|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ศึกหินดาดลาดหญ้า
ศึกพม่า ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
สงครามครั้งที่ ๑ คราวพม่ายกกองทัพมา ๕ ทาง ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๒๘
ว่าด้วยเรื่องเบื้องต้นแห่งการสงคราม
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จผ่านพิภพปราบดาภิเษกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ พอทรงระงับดับยุคเข็ญในกรุงธนบุรีราบคาบ และโปรดให้มีสารตราให้หากองทัพกลับมาจากกรุงกัมพูชาแล้ว ก็ให้เริ่มการย้ายเข้าพระนครข้ามฟากจากเมืองมาสร้างกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯ ทางข้างฝั่งตะวันออก
มูลเหตุซึ่งสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจะฬาโลก ทรงรังเกียจที่พระราชวังเดิม(๑)ด้วยอยู่ใกล้ชิดติดอุปจารวัดแจ้งและวัดท้ายตลาดล้อมอยู่ทั้ง ๒ ด้าน ดังนี้ ชวนให้เข้าใจผิดไป เป็นเหมือนหนึ่งมีพระราชประสงค์จะสร้างวังที่ประทับใหม่ จึงให้ย้ายพระนคครมาสร้างทางฝั่งตะวันออกแต่ฝั่งเดียว
เหตุที่จริงนั้นเป็นอย่างอื่นและเป็นข้อสำคัญยิ่งกว่าจะสร้างวังมาก ด้วยทรงพระราชดำริว่า พม่าคงจะมาตีเมืองไทย กรุงธนบุรีสร้างป้อมปราการทั้ง ๒ ฝั่ง เอาแม่น้ำไว้กลางเมืองเหมือนอย่างเมืองพิษณุโลก มีประโยชน์ที่อาจเอาเรือรบไว้ในเมืองเมื่อเวลาถูกข้าศึกมาตั้งประชิด แต่การสู้รบรักษาเมืองคนข้างในจะถ่ายเทช่วยกันรบพุ่งรักษาหน้าที่ไม่ใคร่ทันท่วงทีด้วยต้องข้ามน้ำ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไดเคยทรงรักษาเมืองพิษณุโลกสู้ศึกอะแซหวุ่นกี้ เมืองพิษณุโลกลำน้ำแคบและตื้นพอทำสะพานได้ ยังลำบาก ทรงพระราชดำริเห็นว่าที่กรุงธนบุรีแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งกว้างทั้งลึก จะทำสะพานข้ามไม่ได้ ถ้าข้าศึกเข้ามาได้ถึงพระนคร จะไม่สามารถต่อสู้ข้าศึกรักษาพระนครได้
ข้างฝั่งตะวันออกเป็นที่ชัยภูมิเพราะเป็นหัวแหลม ถ้าสร้างเมืองแต่ฟากเดียวจะได้แม่น้ำใหญ่เป็นคูเมืองทั้งด้านตะวันตกและด้านใต้ ต้องขุดคลองเป็นคูเมืองแต่ด้านเหนือกับด้านตะวันออกเท่านั้น ถึงข้าศึกจะเข้ามาได้ถึงพระนครก็พอต่อสู้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงโปรดให้ย้ายพระนครมาสร้างข้างฟากตะวันออกแต่ฝั่งเดียว
น่าจะได้เคยเป็นปัญหาในรัฐบาล แต่ครั้งกรุงธนบุรีเมื่อแรกเสร็จศึกอะแซหวุ่นกี้และบางทีจะถึงได้ตรวจแผนที่เสร็จแล้ว แต่จะเป็นด้วยพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ทรงเห็นชอบด้วยพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือมิฉะนั้นจะติดราชการศึกสงครามอยู่จึงค้างมา
ข้อนี้พึงสังเกตได้ด้วย พอเสด็จปราบดาภิเษกแล้วก็ให้ลงมือสร้างพระนครใหม่ทันที ไม่ตรวจตราภูมิลำเนาให้รู้แน่ชัด และคิดประมาณการทั้งกำลังซึ่งจะสร้างให้ตลอดก่อนนั้น ใช่วิสัยที่จะเป็นได้ จึงเห็นว่าการย้ายพระนครมาสร้างฝั่งตะวันออกเป็นการที่ได้มีความคิดมาแต่ครั้งกรุงธนบุรีแล้ว
การสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นอันยุติว่าจะตั้งราชธานีอยู่ที่บางกอกนี้ต่อไป ไม่คิดกลับคืนขึ้นไปตั้งที่กรุงศรีอยุธยาอย่างโบราณ จึงมีรับสั่งให้ขึ้นไปรื้อกำแพงกรุงเก่าเอาอิฐลงมาสร้างป้อมปราการกรุงเทพฯ และจะมิให้กรุงเก่าเป็นที่อาศัยของข้าศึกด้วยอีกประการหนึ่ง สร้างพระนครอยู่ ๓ ปีจึงสำเร็จ เมื่อในปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๓๒๘ พอสมโภชพระนครแล้วไม่ช้า ในปีนั้นเองพม่าก็ยกกองทัพใหญ่มาตีเมืองไทย
ในตอนนี้ จะต้องขอย้อนไปเล่าเรื่องพงศาวดารพม่าเสียก่อน คือเมื่อพระเจ้าอลองพญาผู้เป็นต้นราชวงศ์สิ้นพระชนม์ มังลอกราชบุตรองค์ใหญ่ได้ครองแผ่นดินพม่าต่อมา พระเจ้ามังลอกมีราชบุตรกับพระมเหสีองค์หนึ่ง ชื่อว่า มังหม่อง
เมื่อพระเจ้ามังลอกสิ้นพระชนม์ มังหม่องยังเป็นทารกอยู่ ราชสมบัติจึงได้แก่มังระราชอนุชา ครั้นมังหม่องเติมใหญ่ขึ้นพระเจ้ามังระมีความรังเกียจเกรงจะชิงราชสมบัติ คิดจะประหารมังหม่องเสีย แต่นางราชชนนีผู้เป็นย่าของมังหม่องขอชีวิตไว้ รับว่าจะให้ไปศึกษาบวชเรียนอยู่ในวัดจนตลอดชีวิต มิให้มาเกี่ยวข้องด้วยราชการแผ่นดิน พระเจ้ามังระจึงมิได้ทำอันตรายแก่มังหม่อง
พระเจ้ามังระเสวยราชย์มา มีราชบุตร ๒ องค์ องค์ใหญ่เรียกกันว่าจิงกูจา แปลว่าผู้กินส่วยเมืองจิงกู เป็นลูกมเหสี องค์น้อยเรียกกันว่าแชลงจาเป็นลูกพระสนม จิงกูจาพอโตขึ้นก็ชอบคบคนพาล ชักชวนให้ประพฤติเสเพลมาเนืองๆ พระเจ้ามังระมิใคร่เต็มพระทัยจะให้เป็นรัชทายาท
ครั้นปีวอก พ.ศ. ๒๓๑๙ พระเจ้ามังระประชวรหนักจวนจะสิ้นพระชนม์ จะมอบราชสมบัติให้ผู้อื่นเกรงจะเกิดจลาจล จึงมอบราชสมบัติให้แก่จิงกูจาราชบุตรใหญ่ พระเจ้าจิงกูจาได้ราชสมบัติแล้ว สงสัยว่ามีผู้จะคิดร้าย จึงให้จับแชลงจาราชอนุชาสำเร็จโทษเสีย แล้วให้หาอะแซหวุ่นกี้กลับไปจากเมืองพิษณุโลก ไปถึงก็พาลหาเหตุถอยยศอะแซหวุ่นกี้เสียจากบรรดาศักดิ์ แล้วจับพระเจ้าอาองค์ใหญ่ชื่อมังโป ซึ่งเรียกกันว่า ตแคงอะเมียง ตามตำแหน่งยศเป็นเจ้าเมืองอะเมียง สำเร็จโทศเสียองค์หนึ่ง และให้เนรเทศพระเจ้าอาอีก ๓ องค์ คือ มังเวงตะแคงปดุง มังจูตะแคงพุกาม และมังโพเมียงตะแคงตะแล ไปเสียจากเมืองอังวะ เอาไปคุมไว้ในหัวเมือง
พระเจ้าจิงกูจามีพระมเหสีแต่ไม่มีราชบุตร แล้วได้ธิดาของอำมาตย์อะตวนหวุ่นมาเป็นนางสนม แต่แรกมีความเสน่หาแก่นางนั้นมาก ถึงยกขึ้นเป็นสนมเอก รองแต่มเหสีลงมา บิดาของนางก็เอามายกย่องให้มียศเป็นขุนนางผู้ใหญ่ แต่พระเจ้าจิงกูจานั้นมักเสวยสุราเมา และประพฤติทารุณร้ายกาจต่างๆ
อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าจิงกูจากำลังเมา เกิดพิโรธให้เอานางสนมเอกนั้นไปถ่วงน้ำเสีย แล้วถอดบิดาของนางลงเป็นไพร่ อะตวนหวุ่นโกรธแค้นจึงไปคบคิดกับตะแคงปดุงซึ่งเป็นพระเจ้าอาองค์ใหญ่ และอะแซหวุ่นกี้ซึ่งถูกถอดนั้น(๒) ปรึกษากันจะกำจัดพระเจ้าจิงกูจาเสียจากราชสมบัติ ทำนองตะแคงปดุงจะเกรงพระเจ้าน้องอีก ๒ องค์จะไม่ยอมให้ราชสมบัติ ในขั้นแรกจึงอุดหนุนมังหม่อม ซึ่งบวชเป็นสามเณรอยู่ให้คิดชิงราชสมบัติ เพราะมังหม่อมเป็นลูกมเหสีของพระเจ้ามังลอก อันอยู่ในที่ควรจะได้ราชสมบัติมาแต่ก่อนแล้ว
ถึงปีฉลู พ.ศ. ๒๓๒๔ พระเจ้าจิงกูจาออกไปประพาสหัวเมือง ทางนี้มังหม่องจึงสึกจากสามเณร คุมสมัครพรรคพวกเข้าปล้นได้เมืองอังวะโดยง่าย มังหม่องจะมอบราชสมบัติถวายพระเจ้าอา ๓ องค์ แต่พระเจ้าอาไม่รับ มังหม่องจึงขึ้นว่าราชการ แต่พอมังหม่องขึ้นนั่งเมือง ก็ปรากฏว่าไม่สามารถจะปกครองแผ่นดินได้ ด้วยปล่อยให้เหล่าโจรที่เป็นพรรคพวกช่วยปล้นเมืองอังวะ ไปเที่ยวแย่งชิงทรัพย์สมบัติของพวกชาวเมืองตามอำเภอใจ มังหม่องควบคุมไว้ไม่อยู่ เกิดวุ่นวายขึ้นทั้งเมืองอังวะ พวกข้าราชการทั้งปวงจึงพร้อมกันไปเชิญตะแคงปดุงครองราชสมบัติ ด้วยเป็นราชบุตรคนที่ ๔ ของพระเจ้าอลองพญา มังหม่องนั่งเมืองอยู่ได้ ๑๑ วัน พระเจ้าปดุงก็จับสำเร็จโทษเสีย
