Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 
20 มกราคม 2552
 
All Blogs
 

พลังความคิดด้านบวก



เราทราบกันหรือไม่ครับว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จและมี
ความสุขในชีวิต? มีนักจิตวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่าคนที่มีความสุข
และประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่ คือคนที่มีความคิดด้านบวกกับตัวเองอยู่เสมอ

คนที่มีความคิดในทางบวกกับตนเองควรมีลักษณะอย่างไร?
มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเองดี
มีความคิดสร้างสรรค์สูงและที่สำคัญที่สุดคือจะต้องเป็นผู้ที่สามารถเห็นว่าตัวเองมีคุณค่า
มีความสามารถ มีความภูมิใจและพึงพอใจในตัวของตัวเอง มีความมั่นใจในการกระทำ
ต่างๆของตนเองโดยไม่ต้องรอพึ่งผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ดังคารมสั้นๆ ที่ว่า
“ยิ้มได้เมื่อถูกเยาะ หัวเราะได้เมื่อถูกเย้ย เฉยเมยได้เมื่อถูกชม” หรือบทเพลงต่อไปนี้
ที่จะทำให้เราได้เห็นภาพของคนที่มีความคิดในทางบวกกับตนเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“แม้มิได้เป็นซามูไร ก็จงภูมิใจเป็นสมุนเขา
แม้มิได้เป็นดอกซากุระ ก็อย่ารังเกียจที่จะเป็นดอกไม้อื่น
แม้มิได้เป็นถนน ก็จงพอใจที่จะเป็นบาทวิถี
แม้มิได้เป็นดวงตะวัน ก็จงยินดีที่จะเป็นดวงดาว
อันว่าภูเขาไฟฟูจินั้นสวย แต่ภูเขาลูกอื่น ๆ ก็มิได้ด้อยค่า
ไม่ว่าจะเป็นอะไร จงพอใจ และเป็นให้ดีที่สุด”


อะไรทำให้คนเรามีความคิดในทางบวกกับตนเอง? มีผู้กล่าวไว้ว่า
“We are what we think,we think so we become”
หรือพอแปลง่ายๆได้ว่าเราเป็นอย่างที่คิด เราคิดอย่างไรเราก็เป็นอย่างนั้น
ความคิดของคนเราแม้จะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่เราคงต้องยอมรับว่าความคิดของคน
เรามีอำนาจมากทีเดียว ลองมาดูตัวอย่างอำนาจของความคิดกันดีไหม?

ลองหลับตาลง คิดภาพของตัวเองเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นและหยิบมะนาวออกมา
1 ผล ใช้มีดหั่นมะนาวออกเป็น 2 ซีกแล้วค่อยๆบีบมะนาวใส่ปาก เพียงแต่คิดรู้สึกได้
ถึงความเปรี้ยวแล้วใช่ไหมครับ แม้ไม่ได้ชิมรสความเปรี้ยวของมะนาว ต่อมน้ำลายใน
ร่างกายของเราก็เริ่มทำงานแล้ว มาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงพอเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่า
ความคิดมีอิทธิพลต่อร่างกายและจิตใจของเรามากเพียงใด ดังนั้นคำพูดและพฤติกรรม
ต่างๆของคนรอบข้างจึงมีผลอย่างยิ่งต่อความคิดการกระทำและความสำเร็จของคนเรา

ระบบการศึกษาจะช่วยทำให้ผู้เรียนมีความคิดแง่บวกกับตนเองและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
ทางการเรียนและคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างไรบ้าง?

ผลการทดลองใช้ “พลังความคิดทางบวก” ที่เมืองซัมเตอร์เคาน์ตรี รัฐเซาท์ แคโรไลนา
ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สรุปไว้อย่างน่าสนใจว่า“พลังความคิดทางบวก”สามารถแก้ปัญหา
เด็กเรียนอ่อนต่ำกว่าเกรดมาตรฐาน เด็กเกเรก่อเรื่องวุ่นวายและเด็กติดยาเสพติดได้สำเร็จ
ทำให้เด็กนักเรียนเก่งขึ้น และหวนกลับมาเป็นเด็กดีได้”

ทั้งนี้ ดร.วิลเลี่ยม มิตเชลล์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “นักเรียนพลังแห่งความคิดทางบวก”
ได้เปิดเผยว่า“เมื่อผมได้ทำหน้าที่ควบคุมดูแลโรงเรียน 15 แห่งที่ซัมเตอร์เคาน์ตรีเขต2
นั้น ปรากฎว่าเด็กเรียนแย่มาก สอบได้ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของมาตรฐานระดับชาติมาก
ความประพฤติก็เต็มทน ทั้งเกกมะเหรกเกเร ชอบต่อยตี ติดสุรา ติดยาเสพติด
ชอบพูดภาษาหยาบคาย มีอัตราถูกไล่ออกจากโรงเรียนสูง ขวัญจิตใจก็ต่ำ
การแข่งขันกีฬาเป็นทีมก็แพ้อยู่ร่ำไป”

