น ก็ส่งต่อบริษัททัวร์ใหญ่อีกที การจัดทัวร์ในสมัยนี้ เป็นเช่นนี้ มีบริษัท เอเย่น ส่งลูกทัวร์ให้บริษัทใหญ่อีกที ดังนั้น จะเห็นว่า เวลาไปเที่ยว ลูกทัวร์ก็จะมาจากบริษัทเอเย่นหลาย ๆ บริษัท มารวมกัน แต่ละทริป ก็จะมีลูกทัวร์ประมาณ 30 คนขึ้นไป ผิดกับบริษัททัวร์ในสมัยก่อนที่ฉันเคยไป เดี๋ยวนี้ บริษัมทัวร์ มีการ แข่งขันกันสูงมาก จึงต้องมีบริษัทเอเย่น นั่นเอง
การไปครั้งนี้ ฉันไปกับ อ้น น้องของอุ้ย โดยต้องให้เขาผ่อนค่าทัวร์ เดือนละ 2500 บาท จนครบ 12000 บาท เพราะเขาตังค์ไม่พอจ่ายค่าทัวร์ ท่านผู้อ่านคงขำนะ ว่า ทำไมฉันบ้า เที่ยวขนาดนั้น มันมีสาเหตุ ดังนี้ ค่ะ อิอิ เนื่องจากบัตรรถ Wealth ของฉันจะหมดอายุแล้ว ถ้าไม่ใช้ ก็เสียดาย รถเขาน่านั่งโออ่า นั่งสบาย รับ ส่ง ระหว่าง บ้านกับ สนามบิน และ สนามบินมาบ้าน เลยจำเป็นต้องไปเที่ยว ค่ะ ชวนคนอื่น เขาก็ไม่ว่าง ไปมาแล้วบ้าง เลยจำเป็น อิอิ
วันที่ 11 พ.ค. อ้น มารับฉันไปค้างที่คอนโดของเขา ซึ่งใกล้กับสนาม บินสุวรรณภูมิ เดินทางจากคอนโดประมาณ 15 นาที ก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ตอนขากลับ เราค่อยใช้บัตร Wealth จะได้ ส่งอ้นที่คอนโด(ทางผ่าน) แล้วจึงมาส่งฉันที่สุขุมวิท
เช้าวันที่ 12 พ.ค. ฉันตื่นตั้งแต่ ตีห้า กว่า ๆ อาบน้ำแต่งตัว แล้วอุ่น โจ๊กที่ฉันซื้อจากร้านโจ๊ก 38 ปากซอยบ้านฉัน ทานโจ๊กคนละชามก่อนอกจากคอนโด โดยให้ยามของคอนโดช่วย เรียกรถรับจ้างให้มารับพวกเราไปสนามบิน ประมาณ 15-20 นาที ก็ถึงสนามบิน ราคาค่ารถ ประมาณ 50 บาท ทางบริษัททัวร์นัดลูกทัวร์ไว้ 8.00 น. เรามาถึงเร็ว แต่ทางบริษัทก็มีเจ้าหน้าที่มาคอยต้อนรับอยู่แล้ว มาเช็คชื่อลูกทัวร์ ผูกโบว์ให้กระเป๋าของพวกเรา แล้วก็ ถ่ายรูปลูกทัวร์ที่มาด้วยกันด้วย เรามาสองคน เขาก็ถ่ายเราสองคน สงสัยจะนำไปโปรโมทบริษัทเขามั้ง อิอิ

ให้ถือป้ายบริษัททัวร์ที่เป็นเอเย่นด้วย Bliss ส่วนป้ายบริษัทใหญ่ Pho Vietnan จะเป็นป้ายใหญ่อยู่ด้านหลังเรา หลังจากถึงเวลาแล้ว มัคคุเทศก์ไทยที่จะพาพวกเราไปเวียดนาม ครั้งนี้ก็มาถึง ชื่อว่า นายอาทิตย์ ชื่อเล่นว่า โกกิ มาช่วยในการ เช็คอิน เรื่องตั๋วเครื่องบิน และ การโหลดกระเป๋าขึ้น เครื่อง ซึ่งก็ใช้เวลาไม่น้อย เพราะทริปนี้ 34 คน เครื่องบินจะออกจากสนามบิน เวลา 10.50 น. พวกเราจึงมีเวลาเดิน เที่ยวในสนามบินสองชั่วโมงน่าจะได้ ค่ะ ผ่านการตรวจคนออกนอกประเทศแล้ว ยายอ้น เห็นโฆษณาของ คิงส์เพาเวอร์ ให้ทำบัตร เสียเงิน 1000 บาท แต่ไม่ใช่ค่าสมัครนะ แต่เป็นเงินที่สามารถไปซื้อสินค้าที่อยากได้ใน จำนวนเงินนั้น ถ้าไม่พอ สามารถเติมเงินได้ และข้อสำคัญ ไปทานอาหารของคิงส์เพาเวอร์ในสนามบินได้ด้วย กินฟรี ค่ะ ซึ่งคราวไปไต้หวัน วรรณ เคยพาไป ทานแล้ว เดินหาร้านอยูนานเหมือนกัน เพราะมันอยู่ในทางเล็ก ๆ ถ้าไม่สังเกตก็หายากแหละ นะ แต่ในที่สุดก็หาเจอ เข้าไปกินแซนวิช น้ำส้ม และสลัด เหมือนเดิม คราวนี้ไม่ได้กินโจ๊ก เหมือนตอนไปไต้หวัน เพราะตอนเช้ากินมาแล้ว

