ธันวาคม 2563

 
 
1
3
5
6
8
10
12
14
15
17
19
21
23
24
26
28
30
31
 
 
All Blog
แสงตะวันในฟ้าสีเทา เปยโม่ถิง เขียน


4/12/2020

 

 


 






แสงตะวันในฟ้าสีเทา  

เปยโม่ถิง เขียน  Tear แปล 

สำนักพิมพ์ everY  ในเครือแจ่มใส 

429 บาท  593 หน้า 

 

 

#แปลจีน #นิยายแปล #นิยายวาย #yaoi #BoysLove #แสงตะวันในฟ้าสีเทา #เปยโม่ถิง #everY #รีวิวนิยาย #ออโอ


 


*นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักระหว่างชายกับชาย


 

หลังปก 

 

ย่าของลู่ฉงตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า ‘ฉงจื่อ’ ซึ่งแปลว่าแมลง 

ย่าบอกว่าเพราะมันทั้งทรหดและแข็งแรง อาจจะเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกนี้ด้วยซ้ำ ตั้งแต่เด็ก แม้จะยากจน แต่ลู่ฉงไม่เคยคิดว่าตนลำบาก 

เขามีย่าที่ดูแลทุกคนในบ้าน มีพ่อที่ดวงตามองไม่เห็นข้างหนึ่งและขาเป๋ มีแม่ซึ่งสติเลอะเลือน ทว่าลู่ฉงมีความสุขมาก 

  

แต่ใครจะคิดว่าสวรรค์กลับไม่มีเมตตา เภทภัยมาเยือนดั่งผืนฟ้าถล่ม ลู่ฉงในวัยเพียงสิบหกปีต้องจากบ้าน มือหนึ่งอุ้มน้องสาว อีกมือหนึ่งจูงแม่ เดินทางเข้าสู่เมืองที่ไม่รู้จัก เมืองที่คนเหยียบคนแต่ก็ยังมีความจริงใจอยู่บ้าง  

 

ในเมืองแห่งนี้เขาได้พบกับชายหนุ่มผู้สว่างไสวนุ่มนวลดุจแสงจันทร์ 

ทว่าลู่ฉงไม่ได้เอะใจเลยว่าอีกฝ่ายหาใช่แสงจันทร์ แต่เป็นกองเพลิง ส่วนตัวเขาก็เป็นดั่งแมลงตัวน้อยที่หลงใหลไปกับความอบอุ่น กระทั่งถูกไฟแผดเผาจนใจแหลกลาญ  

 

นี่คือลำนำชีวิตของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งสวรรค์ไม่เคยเหลียวแล แต่ก็ยังคงอดทนไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อสิ่งใดง่าย ๆ  

เรื่องราวของลู่ฉงผู้ทระนง บริสุทธิ์ และแข็งแกร่งดั่งแมลง 



 

 

คุยกันหลังอ่าน 

 

 

โห... 

นี่คือคำอุทานที่ออกมาเมื่อเปิดอ่านเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ  

 

ใครยังลังเลเรื่องนี้และไม่เคยอ่านตัวอย่าง โอแนะนำให้อ่านตัวอย่างเลย สำหรับโอ ช่วงต้นเรื่องบนเขาคือช่วงที่พีกที่สุดของเรื่อง  

 

แต่ถ้าอยากฟังโอเล่าก็ล้อมวงเข้ามาค่ะ 

 

ลู่ฉงเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยในหมู่บ้านบนภูเขา ย่าตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า ฉงจื่อ ที่หมายถึงแมลง ย่าต้องการให้เขาทรหดและแข็งแรงเหมือนมัน เรื่องเริ่มเล่าตั้งแต่วันแรกที่ลู่ฉงไปโรงเรียน ย่าคอยย้ำให้ลู่ฉงอย่าเอาแต่ห่วงเล่นเถลไถล พ่อที่ตาข้างหนึ่งมีหนองใหญ่โตจนปิดตา ขากะเผลก เดินไม่ถนัด พูดจาได้แค่อือ ๆ อา ๆ ไม่เป็นคำ พ่อคนนั้นก็ยังยิ้มให้พร้อมยื่นเงินห้าเหมาให้ลู่ฉงไปโรงเรียน ลู่ฉงเดินทางไปเรียนหนังสืออย่างเบิกบานพร้อมกับญาติผู้พี่ ระยะเวลาที่ใช้เดินเท้าคือหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ลู่ฉงซื้ออมยิ้มกลับมาสองอัน อันหนึ่งเขากินเอง อันหนึ่งเก็บกลับมาบ้าน ถึงเวลากินข้าวเย็น ย่าบอกให้ลู่ฉงเอาข้าวไปให้แม่ ลู่ฉงยกชามข้าวเดินไปในห้องในสุด หน้าต่างของห้องตอกตะปูปิดตาย แสงสว่างหนึ่งเดียวคือช่องเล็ก ๆ เหนือศีรษะ แม่กำลังเงยหน้ามองแสงที่เหนือหัว ลู่ฉงร้องเรียกแม่ เอาอมยิ้มที่ใส่ไว้ในกระเป๋าให้เธอ เห็นเธอยอมอ้าปากรับอมยิ้ม ก็นั่งยิ้มมองเธอ แม่ยกมือลูบหัวลู่ฉง ทำให้โซ่ตรวนที่อยู่ที่ข้อมือลากพื้นเกิดเสียง 

 

ว้อท 

 

ทำไมต้องขังแม่ ทำไมต้องใส่โซ่ตรวน เดี๋ยว  

 

