1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31
ความศรัทธาของชาวพุทธ กับ สังเวชนียสถาน (ตอนที่ 1)
ความศรัทธาของชาวพุทธ กับ สังเวชนียสถาน (ตอนที่ 1) "ความศรัทธา" เ ป็นพลังที่จะช่วยส่งเสริมให้คนเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ สำเร็จตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีได้ ดังเช่นฉัน ซึ่งตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้ว่า ฉันจะต้องเดินทางไปสักการะ สังเวชนียสถาน อันเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และ ปรินิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาของชาวพุทธสักครั้งหนึ่ง ในชีวิตในฐานะชาวพุทธ ฉันตั้งใจมานานมากพอสมควร แต่ไม่สบโอกาสสักครั้ง เนื่องจากเพื่อน ๆ ที่เคยเดินทางท่องเที่ยว ด้วยกัน เขาก็ไปกันมาแล้ว บางคนก็ไม่อยากไป เพราะกลัวความยากลำบาก โดยเฉพาะในเรื่องของห้องน้ำระหว่าง เดินทาง เรื่องอาหารการกิน ความไม่สะอาด ฯลฯ และแล้ว ความตั้งใจ ความศรัทธาที่ต้องการไปสักการะที่สังเวชนีย- สถานของฉันก็ประสบความสำเร็จ สมดังใจปรารถนา วันนั้น ฉันไปเรียนภาษาจีนที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาตาม ปรกติ ฉันชวน เอมอร ว่า ไปญี่ปุ่นกันไหม เขาบอกว่า ไปไม่ได้ เพราะว่า เขาจะไปทัวร์อินเดีย ที่สังเวชนียสถานแล้ว (ซึ่ง ฉันไม่คิดว่า เอม เขาจะชอบไป เพราะเขาไม่ค่อย สนใจเรื่องของศาสนาเท่าไหร่นัก ) ฉันต่อว่าเขาว่า ทำไมไม่เห็นชวน ฉันล่ะ เอม บอกว่า เห็นว่า ไปลำบาก เพราะพักวัด กินอยู่กับวัดตลอดระหว่างการเดินทาง ไม่ได้พักโรงแรม เพราะคณะ ที่ไปด้วย เขาจัดกันเอง กลัวเธอลำบาก เลยไม่ชวน ฉันตอบเอม ไปว่า เธอคิดผิด ฉันไม่เคยกลัวความยากลำบาก เพราะ ฉันตั้งใจไว้ว่า ในฐานะที่ฉันเป็นชาวพุทธ ฉันต้องไป สักการะ ยังสังเวชนียสถานสักครั้งหนึ่งก็ยังดี เอม จึงรับปากว่าจะไป ถามคนจัดว่า ยังมีเหลือที่จะรับอีกสักคนไหม และแล้ว ด้วยความศรัทธา ด้วยความตั้งมั่น เอมโทรมาบอกฉันใน เย็นวันนั้นว่า เหลือที่ว่าง 1 ที่ เพราะว่า มีคนเขาถอนตัว ฉันเลยกลายเป็นคนที่ 31 ของทริป นี้ ค่ะ เอม ให้ฉันติดต่อกับน้องที่ชื่อจอย ซึ่งเอม เคยไปเที่ยวกับจอยมาได้ สัก 2-3 ครั้งแล้ว จอย เป็นคนน่ารัก ได้ติดต่อฉัน และมารับพาสปอร์ตจากฉันไปดำเนินการทันที และให้คำแนะนำว่า ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างให้เขาไปดำเนินการ ในเรื่องของการทำ วีซ่า ประเทศอินเดียและประเทศเนปาล และยังเคย นำมะม่วงน้ำดอกไม้มาฝากฉันและเอมคนละ 1 ถุงใหญ่ด้วย การเดินทางครั้งนี้ ราคาทัวร์ คนละ 33,000 บาท จำนวนวันที่ไป 12 วัน โดยสายการบินอินดิโก แต่ต่อมา มีการเปลี่ยน สายการบินเป็นแอร์เอเซียและเหลือเพียง 11 วัน ฉันก็ไม่ทราบสาเหตุ เป็นเพราะเหตุอะไร ค่ะ และต้องไปขึ้นเครื่องที่ ดอนเมืองด้วย การเดินทางไปจาริกแสวงบุญครั้งนี้ คือ วันศุกร์ที่ 21 ก.