ก่อนทาน ยายอ้น ก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกว่า ได้ใช้สิทธิ์แล้วนะ
ประมาณ 10.30. น. ทางสายการบิน ก็เรียกขึ้นเครื่อง เพราะเครื่องบิน จะออกประมาณ 10.50 น. ด้วยสายการบิน เที่ยวบิน VZ 961 เป็นเครื่องบินของประเทศเวียดนาม ราคาจะถูก กว่าสายการบินอื่น เช่น บางกอกแอร์เวย์ เครื่องบินอุ่นเครื่องนาพอสมควร กว่าจะเหินบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้าง ไกล ก็น่าจะประมาณ 11 โมงกว่าไปแล้ว ใช้เวลาประมาณ 1.40 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินของเมือง ดานัง เรา ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้วไปรอรับกระเป๋า ก่อนออกจากสนามบิน ถือโอกาสถ่ายรูปที่สนามบิน ดานังให้ชม ค่ะ

รูปนี้ ฝีมือของ โกกิ มัคคุเทศก์ของเรา ค่ะ
นำภาพระหว่างทางหลังจากที่ออกจากสนามบิน ดานัง บ้านเมืองเขา ร่มรื่นดี แลดู บ้านเมืองสงบ
ไกด์ท้องถิ่น มารับพวกเราขึ้นรถที่จัดเตรียมไว้แล้ว เขาแนะนำตัวเอง ว่าชื่อ แทน เป็นชาวเวียดนามมาเรียนหนังสือที่ประเทศไทย จบปริญญาตรีที่ไทย เขาพูดไทยได้คล่องแคล่ว เขาพาพวกเราไป ทานข้าวมื้อเที่ยงที่ร้านอาหาร เป็นอาหารเวียดนาม หน้าตาก็แปลก ๆ แหนมเนืองของที่นี่ หน้าตาและเครื่องเคียงไม่ได้ เหมือนที่เรากินที่ไทยเลย แต่น้ำสมุนไพรของเขาอร่อยมาก

อาหารมื้อแรกที่เวียดนาม เมืองดานัง ค่ะ
ร้านอาหาร เขาตกแต่งร้านสวยงาม พวกเราทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เข้าห้องน้ำห้องท่าแล้วมีเวลาเหลือ ก็ถ่ายรูปมาฝาก ค่ะ

มุมสวยตรงบันไดที่เราขึ้นไปทานข้าวมือเที่ยง ค่ะ

มีโคมสวย แบบโคมของเวียดนาม หน้าตาตามที่ถ่ายมาฝาก ค่ะ

หลังจากที่ได้รูปสวย ๆ พอหอมปากหอมคอแล้ว พวกเราก็ออกเดิน ทางต่อ มุ่งหน้าไปยังเมือง เว้ ต่อไป ไกด์แทน ก็ได้ให้ความรู้ประเทศของเขา และสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวกันค่ะ เขา เล่าว่า ประเทศเวียดนาม เนื้อที่ 3 ใน 4 ของประเทศ จะเป็นภูเขา มีประชากร 95 ล้านคน ที่ดิน มีน้อย ราคาที่ดินที่นี่แพง ตารางเมตรละ สามหมื่นกว่าบาท ที่ดินที่เมือง ดานัง ก็มีราคาแพงมาก เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว เขาเล่าว่า ที่เมืองดานัง เราจะไม่เห็น ขอทาน เลย ไม่มีคนตกงาน เป็นเมืองที่น่าอยู่ เล่าว่า เวียดนามอยู่ในการปกครองของจีนหลาย ร้อยปี คนที่นี่ ประมาณ ร้อยละ 60 ไม่มีศาสนา ร้อยละ 25-30 นับถือศาสนาพุทธ ที่เหลือ นับถือบรรพบุรุษ รถโค้ช พาพวกเราแล่นไปเรื่อย ๆ เดินทางสู่ เมืองเว้ รถแล่นไปตาม ถนนตามชายฝั่งทะเลตะวันตก มาลอดอุโมงค์ฮายวาน ที่สวยงาม เป็นอุโมงค์ที่เจาะระหว่างเขาฮายวาน มีความยาวถึง 6280 เมตร หรือ 6.28 กิโลเมตร เป็นอุโมงค์ ลอดใต้ภูเขาที่ยาวที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นทางเชื่อม ระหว่างเมืองดานังกับเมือง เว้ ทางตอนกลาง ของประเทศเวียดนาม บางแห่ง เรียกว่า ไห่วาน หายเวิน ความหมาย แปลตามภาษาเวียดนาม แปลว่า ช่องเขาแห่งเมฆหมอก จุดประสงค์ในการสร้างก็เพื่อย่นระยะทางระหว่างเมืองเว้ กับ ดานังให้ สั้นลง เมื่อลอดออกจากอุโมง์ ก็จะถึงเมืองดานัง ส่วนทะลุอีกด้านหนึ่ง ก็จะเป็นเมืองเว้ เรามาดูรูปอุโมงค์ อุโมงค์นี้ มีเวลาปิด ไม่ให้รถเข้า - ออก ด้วย ถ้า ไปไม่ทันบ่ายโมง เราต้องรอไปถึงบ่ายสองโมง จึงจะลอดอุโมงค์นี้ไปได้ ค่ะ อยู่ในรถ ก็ถ่ายรูปของอุโมงค์ ด้วย ได้ เห็นแต่หลังรถคันที่อยู่หน้ารถเท่านั้น ค่ะ

