|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
ชวนไปเที่ยว เลห์ ลาดัก ของอินเดีย (ตอนที่ 1 ) |
|
ชวนไปเที่ยวเลห์ ลาดัก ของประเทศอินเดีย ตอน 1
เมืองเลห์ เป็นเมืองหลักของแคว้น ลาดัก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ ประเทศอินเดีย มีชายแดนติดกับประเทศจีน และประเทศปากีสถานเป็นเมืองที่ได้รับฉายาว่า "ทิเบตน้อยแห่ง อินเดีย"เพราะอิทธิพลทางด้านศาสนาและภาษาธิเบต นั่นเอง ทริปนี้ สืบเนื่องจาก เกด ลูกศิษย์ ชวนไปเที่ยว เขามีเพื่อนที่จะร่วม ทริป 4 คนแล้ว ให้ฉันหาเพื่อนร่วมเดินทางอีก 4 คน จะได้จัดทริปนี้ไปเที่ยวกับรถที่จะเช่า คันใหญ่ นั่งหลวม ๆ ไม่อึดอัด ฉันเลยชวน จอย น้อง (รัตนา) แต๋ว และฉัน รวมเป็น 4 คน รวมกับคณะของเกด ก็เป็น 8 คน เกด พาฉันไปทำพาสปอร์ตใหม่ เพราะเล่มเก่าหมดอายุแล้ว และให้รีบจองตั๋วเครื่องบิน การบินไทยไป เดลลี และบินภายในจากเดลลีไปเลห์ รวมค่าเครื่องบิน ขาดไม่กี่บาทก็เป็นสองหมื่น เกด เก็บค่าทัวร์ อีกคนละ สองหมื่นห้า ไม่รวมค่าทริปไกด์ อีกประมาณ สองพันบาท ทริปนี้ ไปวันที่ 20-29 ต.ค. 66 ค่ะ
เมื่อถึงวันเดินทาง จอยมารับฉันที่บ้าน ประมาณ สองทุ่มครึ่ง ให้ค่า ติ๊บ ทูน น่าจะ 200 บาท นะ มาถึงสนามบินประมาณ สามทุ่มกว่า เกด ออกมารับพวกฉัน น้องและแต๋วไปถึงแล้ว ปรากฏ ว่า เพื่อนของเกด ยกเลิกไม่ได้ไปด้วย เนื่องจาก ป่วยกระทันหัน เกด คงให้ เมล (ลูกสาว ไปเจอกันที่ เดลลี) และแอง (ศิษย์เขย)ไปด้วย ทริปนี้ จึงเป็น 7 คน หลังจากเช็คอินแล้ว เรายังมีเวลาเหลือเฟือ พอดีเกดและฉัน มีสิทธิ์ จากธนาคารที่เราฝากเงินถึงเป้าหมาย จะมีสิทธิ์มากินเหลา ในสนามบิน จึงไปใช้สิทธิ์ แต่ฉันยังไม่ออกเจเลยกินได้แต่ถั่วและน้ำ เท่านั้น ส่วนเกดและแอง ก็กินของคาวกันไป ส่วน น้อง แต๋ว และจอย (ซึ่งไม่ค่อยสบายแพ้ยาที่กินกันความสูง ปากบวม มาก) เดินเที่ยวอยู่ด้านนอก เมื่อถึงเวลา ซึ่งเครื่องบินจะออกตามเวลา คือ ประมาณเที่ยงคืนกว่า ถือว่า เราบินวันที่ 21 ต.ค. นั่นเอง เวลาของอินเดีย ช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 1.5 ชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางจาก กรุงเทพฯ ไปเมืองเดลลี ประมาณ 4.05 ชั่วโมง บนเครื่อง มีอาหารให้กิน 1 มื้อค่ะ เดินทางถึงสนามบิน เดลลี เพื่อ ต่อเครื่องภายใน เรามาถึงเดลลี ประมาณ 02.15 น.ตามเวลาของ อินเดียแต่เราต้องรอต่อเครื่อง เวลา 06.45 น. ซึ่งรอเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และที่แย่กว่านั้น คือ เครื่องบินที่เราจะต่อไปยังเลห์ เกิด ดีเลย์ เป็นเวลาชั่วโมงอีก ใช้เวลาบินจาก เดลลี ไป เลห์ ใช้เวลาอีก 1.25 ชั่วโมง มาถึงเลย์ เราต้องรอกระเป๋า และกรอกใบ ออกจากเลห์ เพื่อเดินทางต่อ เกด และ เมลช่วยกันกรอกใบออกจากสนามบิน ตอนนี้ เมลมารอตั้งแต่อยู่เดลลีแล้ว รอเครื่องไปเลห์ ด้วยกัน