พ. กลับ วันที่ 2 มี.ค. 63 นัดพบกัน 8.00 น. ที่ดอนเมือง วันที่ 21 ก.พ. ฉันนัดรถ ลีมูซีน มารับที่บ้าน 6.30 น. แล้วเอม จะรอ อยู่ที่ปากซอยสุขุมวิท 38 ทางเข้าบ้านของฉัน เพื่อจะรับเอมไปสนามบินดอนเมืองด้วยกัน เอมมาตรงเวลาตามที่นัดไว้ รถ ลีมูซีน ที่ให้มารับก็มาก่อนเวลา พวกนี้ เขาทำงาน ตรงเวลาดีมาก ไม่เคยมารับสายเลย ค่ะ เรามาถึงสนามบินประมาณ 7.15 น. มาถึง เอม โทร หาจอย แต่ จอยไม่ได้รับสาย เราเดินอยู่บริเวณที่นัดสักพัก เห็นคนใส่ชุดขาวเดินมาหาพวกเรา (ทางคณะผู้จัดทัวร์นัดให้วันนี้ใส่ ชุดชาวทุกคน ) เราก็รู้แล้วว่า ต้องไปคณะเดียวกัน ทักทายถามกันแล้ว รู้ว่า เธอก็คือ น้องเล็ก (มาริสา) หัวหน้าคณะ ในการจัดทัวร์แสวงบุญครั้งนี้ นั่นเอง เธอตัวเล็ก ๆ แต่แข็งแรงมาก ท่าทางกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ว่องไว มาช่วย ลากกระเป๋าให้ฉันด้วย และพาไปนั่งรวมกลุ่ม กับคนอื่น ๆ ซึ่งมากันหลายคนแล้ว ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อิ่มบุญ ที่จะได้ไปจาริกบุญด้วยกัน หลาย ๆ คนที่มาก่อน คงเป็นคณะที่ร่วมกันจัดทัวร์บุญครั้งนี้ มีคนมาแจกน้ำคนละ 1 ขวด แจกซองเอกสาร ซึ่งมีวีซ่า เนปาล และอินเดีย ปากกา เอกสารเกี่ยวกับตั๋วเครื่องบิน พาสปอร์ต แจกถุงผ้าร่ม ผ้ายางสำหรับ ปูนั่งเวลาสวดมนตร์พร้อม ๆ กัน แจกหนังสือสวดมนตร์ 1 เล่ม การไปแสวงบุญครั้งนี้ เรามีพระร่วมเดินทางไปทั้งหมด 4 รูป มีพระ เป็นหัวหน้านำทัวร์ให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ 1 รูป คือ พระมหาดร.กิติพันธ์ ช่วงที่เรานั่งรอสมาชิกมาให้ครบ นั้นมีพระที่ไปด้วยมาแล้ว สอง รูป ฉันได้นำลูกสมอ ที่ เอ๋ ฝากมาถวายพระ เพราะ ลูกสมอ ถือเป็นอาหารที่สามารถฉันได้ หลังเพล นั่นเอง เอ๋ ฝากมาห่อละ 2 ขีด 11 ห่อ เพื่อให้เบากระเป๋า ฉันเริ่มถวายพระที่มาแล้ว 2 ห่อ สักพักใหญ่ ๆ มีพระรูปร่างเล็ก ๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูอารมณ์ดี ทราบภายหลัง ก็คือ พระมหา ดร.