เรื่องเล่าต่อไปให้เห็นภาพในหมู่บ้านที่ลู่ฉงอยู่ชัดขึ้น ย่าของลู่ฉงเป็นแม่หมอประจำหมู่บ้าน เวลาใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมาเรียกเธอ วิธีรักษาก็ออกแนวไสยศาสตร์ เป็นพิธีกรรมความเชื่อ เมื่อเธอทำพิธีให้ก็จะได้รับข้าวของตอบแทน พวกไข่ไก่ ข้าวสาร เนื้อสัตว์ ย่าแบ่งอาหารส่วนหนึ่งใส่ตะกร้าให้ลู่ฉงเอาไปให้ปู่หม่าที่ท้ายหมู่บ้าน ปู่หม่าอาศัยอยู่กับปู่หลี เราจะรู้จากคำพูดของเด็กคนอื่นว่าสองคนนี้เป็นคู่รักกัน แต่คนในหมู่บ้านไม่ชอบ ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว แนว ๆ ผิดผี ทำเรื่องที่ไม่ดี ถ้าไปเข้าใกล้ก็จะนำโชคร้ายมาสู่ตน มีเพียงย่าของลู่ฉงที่ไม่รังเกียจ แถมยังพยายามช่วยเหลือจุนเจือเท่าที่ทำได้ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นองค์ประกอบที่โอชอบมากของเรื่อง ครอบครัวของลู่ฉงไม่ได้ร่ำรวย มีย่าเป็นหัวเรี่ยวแรงหลักของบ้าน พ่อของลู่ฉงขาไม่ดีจึงทำงานที่ต้องใช้แรงไม่ได้ ทำได้แค่หาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงอย่างนั้นย่าก็สนับสนุนให้ลู่ฉงได้เรียน แม้ช่วงแรกหลังจากเห่อตื่นเต้นที่จะได้ไปโรงเรียนแล้วลู่ฉงไม่อยากไปเรียนแล้ว รู้สึกว่าโรงเรียนน่าเบื่อ ไปเล่นยิงนกตกปลากับเพื่อนคนอื่นในหมู่บ้านดีกว่า ย่าที่ปกติใจดีและรักลู่ฉงกลับโมโหมาก ยืนยันให้ลู่ฉงเรียนหนังสือ แม้แต่แม่ที่ไม่ค่อยพูดจาจนคนอื่นนึกว่าเป็นใบ้ยังพูดเสียงเบาหนึ่งประโยคว่าลู่ฉงต้องเรียนหนังสือ ครั้งหนึ่งลู่ฉงบังเอิญเจอคณะนักศึกษาที่หลงทางในภูเขาจึงช่วยนำทางพวกเขาไปสู่ที่หมายได้ คนหนึ่งในนั้นให้นาฬิกาตอบแทนลู่ฉง ลู่ฉงรับมาเพราะอยากให้ย่าดูเวลาสะดวก ไม่ต้องลุกลี้ลุกลนตื่นมาดูนาฬิกาเพียงเรือนเดียวที่แขวนผนังนอกห้องเพราะกลัวจะตื่นมาทำอาหารตอนเช้าให้ลู่ฉงก่อนไปเรียนไม่ทัน พอย่ารู้เข้าก็โมโหมาก ย่าสอนลู่ฉงไม่ให้เป็นคนเห็นแก่ได้ ใครให้อะไรมาก็ตอบแทนคนอื่นไปมากยิ่งกว่า 

 

ย่าที่รักลู่ฉง ขยันขันแข็ง ทำงานอย่างหนักแม้จะอายุมากแล้ว มีน้ำใจ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่ตั้งแง่รังเกียจคน ย่าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่จ่ายเงินซื้อแม่ของลู่ฉงมาในราคาหนึ่งพันหยวน ล่ามขังเธอไว้ในบ้าน เพื่อให้เธอคลอดหลานให้ 

 

...โห 

 

เราจะเห็นลู่ฉงตั้งแต่เด็ก เจ็ดขวบเพิ่งเข้าเรียน ตอนเด็กไม่รู้เรื่องราวอะไร พอไปเรียน เจอคนมากขึ้น โตขึ้น ได้ยินจากปากคนอื่น ก็ค่อย ๆ รับรู้เรื่องราวของแม่ ชักรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ปกติ ไม่ถูกต้อง แต่ก็บอกไม่ถูกว่าไม่ถูกต้องนั้นไม่ถูกยังไง ยิ่งโตก็ยิ่งรู้ละว่าแม่ไม่ควรถูกขังอย่างนี้นะ ครั้งหนึ่งลู่ฉงเลยถามย่าว่าปล่อยแม่ออกมาได้ไหม ย่าก็ตอบว่า ถ้าเธอออกมาได้ หลานก็อาจจะไม่มีแม่นะ ลู่ฉงก็เลยไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีก 

 

เหมือนเขาเขียนให้เราเห็นแต่ละด้านของคน อย่างย่าของลู่ฉงเนี่ย ด้านหนึ่งเป็นคนดีมาก สอนหลานดี แต่ในอีกแง่หนึ่ง ซื้อมนุษย์ กักขังเขาไว้ ให้เขาอยู่เป็นเครื่องผลิตหลานให้ พ่อของลู่ฉงก็เหมือนกัน เขาเป็นพ่อที่รักลู่ฉงมาก ทำงานเท่าที่ทำได้ ตอนลู่ฉงขอให้ย่าปล่อยแม่ เขาก็พยักหน้าส่งเสียงอืออาเห็นด้วยกับลู่ฉง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ที่เขาทำให้ลู่ฉงเกิดมาจากความไม่ยินยอมพร้อมใจของฝ่ายหญิง เขาก็ไม่มีความเป็นมนุษย์เลย 

 

เราจะเห็นภาพความใสซื่อ ความช่วยเหลือเกื้อกูลใกล้ชิดสนิทสนมของคนชนบท ตัดกับความโหดร้าย มืดหม่น ความแห้งแล้งของจิตใจ 

 

เห็นภาพมั้ย 

 

แบบ โห ไม่รู้จะพูดยังไงเลย 

 

แล้วลู่ฉงก็เป็นเด็กที่อยู่ตรงกลาง นั่นก็ย่ากับพ่อ นี่ก็แม่ เขาต่อสู้กับความขัดแย้งในใจและความรู้สึกผิดมาตลอด  

 

จนเรียนถึงชั้นมัธยมปลาย ตอนนั้นน้องสาวของลู่ฉงเพิ่งอายุได้หนึ่งขวบ ก็มีเหตุให้ลู่ฉงต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ต้องพาแม่และน้องสาวออกจากหมู่บ้าน คนเขียนเขาก็เล่าว่า ลู่ฉงรู้สึกไม่ค่อยสนิทกับน้องสาวนัก หน้ายังไม่ค่อยอยากมองเลย เพราะมองไปก็เหมือนเตือนให้นึกถึงตัวเอง เป็นผลผลิตของการกระทำอันเลวร้าย ส่วนแม่ของลู่ฉงตอนนั้นก็เหมือนไม่คนที่ไม่มีสติอยู่กับตัวแล้ว แทบไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างเลย ลู่ฉงที่เพิ่งอายุสิบกว่าปี ต้องมารับผิดชอบน้องสาวที่ยังเล็กมาก กับแม่ที่แทบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นภาระที่หนักมากสำหรับเขา แต่ไม่ทำก็ไม่ได้  