เกด ลูกศิษย์จัดทริปนี้ ค่ะ
คณะของเรา ที่จะไปเที่ยว เลห์ ลาห์ดัก
คนขับรถมารับพวกเราแล้ว รถคันใหญ่นั่งสบาย คนยกเลิกทริปไป 2 คน ค่ะ
พวกเรารอรถที่เกดติดต่อไว้มารับไปที่พัก ที่เกดได้จองไว้แล้ว ถนนที่นี่ แคบมาก แทบจะสวนไม่ได้เลย คนขับต้องมีความชำนาญมาก ๆ ทีเดียว ซึ่งคนขับรถเราก็เก่งนะ พนักงานที่นี่มาช่วยหิ้วกระเป๋าของพวกเราไปที่ห้องพัก ฉันนอนห้องเดียวกับแต๋ว จอยกับน้อง ห้องหนึ่ง พ่อแม่ลูก เขานอนอีกห้อง เท่ากับ 3 ห้อง ฉันให้ติ๊บคนหิ้วกระเป๋าไป น่าจะ 50 รูปี ถ้าจำไม่ผิด นะ เกด บอกให้พวกเรานอนพักผ่อน สัก 2-3 ชั่วโมงก่อน เพื่อปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับอากาศที่เลห์ ซึ่งอยู่บนที่สูง ประมาณบ่ายสามโมงของที่นี่ จะออกไปเที่ยวสถานที่ที่ในเมืองเลห์ โรงแรมที่เรามาพัก สวยงาม ใช้ได้ค่ะ มีชื่อว่า Hotel Yaxab TSO
ที่แรกที่ไปเที่ยว คือ เจดีย์สันติภาพ (Shanti Stupa) Shanti Stupa หรือเจดีย์สันติภาพ เป็นเจดีย์สีขาวทรงโดมตั้งอยู่บนเนินเขา ใกล้หมู่บ้าน Changspa ในเมือง Leh ตั้งอยู่ในย่าน จังสปา (Changspa Area)ห่างจากใจกลางเมืองเลห์ออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำสไตล์ทิเบต มีฐานกลมวนรอบสองชั้น ส่วนยอดเป็นสีทอง องค์เจดีย์เป็นสีขาว ซึ่งสีขาว เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ เจดีย์แห่งสันติภาพ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1985 โดย องค์กรพุทธศาสนาแห่งญี่ปุ่น ซึ่งองค์กรนี้ ก่อตั้งขึ้น ปี ค.ศ. 1917 โดยพระสงฆ์ชาวญี่ปุ่น ชื่อ นิชิดัทสุ ฟูจิอิ (Nichidatsu Fujii) เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาและสันติภาพ ให้เฟื่องฟู องค์กรนี้สร้าง เจดีย์แห่งสันติภาพ (Peace Pagoda หรือ Peace Stupa) ไว้ทั่วโลกในลักษณะคล้ายคลึงกัน ทั้งในอินเดีย เนปาล ออสเตรเลีย อังกฤษ อิตาลี โปแลนด์ เกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ โดยเจดีย์สันติภาพแห่งแรกตั้งอยู่ที่เมืองฮิโรชิม่า และ นางาซากิ เมืองที่ถูกระเบิดนิวเคลียร์ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง ที่นี่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ (The Japanese for world Peace) ด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อเรียกร้องให้ผู้คนทั้งโลกร่วมมือร่วมใจกันสร้างสรรค์สันติภาพและเพื่อ เป็นการฉลองวาระครบรอบ 2,500 ปีแห่งศาสนาพุทธ โดยองค์ดาไลลามะ ได้เสด็จ มาเป็นประธานเปิดพระเจดีย์ด้วยพระองค์เอง
แอง ศิษย์เขย อธิบาย เรื่องเจดีย์สันติภาพ
สามสาวถ่ายรูปร่วมกัน ค่ะ
