A core memory module with a capacity of 128 bytes. Photo: Konstantin Lanzet/Wikimedia Commons
ในช่วงปลายปี 1940 Frederick W. Viehe นักประดิษฐ์มือสมัครเล่นจาก Los Angles ได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรสำหรับหน่วยความจำรูปแบบใหม่ ที่ใช้หม้อแปลงขนาดเล็กเพื่อจัดเก็บข้อมูล ต่อมาอุปกรณ์ชิ้นนี้ได้รับการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ โดย An Wang นักฟิสิกส์ของฮาร์วาร์ด ผู้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์งานเอกสารภาษาอังกฤษที่มาก่อนกาลเวลา ที่พิมพ์ผ่านจอสีเขียวและแก้ไขได้เลยดีกว่าพิมพ์ดีด ภายหลังมีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่จะมีโปรแกรมพวก Word ที่ดีกว่ามาทดแทน
ต่อมาก็ Jay Forrester กับ Jan A. Rajchman ในช่วงปี 1950 นำไปสู่พัฒนาการหน่วยความจำแกนแม่เหล็ก เทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่แบบนี้ เป็นหน่วยความจำแบบถาวรไม่ลบเลือนครั้งแรก หน่วยความจำที่ไม่สูญเสียข้อมูล เมื่อสูญเสียพลังงาน(ไฟฟ้าดับ) หน่วยความจำชนิดนี้ได้รับการพัฒนาจนมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ในคอมพิวเตอร์ Whirlwind ของกองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อใช้ในการติดตามเครื่องบินตามเวลาจริง
Project Whirlwind core memory, circa 1951 หน่วยความจำแกนแม่เหล็กประกอบด้วย วงกลมคล้ายขนมโดนัทขนาดเล็กทำจากเฟอร์ไรต์ ferrite
Close-up of a core memory module. Photo: Konstantin Lanzet/Wikimedia Commons
Diagram of a 4×4 plane of magnetic core memory in an X/Y line coincident-current setup. X and Y are drive lines, S is sense, Z is inhibit. Arrows indicate the direction of current for writing. Diagram by Tetromino/Wikimedia Commons
หน่วยความจำแบบนี้ ก็เหมือนกับงานฝีมือ ที่เกี่ยวข้องกับการทอ การตัดเย็บ และการทำสิ่งทอในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้หญิงมีความชำนาญการมาก่อน/มากกว่าผู้ชาย ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจแรกของ Apollo ซอฟต์แวร์ของ Apollo Guidance Computer มีหน่วยความจำสูงนั้นก็ถูกถักทอขึ้นมา เรียกว่า core rope memory ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ หน่วยความจำแกนแม่เหล็ก
เพื่อสร้างหน่วยความจำนี้จำนวนมากขึ้นมา NASA จึงว่าจ้างผู้หญิงที่มีทักษะด้านสิ่งทอ ทั้งจากอุตสาหกรรมสิ่งทอในท้องถิ่น รวมทั้งจาก Waltham Watch Company เพราะทักษะนี้ต้องการความแม่นยำอย่างมาก ในการทำงานรอบแกนโดนัทด้วยเข็ม คนงานผู้หญิงเหล่านี้ต่างนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานยาว ต่างนั่งตรงข้ามกันเพื่อทำหน้าที่ร้อยสายไฟ ให้ผ่านรูของตาไก่(แกนกลางโดนัท) เส้นลวดก่อนที่จะร้อยผ่านรูตาไก่ จะสร้างรหัส 1 เมื่อผ่านเข้าไปในรูแล้วจะสร้างรหัส 0
หน่วยความจำ core rope memory มีชื่อเล่นว่า LOL memory มาจาก Little Old Ladies เพราะหัวหน้างานที่ดูแลการสร้างหน่วยความจำนี้ก็เป็นผู้หญิง และหัวหน้าใหญ่ในงานนี้ก็คือ Margaret Hamilton ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ของ MIT Instrumentation Laboratory ซึ่งพัฒนาซอฟต์แวร์การบินของยานอวกาศ โครงการอวกาศ Apollo ของ NASA
หนึ่งในภารกิจหลักของ Margaret Hamilton คือ การคิดหาวิธีจัดการกับข้อผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ ในปี 1960 มีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการเล็กน้อยมาก เกี่ยวกับวิธีการเขียนเอกสารและทดสอบซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน แต่ซอฟต์แวร์ Apollo นั้นปราศจากข้อผิดพลาดอย่างน่าทึ่ง ทั้งที่สิ่งนั้นไม่ใช่มนุษย์แต่อย่างใด
ในช่วงการลงจอดของยานอวกาศ Apollo 11 นักบินอวกาศได้เปิดสวิตช์เรดาร์นัดพบโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้คอมพิวเตอร์ต้องทำงานประมวลผลหนักเกินไป แต่ Margaret Hamilton คาดการหรือเดาว่า ถ้ามีเหตุฉุกเฉินดังกล่าวเกิดขึ้น ที่กลไกการทำงานเครื่องยนต์กับคอมพิวเตอร์ไม่สอดคล้องต้องกัน ก็จะอนุญาตให้คอมพิวเตอร์ Lunar Module ถ้าทำงานหนักเกินไป สามารถกระจายการคำนวณภารกิจที่ไม่สำคัญออกไป ให้มุ่งเน้นไปที่กลไกลการควบคุมหลักขอขงเครื่องยนต์ก่อน
“ หากคอมพิวเตอร์ไม่ได้ตระหนักถึงปัญหานี้ แล้วยังมุ่งแต่กู้คืน(คำนวณแต่ปัญหาเรื่องปุ่มสวิตช์เรดาเปิด) ฉันสงสัยว่า Apollo 11 จะประสบความสำเร็จในการจอดลงบนดวงจันทร์ ได้หรือไม่ (อาจจะขึ้นมาไม่ได้อีกเลย เพราะคอมพิวเตอร์ทำงานหนักจน Hang เอ๋อไปเลย) ตามจดหมายที่ Margaret Hamilton เขียนถึงผู้อำนวยการ Apollo Flight Computer Programming
ในกรณีต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การทำงานของหน่วยความจำแกนแม่เหล็ก National Science Foundation of Florida มีแบบเรียนให้ลองศึกษาและทดสอบที่ https://bit.ly/320yCHR
Margaret Hamilton หน้าเอกสาร software ร่วมกับทีมงาน MIT ใน Apollo Project.
ในยานอวกาศ
นิรนามกำลังร้อยสายหน่วยความจำให้ Apollo Guidance Computer
นิรนามกำลังร้อยสายหน่วยความจำให้ Apollo Guidance Computer
สาวเทคนิคร้อยสายผ่านโดนัทที่โรงงาน Raytheon ในเขต Boston
กล่องใส่ชุดหน่วยความจำ Apollo Guidance Computer
สาวเทคนิคติดตั้ง micrologic กับหน่วยความจำในสถานที่ผลิต Apollo Guidance Computer
หน่วยความจำ 8-GB microSD card กับแผงหน่วยความจำ 8-Bytes of magnetic-core memory. Photo: Daniel Sancho/Wikimedia Commons