พลังความคิดด้านบวก
เราทราบกันหรือไม่ครับว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จและมี ความสุขในชีวิต? มีนักจิตวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่าคนที่มีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่ คือคนที่มีความคิดด้านบวกกับตัวเองอยู่เสมอ
คนที่มีความคิดในทางบวกกับตนเองควรมีลักษณะอย่างไร? มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเองดี มีความคิดสร้างสรรค์สูงและที่สำคัญที่สุดคือจะต้องเป็นผู้ที่สามารถเห็นว่าตัวเองมีคุณค่า มีความสามารถ มีความภูมิใจและพึงพอใจในตัวของตัวเอง มีความมั่นใจในการกระทำ ต่างๆของตนเองโดยไม่ต้องรอพึ่งผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ดังคารมสั้นๆ ที่ว่า “ยิ้มได้เมื่อถูกเยาะ หัวเราะได้เมื่อถูกเย้ย เฉยเมยได้เมื่อถูกชม” หรือบทเพลงต่อไปนี้ ที่จะทำให้เราได้เห็นภาพของคนที่มีความคิดในทางบวกกับตนเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“แม้มิได้เป็นซามูไร ก็จงภูมิใจเป็นสมุนเขา แม้มิได้เป็นดอกซากุระ ก็อย่ารังเกียจที่จะเป็นดอกไม้อื่น แม้มิได้เป็นถนน ก็จงพอใจที่จะเป็นบาทวิถี แม้มิได้เป็นดวงตะวัน ก็จงยินดีที่จะเป็นดวงดาว อันว่าภูเขาไฟฟูจินั้นสวย แต่ภูเขาลูกอื่น ๆ ก็มิได้ด้อยค่า ไม่ว่าจะเป็นอะไร จงพอใจ และเป็นให้ดีที่สุด”
อะไรทำให้คนเรามีความคิดในทางบวกกับตนเอง? มีผู้กล่าวไว้ว่า “We are what we think,we think so we become” หรือพอแปลง่ายๆได้ว่าเราเป็นอย่างที่คิด เราคิดอย่างไรเราก็เป็นอย่างนั้น ความคิดของคนเราแม้จะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่เราคงต้องยอมรับว่าความคิดของคน เรามีอำนาจมากทีเดียว ลองมาดูตัวอย่างอำนาจของความคิดกันดีไหม?
ลองหลับตาลง คิดภาพของตัวเองเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นและหยิบมะนาวออกมา 1 ผล ใช้มีดหั่นมะนาวออกเป็น 2 ซีกแล้วค่อยๆบีบมะนาวใส่ปาก เพียงแต่คิดรู้สึกได้ ถึงความเปรี้ยวแล้วใช่ไหมครับ แม้ไม่ได้ชิมรสความเปรี้ยวของมะนาว ต่อมน้ำลายใน ร่างกายของเราก็เริ่มทำงานแล้ว มาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงพอเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่า ความคิดมีอิทธิพลต่อร่างกายและจิตใจของเรามากเพียงใด ดังนั้นคำพูดและพฤติกรรม ต่างๆของคนรอบข้างจึงมีผลอย่างยิ่งต่อความคิดการกระทำและความสำเร็จของคนเรา
ระบบการศึกษาจะช่วยทำให้ผู้เรียนมีความคิดแง่บวกกับตนเองและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทางการเรียนและคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างไรบ้าง?
ผลการทดลองใช้ “พลังความคิดทางบวก” ที่เมืองซัมเตอร์เคาน์ตรี รัฐเซาท์ แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สรุปไว้อย่างน่าสนใจว่า“พลังความคิดทางบวก”สามารถแก้ปัญหา เด็กเรียนอ่อนต่ำกว่าเกรดมาตรฐาน เด็กเกเรก่อเรื่องวุ่นวายและเด็กติดยาเสพติดได้สำเร็จ ทำให้เด็กนักเรียนเก่งขึ้น และหวนกลับมาเป็นเด็กดีได้”
ทั้งนี้ ดร.วิลเลี่ยม มิตเชลล์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “นักเรียนพลังแห่งความคิดทางบวก” ได้เปิดเผยว่า“เมื่อผมได้ทำหน้าที่ควบคุมดูแลโรงเรียน 15 แห่งที่ซัมเตอร์เคาน์ตรีเขต2 นั้น ปรากฎว่าเด็กเรียนแย่มาก สอบได้ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของมาตรฐานระดับชาติมาก ความประพฤติก็เต็มทน ทั้งเกกมะเหรกเกเร ชอบต่อยตี ติดสุรา ติดยาเสพติด ชอบพูดภาษาหยาบคาย มีอัตราถูกไล่ออกจากโรงเรียนสูง ขวัญจิตใจก็ต่ำ การแข่งขันกีฬาเป็นทีมก็แพ้อยู่ร่ำไป”