บรรยากาศรอบ ๆ เจดีย์สันติภาพ
มีองค์พระให้เรากราบสักการะ
ทำบุญหยอดตู้ ให้เยาว์และจ๋าด้วย คนละ 20 บาท
ระหว่างทางที่จะเดินขึ้นไปชม เจดีย์สันติภาพ
บรรยากาศรอบ ๆ เจดีย์ สันติภาพ
แหล่งที่ 2 ที่ไปเที่ยวคือ พระราชวังเลห์ (Lah Palace) จากเจดีย์สันติภาพแล้ว ก็ไปเที่ยวที่พระราชวังเลห์ ค่ะ พระราชวังนี้ เคยถูกปกครองด้วยราชวงศ์ Namgyal dynasty ตั้งแต่ ปี 1460 จนถึงปี 1842ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมีกษัตริย์ขึ้นครองราชย์ทั้งสิ้น 20 องค์ได้ โดยกษัตริย์ที่ริเริ่มให้มีการสร้าง Leh Palace แล้วเสร็จต้องผ่านยุคกษัตริย์ถึง 4 พระองค์ เลห์ได้สร้างตั้งแต่ยุค กษัตริย์องค์ที่ 6 Tsewang Namgyal สร้างขึ้น ประมาณ 1600 จนแล้วเสร็จในยุคของกษัตริย์องค์ที่ 9 Sengge Namgyal ซึ่งได้รับฉายาในยุคนั้นว่าเป็น The Lion King เพราะในช่วงที่ท่านครองราชย์ ท่านได้ทำการสร้าง Leh palace ต่อจนเสร็จ รวมทั้งสร้าง Hemis Monastery และ Monastery อื่น ๆ ที่มากมายปัจจุบัน พระราชวังแห่งนี้ไม่มีกษัตริย์ใด ๆ อาศัยอยู่แล้ว ที่นี่จึงมีเพียงโครงสร้าง และ ศิลปะความงามที่หลงเหลือ โดยที่นี่มีถึง 9 ชั้นซึ่งสมัยก่อนชั้นบน ๆ เป็นที่พักของกษัตริย์ ส่วนชั้นล่าง เป็นที่เก็บของ แต่ในยุคปัจจุบันบางห้องได้จัด นิทรรศการภาพถ่ายสถานที่สำคัญในอินเดีย จุดสำคัญของความโดดเด่นของที่นี่ คือ ในสมัยก่อนกษัตริย์จะมองเห็นเมือง Ladakhi Himalayan ทั้งเมืองและมองเห็นภูเขาที่อยู่เบื้องหลังได้พระราชวังที่ถูกทอดทิ้ง เมื่อDogra กองกำลังเอาการควบคุมของลาดักในช่วงกลาง ศตวรรษที่ 19 และบังคับให้พระราชวงศ์ที่จะย้ายไปStok พระราชวังส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ ทรุดโทรมและมีการตกแต่งภายในเพียงเล็กน้อย พระราชวังเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมและมีหลังคาให้ทัศนียภาพกว้างไกล ของเมืองเลห์และบริเวณโดยรอบ มาชมภาพ ค่ะ
กำลังเดินขึ้นเนิน เพื่อชมวัง เลห์ ค่ะ
ประตูทางเข้าวัง เลห์
ลูกศิษย์และหลานศิษย์
จากพระราชวังเลห์ เราจะมองเห็นเมืองเลห์ได้อย่างชัดเจน สวยงามมาก
น้องและจอยเดินขึ้นไป ถึงชั้นบน ส่วนฉันกับแต๋ว ถ่ายรูปแค่ชั้นล่าง ชั้นสองเท่านั้น
ออกจากวังเลห์แล้ว เกดพาไปเดินตลาด ในตลาดนี้ มีห้างร้านขายของมากมาย พวกเครื่องเงิน เครื่องถม เป็นของฝาก มีร้านขายเสื้อผ้า ส่วนใหญ่จะเป็นชุดออกแนวแขก มีผ้าพันคอ ผ้าห่ม ของที่ระลึก มีร้านขายอาหาร ขายขนม ฯ ตามริมทางก็มี เป็นพวกผลไม้อบแห้ง ตลาดนี้ ชื่อว่า Main Brazar Marketฉันเดินหาซื้อกระดิ่งที่ ฟิตตรีย์ลูกศิษย์อยากได้ หาซื้อมาฝากเขาแพงเหมือนกันนะ จะเอาตั้ง 1200 รูปี เกด ช่วยต่อ ได้ 800 รูปี ค่ะ มาชมบรรยากาศที่ตลาดนี้ ค่ะ