นี่คือ อุโมงค์ ฮายวาน ค่ะ
เมื่อออกจากอุโมงค์แล้ว ก็เข้าเขต เมืองเว้ แล้ว ทิวทัศน์เมืองเว้ ฉัน ก็ถ่ายจากในรถ โดยถ่ายออกไปทางหน้าต่างรถ ค่ะ

ระหว่างทางจะมีที่รถผ่าน จะเห็นธงชาติเวียดนามปักไว้ตลอดทาง

วิถีชีวิตของชาวเวียดนาม ตามที่รถของเราผ่านไป ค่ะ ภาพไม่ชัด เพราะว่า ถ่ายทะลุกระจกรถออกไป ค่ะ
สถานที่แรกของการเที่ยววันนี้ คือ วัดเทียนมู่ หรือในภาษาไทยเรา เรียกวัดนี้ว่า วัดเทพธิดา โดยมีตำนานเล่าว่า ขุนนางเหวียนฮวาง ได้ยินชาวบ้านเล่าว่า เคยเห็นหญิงสูงอายุ อยู่ตรง บริเวณเชิงเขา แต่งกายสีแดง ได้บอกกับชาวบ้าน แถบนั้นว่า ที่นี่จะมีผู้ยิ่งใหญ่มาสร้างเจดีย์ที่บริเวณเขานี้ และจะเป็น ผู้นำความสันติสุขมาสู่ชุมชนที่นี่ เมื่อขุนนางเหวียนฉวานได้ฟังชาวบ้านเล่าเช่นนั้น จึงได้สร้างเจดีย์และ ให้เจดีย์นี้ชื่อว่า Chua Thien Mu แปลว่า เจดีย์นางฟ้า คนไทยจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดเทพธิดา วัดเทียนมู่ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหอม ของเมืองเว้ สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2144 ตามความคิดของขุนนาง เหวียนฮวาน เป็นผู้ครอง เมือง เว้ ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดเทียนมู่ วัดแห่งนี้ เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน มีจุดเด่น คือ เจดีย์ เทียนมู่ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเว้ มาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1710 มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงเก๋ง แปดเหลี่ยม สูง 7 ชั้น แต่ละชั้นเชื่อว่า เป็นตัวแทนชาติภพต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า ทางด้านซ้ายและด้านขวา เป็นที่ตั้งของศิลาจารึก มีระฆังสำริดขนาดใหญ่ หนัก สอง ตัน ด้านหลังของเจดีย์ เป็นประตูทางเข้าสู่บริเวณวัด มีเทพเจ้า 6 องค์ ยืนเฝ้าประตู เพื่อไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามา เจดีย์เทียนมู เป็นเจดีย์ ที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของจีนและความเชื่อ ของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เจดีย์เทียนมู่ยังเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองและอำนาจ ในวัดแห่งนี้ ยังมีรถออสตินสีฟ้า ที่ทางวัดเก็บรักษาไว้และจัดแสดง พร้อมประวัติความเป็นมาของรถยนตร์คันนี้ให้นักท่องเที่ยว มาชมด้วย ไกด์แทนได้เล่าประวัติรถคันนี้ว่า ในปี พ.ศ. 2506 มีพระ ภิกษุรูปหนึ่งนามว่า ทิกกวางหยก อายุ 73 ปี เป็นเจ้าอาวาส วันเทียนมู่ด้วย ได้ใช้รถออสติน สีฟ้า คันนี้ เป็นพาหนะไปเผาตัวเอง กลางกรุง ไซ่ง่อน หรือเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ใน ปัจจุบัน เพื่อประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียม ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง และบังคับประชาชนให้นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิค ด้วยการใช้ความรุนแรง ไกด์ แทนเล่าว่า ร่าง ของพระภิกษุทิกกวางหยก ไหม้หมด เหลือหัวใจที่ไม่ไหม้ เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ประชาชน เป็นอย่างยิ่ง หลังเหตุการณ์สงบลง แล้ว รถออสตินคันนี้ ได้นำมาเก็บไว้ที่วัดเทียนมู่ จนถึงปัจจุบัน วัดแห่งนี้ จึงถือว่า มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และการเมืองของชาวเวียดนาม ค่ะ มาชมภาพ ค่ะ

เจดีย์เทียนมู่ เป็นเจดีย์ 7 ชั้น แต่ละชั้นเชื่อว่าเป็นตัวแทนชาติภพ ต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า ค่ะ

