|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | |
|
 |
|
ชวนไปเที่ยวประเทศจอร์แดน ตอนที่ 2 |
|
ชวนไปเที่ยวประเทศจอร์แดน ตอนที่ 2
ตอนที่ 1 ฉันเขียนถึงการท่องเที่ยว ประเทศจอร์แดน ถึงช่วงเช้าของวัน ที่ 11 ค่ะ บล็อกนี้ จะชวนไปเที่ยวสถานที่แห่งใหม่ ติดตามอ่านได้เลย นะคะ
วันนี้พวกเราเริ่มเดินทางออกจากทะเลทราย วาดิรัม (wadi Rum) โปรแกรมวันนี้ ไฮไลท์ คือ มหานครเพตรา มาทราบความเป็นมาของเมืองเพตรา ค่ะ เมืองเพตรา หรือ เปตรา แปลว่าหิน คือ นครหินแกะสลักโบราณที่ ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขา มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน หลายพันปี มหานครศิลาที่หายสาบสูญไปนานกว่า 700 ปี ซ่อนตัว อย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หรือหุบเขาโมเสส หุบเขานี้ ตั้งอยู่ระหว่างทะเลเดดซีกับอ่าวอะกาบาในประเทศจอร์แดน แรกเริ่มที่นี่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเอโดไมท์ ตั้งแต่สมัย 1,000 ปีก่อนคริสตกาลแต่กลุ่มชนที่สร้างเมืองเพตราขึ้นมา คือชาวนาบาเธียน (Nabataeans) ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายอาหรับ พวกเขามีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะแต่เปลี่ยนมา ค้าขายและรับจ้างเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้แก่กองคาราวาน คน เผ่านี้มีความซื่อสัตย์ ค่าธรรมเนียมผ่านทาง ที่เรียกเก็บจากผู้สัญจรก็ช่วยให้พวกนาบาเทียนมีชีวิตที่รุ่งเรื่องขึ้น ได้ เริ่มลงหลักปักฐาน คนกลุ่มนี้สกัดผาหินทรายเป็นบ้านเรือน และอาศัยอยู่ในถ้ำทีมีอยู่ทั่วเมือง
เพตรานั้นตั้งอยู่เส้นทางการค้าสำคัญที่สุดของโลกในขณะนั้น 2 สาย คือเส้นทางสายสายตะวันออก - สายตะวันตก (จากคาบสมุทรอาหรับกับอ่าวเปอร์เซีย ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) และสายเหนือ - ใต้ (เชื่อมทะเลแดงกับ กรุงดามัสกัส ซีเรีย) และยังมีแหล่งน้ำจืดอยู่ในบริเวณนี้ด้วย ทำให้กองคาราวานนิยม เดินทางผ่านมาเพื่อแวะพัก จากนั้นมา เมืองเพตราจึงกลายเป็นตลาดซื้อสินค้าสำคัญที่สุดของโลก ตะวันออก ไม่ว่าจะชาวอาหรับ หรือชาวกรีก ล้วนลำเลียงสินค้าผ่านเส้นทางนี้ทั้งสิ้น โดยเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปี ก่อนคริสตกาล จนถึงคริสต์ศักราชที่ 70หลังจากนั้นเพตราก็ถูกเข้ายึดครอง โดยสับเปลี่ยนมือเรื่อยมา ทั้งจากโรมัน และอาหรับ จากนั้นก็ถูกทิ้งร้างเนื่องจาก สมัยนั้นเริ่มมีเส้นทางการค้าที่เดินทางสะดวกกว่า เช่น อ่าวสุเอซ รวม ถึงมีแผ่นดินไหวที่ทำลายระบบชลประทานของเมืองไป ผู้คนจึงพากันละทิ้งเมืองจนหมด
หลังจากเมืองล่มสลาย ที่นี่ก็ถูกทิ้งร้างอย่างยาวนาน และหายสาบสูญ ไปตามกาลเวลา จนกระทั่ง มีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท (Johann Ludwig Burckhardt) ซึ่งกำลัง เดินทางจากจอร์แดนไปอียิปต์ เพื่อไปศึกษาถึงแหล่ง ที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ บวร์กฮาร์ทได้เห็นด้านหน้าอันใหญ่โต ของเปตรา ได้ค้นพบนครศิลาแห่งนี้ในปี ค.ศ. 1812 แต่ผู้นำทางท้องถิ่นสั่งห้ามมิให้เขาลงไปทำอะไรที่นั่น บวร์กฮาร์ทจึง แอบบันทึกย่อไว้ขณะที่อูฐเดินผ่าน ถึงแม้จะเป็นเพียงบันทึกเล็ก ๆ คร่าว ๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการที่เปิด เมืองสู่สายตาชาวโลก ซึ่งต่อมา ในปี พ.ศ. 2369 (ค.ศ. 1826) เลออง เดอ ลาบอร์ด (Leon de Laborde) ชาวฝรั่งเศส ที่ได้เดินทางเข้าไปสำรวจเมืองและเขียนหนังสือออกมา เล่มหนึ่งชื่อว่า "Voyage de l'Arabie Pétrée" แปลว่า"การเดินทางในเปตราแห่งอาหรับ" (ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2373)ซึ่งการเขียนหนังสือครั้งนี้ ถือเป็นการนำภาพและความรู้ต่าง ๆ ที่ชาวโลกไม่เคยเห็นมาเปิดเผยให้ได้รับรู้
ลึกเข้าไปในนครเพตรา ผ่านทางเดินแคบ (The Siq) และหน้าผาสูงชัน เข้าไปประมาณ 1-2 กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารแห่งเพตรา หรือAl Khazneh วิหารที่ใหญ่ที่สุดในนครเพตรา เป็นหนึ่งในวัดที่ประณีตที่สุดในเมืองเพตรา แห่งราชอาณาจักรนาบาเทีย ซึ่งชาวอาหรับอาศัยอยู่ในสมัยโบราณ โครงสร้างของอาคารถูกแกะสลักจากหินทราย เชื่อกันว่า โครงสร้างนี้เป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์ อาเราตัส ที่ 4 ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 และเป็นจุดไฮไลท์ที่นักเดินทางต่างเดินเข้ามาชมให้ถึงที่ แม้ระหว่างทางจะไกล และร้อนมากก็ตาม ภายในมหาวิหารนี้ ประกอบด้วย 3 ห้อง คือ ห้องโถงใหญ่ตรงกลาง และห้องเล็กทางด้านซ้ายและขวา ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่าสร้างขึ้นเพื่ออะไรแต่ทฤษฤีที่เชื่อถือกันมากที่สุด ก็คือสร้างไว้เพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญ ทางศาสนา รวมถึงเป็นสุสานฝังศพของผู้ครองเมืองชาวเบดูอินเชื่อว่าเป็นที่เก็บสมบัติ สันนิษฐานว่าจะสร้างในราวศตวรรษที่ 1-2 โดยผู้ปกครองเมือง ในเวลานั้นเป็นวิหารที่แกะสลักโดยเจาะเข้าไปในภูเขาสีชมพูทั้งลูก มีความสูง 40 เมตร และมีความกว้าง 28 เมตร วิหารแห่งนี้ ได้รับการออกแบบที่ได้รับอิทธิพลศิลปะของหลายชาติ เช่น อิยิปต์ กรีก นาบาเทียน
นครเปตราได้รับลงทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อ ปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985)โดยกล่าวอธิบายไว้ว่า"เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่า มากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ"(one of the most precious culturalproperties of man's cultural heritage) และเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นครเปตราได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ของโลก จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่ ชาวเปตรานับถือเทพเจ้าสององค์คือ เทพดูซาเรส (Dushares) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเทพอัลอัซซา (Al Uzza) ชายาของเทพดูซาเรส เทวีแห่งน้ำ (รวบรวมและเรียบเรียง จาก อินเทอร์เน็ต)
ก่อนที่จะไปเมือง เพตรา อเล็ก ได้พาเราไปมองจากมุมสูง ซึ่งสามารถมองเห็นเส้นทาง ที่เราจะต้องเดินเข้าสู่เมือง เพตราซึ่งมีความยาวถึง 4 กิโลเมตร ซึ่งถ้าเดินไม่ไหว ก็จะมีรถกอล์ฟให้เช่าหรือ ขี่อูฐ ขี่ม้า อเล็กแนะนำว่า ขาไป ให้เดินดีกว่า จะได้ชมทิวทัศน์และถ่ายรูปในตอนเดินไปชมนครเพตราขากลับ ค่อยนั่งรถกอล์ฟกลับจะดีกว่า ฉันก็เห็นด้วยนะ เพราะ 4 กิโลเมตร ไม่ใช่ใกล้เลย ทางที่เดินก็ไม่ใช่ราบเรียบนัก พวกเราหลังจากถ่ายรูปจากมุมสูงแล้ว อเล็กและวากิม บอกว่า ไปกินข้าวมื้อกลางวันเร็วหน่อย ประมาณ 11 โมงกว่า ๆแล้วค่อยไปเดินเข้าชมนครเพตรา