ซื้อผลไม้แห้ง มีแอปเปิ้ล แอปปิคอท เป็นต้น
มาซื้อกระดิ่งที่ฟิตตรีย์อยากได้ และซื้อได้จากร้านในนี้ ค่ะ เดินกันจนเมื่อยมาก วันนี้เดินเที่ยวกันเยอะมาก กลับถึงที่พัก น่าจะสองทุ่มได้ กินข้าวที่โรงแรม นี้ ซึ่งแทบจะไม่มีคน อื่นมาพักเลย อาหารบางอย่าง เกด เมล และแอง ได้เข้าครัวช่วยทอดไข่ ลาบไก่ ส่วน ฉัน จอย และน้อง ยังอยู่ในช่วง กินเจ เรามีอาหารที่เตรียมมาเอง เช่น มาม่าเจ น้ำพริก โปรตีน จอยเอากานาฉ่ายมากินกัน 3 คน มาชมภาพตอนเย็น ค่ะ
มาม่า เจ โปรตีน เจ ค่ะ
คืนนี้ เข้านอนกัน หลับไม่สนิทนัก เนื่องจากเวลาที่ต่างกันและต่างที่ แต่ก็นอนหลับได้ดี ไม่ยากนัก เช้าวันพรุ่งนี้ เกด นัดกัน 7.30 น. กินข้าว 8.00 น.เริ่มเดินทางเที่ยวกันเป็นวันที่ 2 ค่ะ
เช้าวันที่ 22 ต.ค. พวกเราลงมากินข้าวกันประมาณ 7 โมงกว่า ครอบครัวของลูกศิษย์ไปช่วยทำครัวเหมือนเดิม ฉัน จอย น้อง ยังกินเจกันอยู่ พรุ่งนี้กินเป็นวันสุดท้ายแล้วการกินเจก็ จะสิ้นสุด ค่ะ อาหารของพวกเรา 3 คน ก็ยังเหมือนเดิม ให้เจ้าหน้าที่ไปทำมาม่าให้เรา ค่ะ กินเสร็จ เข้า ห้องน้ำกันเรียบร้อย ก็ออกมาที่สวนหน้าห้องพัก ซึ่งมีปลูกดอกไม้สวยงามไว้ มีโต๊ะเก้าอี้ให้พวกเราได้นั่งสบาย ๆ ชม ดอกไม้ ขณะที่รอรถมารับ พวกเราก็ถ่ายดอกไม้ ถ่ายกับดอกไม้สวย ๆ แดดกำลังจัด คลายหนาวได้ดี มาชมรูป ค่ะ รูปสวนหน้าโรงแรม มาชมรูปพวกเราค่ะ
สวนดอกไม้หน้าโรงแรมที่พัก ค่ะ มีเก้าอี้ โต๊ะ ให้นั่งเล่น ค่ะ
ห้องรับแขกของโรงแรม ค่ะ
รอบรั้วของโรงแรม ค่ะ
แต๋ว ชมดอกไม้
รถมารับพวกเราตามเวลานัด พวกเราขึ้นรถกันเรียบร้อย รถออกจาก ที่พัก แล่นไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางผ่านภูเขา ซึ่งเป็นภูเขาที่แปลกตาแตกต่างจากภูเขาที่เคยผ่านตามาในแต่ละ ประเทศ บางแห่งเป็นริ้ว ๆ อันเกิดจากการกัดเซาะ ของธารน้ำ หิมะ ทำให้มีลักษณะสวยงาม แปลกตา ที่แปลกตา ถือว่า เป็นจุดชมวิว คนรถก็จอดให้พวกเราลงรถไปชม และถ่ายรูป กัน จุดจอดรถให้ชมนี้ คือ Sangam Viewpoint เป็นจุดที่ แม่น้ำสินธุ (Indus River) และแม่น้ำซันสการ์ (Zanskar River) ไหลมาบรรจบกัน แม่น้ำสินธุมีสีเขียว ส่วนแม่น้ำ ซันสการ์มีสีน้ำตาล ไหลเลียบเขามาพบกันกลาย เป็นแม่น้ำสองสี ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองเลห์ ใช้เวลาขับรถมา ประมาณ 1 ชั่วโมงถือเป็นไฮไลท์ สำคัญ ถ้ามา เมือง leh แล้วต้องมาชมจุดนี้ ค่ะ มาชมภาพของพวกเรา ค่ะ
Sangam Viewpoint เป็นจุดที่ แม่น้ำสินธุ (Indus River) และแม่น้ำซันสการ์ (Zanskar River) ไหลมาบรรจบกัน
ถ่ายรูปเดี่ยวตามมุมต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลิน
วัดต่อไป ไปไหว้พระ และเที่ยววัด ลามายารู (Lamayuru Monastery)
