Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
23 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
“สะกดจิตตัวเอง” ขับไล่นิสัยเสีย



ขี้เกียจ ขี้กลัว ขี้อาย ขี้เซา ขี้กังวล ขี้อิจฉา ขี้เหล้า ขี้ยา ขี้โมโห ขี้เบื่อ ฯลฯ สารพัดสารพันเรื่องขี้...
นิสัยไม่ดีที่หลายคนอยากแก้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่หายเสียที ทำเอาการงานชะงัก ชีวิตไม่ก้าวหน้า
ที่ทำงานโดนเจ้านายดุด่า กลับมาบ้านเจอแม่ เจอเมียบ่น...ทีนี้โรคเครียดก็รุมเร้า โรคใจโรคกายก็ถามหา
ถ้าไม่แก้ไขตั้งแต่ตอนนี้ ดูท่าชีวิตจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่

อาการนิสัยเสียๆ เหล่านี้สร้างปัญหาไม่น้อยในชีวิตประจำวันและในอนาคต
ลองคิดดู ถ้าสาวใดอยากเป็นแอร์โฮสเตส นางฟ้าบนสายการบินแต่กลัวความสูง เป็นครูแต่ขี้กังวล ไม่มั่นใจ
เป็นนักขายแต่ไม่กล้า ขี้อาย บางคนบอกว่านิสัยมันติดตัวมาตั้งแต่เด็กแก้ยาก รักษาไม่หาย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตแนะนำวิธีแก้ไข ซึ่งจะได้ผลหรือไม่ ลองคิด พิจารณาดู...


เคล็ดวิชา “สะกดจิตบำบัด”
ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ นักสะกดจิตบำบัด จากชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย
เจ้าของประกาศนียบัตรนักสะกดจิตบำบัด เผยกลเม็ดเคล็ดลับการสะกดจิตเพื่อแก้ไขนิสัยไม่ดีทั้งหลายของตัวเอง
ว่า หากกล่าวถึง “การสะกดจิต” คนทั่วไปอาจมองว่าเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วมีข้อพิสูจน์
ไม่ใช่เรื่องที่ตอบคำถามไม่ได้ ดังนั้น หากจะอธิบายอย่างง่ายๆ

การสะกดจิตก็คือ กระบวนการให้ข้อมูลกับจิตใต้สำนึก โดยการกล่อมเกลาจิตสำนึก
ซึ่งมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในของบุคคลนั้น
เริ่มตั้งแต่ นิสัย บุคลิกภาพ พฤติกรรม ความเชื่อ ไปจนถึงระบบการทำงานบางอย่างของร่างกาย

ทั้งนี้ เคล็ดลับในการสะกดจิตบำบัดก็คือ “เปิดจิตใต้สำนึก แล้วใส่ข้อมูลที่ดี มีประโยชน์ต่อการบำบัดรักษา”

ชนาธิปบอกว่า คนเรามีนิสัยที่แตกต่างกันไปหลากหลายแบบ บางคนก็เป็นผลดีกับตัวเอง
บางคนก็เป็นผลร้ายกับตัวเอง เช่น ขี้โมโห เก็บกด เครียดง่าย จริงจังเกินไป ขี้กลัว ท้อแท้ ไม่กล้า เป็นต้น
ซึ่งที่มาของนิสัยต่างๆ เกิดมาจากการอบรมเลี้ยงดู ดังนั้นนิสัยไม่ดีก็ไม่ใช่เวรกรรม ไม่ใช่บังเอิญ
ไม่ใช่เรื่องที่สารเคมีในสมองบกพร่องเท่านั้น และการสะกดจิตก็สามารถเข้ามาแก้ไขได้


กรรมวิธีเปิดจิตใต้สำนึก กล่อมเกลาใจ
ทีนี้เมื่อเข้าใจและยอมรับ “วิชาการสะกดจิต” แล้ว
การบำบัดรักษาจะสามารถกระทำได้โดยผู้เชี่ยวชาญ นักสะกดจิต จิตแพทย์ ซึ่งมีอยู่ไม่มากนักในสังคมไทย
รวมทั้งตัวเราเองก็สามารถสะกดจิตตัวเองได้ด้วย