ที่เห็นประตูโค้ง นี้ เป็นประตูทางเข้าไปในตัววัด ค่ะ

บริเวณในวัด เทียนมู่ ค่ะ
 
มุมสวยอีกมุมหนึ่งภายในวัดเทียนมู่ ค่ะ

ถ่ายรูปรถออสติน สีฟ้า พาหนะของเจ้าอาวาส ทิกกวางหยก ที่ใช้ ไปเผาตัวเองประท้วงรัฐบาล โงดินห์เดียม ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
จากวัดเทียนมู่แล้ว ไกด์แทน ก็พาพวกเราไปช้อปปิ้งที่ตลาด ดงบา ซึ่ง ตลาดแห่งนี้ เป็นตลาดที่ใหญ่ มีการซื้อขายกัน ทั้งของสด ของคาว ของแห้ง ถ้าเทียบกับตลาดในประเทศไทย ก็คือ ตลาดจตุจักร นั่นเอง ตลาดนี้ ติดอยูกับแม่น้ำหอม แม่ค้าที่นี่พูดภาษาไทยได้ดีพอสมควร เวลาเราเดินผ่านไป เขาจะเชิญ ให้ซื้อสินค้าของเขา เช่น พวกกาแฟ ของเวียดนาม พวกปลาหมึกแห้ง ของที่ระลึก พวงกุญแจ แต่ไกด์โกกิบอกว่า ถ้าจะ ซื้อของ ต้องต่อราคาครึ่งต่อครึ่ง ถ้าเขาบอกไม่ได้ ให้เดินเลยไปเลย ถ้าเขาพอขายได้ เขาจะเรียกเรากลับไปซื้อเอง อิอิ เหมือนซื้อของในประเทศจีนเลยแหละ นะ ฉันไม่ได้ซื้ออะไรสักอย่าง อ้น ซื้อ พวงกุญแจ ของที่ระลึก 2 แผง ตก ราคาเงินไทยประมาณ 50 บาท ค่ะ

ถ่ายกับป้ายชื่อตลาด ดงบา ค่ะ

รถโค้ชที่พาพวกเราเที่ยว ค่ะ
   
บรรยากาศของตลาด ดงบาที่ พวกเราไปเดินชม ค่ะ
ออกจากตลาดดงบาแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารมื้อเย็นค่ะ อาหาร ก็คล้าย ๆ กัน ค่ะ เลยไม่ได้ถ่ายมาให้ชม หลังอาหารมื้อเย็น พวกเราก็เดินไปที่ท่าเรือ เพื่อที่จะล่องเรือมังกร ประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นจุดขายอย่างหนึ่ง บนเรือนั้น ก็มีของขาย มีนักร้องสวย ๆ มาร้องเพลง แสดงถึงวัฒนธรรมของชาวเวียดนาม มี การถ่ายรูปให้พวกเรา รูปละ 20 บาท ก็พอรับได้นะ มีการให้ช่วยซื้อกุหลาบ เพื่อนำไปให้นักร้องเป็นกำลังใจ ใครที่มีกำลัง เงินดี ก็มีการให้ทิปนักร้องสาวสวย ๆ 100 บาท กุหลาบที่จะให้นักร้องก็ขายกำละ 100 บาท พวกผู้ชายก็ช่วยกันซื้อ หลายคนอยู่เหมือนกัน ส่วนฉันอุดหนุนรูปถ่ายไป 3 ใบ 60 บาท

นั่งชมการแสดงของสาว ๆ และนักดนตรีชาวเวียดนาม ค่ะ

นักดนตรีและนักร้องของเรือลำของเราค่ะ

นักร้องที่เป็นหัวหน้าคณะ มีการพูดคุยและแนะนำเรื่องของดนตรี แล้ว ให้ไกด์ แทนแปลเป็นไทยให้พวกเราฟัง เป็นช่วง ๆ

นักดนตรีและนักร้อง หน้าตาสวยงามทุกคน ค่ะ
  
มีการร้องเพลงไทยโชว์ คือ เพลงลอยกระทง ให้นักท่องเที่ยวได้ออก ไปรำวงด้วย ค่ะ เป็นที่สนุกสนาน แล้วก็ให้ถ่ายรูปกับนักร้อง
  
จบรายการล่องเรือมังกรด้วยการทำกระทง จุดเทียนด้วย ให้พวกเรา ลงไปที่ท่าน้ำ เพื่อนำกระทงไปลอยในน้ำ ค่ะ เสียดาย มันมืด ไม่สามารถถ่ายรูปกันได้ ค่ะ

นี่คือ เรือมังกรลำที่พาพวกเราไปล่องแม่น้ำหอม ค่ะ
การล่องเรือมังกร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากขึ้นจากเรือ เรา ก็เดินไปขึ้นรถที่จอดรอพวกเราอยู่เพื่อไปพักที่โรงแรม คืนนี้เราพักกันที่โรงแรม Century Hotel หลังจากได้กุญแจ ห้องแล้ว ได้เลขรหัสตั้งไวไฟล์ใช้แล้ว พวกเราก็ขึ้นห้อง ค่ะ

ที่หน้าห้อง ห้องที่เราพัก อ้น เรียกหันไปถ่ายรูป เอ้า ตามใจเขาหน่อย

สภาพภายในห้องพัก ค่ะ ก็สบายดี พอประมาณ 4 ดาว ค่ะ
เช้าวันที่ 13 พ.ค. ฉันตื่นก่อนเวลาที่เขาปลุก ครึ่งชั่วโมง เพื่อจัดการ เข้าห้องน้ำ จะได้มีเวลาพอไม่ฉุกละหุกเกินไป อาหารมื้อเช้าวันนี้ ก็ทานที่โรงแรม ค่อยยังชั่วมีข้าวต้มด้วย มีสลัดผัก ที่ชอบด้วย กินตุนท้องไว้ก่อน เผื่ออาหารกลาววันไม่ถูกปาก ทานมื้อเช้าเสร็จ พอมีเวลาเหลือ ขึ้นห้อง เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย แล้ว ลงมาข้างล่าง ปรากฏว่า รถเรา แอร์เสีย เสียเวลาซ่อม ช้าไปกว่าเวลาที่กำหนดไป 15 นาที พวกเราเลยมีโอกาสได้ถ่ายรูป โรงแรม เมื่อคืนมาดึกแล้วไม่ได้ถ่ายอะไรเลย ค่ะ