Lamayuru Monastery ( วัดลามายูรุ) หรือ อีกชื่อหนึ่งว่า ยุงตรุง ทาปาลิง กอมปา (แปลว่า ภาษาทิเบต หมายถึง สวัสติกะ) เป็นวัดทางพุทธศาสนา แบบทิเบตที่เก่าแก่มากใน เลห์ ลาดัก สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 หรือมีอายุประมาณ ราว ๆ 1000 ปี ซึ่งที่นี่สะท้อนให้เห็นถึงวิทยาการการก่อสร้าง ของคนที่นี่เมื่อพันปีที่แล้วได้อย่างดี ที่นี่เขาได้สมญานามว่าเป็น อารามนิรันด์ (Eternal Monastery) เพราะความที่กาลเวลาผ่านมา นานมากแต่ที่นี่ยังหลงเหลือซากไว้ได้มาก ที่นี่ตั้งอยู่บนความสูง 3,510 เมตร บนถนนสาย Srinagar-Leh ( บางแห่งบอกว่า 3390 เมตร) อยู่ห่างจากทางตะวันออกของ Fotu La ราว 15 กิโลเมตร วัดนี้มีที่ตั้งของวัดสำคัญ ที่เก่าแก่และมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในลาห์ดัก ผู้สร้างนามว่า Mahasiddhacarya Naropa ได้เนรมิตให้ทะเลสาบในหุบเขา ของที่นี่แห้งลง หลังจากนั้นจึงได้สร้างวัด Lamayuru ขึ้น อารามเก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน คืออาราม Seng-ge-sgang เมื่อก่อนเคยมีลามะเข้ามาอยู่และศึกษาคำสอนถึง 400 รูป แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 150 รูปโดยจะกระจายตัวอยู่วัดรอบ ๆ ที่นี่ ประเพณีสำคัญ ที่จัดขึ้นที่วัดแห่งนี้จะมีทุกเดือน 2 และเดือน 5 เป็นประเพณีระบำหน้ากาก ที่ถ้าใครมาที่นี่ในช่วงเวลานี้อยากลืมเช็ควันจัดงานได้ ส่วนของอารามที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมข้างหน้า จะมีสีสัน และ โครงสร้างแนวทิเบตเลย ภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป (แอบถ่ายรูป ต้องเสียงเงินเข้าไปชม 200 รูปี) วัดลามายูรู ตั้งอยู่บนหุบเขาสูงและสามารถมองเห็นหุบเขาและหมู่บ้านลามายูรุ ได้อย่างชัดเจน ก่อตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 โดย Mahasiddhacharya Naropa เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายหมวกแดง เดิมที วัดลามะยูรูเคยเป็นของสงฆ์ ฝ่ายกาดัมปะ (Kadampa) แต่ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนเป็นวัดของสงฆ์สายตริกุง-กาจูรย์ (Drigung-Kagyu) เป็นวัดที่มีจุดเด่น คือ อากาศที่สดชื่นเย็นสบายและทัศนียภาพ ที่ตระการตา ขณะเดียวกันเราก็สามารถมองเห็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมและดำเนิน กิจวัตรอย่างสงบ แต่เดิมในอดีตวัดลามายูรูเคยมี จำนวนพระสงฆ์อยู่กว่า 400 รูป แต่ปัจจุบันเหลือพระจำพรรษาอยู่อย่างถาวร เพียงประมาณ 150 รูป โดยพระสงฆ์ส่วนที่เหลือ ได้ย้ายออกออกไปจำวัดในหมู่บ้านรอบๆ เมื่อมีพิธีสำคัญประจำปีทางศาสนา จึงจะเดินทางมาร่วม พิธีนั้นเรียกกันว่า ญูรู ฆับจ์ยัต (Yuru Kabgyat) ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันที่ 17-18 เดือนห้า ตามปฏิทินจันทรคติของทิเบตโดยในงาน จะมีการเต้นระบำหน้ากาก และนำผ้าบฎอันเก่าแก่ออกมาคลี่บูชา