ฝ่ายพระเจ้าจิงกูจา ซึ่งออกไปประพาสอยู่หัวเมือง เมื่อข่าวปรากฏไปถึงว่า มังหม่องชิงได้เมืองอังวะ พวกไพร่พลที่ติดตามไปด้วยก็พากันหลบหนีทิ้งไปเสียเป็นอันมาก เหลือขุนนทางคนสนิทติดพระองค์ไม่กี่คน แต่แรกพระเจ้าจิงกูจาคิดจะหนีไปอาศัยอยู่เมืองกะแซ แต่เป็นห่วงนางราชชนนี จึงลอบลงมาใกล้เมืองอังวะ แล้วมีหนังสือเข้าไปทูลให้ทราบว่าจะหนีไปเมืองกะแซ นางราชชนีให้มาห้ามปราบว่า เกิดมาเป็นกษัตริย์ถึงจะตายก็ชอบแต่จะตายอยู่ในเมืองของตัว ที่จะหนีไปพึ่งเมืองน้อยอันเคยเป็นข้าหาควรไม่
พระเจ้าจิงกูจาก็เกิดมานะ พาพวกบริวารที่มีอยู่ตรงเข้าไปในเมืองอังวะ ทำองอาจเหมือนกันเสด็จไปประพาสแล้วกลับคืนมายังพระนคร พวกพลไพร่ที่รักษาประตูเมืองเห็นพระเจ้าจิงกูจาก็พากันเกรงกลัวไม่มีใครกล้าจะต่อสู้ พระเจ้าจิงกูจาเข้าไปได้จนในเมือง พออะตวนหวุ่นพ่อนางสนมเอกที่พระเจ้าจิงกูจาให้ฆ่าเสีย ทราบความจึงคุมพลมาล้อมจับพระเจ้าจิงกูจา อะตวนหวุ่นเองฟันพระเจ้าจิงกูจาสิ้นพระชนม์ที่ในเมืองอังวะ พระเจ้าปดุงทราบความว่าอะตวนหวุ่นฆ่าพระเจ้าจิงกูจา ก็ทรงพระพิโรธว่าควรจะจับมาถวายโดยละม่อม ไม่ควรจะฆ่าฟันเจ้านายโดยพลการ ให้เอาตัวอะตวนหวุ่นไปประหารชีวิตเสีย
ตรงนี้ผู้ที่แต่งหนังสือในพระราชพงศาวดารเข้าใจผิดไปว่าประหารชีวิตอะแซหวุ่นกี้ มี่จริงอะแซหวุ่นกี้นั้น เมื่อพระเจ้าปดุงได้ราชสมบัติแล้ว เอากลับมายกย่องแต่งตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ให้เป็นอุปราชสำเร็จราชการหัวเมืองฝ่ายใต้อยู่ที่เมืองเมาะตะมะจนตายเมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๓๓๓ และว่าได้เป็นแม่ทัพมารบไทยอีกคราวหนึ่ง คราวไทยยกไปตีเมืองทวายเมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๓๓๐ (แต่ความข้อหลังข้าพเจ้าสงสัยอยู่)
ขณะเมื่อเกิดแย่งชิงราชสมบัติกันวุ่นวายในเมืองพม่าครั้งนั้น เหล่าหัวเมืองขึ้นของพม่าก็พากันกระด้างกระเดื่อง ถึงบังอาจคุมกำลังไปปล้นเมืองอังวะซึ่งเป็นราชธานีก็มี พระเจ้าปดุงต้องทำสงครามปราบปรามเสี้ยนหนามแผ่นดินอยู่หลายปี แต่พระเจ้าปดุงนั้นเข้มแข็งในการศึกยิ่งกว่าบรรดาราชวงศ์ของพระเจ้าอลองพญาองค์อื่นๆ เมื่อปราบปรามพวกที่คิดร้ายราบคาบทั่วทั้งเขตพม่ารามัญและไทยใหญ่แล้ว จึงสร้างเมืองอมระบุระขึ้นเป็นราชธานีใหม่ แล้วยกกองทัพไปตีประเทศมณีบุระทางฝ่ายเหนือ และประเทศยะไข่ทางตะวันตกได้ทั้ง ๒ ประเทศ แผ่ราชอาณาเขตกว้างขวางยิ่งกว่ารัชกาลก่อนๆโดยมาก
พระเจ้าปดุงเสวยราชย์มาได้ ๓ ปี จึงคิดจะเข้ามาตีเมืองไทยให้มีเกียรติยศเป็นมหาราชเหมือนเช่นพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ด้วยในขณะนั้นพระเจ้าปดุงก็ได้ประเทศที่ใกล้เคียงไว้ในอาณาเขตมีรี้พลบริบูรณ์ และทำสงครามมีชัยชนะมาทุกแห่ง พลทหารกำลังร่าเริงทำนองเดียวกัน
ครั้นปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๒๘ พระเจ้าปดุงให้เตรียมกองทัพที่จะยกเข้ามาตีเมืองไทย เกณฑ์คนในเมืองหลวงและหัวเมืองขึ้น ตลอดจนเมืองประเทศราชหลายชาติหลายภาษา รวมจำนวนพล ๑๔๔,๐๐๐ จัดเป็นกระบวนทัพ ๙ ทัพ คือ
ทัพที่ ๑ ให้เเมงยี แมงข่องกยอ เป็นแม่ทัพ มีทั้งทัพบกทัพเรือจำนวนพล ๑๐,๐๐๐ เรือกำปั่นรบ ๑๕ ลำ ลงมาทางเมืองมะริดให้ยกทัพเข้ามาตีหัวเมืองไทยทางปักษ์ใต้ ตั้งแต่เมืองชุมพรลงไปจนเมืองสงขลา ส่วนทัพเรือนั้นให้ตีหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก ตั้งแต่เมืองตะกัวป่าไปจนเมืองถลาง
ในพงศาวดารพม่าว่า แมงยี แมงข่องกยอ ยกลงมาแต่เดือน ๘ ปีมะเส็ง ด้วยพระเจ้าปดุงให้เป็นพนักงานรวบรวมเสบียงอาหาร ไว้สำหรับกองทัพหลวงที่จะยกลงมาตั้งประชุมทัพที่เมืองเมาะตะมะด้วย ครั้นเมื่อกองทัพหลวงยกลงมาไม่ได้เสบียงอาหารไว้พอการ พระเจ้าปดุงทรงพิโรธให้ประหารชีวิตแมงยี แม่งข่องกยอเสีย แล้วตั้งเกงหวุ่นแมงยีหมาสีหะสุระอัครมหาเสนาบดีเป็นแม่ทัพที่หนึ่งแทน
ทัพที่ ๒ ให้อนอกแผกคิดหวุ่น เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๐,๐๐๐ ลงมาตั้งที่เมืองทวาย ให้เดินเข้ามาด่านบ้องตี้ มาตีหัวเมืองไทยฝ่ายตะวันตก ตั้งแต่เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี ลงไปประจบกองทัพเมืองชุมพร
ทัพที่ ๓ ให้หวุ่นคยีสะโดะสิริมหาอุจจะนา เจ้าเมืองตองอู เป็นแม่ทัพ ถือพล ๓๐,๐๐๐ ยกมาทางเมืองเชียงแสน ให้ลงมาตีเมืองลำปางและหัวเมืองทางริมแม่น้ำแควใหญ่และน้ำยมตั้งแต่เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย ลงมาบรรจบกองทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
ทัพที่ ๔ ให้เมียนหวุ่นแมงยีมหาทิมข่อง เป็นแม่ทัพถือพล ๑๑,๐๐๐ ยกลงมาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ เป็นทัพหน้าที่จะยกเข้ามาตีกรุงเทพฯ ทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๕ ให้เมียนเมหวุ่น เป็นแม่ทัพ ถือพล ๕,๐๐๐ มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ(๓) เป็นทัพหนุนทัพที่ ๔
ทัพที่ ๖ ให้ตะแคงกามะ ราชบุตรที่ ๒ (พม่าเรียกว่าศิริธรรมราชา) เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๒,๐๐๐ มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะเป็นทัพหน้าที่ ๑ ของทัพหลวงที่จะยกเข้ามากรุงเทพฯ ทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๗ ให้ตะแคงจักกุ ราชบุตรที่ ๓ (พม่าเรียกว่าสะโดะมันซอ) เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๑,๐๐๐ มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะเป็นทัพหน้าที่ ๒ ของทัพหลวง
ทัพที่ ๘ เป็นกองทัพหลวง จำนวนพล ๕๐,๐๐๐ พระเจ้าปดุงเป็นจอมพล เสด็จลงมาเมืองเมาะตะมะเมื่อเดือน ๑๒ ปีมะเส็ง
ทัพที่ ๙ ให้จอข่องนรทาเป็นแม่ทัพถือพล ๕,๐๐๐ (เข้าใจว่าตั้งที่เมืองเมาะตะมะเหมือนกัน) ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตาก มาตีหัวเมืองทางริมแม่น้ำพิง ตั้งแต่เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร ลงมาประจบทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
กองทัพ ๙ ทัพที่กล่าวมานี้ กำหนดให้ยกเข้ามาตีเมืองไทยในเดือนอ้าย ปีมะเส็ง พร้อมกันทุกทัพ คือจะตรงมาตีกรุงเทพฯ ๕ ทัพเป็นจำนวนพล ๘๙,๐๐๐ ตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ ๒ ทัพเป็นจำนวนพล ๓๕,๐๐๐ ตีหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก ๒ ทัพจำนวนพล ๒๐,๐๐๐ จำนวนพลของข่าศึกที่ยกมาตีเมืองไทยครั้งนี้ รวมทั้งสิ้นจึงเป็น ๑๔๔,๐๐๐๐ ด้วยกัน