กิติพันธ์ ฉันก็รีบนำสมอไปถวายอีก 1 ห่อ และเมื่อไปตรงรอเช็คอิน ได้พบพระอีกรูป คือ ท่านมหาเหมือน ก็นำไปถวายอีก 1 ห่อ ที่เหลือ ก็จะนำไปถวาย ตอนถวายผ้าป่า วัดละ 1 ห่อ ต่อไป ค่ะ พระอาจารย์ทั้ง 4 รูปที่ร่วมคณะการแสวงบุญครั้งนี้ ค่ะ เมื่อได้เวลาในการเช็คอินแล้ว พวกเราก็เคลื่อนย้ายไปยังที่เช็คอิน สัมภาระของพวกเราเยอะมากนะ เป็นกล่อง ๆ น่าจะถึง 10 กล่อง เชียวนะ ทุกคนช่วยกันเข็น แต่ฉันกับเอม และอีกหลายคนไม่ได้เข็น เขาคงเห็นว่าเป็นผู้สูงอายุ นั่นเอง ห้าห้าห้า มาชมภาพค่ะ ภาพเหล่านี้ ตัดต่อจากวิดิโอของน้องต้อย ค่ะ ช่วงของการเช็คอิน ค่อนข้างวุ่นวาย เพราะน้ำหนักเกิน ต้องวิ่งหาคนที่ น้ำหนักยังมีเหลือ เพื่อนำไปเฉลี่ยน้ำหนัก จอยก็วิ่งมาหาฉัน ให้นำพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินไปแสดงให้เจ้าหน้าที่ดู ว่า ของเรายัง มีน้ำหนักเหลือ ที่จะแชร์ให้คณะได้ ช่วงนี้ มีคนในคณะ ทำพาสปอร์ตหาย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวเชียว แต่ในที่สุดก็หาเจอ เฮ้อ! โล่งอกไปทีเนาะ หลังจากที่เช็คอินกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันไปตาม อัธยาศัย ฉันกับเอม ไปเข้าเลานจ์ของทีเอ็มบี ตามสิทธิ์ของบัตรเครดิต คือ เลานจ์ มิชลิน ( Michlin) หลังจากแสดง บัตรเครดิตแล้ว เขาก็ให้เข้าไปใช้สิทธิ์ทานอาหารได้ แต่เราสองคน กินไม่ได้มากหรอก เพราะทานมาแล้ว ทานนิดเดียว เพื่อใช้สิทธิ์เท่านั้นเอง หลังจากทานอาหารแล้ว เราสองคนก็ไปยังเกทที่จะขึ้นเครื่อง ตามกำหนด เครื่องจะบินในเวลา 12.05 น. ช่วงนี้ ฉันรู้จักเพื่อนของเอม สอง คน ซึ่งเขา เคยไปเที่ยวด้วยกันหลายทริป ชื่อว่า น้องแจ่ม (แจ่มศรี) อีกคนชื่อว่า น้องต๋อย (เมธินี) ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล คิดว่า ทั้งสองคนคงรู้ใจกันและกันดีมาก บางครั้งฟังเขาโต้เถียงกัน ด้วยคำค่อนข้างแรง เหมือนทะเลาะกัน (คนที่ไม่รู้ว่า เขาเป็นเพื่อนกันมา จะคิดว่าเขาทะเลาะกัน) แต่ก็ไม่มีอะไร แล้วหัน มาฟ้องฉัน "ดูซิ คนอย่างนี้ มันน่ามั้ย " ฉันก็ได้แต่ยิ้ม ๆ และหัวเราะ ใหม่ ๆ ก็นึกกลัวเหมือนกัน แต่เห็นเป็นเรื่องที่เกิดบ่อย ๆ ก็เลยเคยชินและเข้าใจว่า เขาเป็นเพื่อนรักกัน คงเถียงกันอย่างนี้เป็นประจำ ก็เลยเบาใจไป กลายเป็นเรื่องธรรมดาใน ชีวิตประจำวันไป ไม่เหงาหูดี ห้าห้าห้า และแล้วก็ถึงเวลาได้ขึ้นเครื่องบินแล้ว พวกเรา 31 ชีวิต ก็ขึ้นเครื่อง ไป ฉันไม่ได้นั่งคู่กับเอม ไปอยู่เกือบท้ายเครื่อง แต่ละคนก็คงกระจายไปนั่งตามที่ตั๋วเครื่องบินกำหนด ใครเป็นใคร วันนี้ ยังไม่รู้จักใครสักกี่คนเลย ค่ะ ฉันได้ที่นั่งกับน้อง ที่เขาไปกับครอบครัว