ระหว่างเดินทางได้พักให้เข้าห้องน้ำ และยืดเส้นยืดสาย เกิดภาพรุ้งกินน้ำ สวยงามมาก เลยถ่ายรูปกับรุ้งกินน้ำกันใหญ่

ภาพถ่ายจากมุมสูงในเมือง เพตรา


อีกมุมหนึ่งที่ถ่ายจากมุมสูง ค่ะ

เส้นทางที่จะเดินไปชมปราสาทเพตรา ที่ถ่ายจากมุมสูง





ทุกคนมาชุมนุมถ่ายรูปจากมุมสูงนี้ จ้ะ

กินอาหารมื้อกลางวันก่อนไปเที่ยว นครเพตรา ค่ะ


เมื่อกินข้าวมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปทางที่จะต้องเดินเท้าเข้าไป เมืองเพตรา 4 กิโลเมตร ระหว่างทาง เป็นเนินเขา มีหินเป็นก้อน ๆ สูงบ้างต่ำบ้าง ระหว่างทางก็มีการบรรยายจากอเล็กให้ฟัง ฉันเริ่มปวดหลังเดินไม่ค่อยไหว มีโกและตุ่นคอยช่วยบ้าง เดินเป็นเพื่อนบ้าง เดินได้ประมาณกิโลกว่า ๆ ในที่สุด ก็ตัดสินใจนั่งรถดีกว่า วากิม เป็นผู้ติดต่อรถกอล์ฟให้ ในราคา ไป กลับ 25 เจดา (ปรกติเที่ยวละ 15 เจดา เท่าเงินไทยประมาณ 750 บาท มีวากิมนั่งไปเป็นเพื่อนด้วย รถวิ่งน่ากลัวมาก ขับเร็ว กระเด็นกระเด็นต้องจับราวของรถ ทั้งสองข้าง ถ่ายรูปอะไรไม่ได้เลย น่าจะ 20 นาที ก็ถึง ปราสาท สีชมพู แนวหิน สวยงาม (ดังภาพ) ฉันได้แต่นั่งคุยกับวาคิมอยู่ มีนักท่องเที่ยว หลายกลุ่มมาก่อนเรา ถ่ายรูปกัน ฉันก็เดินเล่นอยู่แถว ๆ นั้น เพราะกลุ่มเรายังไม่มีใครมาเลย น่าจะประมาณ เกือบชั่วโมง กลุ่มเราก็เริ่มทยอยกันมา เป็นกลุ่มย่อย ๆ คราวนี้ มหกรรมการถ่ายรูปก็เริ่มขึ้น ค่ะ นอกจากถ่ายรูปตรงที่เป็นตัวปราสาท ที่เรียกว่า ปราสาทเพตรา นอกจากบริเวณปราสาทนี้ เดินลึกเข้าไปเป็นกิโลกว่า จะเป็นที่ตั้งของมหาวิหารแห่งเพตรา หรือ Al Khazneh วิหารที่ใหญ่ที่สุดในนครเพตรา และเป็นจุดไฮไลท์ที่นักเดินทาง ต่างเดินเข้ามาชมให้ถึงที่ ฉันเดินถึงเพียงอยู่ข้างล่าง ไม่ได้เดินขึ้นบนวิหาร เพราะมันชันและเดินลำบาก พวกเราก็มีเดินขึ้นไปไม่มากคนนัก ฉันกับเพื่อนร่วมทางรอกันอย่างด้านล่าง เป็นเกือบชั่วโมงเหมือนกัน ระหว่างทางมีร้านค้าทำของที่ระลึก โดยนำทรายจากที่นี่ ใส่ขวดแก้ว มีให้เราเลือก ราคา ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของลายบนขวดทราย ฉันเห็นว่าเป็นของแปลก และเป็นงานฝีมือ แพง ก็ขอซื้อไว้เป็นที่ระลึก ต้องรอกันด้วย เพราะเขาจะมีการสลักชื่อ บนขวดให้ก็ซื้อกันหลายคน ราคา คิดเป็นเงินไทยประมาณ 450 บาท ค่ะ ให้รูปเป็นการบรรยายเนื้อหา ค่ะ