กระบวนทัพที่พระเจ้าปดุงให้ยกมาครั้งนี้ ผิดกับกระบวนทัพที่พม่าเคยยกมาตีเมืองไทยแต่ก่อน กองทัพพม่ายกมาตีเมืองไทยแต่ก่อนแม้เป็นทัพใหญ่ทัพกษัตริย์ เช่นครั้งพระเจ้าหงสาวดีก็ดีและครั้งพระเจ้าอลองพญาก็ดี ก็ยกมาแต่ทางเดียว บางทีก็ยกมาเป็นสองทาง เช่นเมืองคราวให้พระยาพสิมยกมากับพระเจ้าเชียงใหม่ในครั้งสมเด็จพระนเรศวร และครั้งพม่าตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อคราวหลังนั้น
แต่คราวนี้ยกมาถึง ๕ ทาง คือทางใดที่พม่าเคยยกกองทัพเข้ามาเมืองไทยแต่ก่อน ก็ให้กองทัพยกเข้ามาในคราวนี้พร้อมกันหมดทุกทาง ประสงค์จะเอากำลังใหญ่หลวงเข้ามาทุ่มเทตีให้พร้อมกันหมดทุกด้าน มิให้ไทยมีประตูที่จะสู้ได้
แต่ที่แท้พระเจ้าปดุงปรีชาญาณในยุทธวิธีไม่เหมือนพระเจ้าหงสาวดีแต่ปางก่อน กะการประมาณพลาดในข้อสำคัญ ด้วยไพร่พลมากมายย้ายแยกกันเป็นหลายทัพหลายกอง และยกมาหลายทิศหลายทางเช่นนั้น ไม่คิดเห็นว่ายากที่จะเดินทัพเข้ามาถึงที่มุ่งหมายให้พร้อมกันได้ อีกประการหนึ่งซึ่งยิ่งสำคัญกว่านั้นคือ มิได้คิดถึงความยากในเรื่องที่จะหาและลำเลียงเสบียงอาหารให้พอเลี้ยงกองทัพได้หมดทุกทาง ความพลาดพลั้งของพระเจ้าปดุงทั้งสองข้อนี้ ที่ไทยเอาเป็นประโยชน์ในการต่อสู้พม่าครั้งนั้นได้เป็นสำคัญ ดังจะเห็นได้ในรายการที่จะปรากฏต่อไปข้างหน้า
ที่นี้จะกล่าวถึงฝ่ายข้างไทยต่อไป ขณะพม่าลงมือประชุมพลในฤดูฝนปีมะเส็งนั้น พวกกองมอญไปลาดตระเวนสืบทราบความ ว่าพม่าเตรียมทัพที่เมืองเมาะตะมะจะมาตีเมืองไทย เมืองกาญจนบุรีบอกเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ ต่อนั้นมาหัวเมืองเหนือใต้ทั้งปวงก็บอกข่าวศึกพม่าเข้ามาโดยลำดับ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดฯให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ กับทั้งเสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่พร้อมกันหน้าพระที่นั่ง ทรงปรึกษาการที่จะต่อสู้พม่าข้าศึก ข้อปรึกษาและมติที่ตกลงกันในครั้งนั้นจะเป็นอย่างไรยังหาพบจดหมายเหตุไม่ จึงได้แต่พิเคราะห์ดูโดยลักษณาการที่ได้ต่อมา เข้าใจว่าคงเห็นพร้อมกันในที่ประชุมว่า
ศึกพม่าที่พระเจ้าปดุงยกมาครั้งนั้นใหญ่หลวง ผิดกับศึกพม่าที่เคยมีมาแต่ก่อน ด้วยรี้พลมากมายและจะยกมาทุกทิศทุกทาง กำลังข้างฝ่ายไทยมีจำนวนพลสำรวจได้เพียง ๗๐,๐๐๐ เศษ น้อยกว่าข้าศึกมากนัก ถ้าจะแต่งกองทัพไปต่อสู้รักษาเขตแดนทุกทางที่ข้าศึกยกเข้ามา เห็นว่าเสียเปรียบข้าศึก เพราะเหตุที่ต้องแบ่งกำลังแยกย้ายไปหลายแห่ง กำลังกองทัพไทยก็จะอ่อนแอด้วยกันทุกทาง เพราะฉะนั้นควรจะรวบรวมกำลังไปต่อสู้ข้าศึกแต่ในทางที่สำคัญก่อน ทางไหนไม่เห็นสำคัญปล่อยให้ข้าศึกทำตามใจชอบไปพลาง เมื่อเอาชัยชนะข้าศึกเป็นทัพสำคัญได้แล้ว จึงปราบปรามข้าศึกทางอื่นต่อไป
เนื้อความที่ปรึกษาคงจะลงมติเป็นอย่างนี้ ก็เลานั้นสืบได้ความว่ากองทัพใหญ่ของข้าศึกยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ และพระเจ้าปดุงเป็นจอมพลมาเองในทางนั้นด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดฯให้จัดกองทัพสำหรับที่จะต่อสู้เป็น ๔ ทัพ
ทัพที่ ๑ ให้กรมพระราชวังหลัง (เวลานั้นยังดำรงพระยศเป็น เจ้าฟ้า กรมหลวงอนุรักษ์มนตรี) เป็นแม่ทัพถือพล ๑๕,๐๐๐ ไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ คอยป้องกันอย่าให้กองทัพพม่าที่ยกลงมาทางข้างเหนือ ล่วงเลยมาถึงกรุงเทพฯได้ ในเวลากำลังต่อสู้ข้าศึกเมืองกาญจนบุรี
ทัพที่ ๒ เป็นกองทัพใหญ่กว่าทุกทัพ จำนวนพล ๓๐,๐๐๐ ให้กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จเป็นจอมพลไปตั้งที่เมืองกาญจนบุรี(เก่า) คอยต่อสู้กองทัพพระเจ้าปดุง ที่จะยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๓ ให้เจ้าพระยาธรรมา(บุญรอด) กับเจ้าพระยายมราชถือพล ๕,๐๐๐ ไปตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี รักษาทางลำเลียงของกองทัพที่ ๒ และคอยต่อสู้พม่าซึ่งจะยกมาแต่ทางข้างใต้หรือทางเมืองทวาย
ทัพที่ ๔ กองทัพหลวงจัดเตรียมไว้ในกรุงเทพฯ จำนวนพล ๒๐,๐๐๐ เศษ เป็นกองหนุน ถ้ากำลังศึกหนักทางด้านไหนจะได้ยกไปช่วยให้ทันที
ตอนที่ ๑ รบพม่าที่ลาดหญ้า
กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จยกกองทัพออกจากกรุงเทพฯในเดือนอ้าย ปีมะเส็ง ทรงจัดให้พระยากลาโหมราชเสนา พระยาจ่าแสนยากรเป็นกองหน้าเป็นกองหน้า เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาเป็นยกกระบัตรทัพ เจ้าพระยารัตนาพิพิธที่สมุหนายกเป็นเกียกกาย พระยามณเฑียรบาลเป็นกองหลัง ยกไปถึงเมืองกาญจนบุรี(เก่า) ให้ตั้งค่ายมั่นในทุ่งลาดหญ้าที่เชิงเขาบรรทัดเป็นหลายค่าย ชักปีกกาถึงกันสกัดทางที่พม่าจะยกเข้ามา แล้วทรงจัดให้พระยามหาโยธา(เจ่ง) คุมกองมอญจำนวนพล ๓,๐๐๐ ยกออกไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่ด่านกรามช้าง อันเป็นช่องเขาริมแม่น้ำแควใหญ่ในทางที่ข้าศึกจะยกมานั้นอีกแห่งหนึ่ง
ฝ่ายกองทัพพม่าที่ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ทัพเมียวหวุ่นที่ ๔ ยกเข้ามาก่อน เดินผ่านแขวงเมืองไทรโยค ตัดมาลงทางริมแม่น้ำแควใหญ่ที่เมืองท่ากระดาน เดินทางริมน้ำต่อลงมาถึงด่านกรามช้าง พม่ามากกว่าก็ระดมตีกองมอญซึ่งตั้งรักษาด่านกรามช้างแตก แล้วยกทัพเข้ามาถึงชายทุ่งลาดหญ้าที่กองทัพกรมพระราชวังบวรฯตั้งรับอยู่ ทัพพม่าที่ ๔ ก็ตั้งค่ายลงตรงนั้น ครั้นทัพเมหวุ่นที่ ๕ ตามเข้ามาถึงก็ตั้งค่ายเป็นแนวรบต่อกันไป จำนวนพลพม่าทั้ง ๒ ทัพรวม ๑๕,๐๐๐
ในพงศาวดารพม่าว่า กองทัพพม่ายกเข้ามาได้สู้รบกับกองมอญที่รักษาด่านกรามช้าง กองมอญล่าถอย พม่าติดตามมาถึงที่ค่ายไทยที่ลาดหญ้า พม่าก็ตรงเข้าตีค่ายไทย ได้รบกันเป็นสามารถ พม่ารบถลำเข้ามาให้ไทยล้อมจับได้กองหนึ่ง นายทัพพม่าเห็นว่าไทยมีกำลังมากเกรงจะเสียที จึงให้ตั้งค่ายมั่นลงหวังจะรบพุ่งขับเคี่ยวกับทัพไทยต่อไป
กระบวนยุทธวิธีที่ไทยไปตั้งระบพม่าข้าศึกที่ลาดหญ้า คราวนี้ผิดกับวิธีที่ไทยได้เคยต่อสู้พม่ามาแต่ก่อน พิเคราะห์ตามรายการที่ปรากฏมาในหนังสือพระราชพงศาวดาร เมื่อครั้งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ก็ดี ครั้งสมเด็จพระนเรศวรก็ดี ถ้าพม่ายกมาเป็นศึกใหญ่เหลือกำลัง ไทยมักต่อสู้ที่พระนคร ถ้าคราวไหนไทยเห็นว่ากำลังพอจะต่อสู้ข้าศึกที่ยกมา ก็ยกกองทัพมาดักตีข้าศึกให้แตกในกลางทางเมื่อก่อนจะเข้ามาถึงชานพระนคร มักรบกันในแขวงเมืองสุพรรณบุรีโดยมาก ถ้าทางเหนือก็รบกันที่เมืองอ่างทอง
วิธีที่เอากองทัพใหญ่ออกไปตั้งสกัดกองทัพใหญ่ของข้าศึกถึงชายแดน เพิ่งมีขึ้นคราวนี้เป็นครั้งแรก เป็นวิธีที่คิดขึ้นใหม่เมื่อรัชกาลที่ ๑ คงเป็นเพราะพิจารณาเห็นว่า ที่ทุ่งลาดหญ้าอยู่ต่อเชิงเขาบรรทัด ทางที่พม่าต้องเดินทัพเข้ามา ถ้าไทยรักษาทุ่งลาดหญ้าไว้ได้ กองทัพพม่าที่ยกมาต้องตั้งอยู่บนภูเขาอันเป็นที่กันดาร จะหาเสบียงอาหารเลี้ยงกองทัพเข้ามาและจะเดินกระบวนทัพก็ยาก เปรียบเหมือนข้าศึกต้องอยู่ในตรอกไทยสกัดคอยอยู่ปากตรอก(๔) ถึงกำลังน้อยกว่าก็พอจะสู้ได้ด้วยอาศัยชัยภูมิดังกล่าวมา