 

ลู่ฉงเอาเงินเก็บที่มีทั้งหมดพาแม่กับน้องเดินทางเข้าเมืองไปหางานทำ งานที่ทำได้และเหมาะกับเขาที่สุดตอนนั้นก็คืองานที่ใช้แรงงาน ได้เงินรายวันทันที อีกทั้งลู่ฉงเป็นคนที่มีเรี่ยวแรงมากตั้งแต่เด็ก เขาจึงไม่เกี่ยงงานอยู่แล้ว ขอให้มีงานก็มีเงิน แต่ปัญหาก็คือแม่กับน้อง เขาต้องทิ้งแม่ให้อยู่ที่พัก ส่วนตัวเองก็ต้องกระเตงน้องไปทำงานด้วย เพราะแม่ดูน้องที่ยังเล็กไม่ได้ ลู่ฉงเจอคนมากมาย มีทั้งคนดีคนเลว ในตอนที่อับจนหนทาง ก็มักจะเจอคนดีที่ให้การช่วยเหลือ ส่วนหนึ่งเพราะลู่ฉงไม่ย่อท้อ แถมเขาเป็นคนขยันขันแข็ง ฉลาดเฉลียว มีน้ำใจ คนที่รู้จึงมักยื่นมือเข้าช่วยเหลือยามยาก  

 

ถึงอย่างนั้น ลู่ฉงก็ไม่ชอบติดหนี้น้ำใจใคร เขาจะดิ้นต่อสู้ด้วยตัวเองจนถึงที่สุด จนมีวันหนึ่ง ตอนที่เขาทำงานช่วยขนของ ก็ไปเจอคุณชายเจ้าของบ้านคนหนึ่งเข้า คุณชายคนนี้เป็นคนเดียวกับที่ให้นาฬิกาลู่ฉงตอบแทนที่เขาช่วยนำทางในภูเขาเมื่อหลายปีก่อน คุณชายคนนี้ชื่อหลินชวนไป่ มีพี่ชายชื่อหลินจิ่น สองพี่น้องถูกใจลู่ฉงทั้งคู่ 

 

หลินชวนไป่มีนิสัยเป็นคุณชายน้อยของบ้านที่ร่ำรวย รักสนุก มีความใสซื่อบริสุทธิ์และมองโลกในแง่ดี ด้วยความที่เป็นน้องเล็ก มีพ่อตามใจ มีพี่ชายช่วยสะสางปัญหา ทำให้เขาไม่ค่อยรู้จักความทุกข์ยากลำบาก หลินชวนไป่ชอบลู่ฉงเพราะรู้สึกว่าเขาเก่งมาก อยากชวนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน แรก ๆ ลู่ฉงก็ปฏิเสธไป ต่อมาเจอหลินชวนไป่ตื๊อมากเข้าก็เลยตกลง ให้หลินชวนไป่มารอเขาทำงานเสร็จ หลินชวนไป่เห็นลู่ฉงทำงานแบกหามของที่ท่าเรือ ของหนักมาก แบกหามติดกันไม่หยุด ข้าวที่กินแค่พอให้หายหิว กลิ่นเหงื่อกับความสกปรกผสมปนเปในอากาศ จบมื้อนั้นลู่ฉงก็พูดว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเพื่อนกันได้ หลินชวนไป่จะพูดก็พูดไม่ออกเลยจากไปแบบห่อเหี่ยว 

 

ส่วนคนที่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ คือหลินจิ่น หลินจิ่นเป็นคุณชายร่ำรวยก็จริง แต่หลินจิ่นเป็นพี่ชายคนโต พ่อคาดหวังให้เขารับช่วงต่อจากงานที่ทำ ทำให้เขาเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ ถึงจะเล่นสนุกอะไรก็ต้องมีขอบเขต ต้องรู้จักแยกแยะ หลินจิ่นถูกใจลู่ฉงเพราะพลังชีวิตที่ดูไม่หมดไม่สิ้นนั้น หลังจากได้พบเจอ มีโอกาสได้พูดคุยกันหลายครั้ง หลินจิ่นก็ใช้เส้นสายฝากลู่ฉงให้เข้าทำงานในร้านอาหารของเพื่อน ร้านนั้นเป็นร้านที่มีระดับ เงินเดือนที่จ่ายให้พนักงานจึงสูง แต่หลินจิ่นไม่ได้บอกลู่ฉงว่าเขาตนใช้เส้น แค่บอกว่าที่นี่รับสมัครพนักงาน ให้ลู่ฉงไปสมัคร ใบสมัครก็ให้เลขาของเพื่อนแต่งตามใจตนเพื่อให้ลู่ฉงเข้าเกณฑ์ สุดท้ายลู่ฉงก็ทำงานที่นั่น  

 

แต่งานที่ท่าเรือลู่ฉงก็ไม่ได้ทิ้ง เช้าเขาไปขนของที่ท่า ค่ำก็ทำงานที่ร้านอาหาร ตอนแรกหลินจิ่นนึกว่าลู่ฉงจะมาทำงานที่ร้านอาหารอย่างเดียว พอรู้เรื่องนี้ก็พูดไม่ออกเลย แต่สถานการณ์ลู่ฉงไม่ทำให้เขาเหลือทางเลือกอะไรนัก เขาต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุด เพราะตอนนี้เขาเป็นคนเดียวที่หาเงินเข้าบ้านได้ แม่ไม่สบาย น้องก็ต้องใช้เงิน ลู่ฉงไม่มีสิทธิ์พัก ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะป่วย 

 