ระหว่างทางที่จะเดินไปชมปราสาท เพตรา ไฮไลท์ ของวันนี้ ค่ะ

ทิวทัศน์ระหว่างทาง เป็นทิวเขา สวยงามมาก ค่ะ แต่เดินทางไกลมาก ๆ

ทิวทัศน์ระหว่างที่จะเดินเข้าไปยังปราสาทเพตรา ค่ะ

ทางที่จะเดินเข้าไปตัวปราสาทเพตรา ค่ะ ต้องเดินอีกหลายกิโล

ที่เห็นอยู่ด้านข้าง ๆ นั้น คือ ตัวปราสาทเพตรา ค่ะ

ประสาทนครเพตรา ค่ะ

เดินเข้าไปอีกประมาณ กิโลกว่า บนเขาสูงมีมหาวิหารแห่งเพตรา หรือ Al Khazneh วิหารที่ใหญ่ที่สุดในนครเพตรา และเป็นจุดไฮไลท์ที่นักเดินทางมาเยี่ยมชม

กำลังเดินเข้าไป ชมวิหารบนเขาสูง ค่ะ

ฉันปีนขึ้นไปไม่ไหว ได้แต่นำรูปที่เพื่อน ๆ ถ่ายรูปมาให้ชม

เดินไกลมาก เป็นกิโลเลย ค่ะ อดทนเดิน ๆ เพื่อไปชมความงาม

รูปนี้ ศิษย์เขยถ่ายให้ หน้าปราสาทเพตรา

ถ่ายรูปกับทิพย์ ลูกศิษย์ ปี 2529 ฝีมือศิษย์เขยถ่ายให้ ค่ะ

ถ่ายรูปกับลูกศิษย์และศิษย์เขย โดยวิธีตั้งกล้อง กดรีโหมด ค่ะ

ส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนทัวร์ ค่ะ



อเล็ก มัคคุเทศก์ นำเที่ยวทริปนี้ ค่ะ

เพื่อนของทิพย์ เขาเป็นแม่ลูกกัน ค่ะ

ครูกับลูกศิษย์ เดินกันไป

ถ่ายรูปกับลูกศิษย์ ฟิตตรีย์ ด้านล่างของมหาวิหารบนเขา ฉันไม่ได้ขึ้นไป ค่ะ



ระหว่างทางไปมหาวิหารบนเขาสูง เจอร้านที่ทำของที่ระลึก หลายคนอุดหนุนกันคนละชิ้น ฉันก็อุดหนุนไป 1 ชิ้น เขาเขียนชื่อให้ที่ขวดด้วย ค่ะ


จารึกชื่อของผู้ซื้อด้วย ค่ะ







เป็นคู่แม่ลูกมาเที่ยวกันค่ะ น่ารัก ค่ะ
เราออกจากที่นครเพตราไป น่าจะเกือบบ่ายสี่แล้ว ฉันและมีเพื่อนร่วมทริปนั่งรถไปด้วยกัน อีกหลายคนได้นั่งรถกอล์ฟออกจากนครเพตราไป เราต้องรีบออกเดินทางไปสู่เมือง เดดซี (Dead sea) ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางถึง 3 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร พวกเรานั่งอยู่บนรถ คุยกันบ้าง ดูรูปที่ถ่ายกันมากมายบ้าง พักใหญ่ ส่วนใหญ่ ก็พักสายตาแล้ว คงเหนื่อยมาก นั่นแหละ ใกล้ถึงโรงแรม ที่เราจะไปพักคืนนี้แล้ว อเล็ก ก็เริ่มปลุกลูกทัวร์ บรรยายให้ความรู้ เกี่ยวกับเดดซี ให้ฟัง พักใหญ่เมื่อถึงโรงแรมแล้ว ก็มืดค่ำ น่าจะเกือบ 2 ทุ่ม อาหาร ทางโรงแรมเตรียมพร้อมรอพวกเราอยู่แล้ว เป็นห้องอาหารอยู่ชั้นใต้ดิน พวกเรากินข้าว มื้อเย็นนี้ก่อนแล้วค่อยขึ้นพักในห้องพัก โรงแรม นี้ คือ GRAND EAST HOTEL RESORT&SPA กินข้าวเสร็จ ชมระบำด้วย มีระบำหญิงเต้นโชว์ 1 คน เรา 4 คนเลยนั่งดูสักพัก หญิงฝรั่งที่เต้น มาโค้งตุ่นออกไป เต้นด้วย สนุกสนาน โก ให้ไปกี่ เจดา จำไม่ได้ อิอิ ชมภาพ ค่ะ