ชนาธิปอธิบายว่า กรรมวิธีสำคัญอยู่ที่การเปิดจิตใต้สำนึก ซึ่งสามารถทำได้โดยกดจิตสำนึกลง
โดยการลดการใช้สมอง ลดการนึกคิด สังเกต ระวัง เฝ้า ตรวจสอบ คิดตาม จนเกิดสภาวะที่เรียกว่า “ภวังค์”
หรือ “กึ่งหลับกึ่งตื่น” ซึ่งเป็นสภาวะที่จิตใต้สำนึกเปิดเพื่อการบำบัดที่ดีที่สุด
นอกจากนั้นยังสามารถกระทำได้ในสภาวะที่จิตมีสมาธิ จดจ่อ เคลิบเคลิ้ม ดีใจ ตกใจ เสียใจ ตื่นเต้น

เช่น หากมีระเบิดดัง “ตูม” จะทำให้คนตกใจ แม้แต่บางทียังหยุดหายใจและหยุดการใช้สมองชั่วขณะ
อาจแค่ชั่ววินาทีหนึ่งเท่านั้น แต่ช่วงนี้เองที่ข้อมูลจะเข้าสู่จิตใต้สำนึกทันที
เรื่องนี้จึงตอบคำถามของคนที่กลัวเสียงดัง กลัวที่สูง กลัวที่มืด กลัวที่แคบตลอดทั้งชีวิต

“เคยเจอไหมเพื่อนที่กลัวอะไรขำๆ แปลกๆ เช่น หมา แมว แมลงสาป ฯลฯ
ขนาดที่ว่าแค่เห็นหรือได้ยินเสียงก็ขนลุกซู่ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าทำไมจึงกลัว ทั้งๆ ที่คนทั่วไปเห็นว่าไม่น่ากลัวเลย
อีกทั้งในทางการแพทย์ก็ไม่สามารถรักษาอาการได้
ซึ่งคำตอบคือ ความกลัวนี้แฝงอยู่ในจิตใต้สำนึกและจะกระตุ้นให้เขาเป็นอย่างนั้น”

นักสะกดจิตบำบัด บอกต่ออีกว่า ดังนั้นบางคนที่โดนพ่อแม่ดุด่าทุกวัน พอกลางคืนก็เอาไปนึกคิดก่อนนอน
ข้อมูลไม่ดีก็เข้าใจจิตใต้สำนึก ทำให้คนมีเรื่องกดดันในชีวิต นอนไม่หลับมากยิ่งขึ้น
ยิ่งคิดทุกวัน ยิ่งนอนหลับยากขึ้น กลายเป็นคนเครียดง่าย ต่อต้าน ก้าวร้าว หรือท้อแท้ง่าย ตื่นกลัว ตระหนก
ซึ่งที่ผ่านมาเราสะกดจิตตัวเองหรือถูกผู้อื่นสะกดจิตโดยไม่รู้ตัว

ทีนี้หากต้องการแก้ไขนิสัย เราจึงต้องสะกดจิตแบบมีสติอย่างเป็นทางการ เป็นการสะกดจิตในด้านบวก
โดยย้อนรอยเดิมการเปิดจิตใต้สำนึกแล้วเอาข้อมูลดีๆ เข้าสู่จิตใต้สำนึก อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น

“ส่วนมากคนที่มาหาผม ครึ่งหนึ่งเพื่อแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ดีต่างๆ เหล่านี้
ส่วนที่เหลืออยากจะปรับปรุงศักยภาพของตนเอง อยากเรียนรู้ อยากระลึกชาติ เช่น
ผู้หญิงเป็นโรคบลูคิเมีย กินแล้วต้องล้วงคอเพราะกลัวจะอ้วน กลุ่มที่กินมากๆ แล้วอ้วนก็มีมาก
นอนไม่หลับแล้วเครียดง่ายก็มี ไม่มีสมาธิ ท้อแท้ จิตใจเศร้าหมองง่าย ประหม่าตื่นตัวง่าย
แล้วเขารู้ว่าแก้ไม่ได้ด้วยการกินยา ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ผ่านมือแพทย์แล้วทั้งนั้น
การสะกดจิตนั้นถือเป็นทางเลือกสุดท้าย”