การก็เป็นจริงเช่นนั้น เมื่อกองทัพหน้าของพม่ายกเข้ามาปะทะกองทัพไทยตั้งสกัดอยู่ที่ทุ่งลาดหญ้า ก็ต้องหยุดอยู่เพียงเชิงภูเขา เมื่อกองหน้าหยุดอยู่บนเขา กองทัพที่ยกตามมาข้างหลังก็ต้องหยุดอยู่บนภูเขาเป็นระยะกันไป ปรากฏว่าทัพตะแคงกามะราชบุตรทัพที่ ๖ ตั้งอยู่ที่สามสบ(๕) ทัพหลวงของพระเจ้าปดุงทัพที่ ๘ ต้องตั้งอยู่ที่ปลายลำน้ำลอนซี พ้นพระเจดีย์สามองค์เข้ามาเพียง ๒ ระยะ กองทัพพม่าตั้งอยู่บนภูเขา จะหาเสบียงอาหารในแดนไทยไม่ได้ ก็ต้องหาบขนเสบียงจากแดนเมืองพม่าเข้ามาส่งกันทุกทัพ พม่าจึงเสียเปรียบไทยตั้งแต่แรกยกข้ามแดนไทยเข้ามาด้วยประการฉะนี้
รายการที่รบกันที่ลาดหญ้า ปรากฏว่าพอกองทัพพม่าตั้งค่ายลงที่เชิงเขาบรรทัด กรมพระราชวังบวรฯก็ให้ตีค่ายพม่า แต่พม่าสู้รบแข็งแรง ไทยตีเอาค่ายพม่ายังไม่ได้ ก็ตั้งรบพุ่งติดพันกัยอยู่ พม่าให้ปลูกหอรบเอาปืนใหญ่ขึ้นยิงค่ายไทย กรมพระราชวังบวรฯจึงให้เอาปืนใหญ่และปืนปากกว้างอย่างยิงด้วยท่อนไม้ใช้เป็นกระสุน ไปตั้งรายยิงหอรบพม่าหักพังลงและถูกผู้คนล้มตายจนพม่าครั่นคร้ามไม่กล้าออกมาตีค่ายไทย
กรมพระราชวังบวรฯจึงทรงตั้งกองโจรให้พระยาสีหราชเดโชชัย พระยาท้ายน้ำ กับพระยาเพชรบุรี คุมไปซุ่มสกัดคอยตีลำเลียงเสบียงอาหารที่ส่งมายังค่ายพม่าข้าศึก พระยาทั้ง ๓ ยกไปแล้วไปเกียจคร้านอ่อนแอ ดำรัสสั่งให้ประหารชีวิตเสียทั้งสามคน แล้วให้พระองค์เจ้าขุนเณร(๖) ถือพล ๑,๘๐๐ ไปเป็นกองโจรซุ่มอยู่ที่พุตะไคร้ทางลำน้ำแควไทรโยค ซึ่งใกล้กับทางที่พม่าจะส่งลำเลียงมานั้น
ในพงศาวดารพม่าว่า กองทัพพม่าที่ยกมาด่านพระเจดีย์สามองค์คราวนั้น ขัดสนเสบียงอาหารมาแต่แรกทุกๆทัพ พระเจ้าปดุงทรงทราบว่า กองทัพหน้ามาตั้งประชิดอยู่กับไทย ให้แบ่งเสบียงในกองทัพหลวงส่งมายังกองทัพหน้า ก็ถูกไทยตีชิงเอาไปเสียเนืองๆ ครั้งหนึ่งให้เอาเสบียงบรรทุกช้าง ๖๐ เชือก มีกองลำเลียงคุมมา ๕๐๐ คน กองโจรของไทยที่ไปซุ่มอยู่ก็ตีเอาไปได้หมด ทีหลังจึงส่งเสบียงกันไม่ได้
ในขณะเมื่อกรมพระราชวังบวรฯ สู้รบกับพม่าติดพันกันอยู่ที่ลาดหญ้านั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระปริวิตกเกรงกำลังจะไม่พอตีทัพพม่าให้แตกพ่าย จึงเสด็จยกกองทัพหลวงหนุนไปจากกรุงเทพฯ เมื่อ ณ วันอาทิตย์ เดือนยี่ ขึ้น ๙ ค่ำ เสด็จไปจนถึงค่ายกรมพระราชวังบวรฯทรงปรึกษาราชการสงคราม
กรมพระราชวังบวรฯกราบทูลว่า พม่าอดอยากมากอยู่แล้ว อย่าให้ทรงพระวิตกถึงทางลาดหญ้าเลย พม่าคงจะแตกไปในไม่ช้า ขอให้เสด็จกลับคืนพระนครเถิด เผื่อข้าศึกจะหนักแน่นมาทางอื่นจะได้อุดหนุนกันทันท่วงที ทรงพระดำริเห็นชอบด้วย ก็เสด็จยกกองทัพกลับคืนมาพระนคร
ต่อมากรมพระรวังบวรฯ ทรงทำกลอุบาย เวลากลางคืนแบ่งกองทัพให้ลอบกลับมาจนพ้นสายตาพม่า ครั้นเวลาเช้าให้กองทัพนั้นถือธงทิวเดินเป็นกระบวนทัพกลับไปเนืองๆ พม่าอยู่บนที่สูงแลเห็นว่ากองทัพไทยได้กำลังเพิ่มเติมไปเสมอ พม่าก็ยิ่งครั่นคร้ามเข้าทุกที
กรมพระราชวังบวรฯทรงสังเกตเห็นว่ากองทัพพม่าอดอยาก(๗)ครั่นคร้ามมากอยู่แล้ว ครั้นถึง ณ วันศุกร์ เดือน ๓ แรม ๔ ค่ำ ปีมะเส็ง ก็ตรัสสั่งให้กองทัพไทยเข้าระดมตีค่ายพม่าพร้อมกันทุกค่ายในเวลาเดียวกัน พม่าก็แตกฉานทั้งกองทัพที่ ๔ และที่ ๕ ไทยได้ค่ายพม่าหมดทุกค่าย ฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลือตายแตกหนีกลับไป กองโจรของพระองค์เจ้าขุนเณรพบเข้าก็ตีซ้ำเติม ฆ่าฟันพม่าและจับส่งมาถวายอีกก็มาก
ในพงศาวดารพม่าว่า เมื่อไทยตีค่ายพม่าได้ครั้งนั้น พม่ากำลังอดอยากอิดโรย ถูกไทยฆ่าตายเสียบ้างจับได้บ้าง เสียทั้งนายไพร่ประมาณ ๒,๐๐๐ คน
ครั้นพระเจ้าปดุงทราบว่ากองทัพหน้าแตกกลับไป ก็เห็นว่าจะทำการต่อไปไม่สำเร็จ ด้วยกองทัพพม่าที่ยกมากับพระเจ้าปดุงทางด่านพระเจดีย์สามองค์ขัดสนเสบียงอาหาร และผู้คนเจ็บไข้ล้มตายลงด้วยกันทุกๆทัพ จึงสั่งให้เลิกทัพกลับไปเมืองเมาะตะมะ
ฝ่ายกองทัพพม่าที่ ๒ ซึ่งอนอกแฝกคิดหวุ่นเป็นแม่ทัพยกมาตั้งที่เมืองทวายนั้น เมื่อรวบรวมรี้พลได้พร้อมแล้ว จึงจัดให้พระยาทวายเป็นกองหน้าถือพล ๓,๐๐๐ ตัวอนอกแฝกคิดหวุ่นเป็นกองหลวงถือพล ๔,๐๐๐ ให้จิกสิบโบ่เป็นกองหลังถือพล ๓,๐๐๐ ยกเข้ามาทางด่านบ้องตี้ แต่ทางที่ข้ามภูเขาเข้ามาเป็นทางกันดารกว่าทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ช้างม้าพาหนะเดินยากต้องรั้งรอกันมาทุกระยะจึงเข้ามาช้า ที่สุดพระยาทวายกองทัพหน้ามาตั้งค่ายที่ (ราวหนองบัว) นอกเขางู อนอกแฝกคิดหวุ่นแทพตั้งที่ท้องที่ชาตรี จิกสิบโบ่ทัพหลังตั้งที่ด่านเจ้าขว้าวริมลำน้ำภาชี ไม่รู้ว่ากองทัพพม่าทางลาดหญ้าแตกไปแล้ว
แต่เจ้าพระยาธรรมาและพระยายมราชซึ่งไปตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรีก็ประมาท ไม่ได้ให้กองตระเวนออกไปสืบ หาทราบว่ามีกองทัพพม่าเข้ามาถึงลำน้ำภาชีและหลังเขางูไม่ จนกรงพระราชวังบวรฯมีชัยชนะที่ลาดหญ้า เสร็จแล้วก็มีรับสั่งให้พระยากลาโหมราชเสนากับพระยาจ่าแสนยากรคุมกองทัพกลับมาทางบก มาทราบว่าพม่ามาตั้งค่ายที่นอกเขางู จึงยกกองทัพเข้าไปตีค่ายพม่า ได้รบพุ่งกันถึงตะลุมบอน พม่าทานกำลังไม่ได้ก็แตกหนีทั้งกองหน้าและกองหลวง ไทยไล่ติดตามฆ่าฟันไปจนปะทะทัพหลวง ทัพหลวงก็พลอยแตกไปด้วย กองทัพไทยจับพม่าและเครื่องศัสตราวุธช้างม้าพาหนะได้เป็นอันมาก ที่เหลือก็พากันหนีกลับไปเมืองทวาย
ตอนที่ ๒ รบพม่าที่ปากพิง
ฝ่ายกองทัพพม่าที่ ๒ ซึ่งเจ้าเมืองตองอูเป็นแม่ทัพนั้น ครั้นมาตั้งประชุมพลที่เมืองเชียงแสนพร้อมแล้ว จึงให้เนมะโยสีหะปติถือพล ๕,๐๐๐ ยกลงมาทางแจ้ห่มกองหนึ่งให้ลงมาตีเมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย และเมืองพิษณุโลก แล้วให้โปมะยุง่วนถือพล ๓,๐๐๐ เป็นกองหน้า ตัวเจ้าเมืองตองอูเป็นกองหลวง ถือพล ๑๕,๐๐๐ ยกลงมาทางเมืองเชียงใหม่อีกทางหนึ่ง เวลานั้นเมืองเชียงใหม่ร้างมาตั้งแต่พม่ายกมาตีในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๓๑๙
พระเจ้าตองอูจึงยกเลยลงมาตีเมืองนครลำปาง พระยากาวิละเจ้าเมืองนครลำปางเป็นคนเข้มแข็งในการสงครามตั้งต่อสู้รักษาเมืองเป็นสามารถ พม่าจะตีหักเอาไม่ได้ เจ้าเมืองตองอูก็ตั้งล้อมเมืองนครลำปางตั้งแต่เดือนอ้าย ปีมะเส็ง แต่ทางเมืองสวรรคโลกและหัวเมืองฝ่ายเหนือไพร่บ้านพลเมืองยับเยินเสียเมื่อครั้งศึกอะแซหวุ่นกี้ ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้พม่าได้ ผู้รักษาเมืองก็อพยพผู้คนหนีเข้าป่า กองทัพเนมะโยสีหะปติที่แยกมาทางแจ้ห่มจึงได้หัวเมืองเหนือทั้งปวง ตลอดลงมาจนเมืองพิษณุโลก