คืนนี้ เราก็เข้านอนกันดึกเหมือนกันนะ เพราะพรุ่งนี้ ต้องตื่นเช้า จะมีการไปลอยตัวที่ทะเลเดดซี ค่ะ มีการพอกโคลน ซึ่งเป็นไฮไลท์อีกจุดหนึ่งที่จะได้ จดจำถึงความสนุกสนาน รูปที่ถ่ายออกมา ก็งามเหลือเกิน งามด้วยการพอกดินโคลน อิอิ
12 ธ.ค. 67 เช้านี้ เราตื่นประมาณ เกือบหกโมงเช้า ล้างหน้า แปรงฟัน ยังไม่ต้องอาบน้ำ เพราะเช้านี้ เราต้องไปลงทะเล เดดซี ไปทำท่าลอยตัวอ่าน หนังสือ แล้วขึ้นมาพอกโคลนทั้งตัว ทั้งหน้า เขาว่า จะทำให้ผิวสวยขึ้น ห้าห้าห้า ทุกคนก็อยากลองกัน ทั้งนั้น ค่ะ ก่อนอื่นก็มาทราบความเป็นมาของทะเลเดดซีก่อน ค่ะ ทะเลเดดซี (dead sea ) ทะเลสาบนี้ตั้งอยู่พรมแดนระหว่างอิสราเอลและจอร์แดน เกิดจากน้ำ ที่ไหลมาจากลำธารในจอร์แดน และด้วยความที่ไม่มีทางออก สู่ทะเลอื่นอีกน้ำในทะเลเดดซีจึงระเหยออกไปเองด้วยอุณหภูมิอันร้อนระอุในบริเวณนั้น แถมฝนตกน้อยด้วยแล้วก็เติมขึ้นมาใหม่จากแม่น้ำจอร์แดน ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุอย่างโซเดียมหรือแมกนีเซียม แล้วก็ระเหยไปอีกเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนตัวทะเลเดดซีสะสมแร่ธาตุและเกลือมากขึ้นๆจนปัจจุบันมีความเค็ม มากว่าน้ำทะเลทั่วไปถึงเกือบ 10 เท่า บางแห่งบอกว่า 4 เท่า) โดยทะเลเดดซีมีส่วนผสม ของเกลืออยู่ที่ 34.2% (ข้อมูลปี 2011) หรือหมายความว่าในน้ำทะเล เดดซี กิโลกรัมจะมีเกลือละลายอยู่ถึง 342 กรัมกันเลยทีเดียวในขณะที่น้ำทะเลทั่วไป มีส่วนผสมของเกลืออยู่ที่ประมาณ 3.5% หรือหมายความว่า ในน้ำทะเลทั่วไป 1 กิโลกรัมจะมีเกลืออยู่ 35 กรัมเท่านั้นด้วยความเค็มขนาดนี้ทำให้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆสามารถอยู่ในทะเลเดดซีนี้ได้ ยกเว้น เชื้อราและแบคทีเรียบางชนิดเท่านั้นและนั่นก็เป็นที่มาของคำว่า เดดซี (Dead Sea) หรือทะเลมรณะนั่นเอง แถมมันยังมีอีกสมญานามหนึ่งว่าเป็น “ทะเลที่ไม่มีวันจม” ด้วยเนื่องจากความเข้มข้นของเกลือละลายอยู่สูงทำให้คนสามารถไป ลอยน้ำในเดดซีได้อย่างสบายๆเลย ! ทะเลสาบ เดดซี มีความยาว 76 กิโลเมตร กว้างถึง 18 กิโลเมตร มีจุดลึก ที่สุด คือ 400 เมตร และอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 417.5 เมตร นับเป็นพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดในโลก น้ำในทะเลสาบเดดซี มีความหนาแน่นมาก มีเกลือละลายในน้ำถึง 25% จึงทำให้วัตถุลอยเหนือน้ำ แม้แต่คนว่ายน้ำไม่เป็นก็ลอยตัวได้ ในทะเลสาบเดดซี ได้รับการบันทึกลงในกินหนังสือ กินเนสส์ ว่า เป็นจุดที่ต่ำที่สุดในโลก โคลนบริเวณทะเลเดดซีมา พอกหน้าทำสปาโคลนกันด้วย เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าทะเลเดดซีอุดมไปด้วย แร่ธาตุและวิตามินที่สะสมมายาวนานทำให้มีความเชื่อว่า การทำสปาโคลนจากเดดซีจะช่วยปรับสมดุลต่าง ๆ ในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของ โลหิตฟื้นฟูผิวทำหน้าเด้งจนถึงกับมีเอาโคลนจากเดดซีมา ขายเป็นกระปุกด้วย ( ตอนที่ อเล็ก พาไปร้านขายเครื่องสำอาง ฉันเห็นลูกทัวร์ ซึ้อ เครื่อง สำอางบำรุงผิวกันหลายคน ฟิตตรีย์ ก็ซื้อด้วย แต่ฉันไม่ได้ซื้อเลย อิอิ)
เมื่อพวกเราใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืด เตรียมพร้อมที่จะไปลงทะเลเดดซี ทดลองว่าเราจะนอน ลอยตัวอ่านหนังสือ ได้ไหม ไปเคาะประตูห้องของโกและตุ่น เพื่อลงไปที่ทะเลเดดซี ซึ่งก็อยู่ติดกับโรงแรมที่เราพัก นั่นแหละ ค่ะ ฟ้ายังไม่สาง ขมุกขมัว อยู่เลย มีเก้าอี้ผ้าใบอยู่ด้านบนหาด ให้นั่งด้วย โกถ่ายรูปให้ด้วย อากาศ ช่วงเช้าเย็นยะเยือกเหมือนกัน ที่นี่ เขาให้ผ้าเช็ดตัวคนละผืนด้วย ค่ะ ห่มมาได้ด้วย ระยะทางจากโรงแรมเดินมาถึงทะเลสาบเดดซี ไกลพอสมควร พักใหญ่ ๆ ลูกทัวร์ก็เริ่มมากันที่ชายหาดทะเลสาบกัน ตากล้องหนุ่ม (ศิษย์เขย) และอเล็ก ให้พวกเราตั้งแถวถ่ายรูปก่อนลงทะเลสาบ ไว้เปรียบเทียบสภาพก่อนลงทะเลและหลังขึ้นจากทะเลไง ล่ะ อิอิ มาให้ภาพเล่าเรื่องของพวกเราดีกว่า ค่ะ

ฟ้าเริ่มสว่าง คนเริ่มมามากขึ้นแล้ว ค่ะ

ตอนนี้ออกมาฟ้ายังไม่สว่าง ค่ะ โก ถ่ายรูปให้

ถ่ายรูปหมู่ ก่อนตัวจะเปียกและเลอะโคลน ค่ะ

โกกับตุ่น ช่วยกันประคับประคองให้ฉันลอยตัวในทะเล


ฉ้นลอยแป๊บเดียว ไม่ไหว กลัวจม ทั้งที่เขาบอกว่ายังไงก็ไม่จม ฉันก็ไม่ลอยต่อแล้ว โกจึงจูงฉันขึ้นจากทะเล ไปนั่งแช่น้ำถ่ายรูป

นั่งแช่น้ำ ชูป้ายของบริษัทดีดี ช่วยกันทำมาหากิน อิอิ (โฆษณา)

เขาลอยตัวในทะเล ทำท่าอ่านหนังสือ ฉันนั่งอ่านหนังสือ ห้าห้าห้า

ท่ากลัวจม ค่ะ ห้าห้าห้า

คนเก่งต้องได้ท่านี้ ค่ะ ห้าห้าห้า


แม่ลูกคู่นี้ น่ารัก มีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อนดี ค่ะ