พอหลินจิ่นได้อยู่กับลู่ฉงมากเข้าก็เริ่มเข้าใจนิสัยลู่ฉงมากขึ้น รู้ว่าเขาไม่ชอบรับของของใครเปล่า ๆ เวลาจะให้หรือหยิบยื่นโอกาสอะไรให้ลู่ฉงก็จะให้แบบตรงไปตรงมาไม่ได้ รู้ว่าลู่ฉงชอบหนังสือ ก็พาลู่ฉงไปห้องสมุด สอนลู่ฉงใช้คอมพิวเตอร์ ลู่ฉงอยากเดินเขาก็พาไปเดินเขา ลู่ฉงรู้สึกดีกับหลินจิ่นมากขึ้น สุดท้ายจึงตกลงใจคบกัน 

 

ซึ่งบอกตามตรง โอไม่ชอบหลินจิ่นเลย เพราะมีความรู้สึกเล็ก ๆ ที่ผู้เขียนซ่อนระหว่างบรรทัดว่าหลินจิ่นมองลู่ฉงที่แง่ที่เขาแปลกใหม่ อยากลองอยากรู้ อยากเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าจะเป็นยังไง กึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง 

 

ถามว่าหลินจิ่นดีกับลู่ฉงไหม ดีมากค่ะ เขาปฏิบัติกับลู่ฉงอย่างดี และมาจากใจจริง แต่ก็เราก็จะรู้จากบางประโยค จากบางมุมมอง จากสัญลักษณ์บางอย่างที่ผู้เขียนแทรกมาว่า นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่หลินจิ่นมี 

 

คนหนึ่งทุ่มเทความรักให้หมดหน้าตัก แต่อีกคนไม่ใช่ 

 

ความรักไม่เท่ากันตั้งแต่แรก 

 

สุดท้ายก็ต้องจบไป 

 

โอทางหนึ่งน้ำตาไหล เจ็บใจแทนลู่ฉง เราเห็นเขาตั้งแต่ยังเล็ก เห็นมาตลอดว่าเขาเจออะไรมาบ้าง ยากลำบากขนาดไหน อยากให้เขาเจอแต่เรื่องดี ๆ เจอคนดีเข้ามา เขาไม่ควรเจอเรื่องร้ายอะไรอีก แต่มาโดนทำอย่างนี้ โอโกรธหลินจิ่นมาก ทางหนึ่งจึงดีใจ เลิกไปเลย เปลี่ยนพระเอก ด่วน ๆ 

 

คำขอไม่สัมฤทธิผลค่ะ หลินจิ่นนั่นแหละพระเอก 

 

...เฮอะ / เหล่ตา 

 

สิบปีผ่านไป ไวยิ่งกว่าขี่จรวด 

 

สองคนนี้ก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง ตอนนี้หลินจิ่นรู้ละว่าลู่ฉงเป็นคนสำคัญ แต่การจะกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมไม่ง่ายแล้ว ลู่ฉงก็ไม่ใช่คนที่เจ็บแล้วไม่จำ งานยากไม่น้อยค่ะ 

 

อย่างที่บอกไว้ว่าโอไม่ได้ชอบหลินจิ่น แต่พอเขากลับมา โอก็ไม่ได้เกลียด กลับยอมรับได้ด้วย ด้วยองค์ประกอบที่ผู้เขียนใส่มา มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน มันมีเรื่องราวมากมายที่แทรกอยู่ในนั้น อย่างพ่อแม่ของหลินจิ่นกับหลินชวนไป่ สมัยนั้น ชวนไป่ถามพ่อทุกวัน เมื่อไรพ่อจะมีเมียน้อย เพราะแม่วัน ๆ ก็เอาแต่ออกไปสนุกสนานเฮฮานอกบ้าน ไม่ใส่ใจลูกไม่สนสามี พ่อก็ดุ ๆ บอกว่าลูกไม่เข้าใจหรอก สิบปีให้หลัง จากแม่ที่ตะลอน ๆ ออกนอกบ้าน กลับเปลี่ยนนิสัย ไปไหนมาไหนกับพ่อตลอด คนเขียนไม่ได้เขียนบอกเหตุผล แต่มันสื่อถึงว่า นิสัยบางอย่างของคนเรามันเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไป ตอนหลังที่หลินจิ่นกลับมาดีกับลู่ฉงแล้ว หลินจิ่นจึงยอมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาบอกว่า เขาเองก็มีนิสัยเห็นแก่ตัวเหมือนแม่ โอว่าไม่เชิงว่าหลินจิ่นเห็นแก่ตัว แต่มันมีบริบทและสถานการณ์ที่นำให้เขาไปในทางนั้น เขาเป็นลูกชายคนโต ที่ถูกบังคับให้รับผิดชอบตั้งแต่เด็ก จะมามัวเอาแต่ใจ ทำอะไรตามใจชอบแบบชวนไป่ไม่ได้ แล้วระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา หลินจิ่นก็ไม่ได้ใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระ เขาทำงานอย่างหนักเพื่อรับช่วงธุรกิจของที่บ้าน ในขณะที่ชวนไป่มีนิสัยน่าคบหามากกว่า แต่ในแง่หนึ่ง ชวนไป่ไม่ใช่คนที่รับผิดชอบ ออกจะทำอะไรตามใจชอบ โตขนาดนี้แล้ว หลายเรื่องยังมีพี่ชายคอยตามโอ๋เลย มันเลยบอกไม่ได้ว่าที่หลินจิ่นทำหรือเลือกนั้นผิดทั้งหมด 

 

อ่านแล้วจะรักลู่ฉง เขาเป็นเด็กดีตั้งแต่ยังเด็ก สมัยอยู่กับย่าก็ไม่กล้าเล่นเถลไถลเพราะกลัวกลับไปช่วยย่าไม่ทัน พอมีมรสุมชีวิตเข้ามาก็ไม่ย่อท้อ ถึงจะเหนื่อย จะหนัก แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นก้าวเดิน มีเลือดนักสู้อยู่ในตัว เป็นคนฉลาดและเข้าใจโลก แต่ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้เขียนให้เขาเหนือ ฉลาด หรือเก่งเกิน ลู่ฉงมีมุมเด็ก ๆ มีอารมณ์เข้าข้างตัวเอง มีช่วงวัยที่อ่อนต่อโลก มันพอเหมาะพอเจาะน่ะค่ะ 