บรรยากาศโดยรอบของวัด ค่ะ
หมุนระฆังกัน ค่ะ มีแต๋วถ่ายรูปให้ ค่ะ
ทิวทัศน์ รอบวัดที่มองจากมุมสูง สวยงามมาก ค่ะ
ซื้อตั๋วเข้าชมด้านใน คนละ 50 รูปี (ไม่น่าจำผิด) ห้ามถ่ายรูป แต่ฉันแอบถ่ายพระลามะมาให้ชม และทำบุญไป 100 บาท ค่ะ อิอิ
รูปนักบวช บุคคลสำคัญของชาวธิเบต ค่ะ
ส่วนหนึ่งของทิวทัศน์อันงดงามที่มองจากบนวัดลงไปด้านล่าง ค่ะ
หมุนระฆังใหญ่ กับ แต๋ว ค่ะ
เจอคณะคนไทยที่มาท่องเที่ยวเหมือนเรา ทักทายกันและถ่ายรูปร่วมกัน ค่ะ
ทิวทัศน์ สวยงามอีกมุมหนึ่ง ค่ะ
ประตูด้านนอกของห้องที่เราเสียเงินเข้าไปชม ค่ะ
ด้านนอกมีจิตรกรรมฝาผนัง งดงาม ค่ะ
ทิวทัศน์ที่มองจากมุมสูงของวัด ค่ะ
อาหารเที่ยง พวกเรากินกันบนรถ โดยเกดเตรียมอาหารที่โรงแรมมา เรียบร้อยแล้วเป็นมื้อกินง่าย ๆ ประหยัดเวลา เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็เดินทางเที่ยวกันต่อ สถานที่ที่ไป คือ วัดอัลชิ (Alchi) อัลชิ (Alchi) เป็นหมู่บ้านชาวทิเบตชุมชนเก่าแก่เช่นเดียวกับหมู่บ้านอื่น ในลาห์ดัก แถวหมู่บ้านอัลชิเป็นเขตที่อุดมไปด้วยน้ำ ในยามฤดูร้อนทำให้มีน้ำเพียงพอสมบูรณ์สำหรับปลูกพืชผล เช่น ข้าวสาลี พืชผักต่างๆ แอปเปิ้ล แอปปลิคอต ที่อัลชิ เป็นหมู่บ้านที่ปลูกแอปเปิ้ลมากแห่งหนึ่งของลาห์ดัก วัดอัลชิ (Alchi Gompa หรือ Alchi Monastery)เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง สร้างในปี ค.ศ. 1020 - 1035 ตั้งอยู่หมู่บ้านอัลชิ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เป็นวัดที่ไม่ได้อยู่บนภูเขาเช่นเดียวกับที่อื่น ๆ แต่เป็นวัด ที่ตั้งอยู่บนพื้นราบ อยู่ห่างจากเลห์ประมาณ 67 กิโลเมตร ก่อตั้งโดย Ringchen Zangpo จุดเด่นคือมีศิลปกรรมการแกะสลักไม้ ทั้งภายในและภายนอก ตัวอาคารมีภาพจิตรกรรม ฝาผนังโบราณอันทรงคุณค่า และภาพพระพุทธเจ้าที่สวยงามมากมาย ในการเข้าชมภาพจิตรกรรมอาจต้องใช้ไฟฉาย ช่วยในการมองเห็นนอกจากนี้วัดอัลชิยังเป็นวัดที่มีอิทธิพลทางศิลปะ และสถาปัตยกรรมของแคชเมียร์ด้วย เวลาเปิดปิด 08.00-13.00 น. และ 14.00-18.00 น. ภายในวัด มีสถูป(Chortens) พระพุทธรูปองค์ใหญ่ งานศิลปะไม้แกะ และจิตรกรรมฝาผนังอันเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง ที่ยังหลงเหลืออยู่มีวิหารที่สำคัญอยู่ 3 ส่วน คือ the Dukhang (หอประชุม), the Sumtsek and the Manjushri อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเลห์ 66 กม. หรือ 1 1/2 ชม โดยรถยนตร์
ทางเดินที่จะเดินเข้าไปชมตัวอาราม
เดินไกลเหมือนกัน ค่ะ
ที่ซื้อบัตรเข้าชมและต้องฝากกล้องถ่ายรูปไว้ด้วย ตอนที่จะเข้าไป สถูป ค่ะ