ฟิตตรีย์ คงพอกับฉัน พักใหญ่ โก ก็จูงขึ้นฝั่ง ห้าห้าห้า


คู่โกกับตุ่น ลอยตัวอย่างมีความสุขใน ทะเลเดดซี

โก เท่ นะเนี่ย


อีกคู่ที่น่ารัก น่าจะเป็นเภสัชกรทั้ง คู่

โคลนที่เราแช่น้ำลอยตัวในทะเลเดดซีแล้ว เราก็ขึ้นมาพอก โคลน ค่ะ

หน้าตาดูไม่ได้เลย ห้าห้าห้า


เก็บรูปพอกหน้า พอกตัวไว้เป็นที่ระลึกและเป็นหลักฐานความสวยงาม อิอิ



อเล็กช่วยพอกโคลนที่ขาให้ฉัน เพราะฉันปวดหลังก้มไม่สะดวก ค่ะ ขอบใจอเล็ก ค่ะ

พอกเสร็จสักพัก ก็ลงทะเลอีกรอบ ล้างโคลนออก

ใครมาแอบถ่ายรูปนี้ นะ หน้าตาอัปลักษณ์เหลือหลาย ห้าห้าห้า



สองแม่ลูกสนุกสนาน ไม่แพ้ใคร ค่ะ
พวกเราสนุกสนานอยู่ที่ทะเลสาบเดดซี ประมาณได้รวมทั้งอาบน้ำ อีกครั้งเพื่อล้างโคลนที่พอกตัวออก โดยไปล้างที่ทะเลสาบอีกครั้ง แล้วก็มาอาบน้ำจืดที่เป็นก๊อกน้ำใกล้ ๆ บริเวณนั้น เช็ดตัวให้แห้ง คณะเราไม่อยากเดิน รอรถกอล์ฟมาบริการรับไปหน้าโรงแรมใกล้ตู้ ที่เขาให้ผ้าเช็ดตัวมา ลงรถแล้ว นำผ้าเช็ดตัวคืนที่ป้อม แล้วพวกเราก็รีบเข้าห้องพัก เพื่ออาบน้ำและแต่งตัว จัดกระเป๋า เพื่อเตรียมลงไปด้านล่าง กินข้าวมื้อเช้า และเตรียมออกเดินทางเที่ยวต่อไป ค่ะ เราออกจากโรแงรม ประมาณ 10 อเล็ก พาลูกทัวร์ไปร้านขายเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นผลผลิต จากโคลนทะเลเดดซี เช่น โคลนหมักผม หมักหน้า เครื่องประทินผิว มากมาย มีคนซื้อหลายคนอยู่ รวมทั้งฟิตตรีย์ด้วย ส่วนฉัน โก ตุ่น ไม่ได้ ซื้ออะไรเลย ราคาค่อนข้างสูง ฟิตตรีย์พูดภาษาอาหรับได้ จึงได้ลดราคาเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆ ด้วย อยูที่นี่ น่าจะเกือบชั่วโมง นะ รวมทั้งการเดินทาง ก็ถึงอาหารมื้อเที่ยงอีกแล้ว อาหารมื้อเที่ยงนี้ คิดว่าถูกใจทุกคนแน่นอนเลย เพราะเป็นอาหารจีน ที่คิดว่า ทุกคนกินได้ และก็เป็นจริง อาหารที่นำมาเสิร์ฟ แต่ละอย่าง กินกันแทบไม่เหลือเลย ค่ะ

ถ่ายรูปภายในร้านอาหารจีนนี้ ค่ะ ก่อนจะเดินไปที่ห้องอาหาร



ชนถ้วยชากัน ค่ะ อิอิ

สองมัคคุเทศก์ อเล็กและวากิม มาถ่ายรูปกับโต๊ะเรา ค่ะ

อาหารแต่ละจาน หน้าตาน่ากินทั้งนั้น ค่ะ



ผัดผักรสชาติหวาน อร่อยมาก ค่ะ



ซุปผักร้อน ๆ อร่อยมาก ค่ะ

ไข่เจียวของโปรดของคนไทยที่ทุกคนกินได้ไม่เบื่อ ค่ะ


ถ่ายรูปหน้ร้านอาหารจีน มีชื่ออยู่ด้านบน ค่ะ
เมื่อกินข้าวมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ก็เดินทางไปเที่ยวยอดเขาเมาท์เนโบ (Mount Meb0) มีความสูง 817 เมตรจากระดับน้ำทะเล เชื่อกันว่า เป็นสถานที่ฝังศพโมเสส ซึ่งเป็นผู้นำชาวยิวส์ที่เดินทางจากอิยิปต์มายังเยรูซาเล็ม และเป้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์แดน เป็นสถานที่สุดท้ายของโมเสส ก่อนจะชี้ทางให้ผู้สืบทอดนำพาผู้คนไปยังดินแดน พันธสัญญาในประเทศอิสราเอลปัจจุบันเมื่อยืนอยู่บนยอดเขา จะมองไปเห็นดินแดนแห่งพันธสัญญา (The PR0MISED LAND) ที่โมเสส เคยเห็น บนยอดเขานี้และเป็นที่จาริกแสวงบุญของชาวคริสต์ มาแต่โบราณ และโบสถ์บนยอดเขาได้ถูกสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 4 เพื่อเป็นการบ่งชี้ จุดที่คาดว่าโมเสสเสียชีวิต เม้าส์เนโบ ยังเคยเป็นสถานที่ มาเยือนของสันตะปาปาของศาสนาคริสต์ คือ สันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ได้มาแวะพำนัก อยู่ที่นี่ระหว่างเดินทางไปเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ได้ปลูกต้นมะกอกสัญลักษณ์ของสันติภาพไว้ข้าง ๆ โบสถ์ ไบแซนน์ด้วย ที่นี่ มีอนุสาวรีย์ ไม้เท้าศักดิ์แห่งโมเสส เป็นจุดให้ถ่ายรูปไว้เป็นระลึก ค่ะ มาให้รูปเป็นตัวเล่าเรื่อง ค่ะ

ทางเดินเข้าไปชมไม้เท้าของ โมเสส ค่ะ

มีชื่อของบุคคลสำคัญเขียนไว้ น่าจะใช่นะ









ทิวทัศน์ ระหว่างทางไปชมไม้เท้าของโมเสส









อเล็กให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ค่ะ





ทางเข้าไปชมในพิพิธภัณฑ์


รูปไม้เท้าของโมเสส ค่ะ






ถ่ายรูปหมู่กันหลังถ่ายรูปเดี่ยว รูปคู่ ถือเป็นไฮไลท์ของจุดนี้ ค่ะ ฝีมือกล้องของศิษย์เขย หนุ่ม ค่ะ







ที่ชี้ไปนั้น เป็นต้นมะกอก อเล็กบอกว่า สันตปาปา มาทรงปลูกไว่ ค่ะ
อยู่ที่นี่ชั่วโมงกว่า อเล็ก ก็พาพวกเราไปชมโบสถ์ เดินไกลมาก ค่ะ แต่โบสถ์กำลังซ่อมเลยไม่น่าสนใจ อะไรมากนัก ชื่อโบสถ์ THE NEW ORTHODOX SCKOOL MADABA ถ่ายรูปกันแล้วก็เดินกลับ ขากลับ วากิมพาไปช้อปที่ร้านญาติเขา ซึ่งขายของที่ระลึก น้ำหอม โคลนหมักหน้า ผ้าโพกหัว ตุ๊กตา ฯลฯ ฟิตตรีย์ ซื้อ โคลนหมักหน้า หลายห่อ ให้ วากิม ต่อรองราคา เพราะเขาเป็นญาติกัน ก็ได้ลดนิดหน่อย ฉันก็ซื้อกับเขาสองห่อ แล้วฉัน โก ตุ่น ก็ออกจากร้านไป เพราะฉันเหนื่อน เดินช้า คนอื่น ๆ เขายัง ซื้อของกันต่อไป รวมทั้งฟิตตรีย์ ด้วย พวกเราเดินมาตามทางที่มีของขาย ตุ่นและโก ซื้อน้ำทับทิมคั้น สด ๆ1 แก้ว ราคา 1 เจดี ดื่มกินกันสองคน เพื่อดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร เดินมาถึงด้านนอก มีพิพิธภัณฑ์ที่ให้เราเข้าไปชม เป็นของแสดงไว้ เป็นรูปบุคคลสำคัญ บ้าง ประวัติ ของสำคัญ ๆ ของประเทศ น่าเสียดาย เขาไม่ให้ถ่ายรูป มีห้องน้ำ ให้พวกเราเข้าด้วย สะอาด เราเข้าห้องน้ำที่นี่อย่างสบายใจ พวกที่มาที่หลังเริ่มทยอยกันมาแล้ว บริเวณนี้ มีมุมถ่ายรูปเหมือนกัน อยู่ว่าง ๆ เราก็ถ่ายรูปกันซิ จะเสียเวลาทำไม อิอิ