“ทั้งเด็กนักเรียน ครูอาจารย์และพ่อแม่ผู้ปกครอง ต่างมีความรู้สึกว่าตัวเองมีแต่ความล้มเหลวและหดหู่ไม่มีความหวังต่ออนาคตแต่อย่างใด”
ดร.วิลเลี่ยม มิตเชลล์ เผยต่อไปว่า “เรามีความจำเป็นต้องสร้างความเชื่อใหม่ว่า เราจะต้องเป็นผู้ชนะ ดังนั้น เราจึงเริ่มโครงการที่ฟื้นฟูและแก้ไขสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ขึ้นมา นั่นก็คือโครงการ “พลังความคิดทางบวก”โดยรณรงค์ทุกรูปแบบ ทั้งคำขวัญป้ายโปสเตอร์ สติกเกอร์ติดตามกล่องอาหาร หนังสือเรียน รวมทั้งโฆษณาทางวิทยุและทีวีด้วย”
1.ทำป้ายโปสเตอร์โดยเขียนว่า “จงเป็นผู้มีรสนิยมดี คุณก็ทำได้”
2.ทำข้อความเพื่อเสริมสร้างท่าทีให้ดีขึ้น โดยครูเอามาอ่านที่หน้าชั้นก่อนเริ่มสอน ตัวอย่างเช่น “จงมีความเชื่อมั่นต่อตัวเอง อย่าขอความช่วยเหลือจากใคร จนกว่าคุณจะพยายามทุกทางแล้วที่คุณจะแก้ไขปัญหา และคุณจะแปลกประหลาดใจว่า ไม่ว่าปัญหาอะไรคุณก็สามารถแก้ได้ด้วยตนเอง”
3.ทำสติกเกอร์ติดตามบอร์ดและหน้ารถ เช่น “ในวันนี้ จงทำแต่สิ่งที่ดีงาม”
4.ให้ครูค้นหาความดีของนักเรียนแต่ละคน ไม่ใช่คอยจ้องจับผิด เมื่อเด็กทำดีแล้วก็ให้บันทึกไว้และแจ้งให้พ่อแม่ได้ทราบ
5.ติดสติกเกอร์ข้อความในทางบวกหรือทางด้านดีไว้ตามหนังสือเรียนและกล่องอาหาร กลางวันของเด็กนักเรียน ตัวอย่างเช่นแม่คนหนึ่งมีลูกสาวที่กว่าจะทำเลขแต่ละข้อได้ใช้ เวลานานเต็มทน ครูก็เอาสติกเกอร์ติดที่หนังสือคณิตศาสตร์ของเด็กคนนั้น โดยมีข้อความ ว่า “ครูเชื่อความสามารถในตัวเธอและเธอก็สามารถทำได้” ปรากฎว่า เด็กหญิงคนนั้นสามารถทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้ดีขึ้นมาก
นอกจากนี้ยังมีการเอาเรื่องราวของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จมาพูดให้ฟัง โดยนำมาจากวงการต่างๆ เช่น วงการธุรกิจ วงการกีฬา เป็นต้น
โครงการ “พลังความคิดทางบวก” นี้หลังจากดำเนินการมา 2 ปี ปรากฎว่าทั้งครูอาจารย์และนักเรียน ที่เคยขาดเรียนขาดสอนบ่อยก็มาโรงเรียนสม่ำเสมอ ระเบียบวินัยที่เคยทรุดโทรมก็ดีขึ้น โดยเฉพาะตามโรงเรียนชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย เด็กที่ติดยาเสพติดและสุราก็ไม่มีเหลืออยู่เลย รวมทั้งพวกเกเรและชอบก่อเรื่องวุ่นด้วย ผลการสอบคะแนนเฉลี่ยก็ได้ตามมาตรฐาน นักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมพิเศษมากขึ้น เช่นดนตรีหรือการร้องเพลงประสานเสียง กีฬาที่เคยแพ้มาตลอด ก็ได้แชมป์เป็นครั้งแรก
นายอีเอ็มวัตต์ จูเนียร์ อดีตประธานกรรมการโรงเรียนซัมเตอร์ เคาน์ตรี บอกว่า “พลังความคิดทางบวกทำงานได้ผล ความคิดทางบวกหรือการมองโลกในแง่ดีและ ให้เชื่อมั่นในตัวเองนี้เข้ามาสู่วงการธุรกิจก่อน แล้วเข้าไปในวงการแพทย์ตอนนี้เข้ามาสู่วงการศึกษา ซึ่งให้ผลอย่างน่ามหัศจรรย์”
เราละครับ วันนี้ได้ใช้พลังความคิดทางบวกในครอบครัวหรือหน่วยงานของเราบ้างหรือยัง?
โดย รศ.เกียรติวรรณ อมาตยกุล
Create Date : 20 มกราคม 2552 |
|
8 comments |
Last Update : 20 มกราคม 2552 20:00:11 น. |
Counter : 2056 Pageviews. |
|
|
|