บริเวณวัดมีสถานที่ให้ถ่ายรูปสวย ๆ มาก ค่ะ
จากที่วัด อัลชิ เราก็ไปวัดอีกวัดหนึ่งชื่อว่า Likir MONASTERY
ระหว่างทางที่จะไปเที่ยววัด Likir Monastery มีทิวทัศน์ที่สวยงาม เราก็แวะ ถ่ายรูปไปด้วย ค่ะ มาชม ค่ะ
ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม ก็แวะถ่ายรูปกัน ค่ะ
Likir Monastery หรือ วัดลิคเกอร์ เป็นวัดที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีลามะ อาศัย เพื่อศึกษาธรรม ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ 52 กิโลเมตร ทางเลห์ตะวันตก วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ ไม่ห่างจากหมู่บ้านมา ชื่อ Likir หมายถึง “The Naga – Encircled” ซึ่งเป็นตัวแทนร่างของวิญญาณพญานาคสองตัวคือ Naga-rajas อย่าง Nanda ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของการสอนศาสนาทั้ง 3 ภาษาอย่าง ภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี และ ภาษาสันสฤผู้สร้างขึ้นเมื่อปี 1065 โดยลามะ Duwang Chosje ด้วยคำสั่งของกษัตริย์องค์ที่ 5 ของราชวงศ์เลห์อย่าง Lhachen Gyalpo (Lha-chen-rgyal-po) ซึ่งถ้านับ ณ เวลา ปัจจุบัน (ปี 2018) ก็รวมอายุได้ 953 ปี จุดเด่นของที่นี่อีกเรื่อง คือ เป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยะเมตไตรย์ ที่มีความสูงถึง 25 เมตร โดยเพิ่งสร้างเสร็จ เมื่อปี 1999 เป็นพระพุทธรูปทองทั้งตัวมาชมรูปของพวกเรา ค่ะ
เนื่องจากการมาถึงวัดนี้ ก็เกือบเย็นแล้ว จึงเดินเที่ยวกันน้อย หมดแรงที่จะเดินขึ้นเขา ไปชม จึงถ่ายรูปอยู่ด้านล่างของวัด คนละรูป และรูปหมู่ เท่านั้น
วันนี้ พวกเราเที่ยวทั้งหมด 3 แห่ง ค่่ะ แต่ละแห่ง เดินมากมาย เมื่อยขามากเลย ชราภาพแล้ว เย็นนี้ อาบน้ำเสร็จนวดยา มื้อเย็นวันนี้ ก็เหมือนเดิม กินเจอีกวันก็หมดเทศกาลกินเจ พรุ่งนี้ ต้องตื่นแต่เช้า จะไปทะเลสาบที่บอกกันว่า สวยที่สุด คือ ทะเลสาบปันกอง ค่ะ เที่ยวเลห์ตอนที่ 1 จบเพียงนี้ โปรดติดตามตอน 2 ต่อไป ค่ะ ขอบคุณข้อมูลบางส่วนที่เรียบเรียงมาจากอินเทอร์เน็ต ค่ะ มี เพลงประกอบ วิดิโอ ภาพของพวกเรามาฝากด้วย ค่ะ สวัสดี ค่ะ
ชมวิดีโอ การท่องเที่ยว เลย์ ตอนที่ 1 ค่ะ
Create Date : 05 มกราคม 2567 |
Last Update : 17 มกราคม 2567 8:14:51 น. |
|
29 comments
|
Counter : 580 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณกะว่าก๋า, คุณmultiple, คุณปัญญา Dh, คุณหอมกร, คุณร่มไม้เย็น, คุณThe Kop Civil, คุณtoor36, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณhaiku, คุณRain_sk, คุณชีริว, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณkae+aoe, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณ**mp5**, คุณtanjira |