ฝ่ายกองทัพพม่าที่ ๘ ซึ่งจอข่องนรทาถือพล ๕,๐๐๐ ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมานั้น ก็เดินเข้ามาโดยสะดวก ด้วยไม่มีผู้ใดต่อสู้ ในพงศาวดารพม่าว่า เมืองตากยอมอ่อนน้อมต่อพม่าโดยดี พม่าส่งตัวเจ้าเมืองตากกับครอบครัวพลเมือง ๕๐๐ ไปยังเมืองพม่า จอข่องนรทาจึงเข้ามาตั้งอยู่ที่บ้านระแหง แขวงเมืองตาก
ขณะเมื่อกรมพระราชวังหลังยกกองทัพขึ้นไป กองทัพพม่ายกล่วงแดนไทยเข้ามาแล้วทั้งสองทาง จึงทรงจัดกองทัพเป็นสามกอง ให้เจ้าพระยามหาเสนาเป็นกองหน้า ยกขึ้นไปตั้งรักษาเมืองพิจิตรแห่งหนึ่ง กองหลวงกรมพระราชวังหลังตั้งรักษาเมืองนครสวรรค์แห่งหนึ่ง และให้พระยาพระคลังกับพระยาอุทัยธรรมคุมกองหลังตั้งรักษาเมืองชัยนาท คอยป้องกันพม่าที่จะมาทางเมืองอุทัยธานีแห่งหนึ่ง
ฝ่ายกองทัพพม่าที่ยกลงมาทางข้างเหนือครั้นพบกองทัพไทยตั้งสกัดอยู่ เนมะโยสีหะปติที่ยกมาทางเมืองสวรรคโลกจึงตั้งค่ายอยู่ที่ปากพิงใต้เมืองพิษณุโลก ด้วยเป็นที่สำคัญ ทางน้ำร่วมไปมาถึงกันในระหว่างลำน้ำยมกับแม่น้ำแควใหญ่ ส่วนกองทัพจอข่องนรทาที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาก็ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านระแหง ทำนองจะคอยให้เจ้าเมืองตองอูยกหนุนมาก่อน จึงจะยกมาตีกองทัพไทยที่เมืองพิจิตร และที่เมืองนครสวรรค์พร้อมกันทั้ง ๒ ทาง
ฝ่ายข้างกองกรมพระราชวังหลังยกขึ้นไปคราวนั้น ความมุ่งหมายอันเป็นข้อสำคัญในเบื้องต้นอยู่ที่จะป้องกันมิให้กองทัพพม่าล่วงเลยมาถึงกรุงเทพฯได้ ในเวลาที่ไทยกำลังรบกับพม่าอยู่ทางเมืองกาญจนบุรี กรมพระราชวังหลังไม่ทรงทราบว่า ข้าศึกจะมีกำลังหนุนกันมาอีกสักเท่าใด จึงตั้งมั่นอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ ไม่ยกไปรบพุ่งข้าศึกซึ่งมาตั้งอยู่ที่ปากพิงและบ้านระแหง กองทัพทั้งสองฝ่ายจึงตั้งรอกันอยู่
ก็การที่จะปราบปรามพม่าซึ่งยกมาทางหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงปรึกษากับสมเด็จพระอนุชาธิราชเวลาเมื่อเสด็จออกไปที่ลาดหญ้า กระแสพระราชดำริตกลงกันว่า ถ้าตีทัพพม่าทางด่านพระเจดีย์สามองค์ถอยไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจะเสด็จยกกองทัพหลวงขึ้นไปปราบปรามพม่าข้าศึกทางหัวเมืองเหนือ ส่วนกรมพระราชวังบวรฯจะเสด็งลงไปปราบปรามพม่าข้าศึกทางหัวเมืองปักษ์ใต้
ครั้นกองทัพพม่าที่ลาดหญ้าแตกไปได้สัก ๗ วัน พอกรมพระราชวังบวรฯทรงทราบว่า กองทัพใหญ่ของพม่าถอยกลับไปทุกทัพแล้ว ก็ดำรัสสั่งให้พระยากลาโหมราชเสนา พระยาจ่าแสนยากร(๘) คุมกองทัพหน้าออกจากลาดหญ้า เดินบกตรงลงไปเมืองชุมพร พระยาทั้งสองยกลงมาทางเมืองราชบุรี จึงมาพบกองทัพพม่าที่ยกเข้ามาจากเมืองทวายดังกล่าวมาแล้ว ส่วนกรมพระราชวังบวรฯเสด็จกลับเข้ามากรุงเทพฯ ประทับอยู่ในกรุงไม่ถึง ๗ วัน พอจัดกองทัพหลวงพร้อมแล้วก็เสด็จโดยกระบวนเรือตามลงไปยังเมืองชุมพร เมื่อ ณ วันเสาร์ เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ
พอกรมพระราชวังบวรฯเสด็จยกกองทัพเรือไปได้ ๖ วัน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็เสด็จยกกองทัพหลวง มีจำนวนพล ๓๐,๐๐๐ ออกจากรุงเทพฯเมื่อ ณ วันศุกร์ เดือน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เสด็จโดยชลมารคไปประทับที่เมืองอินทบุรี มีรับสั่งขึ้นไปยังกรมพระราชวังหลัง ให้รีบยกกองทัพขึ้นไปสมทบกับเจ้าพระยามหาเสนาตีทัพพม่าที่ปากพิง และให้กองทัพเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ กับพระยาพระคลัง พระยาอุทัยธรรม ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองชัยนาท ยกขึ้นไปตีทัพพม่าที่ตั้งอยู่บ้านระแหง ส่วนกองทัพหลวงตามขึ้นไปตั้งอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ก่อน แล้วยกหนุนกรมพระราชวังหลังขึ้นไปประทับที่บางข้าวตอก แขวงเมืองพิจิตร
กรมพระราชวังหลังกับเจ้าพระยามหาเสนา ยกเข้าตีค่ายพม่าที่ปากพิง เมื่อ ณ วันเสาร์ เดือน ๔ แรม ๔ ค่ำ ได้สู้รบกันเป็นสามารถ รบกันตั้งแต่เช้าจนเวลาค่ำ กองทัพพม่าก็แตกพ่าย ไทยตีได้ค่ายพม่าหมดทุกค่าย แล้วไล่ติดตามต่อไป พม่ามาตั้งค่ายที่ปากพิงคราวนั้นมีความประมาท ตั้งล้ำเลยมาจากที่ชัยภูมิ ครั้นแตกหนีแตกหนีต้องข้ามน้ำ ไทยไล่ติดตามฆ่าฟันพม่าจนน้ำตายเสียสัก ๘๐๐ เวลาศพลอยเต็มแม่น้ำจนน้ำกินไม่ได้
ครั้นได้ค่ายพม่าที่ปากพิงแล้ว จึงโปรดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาคุมกำลังแยกจากกองทัพหลวง เพิ่มเติมไปสมทบกับกองทัพเจ้าพระยามหาเสนา ให้รีบยกติดตามพม่าที่แตกหนี เลยขึ้นไปตีกองทัพพม่าที่ตั้งล้อมนครลำปางทีเดียว ครั้นกองทัพยกไปแล้ว จึงเสด็จถอยทัพหลวงกลับลงมาตั้งที่เมืองนครสวรรค์ โปรดให้กรมพระราชวังหลังและเจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทรนเรศตามเสด็จกลับมาด้วย
ฝ่ายจอข่องนรทานายทัพพม่าที่ ๘ ที่ตั้งอยู่บ้านระแหง ได้ยินข่าวว่ากองทัพพม่าที่ปากพิงแตกหนีไทยไปแล้ว และทำนองจะได้ข่าวเข้ามาว่าพระเจ้าปดุงถอยทัพแล้วด้วย ครั้นทราบว่ากองทัพไทยยกขึ้นไปถึงเมืองกำแพงเพชรก็ไม่รออยู่ต่อสู้ รีบถอยทัพกลับไปทางด่านแม่ละเมา กองทัพที่เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยาพระคลัง พระยาอุทัยธรรมยกขึ้นไป จึงหาได้รบกับพม่าไม่
แต่กองทัพเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎายกขึ้นไปเมืองนครลำปาง ทันทัพพม่ากำลังล้อมเมืองนครลำปางอยู่ กองทัพไทยเข้าระดมตีค่ายพม่า กองทัพพระยากาวิละซึ่งรักษาเมืองนครลำปางก็ตีกระหนาบออกมา รบกันแต่เช้าจนเที่ยง กองทัพเจ้าเมืองตองอูก็แตกพ่ายหนีกลับไปเมืองเชียงแสน ในเดือน ๕ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๒๙
ตอนที่ ๓ รบพม่าทางแหลมมลายู
ฝ่างเกงหวุ่นแมงยีอัครมหาเสนาบดี ซึ่งคุมกองทัพพม่าที่ ๑ มาตีหัวเมืองชายทะเลปักษ์ใต้ตะวันตกนั้น ลงมาตั้งประชุมทัพที่เมืองมะริดพร้อมแล้ว ครั้นถึงเดือนอ้าย จึงให้ยี่หวุ่นคุมกองทัพเรือจำนวนพล ๓,๐๐๐ ยกลงมาตีเมืองถลาง (คือเกาะเมืองภูเก็ตทุกวันนี้) ให้เนมโยคงนะรัดถือพล ๒,๕๐๐ เป็นกองหน้า ตัวเกงหวุ่นแมยีแม่ทัพถือพล ๔,๕๐๐ เป็นกองทัพบก จำนวนพลรวม ๗,๐๐๐ ยกลงมาทางบกจากเมืองมะริด ตีเมืองกระบุรี เมืองระนอง (ในสมัยนั้นเป็นเมืองขึ้นเมืองชุมพรทั้ง ๒ เมือง)
ครั้นได้แล้วก็ยกข้ามแหลมมลายูทางปากจั่นเข้ามาตีเมืองชุมพร ผู้รั้งราชการไม่มีกำลังพอจะต่อสู้ ก็อพยพผู้คนหนีเข้าป่า พม่าเก็บริบทรัพย์สมบัติแล้วเผาเมืองชุมพรเสีย แล้วยกลงไปตีเมืองไชยาก็ได้โดยอาการอย่างเดียวกัน
ฝ่ายเจ้าพระยานคร(พัฒน์)ทราบว่า กองทัพพม่ามาตีได้เมืองชุมพร เมืองไชยา ก็ตระเตรียมต่อสู้รักษาเมืองนครศรีธรรมราช จัดกองทัพกองหนึ่งจำนวนพล ๑,๐๐๐ ให้มาตั้งขัดตาทัพที่ท่าข้าม(๙) กองทัพพม่ายกไปถึง เห็นกองทัพไทยตั้งอยู่ นายทัพพม่าจึงอุบายเอาไทยที่จับได้ที่เมืองไชยา คุมไปให้ร้องบอกพวกชาวนครศรีธรรมราชว่าบางกอกก็เสียแล้ว จะมาตั้งอยู่เช่นนั้นจะสู้ได้แล้วหรือ ให้ไปบอกนายให้อ่อนน้อมเสียโดยดี ถ้าขืนต่อสู้จะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งเมือง ถึงทารกก็จะไม่เหลือไว้