 

ส่วนหลินจิ่น เขาเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเลยค่ะ มีรัก มีโลภ มีเห็นแก่ตัว แต่โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนจิตใจดี ไม่รังเกียจว่าลู่ฉงจน ปฏิบัติกับลู่ฉงปกติ กับลู่ฉง เขาก็ให้ใจไม่น้อย เพียงแต่เขาก็มีนิสัยของคุณชายที่ร่ำรวย ยังมีความหยิ่งทะนงในตัวเอง คิดเข้าข้างตัวเองว่า คนแบบลู่ฉงไม่ได้มีเพียงคนเดียว หรือต่อให้ตอนนี้เจ็บปวด แต่เวลาก็ช่วยได้เอง (ซึ่งคิดผิดเว้ย สะใจ / ตบโต๊ะ) ในช่วงหลัง ผู้เขียนจะเผยมุมเพิ่มเติมที่ช่วงต้น ๆ ไม่ได้เล่าว่า ที่จริงแล้วหลินจิ่นก็วางตำแหน่งให้ลู่ฉงไม่เหมือนคนอื่นมาตั้งแต่ต้น 

 

ในเรื่องมันจะมีความสัมพันธ์ของคู่อื่นให้เราเห็นภาพด้วย ไม่ใช่ว่ามีเพียงความรักแล้วจะอยู่ด้วยกันเสมอ บางคู่รักกัน แต่กลับใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไม่ได้ บางคู่ไม่มีทะเบียน แต่กลับเพียงมองตาก็เข้าใจ บางคู่มองจากมุมไหนก็ไม่เข้ากัน แต่กลับมีเพียงความตายมาแยกจาก 

 

มันมีองค์ประกอบอีกมากมาย สุดท้าย ก็เป็นเรื่องของคนสองคน 

 

มีประโยคหนึ่งที่ผู้เขียนเขียนบ่อย อาจจะไม่เป๊ะนะ หลุมจะเหมาะกับหัวไช้เท้าหรือไม่ มีแต่หัวไช้เท้าที่รู้ 

 

ลู่ฉงมีคนที่ดีด้วยไม่น้อย แต่คนที่เขาสนิทสนมจริง ๆ นั้นนับนิ้วได้ ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนอยู่ด้วยในช่วงที่เขาลำบากหมด ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้ทำได้ดีมาก ลู่ฉงเป็นคนที่ทุ่มเทให้คนที่ตนให้ใจจริง ๆ แล้วคนเหล่านั้นก็ดีกับลู่ฉงหมดเลย 

 

คนที่อยากเอ่ยถึงคือจางฉือ จางฉือเป็นเพื่อนที่ทำงานในร้านเดียวกับลู่ฉงสมัยที่ลู่ฉงยังคบกับหลินจิ่น จางฉือเป็นเกย์เหมือนกัน เรื่องหลินจิ่นเขาก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น พอเลิกกันจางฉือเลยยิ่งเกลียดหลินจิ่น แล้วจางฉือนี่แนว  ๆ ปากจัด ขี้เกียจ รักสบาย นิสัยต่างกับลู่ฉงอย่างสิ้นเชิง แต่เวลาลู่ฉงลำบาก จางฉือก็ช่วยเหลือไม่ห่วงตัวเองเลย แถมไว้ใจลู่ฉงมาก ยกการตัดสินใจสำคัญ ๆ ให้ลู่ฉงหมด พอตอนหลังหลินจิ่นกลับมาขอคืนดี จางฉือเลยทั้งบ่นกระปอดกระแปด ทั้งทำตัวขวางสุดฤทธิ์ แต่พอจวนตัวก็ให้พื้นที่ลู่ฉงตัดสินใจนะ ไม่ได้ก้าวก่าย โอชอบจางฉือ นางน่ารัก นางเป็นตัวแทนคนอ่านในการบ่นพระเอก ที่ตลกอีกอย่างคือ เหมือนว่าคนที่ลู่ฉงสนิทด้วยจะนิสัยเข้ากันไม่ได้ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่เพราะมีลู่ฉงเป็นตัวเชื่อมเลยต้องมาอยู่รวมกัน 

 

 

ผู้อ่านจะเห็นความซับซ้อนของตัวละครในเรื่อง เขาเขียนตัวละครได้ลึกมาก และมีความขัดแย้งในตัวสูง เราไม่สามารถมองเพียงการกระทำด้านเดียวแล้วนำมาตัดสินชีวิตคนทั้งชีวิตได้ 

 

 

 

 

องค์ประกอบและรายละเอียดของเรื่องดีมาก มีคนมากมายที่ต่างมีเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตของลู่ฉง พวกเขาเป็นคนที่ไม่ได้มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม ตรงกันข้าม เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ขอเพียงไม่ยอมแพ้ ไม่จมอยู่กับอุปสรรคและปัญหา ขอเพียงก้าวเดินต่อไป ก็จะเจอความสุขได้ ย่อมมีโอกาสจากความพยายามเสมอ เหมือนมีแสงตะวันในฟ้าที่ทึมเทา 

 

มีช่วงที่ผู้เขียนเขียนข้ามไปแบบเร็ว ๆ เหมือนกัน ซึ่งถามว่าโออยากอ่าน อยากรู้ไหม ก็อยากรู้ค่ะ แต่ถ้ามองจากจุดที่ว่ามันทำให้โทนเรื่องเสียไหม ทำให้จุดมุ่งหมายของผู้เขียนเปลี่ยนไหม ตอบว่าไม่ เพราะฉะนั้นจุดนี้โอจึงมองว่าไม่ใช่ข้อเสียของเรื่องแต่ประการใด 

 

เรื่องมันหนักนะ น้ำตาเอ่อหลายครั้งเลย แต่มันไม่ได้ทึบทั้งเรื่อง มันจะมีช่วงน่ารักของตัวละครแทรกเข้ามาเรื่อย ๆ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าหนัก ค่อนข้างมีบรรยากาศของความสุขและสงบด้วยซ้ำ เขาทำให้เราเห็นค่าของชีวิต เขาทำให้เราไม่สิ้นความหวัง  

 