มีแม่และลูกสาวสามคน พวกเขาก็แยกกันอยู แต่สักพัก น้องที่นั่งกับฉัน แม่เขาก็มาเรียกไป นั่งด้วยกัน ที่นั่งของฉัน ก็เลยโล่ง ว่างสองที่ นั่งสบายไปเลยน่ะซี่ เวลาของอินเดีย ช้ากว่าของไทยเรา 1.30 ชั่วโมง เราถึงสนามบิน ท่าอากาศยานนานาชาติพาราณสี เวลา 13.50 น. เท่ากับว่า เราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง เศษ ๆ ก็มา ถึงประเทศอินเดีย อันเป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ การผ่านด่านคนตรวจคนเข้าเมือง ก็ไม่ยุ่งยากมากนัก มีการถามบ้าง ใครที่ไม่รู้เรื่อง ก็มีคนในคณะช่วยกันบอกกัน ในที่สุดคณะเราก็ผ่านออกมาอย่างฉลุย เตรียมไปรับกระเป๋ากันเหมือน ทุก ๆ ครั้งที่ไปต่างประเทศ แต่ที่นี่ อินเดีย จะมีผู้มาทำหน้าที่เพื่อเข็นกระเป๋าพวกเรา โดยไม่ต้องเชื้อเชิญเลย ค่ะ เพราะพวกเขาจะได้รายได้จากการทำงานนี้ นั่นเอง เราจะเข็นเอง เขาก็ไม่ยอม ในที่สุดก็ต้องให้เขาเข็นกระเป๋าเรา ฉันมี กระเป๋าใบเดียว เอม ก็มีใบเดียว น้อง ๆ เอาไปรวมอยู่ในรถเข็น แล้วก็คงจ่ายไปรวมกันกับน้อง ๆ ซึ่งเป็นคนจ่ายรูปีไป ค่ะ ขอขอบคุณ น้อง ๆ ที่จ่ายรูปีไปด้วย ค่ะ พวกเราต้องเดินตามคนเข็นกระเป๋าของพวกเราออกจากด่าน และมอง หาคนที่จะมารับเรา โดยมองที่คนถือป้ายโชว์ว่ามารับใคร แล้วในที่สุด พวกเราก็เจอคนถือป้ายที่จะมารับเรา เขาเป็นคนรูปร่าง ท้วมนิด ๆ มีเปียเล็ก ๆ ถักไว้ที่ท้ายทอย ใส่แว่นด้วย พวกเราเดินตามเขาไปขึ้นรถบัสที่เขาเตรียมไว้มารับเรา น้องเล็ก เขาเป็นคนรอบคอบ ได้เขียนชื่อของสมาชิกเป็นคู่ ๆ ไว้ ให้ พระสงฆ์นั่งเดี่ยว 2 รูป อีกสองรูป มีสมาชิกผู้ชายนั่งริม กันสีกาทั้งหลายไม่ให้ถูกจีวรพระ ค่ะ และผู้สูงอายุหน่อยก็ให้นั่งหน้า เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคณะทำงาน ผู้ประสานงาน จะนั่งอยู่ท้ายรถเกือบทั้งหมด ค่ะ เมื่อทุกคนนั่งกันตามที่น้องเล็กจัด ให้แล้ว รถเราก็เริ่มเคลื่อนออกจากสนามบินไป มีการแนะนำ ทักทายกัน โดยน้องเล็กเป็นคนแนะนำ ว่า มัคคุเทศก์ ที่จะคอยบริการเรา และพาเราไปตามกำหนดการ ที่วางไว้ ชื่อว่า นาย จันดัล ค่ะ นายจันดัล มัคคุเทศก์ที่แสนน่ารัก บริการดีมาก ค่ะ นี่คือ น้องเล็ก (มาริสา) สาวมั่น ตัวเล็ก แต่ใจสู้ คล่องแคล่ว ว่องไว ประสานงานกันเรื่องที่พัก ตลอดทริปนี้ น้องเล็กได้กล่าวทักทายสมาชิก แนะนำตนเอง แนะนำ พระที่มาร่วม ทริปทั้ง 4 รูป และเล่าให้ฟังว่า ทริปนี้ เป็นทริป ที่จัดเป็นครั้งแรก โดยมีพี่ ๆ น้อง ๆ ร่วมกัน ช่วยกันจัดทริปแสวงบุญ ครั้งนี้ และนิมนตร์พระอาจารย์มหากิติพันธ์มาเป็นวิทยากร มีคณะที่ช่วยทำงาน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบแต่ละด้านกันไป เช่น ฝ่ายการเงิน ฝ่ายหาสมาชิกมาร่วมทริป ฝ่ายจัดอาหาร การกิน ฯลฯ ทำให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ ในการแสวง บุญครั้งนี้ หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องก็ขออภัยล่วงหน้า มาชมสมาชิกที่ช่วยให้ทริปแสวงบุญครั้งนี้ ประสบความสำเร็จ ค่ะ คณะที่ร่วมประสานงานตามที่ น้องเล็กแนะนำ มี 8 คนตามรูปและ ชื่อที่ฉันพิมพ์ไว้ใต้รูป ค่ะ รถแล่นไปเรื่อย ๆ พระอาจารย์กิติพันธ์ ท่านก็อธิบายเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวของท่านเองว่า ท่านมาเรียนปริญญาโทและเอก ที่เมือง พาราณสี เป็นเวลา 7 ปี ตอนนี้ ท่านอายุ 52 ปี 29 พรรษา จุดมุ่งหมายในชีวิตของท่าน ก็คือ "เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้คนรู้จักพระพุทธเจ้า พระศาสดาของ เราให้มากที่สุด เท่าที่ท่านจะสามารถทำได้ " นับว่า เป็นความตั้งใจที่แน่วแน่ เปี่ยมไปด้วยความศรัทธาที่ท่านมีต่อ องค์พระสัมมาสัมพระพุทธเข้า เป็นความตั้งใจ อันดีงาม น่าศรัทธาและเจริญรอยตามท่าน ฉันก็ขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ความตั้งใจของท่านบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่ได้ตั้งไว้ ค่ะ ขออนุโมทนา สาธุ ด้วยเจ้าค่ะ มาชมสมาชิกของทริปแสวงบุญครั้งนี้กันหน่อย นะคะ ฉันรวบรวม มาจากรูปที่น้อง ๆ ถ่ายไว้ ส่วนใหญ่ถ่ายกันในรถ ค่ะ ใครเป็นใคร คงจำกันได้ นะคะ คิดว่า สมาชิกคงครบ ค่ะ และแล้ว รถก็พาพวกเรามาถึง เมืองสารนาถ อันเป็นสถานที่ที่ พระพุทธองค์ มาโปรดปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 คือ สถานที่ ที่แสดงปฐมเทศนา ด้วย ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และโกญธัญญะ พี่ใหญ่ของเหล่าปัญจวัคคีย์ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ คนแรก ในวันนี้เอง ศาสนาพุทธ ได้ครบไตรรัตน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือ วันอาสาฬหบูชา เนื่องจากเรามาถึงสถานที่นี้เป็นเวลาเย็นแล้ว พระอาจารย์บรรยายได้ นิดเดียว สายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ทุกคนต้องนำผ้าพลาสติคที่ปูนั่งขึ้นมาคลุมศีรษะ เพื่อกันฝน ไม่ให้เป็น หวัดตั้งแต่วันแรกที่มาถึงประเทศอินเดีย สำหรับที่สารนาถ เรามากราบนมัสการ ธัมเมกขสถูป ได้แค่แป๊บเดียว เราจะมาอีกครั้งหนึ่งก่อนวันเดินทางกลับประเทศไทย