มีชาวจอร์แดนเห็นพวกเรา เลยขอถ่ายรูปหมู่พวกเรา ที่หน้าร้านเขาค่ะ

อเล็ก อธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ก่อนเข้าไปชม ค่ะ


ถ่ายชื่อสถานที่มาให้ดูด้วย ค่ะ

ภายในของสถานที่แห่งนี้ ค่ะ



มาถ่ายด้านหน้าของสถานที่ ค่ะ





บริเวณนี้ จะมีพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ บริเวณกว้าง มีที่ถ่ายรูป พวกเราก็ถ่ายไว้ ค่ะ



ด้านหลังเรา เป็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ค่ะ เสียดายไม่ให้ถ่ายรูป ค่ะ
จากนั้น เราก็กลับเข้าตัวเมือง และอเล็ก พาคณะทัวร์เพื่อไปตลาดที่มีของขายมากมาย ทั้งของสด ผัก ผลไม้ จากจุดที่ให้พวกเราลงรถ เดินไปที่ตลาดนี้ ไกลมาก เป้าหมายใหญ่คือไปซื้ออินทผาลัม ซึ่งอเล็กพามาซื้อเจ้าประจำที่เขาพาลูกทัวร์ มาซื้อ นั่นเอง ลูกใหญ่ ราคา 2 กิโล 5 เจดี ลูกเล็ก 2 กิโล 3 เจดี ฉัน โก ซื้ออย่างละ 2 กิโล อยากซื้อลูกเกดดูน่ากินมาก แต่สงสารโก ต้องเป็นคนหิ้วให้ ของฉัน 4 กิโล ของเขาเอง 4 กิโล หนักแย่แล้ว ไม่มีโกช่วยหิ้ว ฉันคงแย่แน่ ไม่ได้ของอะไร แค่เดินยังยักแย่ยักยัน เลย เฮ้อ!มาชมตลาดของจอร์แดน

รูปต้องให้ลูกศิษย์ตัดจาก วิดิโอ ที่ศิษย์เขยถ่ายไว้ ค่ะ






ชิมกันก่อนซื้อ ค่ะ


ฉัน โก ตุ่น เดินออกจากตลาด เพื่อไปยังจุดที่นัดหมายไว้ ระหว่างทาง ตุ่น ซื้อเมล็ดกาแฟอีก 1 กิโล หิ้วกันมาถึงใกล้จุดนัดพบ ได้มีที่ให้นั่ง พวกเรารอเพื่อน ๆ ที่ยังมาไม่ถึงสรุปแล้ว ฟิตตรีย์ ซื้อของมากที่สุด มีคนเข็นรถของที่ซื้อให้เขาด้วย เขาให้ติ๊บ คนช่วยเข็นของ ของที่ซื้อ มีทั้งน้ำมันมะกอก ถั่ว ส่วนใหญ่เป็นอาหาร มุสสลิมซึ่งซื้อที่นี่ราคาถูกมาก เพื่อนทัวร์ด้วยกัน ก็น่ารัก ช่วยฟิตตรีย์หิ้วของด้วย ส่วนของฉัน ก็มีโก ตุ่น คอยช่วยเหลือ คืนนี้ นอนที่โรงแรม AL THURAYA HOTEL คืนนี้กินข้าวกันที่โรงแรมต่างคนต่างเหนื่อย จัดกระเป๋า เตรียมพรุ่งนี้ ยังมีที่เที่ยวต่ออีก วันที่ 13 ธ.ค.
เช้านี้ กินข้าวมื้อเช้าที่โรงแรมที่พัก จากนั้น ก็ออกเดินทางไปชมนครเจอราช (JERASH) หรือเมืองพันเสา เป็นอดีต 1ใน 10 หัวเมืองเอกตะวันออก อันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สันนิษฐานว่า เมืองนี้น่าจะสร้างในราว 200-100 ปี ก่อนคริสตกาล แต่เดิม ในอดีตเมืองแห่งนี้ เป็นที่รู้จักกันในนาม ปอมเปอีแห่งตะวันออก (Pompeii of the East)ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงอัมมานไปทางเหนือประมาณ 50 กิโลเมตร เมืองนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และสำคัญแห่งหนึ่งในจอร์แดน เมืองโบราณแห่ง Jerash มีสถาปัตยกรรมหลาย ๆ อย่าง เช่น ถนนที่มีเสาเรียงเป็นแนว .. เดิมทีในอดีตเมืองแห่งนี้เจอแผ่นดินไหวหลายครั้ง กระทั่งครั้งใหญ่สุดได้ถล่มและทำลายเมืองไปแทบราบคาบ จนกลายเป็นเมืองที่ถูกลืม ไปเป็นพันปีและถูกทิ้งร้างจนมีคนมาขุดพบใน ค.ศ.1878 ต่อมารัฐบาลจอร์แดนได้กลับมาฟื้นฟูบูรณะนครโรมันแห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จึงทำให้ความวิจิตรงดงามของเมืองกลับมาได้รับความสนใจ และถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในตะวันออกกลางเลยก็ว่าได้ ไฮไลต์สำคัญของเจอราชอยู่ที่จัตุรัสขนาดใหญ่ ถนนคาร์โด (Cardo Street) ความอลังการของวิหารบนเนินเขา โรงละครทั้งทางทิศเหนือและทิศใต้โรงอาบน้ำสุดคลาสสิก หรือน้ำพุใจกลางเมืองที่คงสภาพให้ได้ชมอย่างน่าอัศจรรย์ใจ (ความงามนี้ ฉันไม่ได้ไป เพราะเดินไม่ไหว ค่ะ เลยนั่งที่ร้านอาหารรอเพื่อน ๆ กลับจากการไปชมไฮไลต์ดังกล่าวนี้ ค่ะ)
เมื่อเดินผ่านจุดซื้อตั๋วเข้าชมมาแล้วก็จะพบกับซุ้มประตูทางเข้าขนาดใหญ่ของกษัตริย์เอเดรียน (Hadrian’s Arch) ที่ได้บูรณะขึ้นมาใหม่จากโครงสร้างเดิม เพื่อถวายเป็นเกียรติต่อการเสด็จประพาสกรุงเจอราชของกษัตริย์เอเดรียน ในปี ค.ศ.129-130 ตัวซุ้มโค้งมีความตระหง่าน แข็งแกร่ง และดูมีมนต์ขลัง หากเดินผ่านเข้ามาภายในจะพบกับความอลังการของจัตุรัสโอวัล (Oval Plaza) ซึ่งเป็นหนึ่ง ในสถาปัตยกรรมที่ออกแบบได้อย่างน่าทึ่งของชาวโรมัน ล้อมรอบด้วยเสาคอรินเทียม (Corinthium) กว่า 160 ต้น เป็นรูปวงรี พื้นตรงกลางปูด้วย หินขนาดใหญ่ ในอดีตใช้เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของ ชาวเมืองเจอราช และเป็นจุดเชื่อมระหว่างถนนทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และ ทิศตะวันตก ได้อย่างกลมกลืนและมีความลงตัวที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ก็ประทับใจกับวิหารเทพีอาร์เทมิส (The Temple of Artemis) ซึ่งมีเสาขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า สังเกตเห็นมาแต่ไกล วิหารแห่งนี้ชาวเจอราชมีความเชื่อว่าเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ และเป็น บุตรสาวของมหาเทพซุส ซึ่งเป็นน้องสาวฝาแฝดกับเทพอะพอลโล หรือเทพแห่งพระอาทิตย์ และยังเป็นหนึ่งในสามเทพีพรหมจรรย์ ส่วนอีกสององค์ เทพีอาธีนา หรือเทพีแห่งความเฉลียวฉลาด รวมถึงแห่งศิลปะทุกแขนง และสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ และเทพีเอสเทีย ซึ่งเป็นเทพีแห่งการครองเรือน หรือเทพแห่ง ครอบครัวเมื่อไปยืนอยู่ใกล้เสาแล้วมองขึ้นฟ้า จะพบว่ามีความมหัศจรรย์ใจที่ตัวเสาตัดสะท้อนกับท้องฟ้าและแสงพระอาทิตย์ยามบ่าย อย่างงดงาม (รวบรวมมาจากในอินเทอร์เน็ต ค่ะ)
มาชมภาพที่ฉันรวบรวมมาฝาก จ้ะ