เป็นเรื่องราวชีวิตของลู่ฉงและผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา โทนเรื่องเรียล มีคำพูดและข้อคิดดี ๆ เยอะมาก ตัวละครน่ารัก สนุก ประทับใจ อ่านแบบติดพันไม่มีช่วงเบื่อเลย มีแต่สิ่งชอบเต็มไปหมด โอไม่สามารถเขียนทุกอย่างจากในหนังสือออกมาได้หมด และถ้าขาดวิธีวางองค์ประกอบอย่างเหมาะสมของผู้เขียนมันจะดึงเรื่องออกมาได้ไม่เท่าเขา จึงอยากให้ทุกคนได้อ่านเองค่ะ 

 

5 ดาว 

 

กราบขอบพระคุณที่แนะนำโอมา  



อ่านตัวอย่าง ที่นี่


 

มีที่ติดนิดหน่อย 

 

46 ด้านในมีแค่เตียงไม้หนึ่งหลัง ม้านั่งยาวหนึ่งตัว ในนี้มืดสนิท กระทั่งหน้าต่างซักบานก็ไม่มี แต่มันกลับตรงใจลู่ฉงพอดี เพราะหน้าต่างเหล่านั้นไม่มีกรอบกับกระจก ไม่ปลอดภัยอย่างมาก 

 

น่าจะเป็น >> เพราะหน้าต่างนั้นมีกรอบกับกระจก ไม่ปลอดภัยอย่างมาก 

 

51 วันต่อมาลู่ฉงอุ้มอันเล่อน้อยมาข้างบ่อน้ำเพื่อเช็ดหน้าให้เธอ น้าจางซึ่งอาศัยอยู่ข้าง ๆ เห็นเข้าก็รีบร้องว่า... 

 

น่าจะเป็น  

>> น้าจางที่อยู่ข้าง ๆ  

หรือ 

>> น้าจางที่อาศัยอยู่ห้องข้าง ๆ  

หรือ 

>> น้าจางที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ  

 

123 ลู่ฉงคิดมาตตลอดทาง ในที่สุดก็เดินมาถึงร้านเหมยหยวน มันเป็นสวนขนาดเล็กในตัวเมืองอันวุ่นวาย อิฐสีดำกำแพงสีขาว ใต้ชายคายังมีโคมสีแดงซึ่งยังไม่ส่องสว่างหนึ่งแถว เขาชื่นชมการประดับตกแต่งอันสง่างามแบบนี้ไม่เป็น แค่รู้สึกว่ามันสวย ทำไมถึงได้สวยขนาดนี้ 

 

สง่างาม ไม่ใช้กับการประดับตกแต่งค่ะ 

 

สง่างาม ว. มีท่าทางภูมิฐานแลดูงาม 

 

น่าจะออกแนว หรูหรา โออ่า อะไรประมาณนี้ 

 

591 

ซุนหยวนหยวนชอบจางฉือขนาดนี้ ลู่ฉงเองก็แสนแปลกใจ เขาปรึกษากับหลินจิ่น แต่หลินจิ่นกลับไม่ได้มีท่าทางตกใจมากนัก เพียงพูดประโยคหนึ่งว่า “อาจเพราะขั้วเดียวกันดึงดูดกัน” 

อะไรคือขั้วเดียวกัน พวกเขาสองคนมีจุดที่เหมือนกันเหรอ 

หลินจิ่นบอก “ใจจืดใจดำเหมือนกัน” 

 

 

โอไม่รู้ภาษาต้นทาง แต่ ขั้ว มันคือขั้วแม่เหล็กใช้มั้ย ขั้วต่างกันมันจึงจะดึงดูดกัน พอบอกว่า ขั้วเหมือนกันดึงดูดกัน มันเลย เอ๊ะ ใช่เหรอ 

 

ถ้าเป็นอย่างนี้จะดีกว่ามั้ยนะ 

>> อาจเพราะขั้วเดียวกัน เลยอยู่ด้วยกันได้ 

>> อาจเพราะเป็นคนประเภทเดียวกัน เลยอยู่ด้วยกันได้ 

 


 

 

 

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาลู่ฉงเป็นคนที่ไม่มีทางมองย้อนกลับไป สำหรับเขาความทรงจำคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุด มันมีแต่จะทำให้ปัจจุบันดูโชคร้ายมากยิ่งขึ้น 

 

หน้า 54  บทที่ 7 

 

 

เขารู้ช่วงเวลาออกดอกของดอกไม้ทุกชนิดบนเขา รู้ลำดับการปลูกของพืชไร่ทั้งหมด รู้ว่าจะใช้กระบองตีนกตีงูยังไง รู้ว่าจะใช้เชือกผูกปลาแบบไหน รู้ว่าที่ไหนสามารถขุดบ่อน้ำได้ รู้ว่าหาตรงไหนจะเจอสมุนไพรรักษาโรค เขาเป็นคนเก่งที่อายุน้อยที่สุดในหมู่บ้าน ต่อให้อาศัยแค่การล่าสัตว์เก็บของป่า แค่เขาคนเดียวก็สามารถเลี้ยงดูทั้งครอบครัวได้ แต่ในเมืองซึ่งกว้างใหญ่อย่างเหลือเชื่อนี้ กระทั่งให้ที่ซ่อนตัวอย่างปลอดภัยแก่ครอบครัว เขายังหาให้ไม่ได้ 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ลู่ฉงก็เปล่งเสียงคำรามอันโกรธแค้นสิ้นหวังออกมา ราวกับนายพรานซึ่งสูญเสียคันธนู ดั่งสัตว์จนตรอกซึ่งติดอยู่ในกรงขัง ทว่าเพียงพริบตาเดียวมันก็จมหายไปท่ามกลางเสียงอึกทึกของเมือง 

 

หน้า 56  บทที่ 7 

 

 

เขาพบความจริงที่ว่าตนไม่เคยปล่อยวางความเย่อหยิ่งอันเสแสร้งของผู้ซึ่งเคยร่ำเรียนหนังสือมาได้เลย ก่อนหน้านี้เวลาหางาน เขาล้วนหาแต่งานที่สามารถเรียนรู้ทักษะได้ ดูถูกงานขายเรี่ยวแรงโดยจิตใต้สำนึก กระนั้นงานขายเรี่ยวแรงกลับเป็นงานที่เหมาะกับเขาในเวลานี้ที่สุด ได้เงินเร็ว จ่ายทันที ทำมากได้มาก 