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:10:43:57 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:11:17:33 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:11:45:41 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:12:54:27 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:14:27:16 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:19:52:56 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:19:53:51 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:20:01:09 น. |
|
|
|
โดย: Rain_sk วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:22:36:47 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:22:47:46 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:23:10:03 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มกราคม 2567 เวลา:5:26:26 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 15 มกราคม 2567 เวลา:11:25:00 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มกราคม 2567 เวลา:19:50:24 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 มกราคม 2567 เวลา:5:13:57 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 16 มกราคม 2567 เวลา:9:02:02 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 มกราคม 2567 เวลา:11:01:41 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 มกราคม 2567 เวลา:5:44:36 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 17 มกราคม 2567 เวลา:8:38:35 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 มกราคม 2567 เวลา:13:00:30 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 มกราคม 2567 เวลา:4:50:38 น. |
|
|
|
โดย: Rain_sk วันที่: 18 มกราคม 2567 เวลา:7:53:53 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 มกราคม 2567 เวลา:10:57:29 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 มกราคม 2567 เวลา:5:27:58 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 19 มกราคม 2567 เวลา:16:49:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ฝากข้อความหลังไมค์ |
|
Rss Feed |
| Smember | | ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]
|
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif |
|
|
|
ทุกสถานที่สวยงาม วิวทิวทัศน์อลังการมากๆ
ชอบใบไม้เปลี่ยนสีกับท้องฟ้าสีเข้มๆด้วย
อากาศเย็นๆแบบนี้
เดินสนุกเลยนะครับอาจารย์
ถ้าจะมีอะไรที่ผมคิดว่ายากที่สุดสำหรับตัวเอง
น่าจะเป็นเรื่องอาหารครับ 555