พวกกองทัพเมืองนครฯเอาเนื้อความที่พม่าว่าไปแจ้งแก่เจ้าพระยานครพัฒน์ เจ้าพระยานครพัฒน์พิเคราะห์ดูเห็นสมคำพม่า ด้วยได้บอกเข้ามายังกรุงเทพฯตั้งแต่แรกได้ข่าวว่าพม่าจะยกมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ รอมาก็ไม่มีกองทัพกรุงฯยกออกไปช่วย และไม่ได้ข่าวทางในกรุงฯว่าจะร้ายดีอย่างไรหลายเดือน จึงสำคัญว่าเห็นจะเสียกรุงเทพฯแก่พม่าข้าศึกเสียแล้ว เจ้าพระยานครฯเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ ก็อพยพหลบหนีข้ามเขาบรรทัดไปซุ่มซ่อนอยู่นอกเขาที่เขตอำเภอฉวาง
พม่าก็ได้เมืองนครศรีธรรมราชโดยง่าย พม่าพากันเก็บริบทรัพย์สมบัติและจับผู้คนที่หลบหนีไม่ทัน ผู้ชายมักพาลหาเรื่องหาเหตุฆ่าเสีย เอาแต่เด็กกับผู้หญิงไปเป็นเชลยเป็นอันมาก แต่ทรัพย์สมบัติที่พม่าได้ไปจากเมืองนครศรีธรรมราชคราวนั้น ปรากฏในพงศาวดารพม่าว่าเรืองที่บรรทุกไปแตกล่มในทะเลจมน้ำหมด หาได้ไปถึงเมืองพม่าไม่(๑๐)
ฝ่ายกองทัพเรือของพม่าที่ยี่หวุ่นยกไปตีเมืองถลาง เมื่อตีเมืองตะกั่วทุ่งที่อยู่ในระยะทางได้แล้ว จึงข้ามไปตีเมืองถลาง ในสมัยนั้นเมืองถลางตั้งอยู่ฟากเกาะข้างหน้านอก (เดี๋ยวนี้เรียกว่าเมืองถลางเก่า) พม่ายกรี้พลขึ้นค่ายล้อมเมืองถลางไว้ เวลานั้นประจวบกับพระยาถลางถึงอนิจกรรมเมื่อก่อนทัพพม่ามาถึง ยังไม่ได้ทรงตั้งพระยาถลางใหม่ คุณหญิงจันทร์ ภรรยาพระยาถลางคนที่ถึงอนิจกรรม เป็นเชื้อแถวเจ้าเมืองถลางมาแต่ก่อน กับนางมุกน้องสาว จึงคิออ่านกับกรมการทั้งปวงเกณฑ์ไพร่พลตั้งค่ายใหญ่ ๒ ค่าย ป้องกันรักษาเมืองเป็นสามารถ และคุณหญิงจันทร์กับนางมุกนั้นองอาจกล้าหาญมิได้ย่อท้อต่อข้าศึก กรมการและชาวเมืองก็มีใจช่วยกันรบพุ่งต่อสู้ข้าศึกทั้งผู้ชายผู้หญิง พม่าล้อมเมืองอยู่เดือนเศษจะตีเอาเมืองถลางไม่ได้ หมดเสบียงก็ต้องเลิกทัพกลับไป
ฝ่ายกองทัพกรมพระราชวังบวรฯที่ยกไปจากข้างเหนือทั้งทัพบกทัพเรือ ล้วนแต่คนสังกัดพระราชวังบวรฯ รวมจำนวน ๒๐,๐๐๐ ไปถึงเมืองชุมพรพร้อมกันในปลายเดือน ๔ ปีมะเส็ง จึงดำรัสสั่งให้พระยากลาโหมราชเสนา พระยาจ่าแสนยากร ยกกองทัพบกลงไปตั้งที่เมืองไชยา เพราะในเวลานั้นกองทัพพม่าลงไปรวมกันอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ด้วยเกงหวุ่นแมงยีประสงค์จะไปตีเมืองพัทลุงและเมืองสงขลาต่อลงไป
ที่เมืองพัทลุง พระยาแก้วโกรพผู้ว่าราชการเมือง และกรมการ รู้ว่าเมืองนครศรีธรรมราชเสียแก่ข้าศึกก็หลบหนีเอาตัวรอด ครั้งนั้นมีพระภิกษุองค์หนึ่งเป็นอธิการอยู่ในวัดเมืองพัทลุง ชื่อพระมหาช่วย พวกชาวเมืองนับถือว่าเป็นผู้มีวิชาอาคม พระมหาช่วยชักชวนชาวเมืองพัทลุงให้ต่อสู้ข้าศึกรักษาหัวเมือง ทำตะกรุดและผ้าประเจียดมงคลแจกจ่ายเป็นอันมาก กรมการและพวกนายบ้านจึงพาราษฎรมาสมัครเป็นศิษย์หาพระมหาช่วยมากขึ้นทุกที จนรวบรวมกันได้สัก ๑,๐๐๐ เศษ หาเครื่องศัสตราวุธได้ครบมือกันแล้ว ก็เชิญพระมหาช่วยผู้อาจารย์ขึ้นคานหามยกเป็นกระบวนทัพมาจากเมืองพัทลุง แล้วเลือกหาที่ชัยภูมิตั้งค่ายสกัดอยู่ในทางที่พม่าจะยกลงไปจากเมืองนครศรีธรรมราช
ฝ่ายพม่ายังไม่ทันจะยกไปเมืองพัทลุง ได้ข่าวว่ากองทัพกรุงเทพฯยกลงไปจากทางข้างเหนือ เกงหวุ่นแมงยีแม่ทัพพม่าจึงให้เนมโยคงนะรัดนายทัพหน้า คุมพลยกกลับขึ้นมาตีกองทัพกรุงฯ เกงหวุ่นแมงยียกตามมาข้างหลัง กองทัพพม่ามาปะทะทัพไทยที่ตั้งอยู่ ณ เมืองไชยา พม่ายังไม่ทันตั้งค่าย ไทยก็ยกเข้าล้อมพม่าไว้ พม่าขุดสนามเพลาะบังตัวต่อสู้รบกันอยู่จนเวลาค่ำ
เผอิญค่ำวันนั้นฝนตกห่าใหญ่ ยิงปืนด้วยกันไม่ได้ทั้งสองข้าง พม่าจึงหักออกที่ล้อมได้แล้วพากันหนีไป กองทัพไทยก็ไล่ติดตามไปในเวลากลางคืน ฆ่าตองพยุงโบนายทัพพม่าคนหนึ่ง และฆ่าฟันพวกพม่ารี้พลล้มตายอีกเป็นอันมาก พม่าแตกหนีกระจัดพลัดพรายคุมกันไม่ติด ไทยจับเป็นได้ก็มาก
ส่วนกองทัพเกงหวุ่นแมงยียกหนุนมาจากเมืองนครศรีธรรมราช รู้ว่ากองหน้าแตกยับเยินแล้ว ก็มิได้คิดจะต่อสู้ รีบยกหนีข้ามแหลมมลายูไปทางเมืองกระบี่ แล้วกลับไปยังเมืองพม่า เป็นเสร็จการรบพม่าคราวทัพใหญ่ ๕ ทางเพียงเท่านี้
เมื่อเสร็จการปราบปรามพม่าทางหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกแล้ว กรมพระราชวังบวรฯเสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ทรงพระราชดำริว่ากองทัพก็มีพร้อมอยู่ที่นั่นแล้ว เป็นโอกาสที่จะปราบปรามหัวเมืองมลายูประเทศราช ที่ตั้งแข็งเมืองมาแต่เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา ให้กลับมาเป็นข้าขอบขัณฑสีมาอย่างเดิมได้
จึงมีรับสั่งให้ข้าหลวงถือหนังสือไปถึงพระยาปัตตานี และพระยาไทรบุรี ให้แต่งทูตนำต้นไม้ทองเงินเข้ามาถวายเหมือนแต่ก่อน พระยาปัตตานีขัดแข็งเสียหามาอ่อนน้อมไม่
กรมพระราชวังบวรฯจึงดำรัสสั่งให้พระยากลาโหม กับพระยาจ่าแสนยากร ยกทัพหน้าลงไปตีเมืองปัตตานี แล้วเสด็จยกทัพหลวงตามลงไปยังเมืองสงขลา กองทัพไทยยกลงไปตีเมืองปัตตานี ได้ปืนใหญ่อันเป็นศรีเมืองซึ่งเรียกว่า พระยาตานี กับครอบครัวและทรัพย์สมบัติมาในครั้งนั้นเป็นอันมาก
พระยาไทรได้ทราบว่าไทยตีได้เมืองปัตตานีก็มีความเกรงกลัวรีบแต่งทูตให้คุมต้นไม่ทองเงินเข้ามาถวาย ยอมเป็นข้าขอบขัณฑสีมาเหมือนแต่ก่อน ฝ่ายพระยาตรังกานู และพระยากลันตันซึ่งขึ้นอยู่แก่เมืองตรังกานู เขตแดนอยู่ต่อเมืองปัตตานีลงไปข้างใต้ ทั้งสองเมืองนี้แต่ก่อนหาเคยได้ขึ้นแก่ไทยไม่ ครั้นทราบว่าไทยตีได้เมืองปัตตานี เกรงจะเลยลงไปตีเมืองกลันตันตรังกานูด้วย ก็แต่งทูตให้คุมต้นไม้ทองเงินขึ้นมาถวายกรมพระราชวังบวรฯ ขอสามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑสีมากรุงเทพฯด้วยทั้งสองเมือง
เมื่อเสร็จราชการเมืองมลายูแล้ว กรมพระราชวังบวรฯจึงโปรดให้เจ้าพระยานครพัฒน์ และพระยาพัทลุง กรมการคงตำแหน่งอยู่ตามเดิม ด้วยทรงพระราชดำริว่าข้าศึกเหลือกำลัง และไม่ได้ข่าวคราวจากกรุงเทพฯ ที่ทิ้งเมืองจะเอาความผิดหาควรไม่(๑๑) ส่วนผู้มีความชอบในการสงครามครั้งนั้นก็ทูลเสนอความชอบ คือคุณหญิงจันทร์ ภรรยาพระยาถลาง นางมุกน้องสาว ซึ่งเป็นหัวหน้ารักษาเมืองถลางไว้ได้นั้น ทรงตั้งคุณหญิงจันทร์เป็นท้าวเทพสตรี ตั้งนางมุกเป็นท้าวศรีสุนทร ส่วนพระมหาช่วยที่เมืองพัทลุงนั้นสมัครลาสิกขาบทออกรับราชการ ก็ทรงตั้งเป็นพระยทุกขราษฎร์ ตำแหน่งในกรมการเมืองพัทลุง
แล้วกรมพระราชวังบวรฯก็เสด็จกลับคืนพระนคร เป็นสิ้นเรื่องสงครามครั้งที่หนึ่งที่รบพม่าในครั้งกรุงเทพฯ เพียงเท่านี้
....................................................................................................................................................