หน้าโรงแรมที่พัก ค่ะ

ก่อนรถออก ก็มีปัญหาเล็กน้อย นั่นคือ ไปดื่มน้ำ ในห้องเกินไปจากที่ เขาให้ คนละขวด เขาเลยมาทวงค่าน้ำค่ะ โกกิ มาตามหา ห้องที่ไปดื่มน้ำเกินที่เขากำหนด เสียเวลาไปอีกเล็กน้อย รายการเที่ยววันนี้ แห่งแรก คือ พระราชวังโบราณไดโน้ย เป็นพระ ราชวังแห่งสุดท้ายของประเทศเวียดนาม ที่ ยูเนสโก้ประกาศให้เป็น แหล่งมรดกโลก ในปี พ.ศ. 2536 เป็นที่ ประทับ ที่ทำการของระบบราชวงศ์สุดท้าย ของประเทศเวียดนามคือ พระราชวงศ์เหงียน มีกษัตริย์ 13 พะองค์ที่ ขึ้นครองราชย์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1802 คนถึง ค.ศ. 1945 เป็นพระราชวังที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ใหญ่โต โอ่อ่า อลังการเป็น อย่างยิ่ง เป็นที่ประทับของกษัตริย์ นาน 146 ปี แต่เดิมก่อนตั้งราชวงศ์เหงียน นี้ เกิดกบฎ ไตเซิน ที่เวียดนาม จาก การชิงราชสมบัติกัน โอรสที่มีพระนามว่า เหงียน ฟุกอั๊ญ ได้มาขอลี้ภัยที่ประเทศไทยของเรา ในปี 2321 ได้อาศัยอยู่ที่ไทยถึง 4 ปี เหงียน ฟุก อั๊ญ ทำการปราบกบฏ ไตเซิน ได้สำเร็จ โดยการช่วยเหลือของฝรั่งเศส จึงเสด็จกลับประเทศ เวียดนาม ขึ้นครองราชย์ มีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ ซาล็อง หรือ คนไทยเรียกว่า องเชียงสือ เมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว ได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองฮานอย มาที่ เมืองเว้ สร้างเมืองหลวง คือ พระราชวัง ไดโน้ย ถือเป็นปฐม กษัตริย์ แห่งราชวงศ์ เหงียน ในปี 2528 สมัยแรก พระราชวัง ไดโน้ย มีเนื้อที่เพียง 5 ไร่ ต่อมา ฝรั่งเศสมา โจมตี ประเทศเวียดนามในสมัยมาล่าอาณานิคม ได้ทำลายวังนี้เสียหายมากมาย หลังสงครามเลิก ฝรั่งเศสได้จัดการ สร้างพระราชวังใหม่ โดยจำลองมาจาก พระราชวัง กู้กง พระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่งของประเทศจีน และ ใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์เวียดนาม มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น จาก 5 ไร่ เป็น 1200 ไร่ จนถึงกษัตริย์องค์สุดท้าย คือ จักรพรรดิ บ๋าวได่ ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ที่ 13 ต้องยอมสละ ราชสมบัติ และขอลี้ภัยไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส และให้รัฐบาลของ ประธานาธิบดี โงดินห์เดียมปกครองในปี พ.ศ. 2448 ตรงกับรัชกาลที่ 8 ของไทยเรา ช่วงนี้ พระราชวังนี้ถูกทิ้งร้าง ประชาชน เกลียดกษัตริย์ เพราะไม่ได้ใส่ใจทุกข์สุข ของประชาชน ต่อมา รัฐบาล จัดให้มีการบูรณะพระราชวังและสถาน ที่สำคัญต่าง ๆ ขึ้นใหม่ จุดมุ่งหมายไม่ได้คิด ที่จะเชิดชูกษัตริย์ของเขาหรอก แต่เพื่อจุดประสงค์ให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวเท่านั้นเอง พวกเรา เดินชมอยู่ในพระราชวังนี้ จนขาเมื่อยมาก เพราะสถานที่กว้างใหญ่มาก ลักษณะของพระราชวัง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ล้อมรอบด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 ด้าน (คล้ายพระราชวังสวนจิตรลดา) มีกำแพงอิฐขนาดใหญ่ถึง 3 ชั้น กำแพงชั้นนอก มีความยาวตลอดแนว 11 กิโลเมตร คือ ยาวด้านละ 2.5 ก.ม. สูง 6 เมตร หนา 2 เมตร มี 11 ประตู (หลงแย่ ไม่รู้จะออกประตูใด) มี 24 ป้อมปราการ มาชม พระราชวัง ไดโน้ต อันกว้างใหญ่ไพศาลมาก ค่ะ รถ ไม่สามารถเข้าไปได้ พวกเราต้องเดินเข้าวัง ไกลมาก ฝ่าฝูงรถ มอเตอร์ไซด์ ซึ่งให้เข้าได้ ระหว่างทางเดินเข้าวัง ชั้นนอก จะมีร้านค้าขายของมากมาย ไกด์แทน เดินนำหน้า เข้าไปถึง พระราชวังชั้นนอก พร้อมอธิบายให้ฟังไป