“ทั้งเด็กนักเรียน ครูอาจารย์และพ่อแม่ผู้ปกครอง
ต่างมีความรู้สึกว่าตัวเองมีแต่ความล้มเหลวและหดหู่ไม่มีความหวังต่ออนาคตแต่อย่างใด”

ดร.วิลเลี่ยม มิตเชลล์ เผยต่อไปว่า “เรามีความจำเป็นต้องสร้างความเชื่อใหม่ว่า
เราจะต้องเป็นผู้ชนะ ดังนั้น เราจึงเริ่มโครงการที่ฟื้นฟูและแก้ไขสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ขึ้นมา
นั่นก็คือโครงการ “พลังความคิดทางบวก”โดยรณรงค์ทุกรูปแบบ ทั้งคำขวัญป้ายโปสเตอร์
สติกเกอร์ติดตามกล่องอาหาร หนังสือเรียน รวมทั้งโฆษณาทางวิทยุและทีวีด้วย”

1.ทำป้ายโปสเตอร์โดยเขียนว่า “จงเป็นผู้มีรสนิยมดี คุณก็ทำได้”

2.ทำข้อความเพื่อเสริมสร้างท่าทีให้ดีขึ้น โดยครูเอามาอ่านที่หน้าชั้นก่อนเริ่มสอน
ตัวอย่างเช่น “จงมีความเชื่อมั่นต่อตัวเอง อย่าขอความช่วยเหลือจากใคร
จนกว่าคุณจะพยายามทุกทางแล้วที่คุณจะแก้ไขปัญหา
และคุณจะแปลกประหลาดใจว่า ไม่ว่าปัญหาอะไรคุณก็สามารถแก้ได้ด้วยตนเอง”

3.ทำสติกเกอร์ติดตามบอร์ดและหน้ารถ เช่น “ในวันนี้ จงทำแต่สิ่งที่ดีงาม”

4.ให้ครูค้นหาความดีของนักเรียนแต่ละคน ไม่ใช่คอยจ้องจับผิด
เมื่อเด็กทำดีแล้วก็ให้บันทึกไว้และแจ้งให้พ่อแม่ได้ทราบ

5.ติดสติกเกอร์ข้อความในทางบวกหรือทางด้านดีไว้ตามหนังสือเรียนและกล่องอาหาร
กลางวันของเด็กนักเรียน ตัวอย่างเช่นแม่คนหนึ่งมีลูกสาวที่กว่าจะทำเลขแต่ละข้อได้ใช้
เวลานานเต็มทน ครูก็เอาสติกเกอร์ติดที่หนังสือคณิตศาสตร์ของเด็กคนนั้น โดยมีข้อความ
ว่า “ครูเชื่อความสามารถในตัวเธอและเธอก็สามารถทำได้” ปรากฎว่า
เด็กหญิงคนนั้นสามารถทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้ดีขึ้นมาก

นอกจากนี้ยังมีการเอาเรื่องราวของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จมาพูดให้ฟัง
โดยนำมาจากวงการต่างๆ เช่น วงการธุรกิจ วงการกีฬา เป็นต้น

โครงการ “พลังความคิดทางบวก” นี้หลังจากดำเนินการมา 2 ปี
ปรากฎว่าทั้งครูอาจารย์และนักเรียน ที่เคยขาดเรียนขาดสอนบ่อยก็มาโรงเรียนสม่ำเสมอ
ระเบียบวินัยที่เคยทรุดโทรมก็ดีขึ้น โดยเฉพาะตามโรงเรียนชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย
เด็กที่ติดยาเสพติดและสุราก็ไม่มีเหลืออยู่เลย รวมทั้งพวกเกเรและชอบก่อเรื่องวุ่นด้วย
ผลการสอบคะแนนเฉลี่ยก็ได้ตามมาตรฐาน นักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมพิเศษมากขึ้น
เช่นดนตรีหรือการร้องเพลงประสานเสียง กีฬาที่เคยแพ้มาตลอด ก็ได้แชมป์เป็นครั้งแรก

นายอีเอ็มวัตต์ จูเนียร์ อดีตประธานกรรมการโรงเรียนซัมเตอร์ เคาน์ตรี บอกว่า
“พลังความคิดทางบวกทำงานได้ผล ความคิดทางบวกหรือการมองโลกในแง่ดีและ
ให้เชื่อมั่นในตัวเองนี้เข้ามาสู่วงการธุรกิจก่อน
แล้วเข้าไปในวงการแพทย์ตอนนี้เข้ามาสู่วงการศึกษา ซึ่งให้ผลอย่างน่ามหัศจรรย์”

เราละครับ วันนี้ได้ใช้พลังความคิดทางบวกในครอบครัวหรือหน่วยงานของเราบ้างหรือยัง?