ระหว่างทางต้น ๆ ก่อนจะได้ชม ค่ะ

ถ่ายภาพรอบ ๆ ทางที่จะไปสู่จุดไฮไลท์

เช้านี้ฝนตกแต่เช้า หนทางที่เดินเฉอะแฉะ พอควร


มุมนี้ เป็นจุดไฮไลท์ที่ ศิษย์เขยหนุ่ม ถ่ายให้สมาชิก ค่ะ









มุมหนึ่งของบริเวณ นี้ เห็นต้นไม้มีผลมากมาย เลยถ่ายไว้ ค่ะ

ตรงนี้น่าจะเป็นโบสถ์ นะ

รูปภายในของสถานที่นี้ ค่ะ

หนทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน ห้าห้าห้า

ภายในของสถานที่นี้ โล่ง ๆ อากาศเย็นสบาย ค่ะ


เป็ยพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างทาง ค่ะ ให้ถ่ายรูปได้ ค่ะ





เป็นสิ่งที่พบเห็นก่อนที่จะไปสู่จุดไฮไลท์ คือ วิหารและสเตเดี่ยมบนเขาสูง





สิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ค่ะ




ฉันเดินมาถึงที่ประตูทางเข้าที่จะไปชมวิหารบนเขาสูง

ภาพที่ฉันถ่ายตอนรอเพื่อนอยู่ที่ร้านอาหาร เดินถ่ายบริเวณ รอบ ๆ ร้าน ค่ะ


ประตูที่จะเดินเข้าไปชมวิหาร ตรงนี้ต้องเสียเงินซื้อตั๋วเข้าไป ค่ะ


เป็นภาพบนเขาสูงที่ฉันได้ภาพจากเพื่อน ๆ ที่ได้ขึ้นไปชม เสียดายมาก ชราภาพ เป็นปัญหาไม่มีโอกาสได้ชมของจริง เฮ้อ!







สวยมาก อิจฉาคนที่ได้ไป ถ้าฉันไม่ได้ไปกับทัวร์ ไปกันเอง ฉันก็อาจจะค่อย ๆ เดินไปได้นะ











อาหารมื้อเที่ยง ที่ร้านอาหาร ARTEMIS RESTAURANT อาหารก็เหมือนเดิม ค่ะ จากนั้น เดินทางไปเมืองอัจลุน (AJLOUN CASTLE) ประมณ 40 นาที อยู่ทางด้านเหนือของเมืองเจอราชไปเล็กน้อย เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงที่ห้อมล้อม ไปด้วยป่าต้นสนและต้นมะกอก ชมปราสาทแห่งเมืองอัจลุน ผู้สร้าง เป็นพวกนักรบชาวมุสลิมประมาณปี ค.ศ. 1184-1185 ใช้เป็นป้อมทหารในการต่อสู้ กับพวกนักรบครูเสด และในปี ค.ศ. 1260 ถูกกองทัพมองโกลทำลาย สถานที่นี้ ฉันก็ไม่ได้ไป ค่ะ ฝนพรำ ๆ ด้วย อเล็กบอกว่าทางเดินที่จะไปชมปราสาทนี้ ค่อนข้าง ชันเดินยาก อเล็ก บอกว่า อาจารย์อยู่บนรถดีกว่า มันอันตราย ฉันก็โอเค นั่งอยู่ในรถพร้อมด้วย เพื่อนทัวร์ อีก 3-4 คน ก็ไม่ได้ไปนั่งอยู่ในรถ เราก็นั่งคุยกัน เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงได้ คนที่ไปเที่ยวชมปราสาท แห่งเมืองอัจลุนก็กลับมาขึ้นรถ โก บอกฉันว่า ดีแล้ว ที่พี่แอ๋วไม่ไป เพราะหนทางเดิน ลำบากฝนตกเฉอะแฉะ ลื่นด้วย ขึ้นไปถึงตัวปราสาท ก็ไม่สวยอะไรมากนัก ปลอบใจฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ห้าห้าห้า ฉันเลยไม่มีรูปมาให้ชมเลย ค่ะ รถเราออกจากที่นี่ ก็บ่ายมาก ๆ แล้ว เดินทางต่อไป ที่กรุง อัมมาน อเล็ก ไกด์ พาพวกเราไป ช้อบปิ้งที่ห้าง CITY MALL -CARREFOUR ในห้างมีของขายมากมาย ของที่เป็นแบนด์เนม ของกิน ถั่วชนิดต่าง ๆ ข้อสำคัญเป้าหมายฉัน และอีกหลายคน ก็คือ ซื้อ น้ำมันมะกอก ฉันก็ซื้อน้ำมันมะกอก 2 ขวด ช็อกโกแลต ถั่วอีก 2-3 ชนิดที่ชิมแล้วชอบกินด้วย จะใช้เงินจอร์แดนให้หมดด้วย เพราะคืนนี้ เราต้อง นั่งเครื่องกลับไทยแล้ว ค่ะ อาหารมื้อเย็นวันนี้ พาไปกินร้านอาหารพื้นเมือง ชื่อ TAWAHIN AL HAWA RESTAURANT โต๊ะอาหาร กลางโต๊ะ เป็นถาดทองเหลือ อาหารที่นำมาให้เรากิน ก็เหมือน ๆ กับที่กินกันแทบทุกมื้อ นั่นเอง ฉันก็กินไก่ เหมือนเดิม ห้าห้าห้า กลับถึงบ้านคงเข็ดไก่ไปอีกนาน