ฉันจะเล่าประวัติของสถานที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่งค่ะ นี่คือ ธัมเมกขสถูป ค่ะ ถ่ายตอนเดินเข้าไป ค่ะ พระอาจารย์กำลังบรรยายเรื่องราวของธัมเมกขสถูป ค่ะ รวมภาพ ในสารนาถวันแรก ค่ะ ฝนโปรยปรายลงมา พวกเราจึงเดินกลับไปที่พัก ซึ่งคืนนี้เราจะพักที่ วัดไทยสารนาถ ค่ะ ทานอาหารมื้อเย็นที่วัดนี้ด้วย ค่ะ ถ่ายรูปกับป้ายชื่อ ไว้เป็นที่ระลึกหน่อยค่ะ เด็กรถ นำกระเป๋าลงจากรถให้พวกเรา น้องเล็กไปติดต่อเรื่องที่พัก และนำกุญแจห้องมาให้สมาชิกทุกคน ห้องเราคืนนี้ นอนกัน 4 คน มี 4 เตียง เขาจัดให้ น้องแจ่ม น้องต๋อย นอนห้อง เดียวกับฉันและเอม ส่วนกระเป๋า ก็มีผู้มาบริการ หิ้วขึ้นชั้นสองไปให้ เราก็ให้ค่าทริปไปกระเป๋าใบละ 10 รูปี เอม เป็นผู้จ่ายให้ เพราะฉันไม่ได้แลกเงินรูปีมาเลย ค่าแรงที่นี่ ถูกมากจริง ๆ หลังจากที่ได้กระเป๋าและนำเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปทาน อาหารมื้อเย็นกัน เป็นอาหารไทย มีคนไทยและคนอินเดีย เป็นผู้ช่วย มีแม่ชีคอยดูแลเรื่องอาหารของแขกที่มาพักที่วัด อาหาร ที่เรียบง่าย มีไข่เจียบแทบทุกมื้อ แกงส้ม ผัดผัก และมีขนมหวาน คือ มันต้มด้วย ค่ะ มาชมรายการอาหารที่ฉันมาให้ ชมกัน ค่ะ รายการอาหารมื้อเย็น ค่ะ ที่ห้องอาหารมีกล่องให้หยอดทิบให้คนทำ โรงครัวด้วย ค่ะ ฉันหยอดไป 50 บาท หลังจากที่ทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการทอดผ้าป่ากันด้วยค่ะ นั่งรอ ทำบุญและทอดผ้าป่า ผ้าไตรที่จะทอดผ้าป่า และปัจจัยที่จะทำบุญ ฉันใส่ซองและเขียนชื่อ ของคนที่ฝากมาทำบุญด้วย ค่ะ และถุงสมอ 1 ถุง ของเอ๋ ฝ่ายการเงิน มีน้องเล็ก น้องเหน่งและน้องต้อย ช่วยกันนับปัจจัยที่ สมาชิกร่วมกันทอดผ้าป่า ค่ะ บรรยากาศในการถวายผ้าป่าที่วัดไทยสารนาถวัดแรก ฉันและ เพื่อน ๆ ที่ฝากมาทำบุญ ทั้งหมด 800 บาท ค่ะ หลังจากทอดผ้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็แยกย้ายไปอาบน้ำ ซึ่งก็ลำบากเล็กน้อย เพราะห้องน้ำมีห้องเดียว เราอยู่กัน 4 คน ต้องบริหารเวลาให้เร็วหน่อย ตอนเช้า ถ้าต้องการ เข้าห้องน้ำนานหน่อย อย่างฉันเป็นต้น ฉันก็ต้อง ตื่นก่อนเพื่อนร่วมห้องสักครึ่งชั่วโมง จะได้ไม่เอาเปรียบเพื่อนร่วมห้อง มาดูห้องพักที่ น้องจุ๊ ถ่ายไว้ ค่ะ ฉันลืมถ่ายรูป อิอิ บรรยากาศในห้องนอน ค่ะ สำหรับบล็อกแรก วันแรกของการมาอินเดียจาริกแสวงบุญก็ขอเล่า ไว้เพียงแค่นี้ก่อน ค่ะ แล้วจะเล่าเรื่องต่อไปในวันที่สองค่ะ
Create Date : 23 มีนาคม 2563
Last Update : 24 มีนาคม 2563 22:40:41 น.