บรรยากาศ บริเวณชั้นนอกของวัง ค่ะ
 
ถ่ายรูปหมู่ก่อนจะเข้าไปในวัง ค่ะ
  
มีการแสดงของทหาร เหมือนมาต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้าชมวัง
 
เมื่อเข้ามาถึงตัววังแล้ว ไกด์แทน อธิบาย แผนภูมิแสดงที่ตั้งของสถาน ที่ต่าง ๆ ภายในวังว่า ส่วนไหน อยู่ที่ใด เป็นเช่นไร

ภายในวัง มีร้านขายของ ขายน้ำ ไอศกรีม และของที่ระลึกต่าง ๆ
      
ช่วงนี้ เป็นทิวทัศน์ระหว่างทางที่จะออกประตูของวัง สวยงาม ค่ะ

นี่เป็นประตูที่เราออกมาค่ะ ต้องโทรถามไกด์ ว่าออกทางถูกไหม เพราะ ที่นี่มีถึง 11 ประตู ค่ะ

ออกจากประตูวังแล้ว ยังต้องเดินเลียบตามคูน้ำออกไปอีกเป็นกิโล ๆ ขาเมื่อยมาก ๆ เลย ค่ะ

นี่เป็นทางที่จะเข้าไปเขตวัง เป็นถนนใหญ่ด้านนอก ให้แต่รถ มอเตอร์ไซด์ รถตุ๊ก ๆ เข้าได้รถโค้ตไม่ให้เข้า เดินไกลมาก ๆ
ออกจากวังไดโน้ย แล้ว ไกด์ แทน ก็พาพวกเราไปละลายทรัพย์ที่ร้าน ขายสินค้าที่ทำจากเยื่อไผ่ ร้านนี้ได้เงินจากฉันไปเยอะ เพราะฉันเคยไปประเทศจีนและซื้อสินค้าที่ทำจากเยื่อไผ่ ราคาค่อน ข้างแพง แต่คุณภาพ ก็โอเค ค่ะ แต่ที่เวียดนาม ฉันยังไม่ทราบว่าคุณภาพเป็นอย่างไร แต่สินค้าที่เขาขาย เหมือนของ ที่จีน ที่ฉันเคยไปซื้อแล้ว เช่น ที่คาดเอว บรรเทาความปวดเอว ปวดเข่า มีบัวหิมะ แต่นำเข้าจากจีน แล้วก็มี กางเกงชั้นใน แต่ที่นี่แพงกว่าของจีน ตัวหนึ่งตกสองร้อยเศษ ๆ ของจีนไม่ถึง ฉันเลยซื้อมาใช้เพียงตัวเดียว นอกนั้นก็ซื้อพวกถุงแก้กลิ่นอับในตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น แปรงสีฟัน ร้านนี้ คนซื้อเยอะมากทีเดียว ฉันคนเดียวยังซื้อไปตั้ง 6 แสนกว่า ดองเลย อิอิ

มีการสาธิต อธิบายสรรพคุณของสินค้าต่าง ๆ ที่จะขาย พูดจนคนฟัง เคลิ้มไปเลย พูดเก่งจริง ๆ พูดภาษาไทยคล่องด้วย ที่ถืออยู่ในมือ คือ เยื่อไผ่ ค่ะ
ซื้อของที่นี่นานนับเป็นชั่วโมงเลยจ้ะ คนละ หลายแสนดองทีเดียว กว่า จะได้ออกจากร้าน ก็ถึงเวลาทานข้าวมื้อเที่ยงแล้ว

นี่คือ อาหารมื้อเที่ยง ค่ะ หลังอาหารมื้อเที่ยง ไกด์ แทน ก็พาพวกเราไปชมร้านไช่มุก ฟัง เจ้าของร้านซึ่งเป็นคนไทยแต่งกับชาวเวียดนาม แล้วมาทำฟาร์มไข่มุก ทำผลิตภัณฑ์ไข่มุกขาย สวย ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ ราคาก็สวยไปด้วย ได้แต่ชื่นชมอย่างเดียว ไม่ทราบมีใครซื้อหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ นอกจากเครื่องประดับแล้ว ยัง มีครีมที่ทำจากไข่มุกขาย เครื่องสำอางรู้สึกมีคนซื้อ ค่ะ