โดย รศ.เกียรติวรรณ อมาตยกุล




 

Create Date : 20 มกราคม 2552
8 comments
Last Update : 20 มกราคม 2552 20:00:11 น.
Counter : 2056 Pageviews.

 

ดีมากเลยครับ

 

โดย: พัสกร IP: 119.42.64.80 21 มกราคม 2552 11:36:32 น.  

 

think good

 

โดย: nean IP: 118.173.238.148 24 มิถุนายน 2552 16:50:42 น.  

 

จริงอยู่ การที่คนเราคิดใน แงบวก มองโลกในแงดีนั้น มันใช่ว่าจะ ไม่ดี
มันจะทำให้เรา เปลื่ยน สิ่งรอบข้างโดย
ไม่รู้ตัว ตัวอย่างการที่ เรามองทุกๆเรื่องของทุกสิ่ง
บวกไปหมด ถ้าย้ำคิด ตัวเอง บ่อยๆ สภาพจิตใจเราเอง
จะเปลื่ยนไปตรงข้ามของความคิด ทำให้ เราเป็นคน
ไร้ความรู้สึก เจ็บ การคิดในแง่บวกมันคือการปกปิด
ของคำว่า หลอกตัวเอง คุณจะคิดยังไงถ้าคนที่คุณช่วยเหลือดูแล บุคคลไม่ดีติดยาเสพติดมาก่อน คุณพยายามสอนพวกเขาเหล่า นั้น โดยใช้ ความคิดบวก ปลุกฝั่ง พวกเขา คุณทุ่มเท่เวลา
2 ปีกว่า บังเอินวันนั้น คุณได้นัด คนรักของคุณมารับที่ทำงาน เกิดมีคนคลุ้มคั่ง
เพราะคนป่วยที่คุณรักษาอยู่นั้น เดินถือมีด มาแท้งคนรักของคุณ โดยคุยคิดในแงบวกว่า
ไม่เป็นไรหรอกก เดียวคนที่เรารักมารับ แล้วไป
เวลาแค่เสียนาทีของพลังความคิดในแง่บวก
มันส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคุณยังไง
1.คุณจะยืนดูคนรักของคุณนอนจมก่องเลือกโดยไร้น้ำ
ตา
2.คุณจะเปลื่ยนแปลงตัวเองโดยคิดในแงลบว่า
ถ้าเกิดเหตุการณณ์แบบนี้ขึ้น เราจะไม่ให้คนที่เรารักมารับแล้ว ลงไปคุกเข่ากอดร่างคนรักของคุณ พร้อมน้ำตา

จงคิดถึง 2 อย่าง อย่าเน้นเพียงด้านใด ด้าน1
เพราะมันจะไม่เหลือ อะไร อย่า คิดลบจนเกินไป
เพราะมันจะหา ความสุขไม่ ความเป็นจริงของ สังคม
ทุกวันนี้ ด้านธุรกิจ การมองในแง่ดี พวกคนเหล่านั้นจะ
มองคุณเป็น ไอโง่ เพิ่มเติ่ม etage88@hotmail.com

 

โดย: ความแปรผัน IP: 117.47.104.96 3 ธันวาคม 2552 11:12:33 น.  

 

ถูกของ คุณความแปรผัน การคิดในแง่บวก (บางครั้ง) ก้อไม่ได้ดีเสมอไป เหมือนเป็นการหลอกตัวเอง และไม่ยอมรับความจริง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่มันไม่ดี แต่ก้อยังปลอบตัวเองว่าดีๆๆๆๆ หาคำสวยๆ ต่างๆ มาปลอบใจตัวเอง

ถ้าลองคิดแบบนี้ดูเช่น ทำไมเค้าเก่งกว่าเรา ทำไมเค้าทำได้แต่เราทำไม่ได้ ทำไมเค้ารวยกว่า ประสบความสำเร็จกว่าเรา ทำไมๆๆๆๆ (ออกแนวอิจฉา อิ อิ)
แล้วเอาความคิด negative เนี้ยมาเป็นพลังในการพลักดันให้เราทำชีวิตเราให้ดีขึ้นและทำให้ประสบความสำเร็จแบบคนอื่นเค้าก็ได้เช่นกัน