(๑) อยู่ที่ปากคลองบางกอกใหญ่ ใช้เป็นโรงเรียนนายเรืออยู่บัดนี้
(๒) เรื่องอะแซหวุ่นกี้ตรงนี้ หนังสือบางฉบับว่าเป็นพ่อของนางสนมที่ถูกถ่วงน้ำ ข้าพเจ้ากล่าวตามจกหมายเหตุของนายพันตรีไมแคล ไชม์ ทูตอังกฤษที่ได้ไปเมืองพม่าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๙ เพราะเห็นว่าแต่งใกล้กับเวลาที่เกิดเหตุ
(๓) รายการเรื่องสงครามคราวนี้ พงศาวดารพม่ายุติต้องกันกับหนังสือพระราชพงศาวดารแทบทุกข้อ แต่ทัพที่ ๕ นี้ไม่มีในพงศาวดารพม่า จะเป็นเพราะเขียนฉบับเดิมก็เป็นได้
(๔) หมายถึงจะยกมามากเท่าไรก็ตาม เวลาออกจากช่องเขาก็ต้องออกมาทีละน้อยคนอยู่ดี - กัมม์
(๕) คือที่ตรงลำน้ำบีคี ลำน้ำลอนซี ร่วมกับลำน้ำไทรโยค
(๖) พระองค์เจ้าขุนเณรองค์นี้ว่าเป็นน้องกรมพระราชวังหลัง ร่วมแต่บิดา
(๗) ในพงศาวดารพม่าว่า กองทัพที่มาตั้งสู้รบอยู่กับไทยขัดสนเสบียงอาหารยิ่งนัก ต้องเที่ยวขุดหาเผือกมันและรากไม้กินก็ไม่ได้พอ ต้องฆ่าสัตว์พาหนะในกองทัพกินเสียมาก จนผู้คนเจ็บป่วยล้มตายลงเพราะความอดอยากก็มี ข้าพเจ้าเห็นว่ากล่าวเกินไป ความจริงจะเพียงขัดสนเสบียงอาหารพอรวนเรเท่านั้น ถ้าถึงอดอยากสาหัสดังว่า พม่าก็คงถอยไปเพราะมิได้ถูกไทยล้อมไว้
(๘) ทั้งสองท่านนี้เป็นตำแหน่งข้าราชการวังหน้า ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ กล่าวว่า ....ตรัสเอาพระไชยบูรณ์ปลัดเมืองพระพิษุณโลกเป็นพระยากลาโหมราชเสนา ตรัสเอาพระพลเมืองพระพิษณุโลกเป็นพระยาจ่าแสนยากร...
ส่วนข้าราชการที่ต้องพระราชอาชญาในคราวศึกลาดหญ้า ล้วนเป็นตำแหน่งข้าราชการวังหลวง - พระยาสีหราชเดโชชัย คือ หลวงสุระ ซึ่งเป็นต้นคิดร่วมกับนายบุนนาค บ้านแม่ลา หลวงชนะ ปราบจลาจลกรุงธนบุรี - พระยาท้ายน้ำ คือ หลวงพิเรนทร์ ข้าหลวงเดิม ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินงานพระราชสงครามหลายครั้ง - เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ คือนายบุญรอด บุตรพระยามณเฑียรบาลกรุงเก่า ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินงานพระราชสงครามหลายครั้ง - พระยายมราช คือ หลวงอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง ได้ทำราชการสงครามหลายครั้ง
ดูเหมือน "วังหลวง" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นจอมทัพเอง ข้าราชการวังหลวงก็ไม่ค่อยจะเอาใจลงในการพระราชสงครามสักเท่าใดนักนะครับ - กัมม์
(๙) ตรงที่สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำตาปีทุกวันนี้
(๑๐) เห็นจะบรรทุกเรือทางทะเลอ่าวไทย เวลานั้นกำลังเป็นฤดูมรสุม เรือจึงล่มหมด
(๑๑) ทรงมีสมญาตามที่พม่าข้าศึกถวายให้ว่า "พระยาเสือ" เนื่องจากทรงห้าวหาญ องอาจ และดุร้าย จากความตรงนี้จะเห็นได้ว่าน้ำพระทัยของพระองค์มิใช่แต่ดุร้ายโดยปราศจากเหตุผล และมีความเด็ดเดียว เด็ดขาดในราชการ หากมีความชอบในแผ่นดินถึงเป็นหญิง(ในสมัยนั้น)ก็ทรงยกย่องน้ำใจนักสู้ และหากได้อ่านพระประวัติจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงมีความมุ่งมั่นต่อราชการสงครามเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ - กัมม์
Create Date : 16 มีนาคม 2550 |
| |
|
Last Update : 16 มีนาคม 2550 14:14:16 น. |
| |
Counter : 2318 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเมื่อ วันเสาร์เดือนห้าแรมสิบค่ำปีขาลสัมฤทธิศก จ.ศ. ๑๒๔๐ เป็นปีที่ ๑๑ ในรัชกาลที่ ๕
จะว่าด้วยธรรมเนียมในราชตระกูลกรุงสยามนี้แปลกกว่าประเทศทั้งปวงหลายอย่าง ด้วยราชตระกูลนั้นมีมาก หลายกิ่งหลายสายนัก แต่มีเวลาที่เปลี่ยนลงเป็นขุนนางได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ เจ้านายจึงไม่สู้มากเหลือเกินเหมือนเมืองลาว ซึ่งแลเห็นอยู่ทุกวันนี้ เมืองเชียงใหม่ก็ดี เมืองหลวงพระบางก็ดี ไม่ได้นับชั้นว่าเป็นเจ้าอย่างไรชั้นใด สุดแต่เป็นเชื้อสายในราชตระกูลก็เรียกว่าเจ้าทั้งสิ้น จนเจ้าอย่างนี้ได้มาเป็นนายหมวดคุมคน ๙ คน ๑๐ คน อยู่ในเมืองเราก็มี
ธรรมเนียมเจ้าเมืองเรานี้ผิดกันกับลาว แต่ถ้าจะคิดดู ธรรมเนียมราชตระกูล ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ตั้งแต่จุลศักราช ๗๑๒ ปี มาจนบัดนี้ ธรรมเนียมที่เรียกชื่อเสียง แลยศศักดิ์นั้น ก็เปลี่ยนแปลงกันไปเป็นหลายครั้งหลายครา แต่ไม่ได้เปลี่ยนต้นเปลี่ยนรากที่เดียว เป็นแต่เปลี่ยนเล็กน้อย ตามปัญญาของผู้ครองแผ่นดินที่จะรักษาราชตระกูลให้เรียบร้อย ในเวลาบ้านเมืองกำลังเป็นป่าอยู่มาก ในตอนตั้งแต่กรุงเก่าลงมา จนถึงศักราช ๙๐๐ เศษ อยู่ในระหว่างสองร้อยปีนั้น ธรรมเนียมราชตระกูลคล้ายคลึงกันตลอดมา ตั้งแต่นั้นต่อมาภายหลัง ก็เปลี่ยนแปลงมา เกือบจะเหมือนกับในปัจจุบันนี้ ไม่ใคร่จะมียักย้ายไปอย่างอื่น
ในตำแหน่งยศเจ้านาย ที่จะให้ได้พยานว่าเป็นแบบโบราณนั้น เห็นมีอยู่ในพระราชกำหนดกฎมณเฑียรบาล ซึ่งได้ตั้งขึ้นแต่ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ผู้สร้างกรุง ในจุลศักราช ๗๒๐ ทีหลังสร้างกรุงแล้ว ๘ ปี ชื่อกฎมณเฑียรบาลนี้แปลว่าสำหรับรักษาเรือนเจ้าแผ่นดิน ในกฎหมายนั้นได้พรรณนากำหนดพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน แลพระบรมวงศานุวงศ์ แลข้อบังคับ สำหรับข้าราชการที่จะประพฤติให้ถูกต้อง ไม่มีความผิดในพระเจ้าแผ่นดิน แต่กฎหมายนั้นถ้อยคำเป็นคำโบราณ คนไทยเองถ้าไม่ได้เป็นคนเรียน แลเป็นคยคิดอยู่บ้าง จะอ่านไม่ใคร่จะเข้าใจเลย เพราะอย่างนั้นคนไทยทุกคนรู้จักกฎหมายนี้ แต่ไม่ใคร่จะทราบว่าเนื้อความในกฎหมายนั้นเป็นอย่างไร เพราะขี้เกียจอ่านขี้เกียจคิด ในกฎหมายนั้นได้แบ่งเจ้าออกเป็น ๔ ชั้น
๑. ชั้นที่ ๑ พระเจ้าลูกเธอเกิดด้วยพระอัครมเหสี เรียกว่าสมเด็จหน่อพุทธเจ้า มียศใหญ่กว่าเจ้านายทั้งปวง ต้องอยู่ในเมืองหลวง ๒. อีกชั้น ๑ เรียกว่าลูกหลวงเอก เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน แต่มารดานั้นต้องเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกัน จึงเรียกว่าเป็นลูกหลวงเอก พระเจ้าลูกเธอชั้นนี้ มียศได้กินเมืองเอก คือ เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองนครราชสีมา เป็นต้น เรียกว่าลูกเธอกินเมืองเอกก็เรียก ๓. รองลงมาอีกชั้น ๑ พระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน แต่พระมารดาเป็นหลานหลวง คือ หลานของพระเจ้าแผ่นดินตรงๆ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า แครนด์ดอเตอ เจ้าที่เกิดด้วยหลานหลวงดังนี้ ก็นับว่าเป็นลูกหลวงเหมือนกัน แต่มียศกินเมืองโท เหมือนเมืองสวรรคโลก เมืองสุพรรณ เป็นต้น (เพราะหลานหลวงที่เป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ก็มีตำแหน่งกินเมืองเหมือนกัน คือ เมืองอินทร เมืองพรหม) ๔. ยังอีกชั้น ๑ ที่เกิดด้วยพระสนม เรียกว่า พระเยาวราช คือเจ้าผู้น้อย ไม่ได้กินเมือง
เจ้าทั้ง ๔ ชั้นนี้ ว่าแต่ด้วยลูกหลวงพระเยาวราชต้องถวายบังคมพระเจ้าลูกเธอทั้งสามชั้นซึ่งว่ามาก่อน พระเจ้าลูกเธอทั้งสามชั้นนั้น ก็ถวายบังคมกันเป็นลำดับไปตามยศ ถึงจะแก่อ่อนกว่ากันอย่างไร ไม่ได้กำหนดด้วยอายุ กำหนดเอายศเป็นประมาณ ถ้าลูกเธอมียศมาก จะเป็นผู้น้อยเด็กทีเดียว ที่มียศน้อยจะเป็นผู้ใหญ่แก่กว่ากันมาก ถึงจะเป็น พี่ ป้า น้า อา ประการใดก็ต้องไหว้ ต้องเดินตามหลังผู้มียศมาก