คนไทยที่แต่งงานกับชาวเวียดนาม เจ้าของฟาร์มไข่มุกเป็นวิทยากรเอง บรรยายวิธีการเลี้ยงหอยมุก และสรรพคุณของไข่มุก
เราอยู่ที่นี่ค่อนข้างนาน เพราะเราไปไม่ทันเวลาที่อุโมงค์ปิด เพราะ อุโมงค์ ปิดเที่ยงครึ่งกว่าจะเปิดอีกที่ต้อง บ่ายครึ่งค่ะ ทำให้เป็นสาเหตุให้เดินทางไปถึง บาน่าฮิลล์ เลยเวลาที่กำหนดไว้เป็น ชั่วโมง เพราะระยะทางจากตัวเมืองไป บาน่าฮิลล์ 25 ก.ม. แถมโชคไม่ดี ฝนตกด้วย นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว ก็มากมายเหลือ เกิน ค่ะ ภูเขาบาน่าฮิลล์ นี้ ประกอบไปด้วยรีสอร์ท โรงแรม ไฮไลท์ของที่นี่ คือการนั่งกระเช้า ขึ้นไปบนเขาและ พักบนเขาบาน่าฮิลล์ ซึ่งได้รับการบันทึก สถิติโลก โดย World Record ว่าเป็นกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลกใน ประเภท Non Stop คือ นั่งยาวตลอดระยะทาง ประมาณ 30 นาที เพราะมีความยาวถึง 5801 เมตร บางแห่งบอกว่า ยาว 5042 เมตร สูงสุด1368 เมตร (บางแห่งบอกว่า 1291 เมตร)
ในอดีต บาน่าฮืลล์ เป็นที่ตากอากาศที่ดีที่สุดในเวียดนามกลาง ในสมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนาม ได้ใช้ที่นี่ เป็นที่พักผ่อน เพราะที่บนเขาสูงนี้ อากาศเย็นสบาย แต่หลังจากที่ ฝรั่งเศสแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 จึงต้องกลับ ประเทศฝรั่งเศสไป บาน่าฮิลส์จึงถูกปล่อยทิ้งร้างนานหลายปี ในปี ค.ศ. 2009 ได้มีการปรับปรุงเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ของประเทศเวียดนาม ที่ลือชื่อ ที่เที่ยวหลากหลายแห่ง และเพิ่ง เปิดตัว สะพานมือ เมื่อต้นเดือน มิถุนายน ปี พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นที่โดดเด่นของสถานที่ที่พลาดไม่ได้ คือ สะพานสีทอง (Gllden Bridge) ซึ่งเป็นสะพานที่โค้งยาว ไปตามแนวเขา มีอุ้งมือหินขนาดยักษ์แบกรับสะพานสีทองนี้ไว้ ถือ เป็นไฮไลท์ของบาน่าฮิลล์สะพานสีทองนี้ เหมาะสำหรับจะมาเดินเล่นรับลมเย็น ๆ ท่ามกลางท้องฟ้า เมฆหมอก สะอาดขาวบริสุทธิ์ เหมือนได้ล่องลอยอยู่บนวิมานเมฆ ทีเดียว (ฝัน ๆ ไป อิอิ)
ไกด์ แทน และโกกิ ไปจัดการเรื่องตั๋วที่จะนั่งกระเช้า และที่พักคืนนี้ ซึ่งต้องแยกพักเป็นสองแห่งด้วย เสื้อผ้าก็ให้เตรียมมาสองชุด ไม่ให้นำกระเป๋าใหญ่ขึ้นไปที่โรงแรมที่พัก มันลำบาก หลังจาก ทั้งสองไกด์จัดการเรื่องบัตรเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ถือบัตรเตรียมเข้า เครื่องที่ให้เข้าไปเพื่อจะได้ขึ้นกระเช้า ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ คอยให้บริการจัดคนให้ขึ้นกระเช้าเพื่อให้ขึ้นไปบน บาน่าฮิลล์ ให้ขึ้น ได้ประมาณ 4-5 คน ค่ะ เมื่อขึ้นไปถึงบน บาน่าฮิลล์แล้ว พวกเราถูกแยกเป็นสองกลุ่ม ต้อง แยกพัก เพราะในซีกตึกเดียวกันไม่พอ กลุ่มหนึ่ง มีโกกิ เป็นผู้นำไปสู่ที่พัก อีกกลุ่มหนึ่งมี ไกด์แทนนำไปสู่ที่พัก คนละซีก ตึกกัน นัดเวลามาเจอกันชั้นล่างของตึกที่ฉันพัก โรงแรมที่พัก คืนนี้ คือ Mercue Danang French Village Baba Hill Hotell จากนั้นแล้วไกด์แทนจะพาไปเที่ยว สะพานมือ หรืออีกชื่อหนึ่ คือสะพานทอง ตอนนี้ ฝนยังตกพรำ ๆ แต่ไม่หนักแล้ว 
กำลังนั่งกระเช้าขึ้นเขา บาน่าฮิลล์ ค่ะ ทิวทัศน์งดงาม ด้่นล่างเป็นเหว ลึก อุดมด้วยป่าไม้เขียวขจี ป่าสมบูรณ์มาก ค่ะ

ด้านล่าง บางช่วงเราจะเห็นน้ำตกไหลจากเขาสูงเป็นช่วง ๆ ค่ะ

ระหว่างทางของกระเช้าแต่ละจุด ดูมีความมั่นคงมาก ลวดสลิง เส้นใหญ่ ทำให้อุ่นใจสำหรับคนนั่งกระเช้าขึ้นไป ค่ะ