สัมฤทธิผลแค่ไหน? เลิกนิสัยเสีย
นอกจากนี้ ชนาธิปยังบอกอีกว่า มีหลายครั้งที่การสะกดจิตไม่สัมฤทธิผลดังที่หวังไว้นั่น
อาจเป็นเพราะผู้ทำการสะกดจิตทำไม่ถูกขั้นตอนและไม่เข้าใจถ่องแท้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักมีผู้เข้าใจผิดว่า การพูดกับตัวเองเรื่อยๆ บ่อยๆ จะทำให้ตนเองเปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งที่จริงแล้วถ้าจิตใต้สำนึกไม่เปิด จะไม่มีข้อมูลเข้าสู่จิตใต้สำนึก

ทั้งนี้ หลักการสะกดจิตตัวเองมีวิธีง่ายๆ คือ ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมบวกมากที่สุด
โดยทำการสะกดจิตในช่วงสภาวะที่เหมาะสม คือ ภาวะเคลิบเคลิ้ม ช่วงก่อนนอนหรือเพิ่งตื่นนอน
จิตใจสบายใจ มีความสุข หรือจินตนาการถึงสิ่งที่มีความสุข จิตใต้สำนึกก็จะเปิด
แล้วพูดกับตัวเองเรื่อยๆ ในสิ่งที่ตนตั้งใจจะแก้นิสัย เช่น ตื่นเช้าขึ้นๆๆๆ ประมาณ 10 ครั้งก่อนเข้านอน
ต่อเนื่องทุกวันจนเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงบอกกับตัวเองต่ออีก 20 วัน เพื่อให้ผลการเปลี่ยนแปลงคงทนถาวร

“หากเข้าใจ ทำถูกขั้นตอน รับรองว่าแก้ปัญหาได้ 100%

อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ครบ บางคนทำมา 10 ปีแล้วก็ไม่ดีขึ้น
อีกทั้งอาจเรียนรู้มาผิดๆ หรืออ่านหนังสือที่เขียนผิดๆ แปลผิดๆ รวมทั้งการให้ข้อมูลกับตัวเองในแง่บวกว่า
ฉันดีขึ้น เก่งขึ้น อดทนขึ้น สวยขึ้น ในคราวเดียว ฟังดูเผินๆ ดีแต่ผิดหลัก
เพราะจิตใต้สำนึกนั้นจะรับข้อมูลมากมายแบบนั้นไม่ได้ การบอกตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่สะกดจิตตัวเอง
แต่เป็นคำขวัญวันเด็กพวกขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน สรุปแล้วจิตใต้สำนึกไม่ได้อะไรสักอย่างเดียว”

ชนาธิปให้เทคนิคสำคัญอีกอย่างของการเปิดจิตใต้สำนึก เพื่อให้ข้อมูลกับตัวเอง สู่การเปลี่ยนแปลงนิสัยว่า
จะต้องหลีกเลี่ยงคำในด้านลบเช่น เราจะไม่พูดคำว่า “ฉันจะไม่สูบบุหรี่” “ฉันจะไม่กินเหล้า”
แต่ให้พูดว่า “ฉันอยากเลิกบุหรี่” “ฉันอยากเลิกเหล้า” ก็คือ หลีกเลี่ยงคำว่า “ไม่” กับคำว่า “จะ”