ผมว่าในยุคเนี้ยต้องคิดแบบ Lateral thinking (คิดนอกกรอบ) ถึงจะทันกันหน่อยครับ

เช่น แบบเราไม่มีรถเหมือนเค้า แต่เราอยากมี อยากได้ๆๆแล้วทำไงอ่ะ
Positive = อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน ขึ้นรถไฟฟ้าก้อได้
คนอื่นเค้าไม่มีรถกันเยอะแยะ

Lateral thinking = สู้สิ อย่าไปยอม เราต้องมีให้ได้ ยอมเหนื่อยหน่อย นอนน้อยลงหน่อย หางานพิเศษทำเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สู้ๆ เพื่อสิ่งที่เราอยากได้

 

โดย: Lateral thinking IP: 202.176.88.141 19 มกราคม 2553 11:12:33 น.  

 

ความคิดบวกดีเสมอ....แต่ความคิดบวกไม่ใช่หลักประกันชะตากรรมของชีวิต...การประสบภัยจากคนไม่ดี..หรือต้องประสบภัยต่าง ๆ...นี้คือชะตากรรม...หาใช่ความไม่ถูกของการคิด บวก...การคิดบวกไม่ใช่การปกปิด...เพราะความคิดอยู่ในใจต้องฝึกให้เป็นนิสัย...หาใช่เพียงหลอกตัวเอง...การหลอกตัวเองแต่ลึกลงไปยังไม่คิดบวก...อย่างนั้นผลแห่งการคิดบวกก็หาปรากฏไม่...แรก ๆ เหมือนพยายามปกปิดแต่เมื่อจิตสงบ..ยอมรับมัน....เมื่อนั้นก็จะเป็นธรรมชาติแห่งจิด....ครับ

 

โดย: จุลเจต IP: 110.164.179.2 9 พฤศจิกายน 2553 12:28:03 น.  

 

คิดดี ทำดี ก็จะได้สิ่งตอบแทนที่ดีดีเสมอ

คิดบวก อาจได้ทั้งบวกและลบ คิดลบ ได้ลบเสมอ

คนคิดบวกคือผู้มีเมตตาจิต พร้อมที่จะให้อภัยคนอื่น

เสมอ แต่คนคิดลบตลอดเพราะจิตขุ่นมัว ไม่รู้จักอภัยชีวิต

จะไม่เป็นสุขมีแต่ร้อนรุ่ม วุ่นวายใจ

ดังนั้นพลังจากการคิดบวก ก็ทำให้เรามีความสุขใจแล้ว

 

โดย: nain IP: 222.123.22.176 15 พฤศจิกายน 2553 21:18:41 น.  

 

สิ่งที่เราคิดมันคือจุดกำเนิดขิงสิ่งที่เราทำ...
และสิ่งที่เราทำก็คือต้นกำเนิดของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิต
ผมเชื่อว่าความคิดมีแรงดึงดูดมหาศาล
แต่เราเรียกแรงดึงดูดนั้นว่า "โชคชะตา หรือวาสนา"
การที่เราคิดบวกไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่สิ่งดีดี
เกิดขึ้นในชีวิตคุณ...แต่การคิดบวกจะทำให้เราไม่จมอยู่กับความผิดหวัง ผิดพลาด และเราจะหาหนทาง
ก้าวข้ามมันไปจนได้ ตัวอย่างเช่นคงไม่ใช่ทุกคนที่จะบอกว่า
สิ่งที่ถูกทิ้งอยู่ในกองขยะจะมีคุณค่าต่อชีวิต...
แต่อีกเช่นคงไม่ใช่ทุกคนที่จะบอกว่าสิ่งเหลานั้นไร้ค่า
จริงๆผมว่าใครจะคิดแบบไหนก็เอาเถอะหากสิ่งที่คุณคิดมันไม่ทำให้คุณ...จม

 

โดย: บักดุ๋ย! IP: 125.27.100.225 12 กรกฎาคม 2554 14:38:19 น.  

 

Hey....ความแปรผัน.....your thinking is bad now.....you should learn more about your thinking about positive thinking.....you dont understand well about it....but you deside by youself.....i am worry about your thinking.....try to learn more.!!!!!! Your thinking is the best but not the best....

 

โดย: Positive IP: 70.39.185.123 19 พฤศจิกายน 2555 18:09:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.