 

หากมองในระยะยาว การเรียนรู้ทักษะหนึ่งจนเชี่ยวชาญอาจดีกว่า แต่บางครั้งความเป็นจริงไหนเลยจะยอมให้เขาค่อยเป็นค่อยไป อันเล่อมีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนแค่สองชุด เขากับแม่ลู่มีเพียงแค่ชุดเดียว ทุกวันก่อนนอนต้องซักเสื้อก่อน วันรุ่งขึ้นไม่ว่าจะแห้งหรือไม่แห้งก็ต้องใส่ อีกทั้งเดี๋ยวอากาศก็หนาวแล้ว แต่พวกเขายังไม่มีเสื้อกันหนาวกับผ้าห่มเลย 

 

สิ่งของที่ดูธรรมดาสามัญสำหรับคนทั่วไป กลับเป็นภูเขาใหญ่หนักอึ้งที่กดทับลงบนตัวลู่ฉง 

 

หน้า 57  บทที่ 7 

 

 

ลู่ฉงมองท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง “บอกตามตรง ผมก็ไม่รู้...เมื่อวานพี่ถามว่าทำไมชีวิตของพวกเราถึงได้ยากลำบากขนาดนี้ คำถามนี้ผมก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน ผมรู้แค่ว่าในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็อย่าไปถามหาความยุติธรรมอะไรอีกเลย ขอแค่มีชีวิตอยู่ถึงจะมีความหวัง ตายไปแล้วก็ไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น เพราะอย่างนั้นก็ทนอีกหน่อยเถอะ” 

 

ในใจลู่ฉงยังมีอีกประโยค แต่เขาไม่ได้พูดออกไป ยิ่งสวรรค์ไม่ให้พวกเรามีชีวิตดี ๆ พวกเราก็ยิ่งต้องอยู่ให้ดี ๆ มีชีวิตอยู่ให้เขาดู 

 

หน้า 127  บทที่ 12 

 

 

“นายคบกับเขา รู้รึเปล่าว่าเขาเป็นใคร ลู่ฉง ปกติแล้วนายฉลาดจะตายไม่ใช่เหรอ ครั้งนี้สมองไปไหนแล้ว นายไม่ลองคิดดูหน่อยหรือว่าหลินจิ่นเป็นคนรักที่เหมาะสมรึเปล่า” 

 

ลู่ฉงขมวดคิ้ว แก้ต่างให้กับความรักของตัวเอง “ฉันรู้ว่าเขารวย...รวยมาก แต่ว่า...” 

 

“นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน ไม่สิ เรียกว่าเป็นปัญหาเรื่องเงินได้เหมือนกัน ฉันรู้ว่านายไม่เหมือนฉัน ไม่ได้หมายตาเงินของเขา แต่เทียบกับสิ่งที่นายหมายตาแล้ว สู้หมายตาเงินของเขายังดีกว่าเลย!” 

 

ลู่ฉงทำคอแข็งมองไปทางอื่น ท่าทางดื้อรั้น 

 

ทันใดนั้นจางฉือก็อ่อนลง สายตามองลู่ฉงแต่ก็คล้ายไม่ใช่ มันคล้ายมองลึกเข้าไปในห้วงกาลอันยาวไกล ทว่าก็คล้ายอยู่ใกล้เพียงคืบ 

 

“ลู่ฉง ชีวิตของคนบางคนนั้นง่ายดายเกินไป เหมือนไม่ว่าอะไรก็ล้วนได้มาอย่างง่ายดาย พวกเขาไม่รู้ว่าของที่นายกอบกุมอย่างระมัดระวังตรงหน้ามีค่ามากขนาดไหนสำหรับนาย กว่าจะมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา นายต้องผ่านทางยาวไกลเท่าไหร่ ผ่านความสับสนมาเนิ่นนานมากขนาดไหน ลู่ฉง คนเราล้วนเลวทราม ยิ่งเป็นของที่ได้มาง่ายก็ยิ่งไม่รู้จักทะนุถนอม” 

 

หน้า 210  บทที่ 18 

 

 

หลินชวนไป่จ้องมองความมืดมิดว่างเปล่าตรงหน้า ดิ้นรนต่อสู้กับตัวเองอยู่นาน สุดท้ายก็ยังคงถามออกมา “ทุกวันนายเหนื่อยขนาดนี้ ไม่รู้สึกลำบากเหรอ ไม่มีเวลาได้พักเลย ซื้อบ้านซื้อของกินอร่อย ๆ ไม่ได้ ทำงานหลายปีก็ยังอาจออกไปเที่ยวเล่นที่ต่างประเทศให้สนุกไม่ได้ ชีวิตแบบนี้มีความหวังตรงไหนกัน ถ้าเป็นฉันต้องอยู่ต่อไม่ได้แม้แต่วันเดียวแน่ ๆ การมีชีวิตแบบนี้ดูเหมือนไม่มีความหมายเลยสักนิด” 

 

คำถามนี้เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาแบบ ‘เหตุใดไม่กินโจ๊กใส่เนื้อแทนเล่า’ แต่น้ำเสียงของหลินชวนไป่จริงใจมาก ทำให้ปฏิกิริยาแรกหลังจากได้ยินของลู่ฉงคืออยากขำ 

 

“ผมเหมือนจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน...บางทีอาจเหมือนกับไฟฉายล่ะมั้ง มีไฟฉายที่มีฟังก์ชั่นหลากหลายและส่องสว่างมากซึ่งขายในร้านค้าใหญ่ ๆ มันจำเป็นต้องชาร์จแบตฯ นานมากถึงจะใช้ได้ และก็มีไฟฉายแบบธรรมดาที่ขายในร้านเล็ก ๆ ข้างถนน ลำแสงอ่อนจาง ส่องเห็นได้แค่พื้นที่เล็ก ๆ แต่ต้องการแค่แบตฯ ก้อนเดียวก็ส่องสว่างได้ 

 