เหตุผลเพราะคำเหล่านี้เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้
พร้อมกับบอกกับตัวเองด้วยคำและความหมายที่ตรง ง่าย กระชับ
ให้ข้อมูลกับจิตใต้สำนึกจากปัญหาพื้นฐานง่ายๆ ไปปัญหาที่ยากและซับซ้อนขึ้น
เมื่อข้อความเหล่านั้นเข้าสู่จิตใต้สำนึกไม่เกิน 20 วัน เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลง เช่น
หากเป็นคนตื่นสายเมื่อให้ข้อมูลกับตัวเองว่า ตื่นเช้าขึ้น ก็จะตื่นเช้าขึ้นเองโดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุก
และเมื่อพบว่า ตื่นเช้าขึ้นจริงๆ ได้แล้วก็เลิกทำ แล้วค่อยบอกข้ออื่นๆ ต่อไป
แต่หากไม่เป็นผล นั้นแสดงว่าผู้ทำการสะกดจิตต้องทำผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น ให้ข้อมูลมากเกินไป ลำดับความยากง่ายไม่ถูกต้อง

อีกกระบวนการหนึ่งเป็นการเขียนป้ายบอกกับตัวเอง เช่น เขียนคำว่า “ตื่นเช้าขึ้น” ก็ติดไว้ในบ้านให้มากที่สุด
เช่น ติดไว้หน้าห้องน้ำ ในห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้า ประตูห้องนอน โต๊ะกินข้าว ตู้เย็น ที่กระจกแต่งหน้า
ซึ่งปกติแล้วในช่วงเวลาต่างๆ อย่างเมื่อตื่นใหม่ๆ จิตใจจะว่าง
ช่วงที่นั่งตาจะลอยเมื่อสายตาเราไปพบกับป้ายเหล่านี้ ก็จะเป็นตัวกระตุ้นจิต ใต้สำนึกของตัวเอง

“น่าแปลกในช่วงว่างๆ คนมักจะคิดแต่เรื่องร้ายๆ วนไปวนมา หรือคิดฟุ้งซ่านเหลวไหลไม่จบไม่สิ้น
การติดป้ายเป็นการกระทำเพื่อหยุดกระบวนการนั้น หากหยุดไม่ได้เราจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่จะแย่ขึ้นทุกวันๆ ดังนั้นเมื่อตื่นเช้าก็ให้พูดกับตัวเองว่า
ฉันขยันมากขึ้นทุกวันๆ ฉันสดชื่นๆ เลิกพูดเสียทีว่า โอ้ย! ขี้เกียจ เบื่อจังเลยไม่อยากไปทำงาน”

“ครั้งหนึ่งเคยมีเจ้าของกิจกรรมมาหาผมเขาติดป้าย สดชื่นมากขึ้น จนทั่วบริษัท ตอนแรกก็กลัวว่าจะรก
แต่กลับกลายเป็นว่า พฤติกรรมคนในที่ทำงานนั้นเปลี่ยนไป ดังนั้นถ้าติดที่ทำงานหรือที่รถได้ก็ติดด้วย
ทำอย่างที่ผมแนะนำเยอะๆ รับรองมีการเปลี่ยนแปลงภายใน 1 เดือน แน่นอน”


เตือนไว้ “ข้อควรระวัง”
อาจารย์ชนาธิป ทิ้งท้ายว่า การสะกดจิตอยู่บนพื้นฐานการแก้ปัญหาโรคทางใจ
ดังนั้น นอกจากการแก้พฤติกรรมตนเองแล้ว ถ้าโรคทางกายใดมีสาเหตุมาจากจิตใจ

การสะกดจิตก็เป็นตัวส่งเสริมให้หายได้ทุกโรค
ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคเครียด โรคสมาธิสั้น โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ ฯลฯ ปัญหาจึงอยู่ที่รู้จริงและเข้าใจหรือไม่
เพราะหากไม่รู้จริงแล้วคิดเอาเองรังแต่จะป่วยหนักมากขึ้น ซึ่งเหล่านี้มีข้อพิสูจน์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งการแพทย์และวิทยาศาสตร์ แต่ในประเทศไทยยังมีการศึกษาวิจัยน้อยและอ่อนประชาสัมพันธ์

โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา การสะกดจิตไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เช่น
ในบริการทันตกรรม ทันตแพทย์ใช้การสะกดจิต แทนการต้องฉีดยาชาซึ่งจะช่วงลดความเสี่ยงในการแพ้ยาชา
ทำให้การสะกดจิตเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาที่ละมุนละม่อม



ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง

ด้าน ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาจาก ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ให้ข้อคิดเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า
การสะกดจิตเพื่อบำบัดสามารถทำได้จริง
โดยการสร้างความเชื่อหลายๆ ครั้ง จนติดเข้าไปในอารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรตระหนักคือ ผู้ที่สะกดจิตก็เป็นคนธรรมดาไม่ได้มีพลังจิตไม่มีอำนาจ
และจะไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ใดๆ หากผู้รับการบำบัดไม่อยากเปลี่ยนแปลง หรือ ไม่เชื่อตามผู้ที่ทำการสะกดจิต
อีกทั้งให้ระมัดระวังกลุ่มที่ใช้การสะกดจิตต้มตุ๋น หลอกลวง โดยมีข้อควรคำนึง 2 ข้อ คือ
การคิดว่า “ระลึกชาติ” ได้ไม่เป็นจริงเด็ดขาด ผิดหลักการสะกดจิต เพราะน่าจะเกิดมาจากการอุปทาน
ส่วนข้อที่ 2 การตกทองโดยการสะกดจิตได้นั้นไม่จริง เพราะไม่มีใครสะกดจิตเราได้ หากเราไม่หลงเชื่อ ยอมรับ

การตกทองเป็นเพียงการพูดโน้มน้าวให้คล้อยตาม บวกกับคนเรามีความโลภ
ดังนั้นจึงถือเป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยม โดยใช้หลักการคล้ายจิตวิทยาเท่านั้น

อาจารย์วัลลภ ทิ้งท้ายว่า แม้การสะกดจิตยังไม่แพร่หลายในทางการแพทย์มีการนำไปใช้น้อยมาก
ไม่ถึง 10% ของคนไข้ทั้งหมดในการรักษา เนื่องจากไม่ได้ผลในระยะยาว อีกทั้งต้องใช้เวลาในการรักษานาน
การสะกดจิตต้องใช้เวลาอย่างน้อย 40 นาที และไม่ได้ทำการสะกดจิตกันได้ง่าย

ที่สำคัญการสะกดจิตบำบัดในปัจจุบัน ไม่ใช่การรักษามาตรฐานทางจิตเวชศาสตร์
ในประวัติวิธีการรักษาทางจิตเวช วิธีการนี้ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน ผลการรักษาไม่แน่นอน
การแพทย์ปัจจุบันมักใช้ยาซึ่งง่ายและได้ผลรวดเร็วทันใจกว่า


ข้อมูลโดย ผู้จัดการ
ที่มา : //www.dmh.go.th



Create Date : 23 มกราคม 2553
Last Update : 23 มกราคม 2553 19:39:12 น. 4 comments
Counter : 1854 Pageviews.

 
มันเป็นที่จิตใต้สำนึกค่ะ ถ้าคนที่อยากเลิกนิสัยไม่ดี มีจิตที่อยากเลิก ใช้สมาธิช่วย เขาก็เลิกได้เพราะใจอยาก

พูดจริงๆนะคะ ผู้ที่จะสะกดจิตได้น่ะ ต้องระดับ พระมหาโพธิสัตว์ค่ะ ในโลกมีอยู่พระองค์เดียว คือ ในหลวงของเราค่ะ


โดย: Chulapinan วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:1:00:21 น.  

 
ได้ผลจริงหรือ


โดย: pop IP: 125.24.216.151 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:14:41:57 น.  

 
การสะกดจิตไม่จำเป็นต้องระดับพระมหาโพธิสัตว์หรอกค่ะ
คนธรรมดาอย่างเราก็ทำได้


โดย: intira IP: 202.149.25.235 วันที่: 30 มีนาคม 2553 เวลา:15:17:39 น.  

 
ขี้อายมากๆ ต้องสั่งจิตอย่างไรคะ ช่วยบอกหน่อยคะเพราะว่ามีปัญหารุนแรงมาก เกี่ยวกับการเข้าสังคมและ การทำงานคะ ขอบคุณคะ


โดย: พร IP: 72.253.233.70 วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:20:08:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.