28 comments
Counter : 1805 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า , คุณอุ้มสี , คุณ**mp5** , คุณtoor36 , คุณKavanich96 , คุณสันตะวาใบข้าว , คุณโอน่าจอมซ่าส์ , คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน , คุณkae+aoe , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณสองแผ่นดิน , คุณเริงฤดีนะ , คุณชีริว , คุณtuk-tuk@korat , คุณคนผ่านทางมาเจอ , คุณhaiku
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 มีนาคม 2563 เวลา:6:11:28 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 25 มีนาคม 2563 เวลา:10:11:17 น.
โดย: **mp5** วันที่: 25 มีนาคม 2563 เวลา:10:50:25 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 มีนาคม 2563 เวลา:22:52:36 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 25 มีนาคม 2563 เวลา:23:56:42 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 26 มีนาคม 2563 เวลา:4:37:03 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 มีนาคม 2563 เวลา:6:48:30 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 มีนาคม 2563 เวลา:23:12:54 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 มีนาคม 2563 เวลา:6:57:08 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 27 มีนาคม 2563 เวลา:11:15:28 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 มีนาคม 2563 เวลา:11:23:07 น.
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 28 มีนาคม 2563 เวลา:4:26:22 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 มีนาคม 2563 เวลา:7:12:06 น.
โดย: ชีริว วันที่: 28 มีนาคม 2563 เวลา:10:25:44 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 มีนาคม 2563 เวลา:10:41:53 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 มีนาคม 2563 เวลา:7:13:11 น.
โดย: ชีริว วันที่: 29 มีนาคม 2563 เวลา:9:28:29 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 มีนาคม 2563 เวลา:20:25:12 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 มีนาคม 2563 เวลา:6:35:39 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 30 มีนาคม 2563 เวลา:8:18:06 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 มีนาคม 2563 เวลา:11:04:28 น.
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [? ]
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์
ตามอ่านจนจบเลยครับ
ชอบตรงที่อาจารย์บอกว่าไม่กลัวลำบาก
การไปอินเดียคนมักจะคิดว่าลำบาก
แต่พอไปจริงๆ
ผมกลับรู้สึกว่าไม่ลำบากเลย
ส่วนหนึ่งอาจเพราะเป็นผู้ชาย
เรื่องห้องน้ำก็สะวดกกว่าเยอะ
ลงกลางทุ่งก็ไม่เคอะเขินอะไร 555
ไข่เจียวเป็นเมนูที่ไปไหนก็ได้เจอนะครับ 555
ทริปนี้อาจารย์ไป 11 วัน
ครั้งที่ผมไป ไป 8 วันครับ
คงมีหลายที่ที่ผมยังไม่ได้ไป
จะรอชมภาพบรรยากาศในบล็อกอาจารย์ครับ
โหวตครับ