คุณก็คือไฟฉายราคาแพงมากอันนั้น ต้องการสิ่งดี ๆ มากมายมาชาร์จแบตฯ ส่วนผมคืออันที่ถูกที่สุด ไม่ต้องการอะไรมากนัก ขอเพียงเป็นสิ่งที่ดีนิดหน่อยก็พอแล้ว หลังจากวันที่ฝนตกผ่านพ้นไป พระอาทิตย์ก็จะโผล่มา ตามทางเดินกลับบ้านมีต้นมะม่วงซึ่งออกลูกน่ากินมากต้นหนึ่ง พอใกล้ถึงฤดูร้อนก็จะได้กินแตงโมลูกใหญ่ราคาถูก แค่เรื่องพวกนี้ก็มากพอให้ผมหลับตาลงด้วยใจที่เต็มไปด้วยการเฝ้ารอในตอนกลางคืนของทุกวันแล้วล่ะ แบตฯ ของพวกเราไม่เหมือนกัน แต่คุณก็พูดไม่ได้นี่ว่าผมฉายแสงสว่างออกมาไม่ได้” 

 

หน้า 219-220  บทที่ 19 

 

 

คนบางคนมองเห็นเพียงแค่ความน่าสงสารจากความยากลำบาก แต่กลับไม่รู้ว่าคนที่แม้จะลำบากยังลำบากไม่ได้ต่างหากถึงจะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด 

 

หน้า 368  บทที่ 30 

 

 

 

จริง ๆ แล้วเราทุกคนก็คล้ายจะทำผิดเช่นนี้ ตีกรอบคนที่อยู่ข้างตัวด้วยเงื่อนไขประหลาด ๆ เขียนป้ายว่าคนไหนเหมาะเป็นเพื่อน คนไหนเหมาะเป็นเพื่อนสนิท คนไหนไม่อยู่ในขอบเขตนี้โดยสมบูรณ์ จากนั้นก็คบหาอย่างระมัดระวังในวงที่ตัวเองกำหนดไว้ ราวกับการทำเช่นนี้แล้วจะปลอดภัยไม่มีวันถูกทำร้าย ทว่าคนเราไม่ใช่โจทย์คำถามที่เห็นตัวเลือก ABCD ได้อย่างชัดเจน ล้วนกล่าวกันว่าคนเราแบ่งออกเป็นกลุ่ม กระนั้นก่อนที่จะแบ่งกลุ่ม สิ่งสำคัญก็คือความตั้งใจที่อยากคบหารู้จักกับคนคนหนึ่งไม่ใช่หรือ 

 

หน้า 404  บทที่ 32 

 

 

 

 

“ชวนไป่ การตายเป็นเรื่องง่ายดาย สิ่งที่ยากคือพวกเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อคนที่เราใส่ใจ ผมรับรองว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไป ต่อให้เศร้าเสียใจทรมานมากกว่านี้ แต่ยังไงก็จะผ่านไป มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ไม่ใช่เหรอว่าพวกเราแค่มีชีวิตอย่างเร่งรีบไม่กี่สิบปี แต่กลับต้องตายยาวนานถึงเพียงนั้น ชวนไป่ อย่ากลัวไปเลย สุดท้ายทุกคนล้วนมีทางกลับทางเดียวกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดว่าทำไมถึงมีคนออกเดินทางก่อนพวกเรา” 

 

หน้า 473  บทที่ 37 

 

 

การคิดในใจกับการพูดออกมาเป็นคนละเรื่องกัน ใครบ้างไม่เคยมีความคิดชั่วร้าย เพียงแค่คนที่ลงมือทำตามความคิดให้มันเกิดขึ้นจริงกลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย กระนั้นพอพูดออกมาก็เสมือนทำลายเส้นแบ่งอันแปลกประหลาดบางอย่าง ความคิดคล้ายไม่ได้เป็นแค่ความคิดอีกต่อไป มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าผู้ที่ใกล้ชิดและห่างเหินกันที่สุดก็คือสามีภรรยา สำหรับพ่อแม่กับลูกชายลูกสาวแล้ว ใกล้ชิดห่างเหินสี่คำนี้ก็ราวกับจะสามารถใช้ได้เช่นกัน อาจเพราะใกล้ชิดเกินและคาดหวังมากไปจึงเกิดรอยร้าวในใจได้ง่ายดายเป็นพิเศษ บ้างก็ลืมเลือนในชั่วพริบตา บ้างผ่านไปเป็นปียังยากจะหายดี 

 

หน้า 500-501  บทที่ 39 

 


ซื้อเล่ม คลิก

เรื่องนี้มี e-book ด้วยค่ะ

     

Thumbnail Seller Link
แสงตะวันในฟ้าสีเทา
เปยโม่ถิง / Tear
www.mebmarket.com
ย่าของลู่ฉงตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า ‘ฉงจื่อ’ ซึ่งแปลว่าแมลงย่าบอกว่าเพราะมันทั้งทรหดและแข็งแรง อาจจะเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกนี้ด้วย...



Create Date : 04 ธันวาคม 2563
Last Update : 27 พฤษภาคม 2564 23:44:29 น.
Counter : 3341 Pageviews.

1 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณเริงฤดีนะ, คุณสองแผ่นดิน, คุณnewyorknurse

  
ขอบคุณคุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณเริงฤดีนะ, คุณสองแผ่นดิน ที่โหวตบล็อกให้นะคะ
โดย: ออโอ วันที่: 7 ธันวาคม 2563 เวลา:9:37:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ออโอ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 49 คน [?]



โอเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก อ่านได้ทุกแนว เสาะแสวงหาเรื่องสนุกๆ แนวใหม่ๆ ตลอด หลายเรื่องไม่มั่นใจก็ค้นหารีวิว ถ้าชอบถ้าใช่ก็ลอง ลองแล้วชอบแล้วประทับใจก็อยากบอกต่อ บางครั้ง อ่านครั้งแรกรู้สึกอย่างนี้ อยากเก็บไว้เพื่อเป็นเรื่องราว บันทึกไว้กันลืม กลับมาย้อนอ่านก็จะได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งที่เราเคยอ่าน เรารู้สึกอย่างนี้ เวลาผ่านไป เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง ก็อาจจะได้มุมมองใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น "ขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่าน" รู้สึกดีที่โลกนี้มีหนังสือ-โอ
New Comments