หลังอาหารมื้อเย็นนี้ เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินทางไปยังสนามบิน เพื่อรอเดินทาง กลับประเทศไทย ในเวลา 01.30 น. เราต้องนั่งคุยกัน เดินบ้าง นั่งบ้าง หลายชั่วโมงทีเดียว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อมากที่สุด เพราะว่า ขณะนี้ ใจของทุกคน อยู่ที่เมืองไทยของเราแล้ว ค่ะ นั่งคุยกับเพื่อนทัวร์บ้าง แล้วก้นั่งหลับกันไป จนกระทั่งได้เวลาขึ้นเครื่อง ทุกคนก็กลับมา กระฉับกระเฉง เพราะ เราจะได้ขึ้นเครื่องกลับบ้านแล้วนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ความน่าเบื่อก็ยังไม่หมดแน่นอน ค่ะ เพราะพวกเราจะต้องนั่งอยู่บนเครื่องบิน อีก 8.30 ชั่วโมง น้อยกว่าขามาครึ่งชั่วโมง ค่ะ ระหว่างอยู่ในเครื่องบิน กำลังเคลิ้ม ๆ จะหลับ บริกรบนเครื่องบิน ก็มาปลุกให้กินข้าวแล้ว อาหาร บนเครื่องก็แจก 2 มื้อ เหมือนตอนขามา ค่ะ และแล้ว พวกเราก็ได้มาถึงสนามบิน สุวรรณภูมิของไทยเรา มารอรับกระเป๋าที่สายพานหลังจาก ตรวจและประทับตราพาสปอร์ตเข้าประเทศเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างอำลาจากกัน ลูกชายของฟิตตรีย์ อาดัม โทรมาบอกว่า ติดงานอยู่ให้แม่เขากับฉัน รอที่สนามบิน ตอนเย็นจะมารับ โห ! ไม่ไหวหรอก เพราะ ตอนเรารับกระเป๋าเดินทางเสร็จ เพิ่งประมาณบ่ายสองโมงเศษ ๆ ฟิตตรีย์บอกงั้นแยกทางกันไป เขาจะไปบ้านพักลูกชายแถวบางจาก เอ้า! ก็รู้อยู่แล้วว่า ฉันไม่นั่งแท็กซึ่คนเดียวแต่ไหนแต่ไร อีกอย่าง บ้านฉันกับบ้านลูกชายเขาก็ไปทางเดียวกัน อยู่แล้ว จะนั่งแท็กซี่คนละคันทำไม ก็มาส่งฉันที่บ้านก่อน แล้วก็ไปที่บางจาก บ้านพักอาดัมได้นี่นา ในที่สุด ก็เอาตามที่ฉันบอก นั่นแหละ โกและตุ่น ก็เห็นด้วย เราออกมาจากสนามบินมายังจุดเรียกแท็กซี่ เป็นการกดคิวเรียกแท็กซี่ มีค่าบริการเพิ่มอีก 50 บาท รอสักพัก ก็ได้รถกลับ รถมาส่งฉันที่บ้าน ฉันบอกฟิตตรีย์ว่า ไปถึงบ้านเขาราคาค่ารถเท่าไหร่ ให้แจ้งมา นะ ฉันจะจ่ายค่ารถของฉันให้เขาด้วย ( แต่เขาบอกว่า ลูกชาย อาดัม บอกไม่ต้อง ให้อาจารย์จ่าย เลยไม่ได้จ่ายเขาตอนขากลับ จ่ายตอนขามาอย่างเดียว)
ทริปนี้ ก็ปิดทริปไปอย่างมีความสุข ได้ราคาดี ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ บนโลกกว้างเพิ่มมากขึ้น ถึงจะเที่ยวไม่ครบทุกจุดที่ไป เพราะสังขารของเรา ไม่อำนวยให้ นั่นเอง แต่ก็พอใจนะ ได้เห็น ได้ชื่นชม เห็นสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นไฮไลท์ของ ประเทศจอร์แดน หลาย ๆ สถานที่ ขอบใจเพื่อนทัวร์ โดยเฉพาะศิษย์เขยที่ได้เป็นตากล้องถ่ายรูปสวย ๆ ให้สมาชิกที่ไปเที่ยวด้วย ทำให้ได้รูป สวย ๆ มาประกอบการเขียนเรื่องเที่ยวในบล็อกแก๊ง ค่ะ
ฝากเพลงไพเราะประกอบทริปจอร์แดน ค่ะ
Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2567 |
Last Update : 6 มีนาคม 2567 19:15:38 น. |
|
14 comments
|
Counter : 985 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณSleepless Sea, คุณทนายอ้วน, คุณtoor36, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณกะว่าก๋า, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณร่มไม้เย็น, คุณเนินน้ำ, คุณดอยสะเก็ด, คุณmultiple |
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 6 มีนาคม 2567 เวลา:20:37:13 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 6 มีนาคม 2567 เวลา:21:55:39 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 6 มีนาคม 2567 เวลา:23:11:31 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 มีนาคม 2567 เวลา:5:46:49 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 มีนาคม 2567 เวลา:15:46:35 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 7 มีนาคม 2567 เวลา:18:49:28 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 มีนาคม 2567 เวลา:5:00:12 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 มีนาคม 2567 เวลา:19:50:39 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 10 มีนาคม 2567 เวลา:9:21:02 น. |
|
|
|
โดย: ศาสนาอิสลาม IP: 172.96.161.170 วันที่: 10 มีนาคม 2567 เวลา:16:44:09 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 11 มีนาคม 2567 เวลา:5:01:21 น. |
|
|
|
|
|
 |
|
|
|
 |
ฝากข้อความหลังไมค์ |
 |
Rss Feed |
 | Smember |  | ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]

|
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif |
|
 |
|