ลงจากกระเช้า ยังต้องเดินอีกระยะหนึ่ง ไกด์แทนได้อธิบายถึงสถานที่ ที่พวกเราจะเที่ยวบนบาน่าฮิลล์ ว่า มีอะไรบ้าง เช่น สะพานลอยฟ้า โกลเด้น ซึ่งสร้างติดริมผาที่สวยงามมากที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมผาบนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 1400 เมตร ระยะทางของสะพาน 150 เมตร ตัวสะพานทา ด้วยสีเหลืองทอง จึงเรียก สะพานทอง ค่ะ นอกจากสะพานมือแล้ว บนบาน่าฮิลล์ ยังมีสวนดอกไม้ที่ตกแต่ง จัด ไว้อย่างสวยงาม มีโซนหมู่บ้านฝรั่งเศส เป็นที่ตั้งโรงแรมชื่อ Danang French Village Baba Hill Hotell ออกแบบสไตล์ยุโรป ทันสมัย มีโบสถ์วิหารจำลองมาจากโบสถ์ Notre -Dame ที่ปารีส มีร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ เป็นกลิ่นไอฝรั่งเศสยุคกลาง
หลังจากที่ฟังไกด์แทนอธิบายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ให้พวกเราไปเดิน เที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ที่อยู่บนบาน่าฮิลล์ มาชม ค่ะ
   
อีกมุมหนึ่งบนบาน่าฮิลล์ ค่ะ

มุมนี้ เป็นสวนสนุก มีเครื่องเล่นมากมาย น่าเสียดาย ฉันไม่มีเวลาได้ เข้าเล่นในนี้เลย ค่ะ ไปถ่ายรูปกันมากกว่า อิอิ
  
บนบาน่าฮิลล์ มีวัด Linh Chua Linh Tu เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรม สไตล์จีน ประดิษฐานพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ สูงถึง 27 เมตร เชื่อว่า ที่นี่เป็นจุดเชื่อมต่อกันระหว่าง ท้องฟ้าและโลก เป็นจุดศูนย์รวมของ หยิง และ หยาง ตามความเชื่อของชาวจีน สูงจากน้ำทะเล 1500 เมตร

หลังจากที่ผ่านสะพานมือเข้ามาแล้วจะมีสวนดอกไม้ และสถานที่ต่าง ๆ จัดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปมากมายเลยค่ะ
       
สวนดอกไม้ Le Jardind' Amour มี 9 โซน แต่ละโซน ตกแต่งใน รูปแบบที่แตกต่างกันไป
         
อาหารมื้อเย็น นี้ ไกด์แทน เขาจัดให้พวกเราทานข้าวที่ภัตตาคารบน บาน่าฮิลล์ เป็นอาหารบุฟเฟ่ นานาชาติ มื้อนี้ เลือกทานกันได้สบายมาก เป็นมื้อที่ทานกันได้มากกว่ามื้ออื่น ๆ เพราะมีอาหารให้เลือกมากมาย ค่ะ

บรรยากาศในภัตตาคารบนบานาฮิลล์ มีอาหารหลากหลายมากมาย

บรรยากาศห้องนอน บน บาน่าฮิลล์ การเที่ยวในวันที่ 1และ2 ก็ขอเล่าไว้เพียงเท่านี้ ค่ะ พบกันใหม่ใน ตอนที่ 2 ในโอกาสต่อไป นะคะ
Create Date : 19 มิถุนายน 2562 |
Last Update : 10 กรกฎาคม 2562 8:45:53 น. |
|
34 comments
|
Counter : 4341 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณอุ้มสี, คุณกะว่าก๋า, คุณSai Eeuu, คุณkae+aoe, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณตะลีกีปัส, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณtuk-tuk@korat, คุณruennara, คุณnewyorknurse, คุณเนินน้ำ, คุณtoor36, คุณร่มไม้เย็น |
โดย: อุ้มสี วันที่: 10 กรกฎาคม 2562 เวลา:9:12:46 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 กรกฎาคม 2562 เวลา:12:04:53 น. |
|
|
|
โดย: Sai Eeuu วันที่: 10 กรกฎาคม 2562 เวลา:14:11:54 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 10 กรกฎาคม 2562 เวลา:15:21:29 น. |
|
|
|
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 10 กรกฎาคม 2562 เวลา:20:44:52 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 10 กรกฎาคม 2562 เวลา:23:47:04 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กรกฎาคม 2562 เวลา:22:38:01 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 12 กรกฎาคม 2562 เวลา:0:25:14 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:28:56 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 กรกฎาคม 2562 เวลา:11:06:28 น. |
|
|
|
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 12 กรกฎาคม 2562 เวลา:11:07:06 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 12 กรกฎาคม 2562 เวลา:13:12:08 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:25:49 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 กรกฎาคม 2562 เวลา:11:41:36 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:47:15 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:14:03:17 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:16:31:59 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:21:16:46 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:48:37 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 15 กรกฎาคม 2562 เวลา:11:53:19 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 กรกฎาคม 2562 เวลา:19:57:21 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:43:17 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 กรกฎาคม 2562 เวลา:22:17:15 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:19:30 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 กรกฎาคม 2562 เวลา:11:52:52 น. |
|
|
|
|
|
 |
|
|
|
 |
ฝากข้อความหลังไมค์ |
 |
Rss Feed |
 | Smember |  | ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]

|
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif |
|
 |
|
คนเวียดนามเขาใส่ชุดประจำชาติเขาหุ่นดีเลยนะคะ สถานที่เที่ยวของเขาก็สวยแปลกตาสวยงามด้วยดอกไม้ดีค่ะ อาหารเวียดนามก็อร่อย
ขอบคุณครูค่ะที่พาเที่ยว