แต่ยศเจ้าลูกเธอ กินเมืองเอกเมืองโท ๒ ชั้นนี้ เจ้านั้นไปกินเมืองจริง เหมือนหนึ่งเป็นเจ้าประเทศราช อยู่ในบังคับเจ้าแผ่นดินใหญ่ เพราะเป็นผู้ไปครองเมืองอย่างนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกเจ้าฟ้า เจ้าฟ้านั้นคือเจ้าแผ่นดิน ฤาเจ้าเมือง ตามคำกล่าวถึงเดี๋ยวนี้ เจ้าฟ้าข้างเมืองลาวยังมีมากนัก คือเจ้าฟ้าแสนหวี เจ้าฟ้าเมืองหลึก เจ้าฟ้าเมืองมืด เป็นต้น จนครั้งนี้เมื่อรบกับฮ่อ ในหนังสือที่มีไปมา แลคำให้การยังเรียกว่าเจ้าฟ้าเมืองไทย เจ้าฟ้าเมืองญวน เจ้าฟ้านั้นแปลว่า เจ้าเมืองตรงที่เดียว แต่เป็นวิสัยอยากจะพูดให้สูง จึงเรียกว่าเจ้าฟ้าเมืองหนึ่งเป็นเจ้าลงมาจากฟ้า คือว่าเป็นเชื้อวงศ์ของเทวดา เพราะธรรมเนียมข้างอินเดียนี้ถือกันว่าเจ้าแผ่นดินเป็นสมมุติเทวดา
แต่เจ้าฟ้ามีอยู่ ๓ ชั้นเท่านั้น ลูกพระอัครมเหสีไม่เป็นเจ้าฟ้า ลูกพระสนมไม่เป็นเจ้าฟ้า เป็นแต่ลูกเธอที่เกิดด้วยลูกหลวงหลานหลวงจึงเป็นเจ้าฟ้า ธรรมเนียมแต่ตั้งกรุงแล้ว จนถึง ๒๐๐ ปีนั้น เป็นแบบอยู่ดังนี้
ภายหลังมา พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่าใน ๒๐๐ ปีก่อน ที่ให้เจ้านายไปครองเมือง มีเหตุแย่งชิงราชสมบัติกันหลายครั้งหลายคราว บางทีก็ไปเข้าด้วยพวกข้าศึก กลับมาทำร้ายกรุงซึ่งเป็นพี่น้องไม่สู้สนิทกัน จึงได้เลิกธรรมเนียมนี้เสียโดยเงียบๆ ไม่ได้ประกาศว่าจะไม่ตั้งต่อไป แต่ไม่ได้มีไปครองเมืองอีกเลย
ยศของเจ้าฟ้าคือเจ้าเมืองนั้น จึงยังคงติดอยู่กับเจ้านาย ซึ่งเป็นลูกหลวง หลานหลวง ถึงไม่ได้กินเมืองแล้วก็ยังเรียกเจ้าฟ้าอยู่เสมอ อยู่มาพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใคร่จะมีพระอัครมเหสีที่ยกย่องเหลือเกินกว่ากัน ที่จะให้เป็นสมเด็จหน่อพุทธเจ้า จึงได้คงมีอยู่แต่เจ้าฟ้า ต่อมายศสมเด็จหน่อพุทธเจ้านั้น ก็หายไปทีเดียว ถึงเป็นลูกพระมเหสี ก็เรียกเพียงเจ้าฟ้า เหมือนลูกเธอที่เกิดด้วยลูกหลวงแลหลานหลวง ยศเจ้าฟ้าเป็นยศของหัวหน้าเจ้านายทีเดียว เป็นแต่ในเจ้าฟ้าบางองค์ ซึ่งเป็นลูกเธอด้วยกัน เจ้าแผ่นดินเห็นสมควรยกขึ้นเป็นวังหน้า มีอยู่บ้างเป็นบางคราวๆไม่เสมอไป แต่เจ้าฟ้ายังมีอำนาจที่จะแห่หอกได้เหมือนเจ้าแผ่นดิน อย่างเช่นตัวได้ครองเมืองอยู่ เมื่อเวลาไปทางเรือ ก็มีเรือดั้งกระทุ้งส้าวเหมือนเจ้าแผ่นดินได้ แลเดินหน้าเจ้านาย ซึ่งมียศต่ำกว่าดังเช่นว่ามาแล้ว
แลยังมียศของเจ้าฟ้า ซึ่งวิเศษกว่าเจ้านายตามธรรมเนียมอีกหลายอย่าง คือ
รดน้ำในพระเต้าเบญจครรภ ซึ่งเป็นเต้าสำหรับภวายอภิเษกแก่พระเจ้าแผ่นดิน เมื่อเวลาบรมราชาภิเษก เต้านั้นได้ถือกันเป็นธรรมเนียมแผ่นดินมาว่า มารดาไม่ได้อยู่ในราชตระกูลเดียวกัน รดน้ำด้วยหม้อนั้นเป็นจันไร พราหมณ์ไม่ยอมรดให้ จะรดได้ก็ที่เป็นเจ้าฟ้า
อนึ่งเมื่อทำพิธีตรียัมพวาย บูชาพระอิศวรโล้ชิงช้า ช้าหงส์เสร็จแล้ว พราหมณ์นำเอาของบูชาพระอิศวรมาให้ ถ้าเป็นเจ้าฟ้า พราหมณ์นั้นว่าคาถาของพราหมณ์ ด้วยเสียงดังมีทำนองเหมือยหนึ่งถวายพระอิศวร และถวายพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าจะไปถวายแก่เจ้านายอื่นๆก็เป็นจันไรเหมือนกัน
หนึ่งเมื่อเวลาประสูติเจ้าฟ้านั้น ครบเดือนเข้าแล้ว พราหมณ์จะยกขึ้นอู่ ต้องว่าคาถาสรรเสริญไกรลาส เหมือนหนึ่งเอาหงส์ขึ้นบนเปลแล้วกล่อมด้วยคาถาของพราหมณ์ แลมีเครื่องมโหรีอย่างหนึ่ง เฉพาะทำได้แต่การหลวง แลการของเจ้าฟ้า คือมีซอคัน ๑ มีบัณเฑาะว์ ๒ อัน มีคนขับคน ๑ เรียกว่า ขับไม้
ตั้งแต่ขึ้นพระอู่แล้ว มีข้าหลวงสำหรับร้องเพลงเห่ในเวลาประทม เรียกว่าช้าลูกหลวง ทำนองแลถ้อยคำไม่เหมือนกันกับที่เห่เจ้านายตามธรรมเนียม เป็นคำสูงๆเป็นต้นว่า อย่างเช่น พระเสด็จมาผ่านพิภพปกป้องพระวงศานุวงศ์แลราษฎร ดังนี้
พี่เลี้ยงนางนมนั้น เติมยศพระข้างหน้าเรียกเป็น พระพี่เลี้ยงพระนม ข้าในกรมมีตำแหน่ง ตั้งนายเวร ๔ ปลัดเวร ๔ อย่างละ ๖ บ้างตามที่นายเวรตำรวจ นายเวรมหาดเล็ก นายเวรฝีพาย มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่เจ้าของจะตั้ง วิเศษกว่าเจ้านายตามธรรมเนียม
แลเมื่อพระชนมพรรษาครบ ๙ ขวบ มีการแห่ลงสรงในแม่น้ำ ภายใต้มณฑปตั้งอยู่บนแพในน้ำ เมื่อพระชนมพรรษาครบกำหนดโสกันต์ก็มีเขาไกรลาส การแห่โสกันต์นั้น เป็น ๖ วัน ๗ วัน ทั้งลอยพระเกศา แลเมื่อโสกันต์เจ้าฟ้าต้องนั่งอยู่บนหนังราชสีห์ ฤารูปราชสีห์ปัก อย่างเช่นพระเจ้าแผ่นดินขึ้นพระภัทรบิฐ แลจุกที่แบ่งผมเวลาจะตัดตามธรรมเนียมเจ้านายทั้งปวงแบ่งเป็นสามแหยม แต่เจ้าฟ้าต้องแบ่ง ๕ แหยม เรียกว่า เบญจสิงขร คือเอาอย่างเทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นคนดีดพิณของพระอิศวรได้ทำผมเป็นห้าแหยม แลสรงน้ำด้วยปากสัตว์ทั้ง ๔ ดังเช่นการโสกันต์ที่เคยมีมาแล้ว
แลเจ้าฟ้านั้นไม่มียศที่สมควรจะเป็นกรมหมื่น ถ้าจะได้เป็นกรม ต้องเป็นตั้งแต่กรมขุนขึ้นไป แลมีศักดินาแปลกกว่าเจ้านายตามธรรมเนียมหลายเท่า คือถ้าเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า ทรงศักดินา ๒๐,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ทรงศักดินา ๕๐,๐๐๐ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ๔๐,๐๐๐ เจ้าทั้งสองชั้นนี้ถ้าเป็นอุปราชทรงศักดินา ๑๐๐,๐๐๐ พระองค์เจ้าตามธรรมเนียม ถ้าเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ ทรงศักดินาแต่ ๗,๐๐๐ ลูกยาเธอ ๖,๐๐๐ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้า ทรงศักดินา ๖,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรมทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ เท่ากันทั้งสามชั้น แต่ถ้าเป็นพระเจ้าหลานเธอเหมือนหนึ่งเจ้านายวังหน้า ศักดินา ๔,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ศักดินาจึงขึ้นเป็น ๑๑,๐๐๐ ตำแหน่งมานี้เป็นของโบราณ ตั้งมาแต่ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ ๑ ซึ่งได้เถลิงราชสมบัติในจุลศักราช ๗๙๖ ปี ยังอยู่ในตอน ๒๐๐ ปีข้างต้น เมื่อดูตำแหน่งศักดินานี้แล้วก็จะเห็นว่า เจ้าฟ้ายศมากกว่าพระองค์เจ้าเท่าใด
อนึ่งเจ้าฟ้าเป็นต่างกรม จะเป็นกรมขุน กรมหลวง กรมพระ อย่างไรก็ดี ไม่ได้เรียกพระนามตามกรม เปลี่ยนพระนามเดิม เหมือนเจ้าต่างกรมทั้งปวง เพราะเจ้าฟ้านั้น เมื่อจะได้รับพระนามกำหนดต่อพระชนมพรรษาได้ ๘ ปีเศษ ฤา ๙ ปี พระนามนั้นจาฤกในสุพรรณบัฏนี้ สร้อยยาวดังเช่นตัวเราเอง ได้รับสุพรรณบัฏจาฤกชื่อว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุดพงศบริพัต ศิริวัฒนราชกุมาร ฤาศิริวัฒนราชวโรรส ตามเวลาเด็กเวลาหนุ่ม
แต่ในสร้อยชื่อเจ้าฟ้า ได้รับทุกองค์นั้น คงจะมีว่าเป็นลูกคนนั้น คือออกพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นพระราชบิดาทุกๆพระองค์เหมือนหนึ่งพระนามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีว่า พงศาอิศวร กระษัตริย์ พระนามสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลามีว่า มหิศราธิราชรวิวงศ์ คือเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งทรงพระนามว่า อิศรสุนทร แลตัวเราเองมีว่า บดินทรเทพยมหามกุฎบุรุษรัตนราชรวิวงศ์ ท่านกลางมีว่า มกุฎราชวรางกูร คือเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระนามว่า มหามงกุฎ แต่เจ้าฟ้าหญิงนั้น มีสร้อยพระนามสั้นๆ ไม่มีพระนามพระราชบิดา
แลตั้งเจ้ากรมปลัดกรมสมุหบัญชีเป็นหมื่นได้เหมือนเจ้าต่างกรม เมื่อเลื่อนขึ้นเป็นกรมขุนกรมหลวง ฤากรมพระ นามเดิมที่ได้รับพระสุพรรณบัฏแต่ทรงพระเยาว์นั้นไม่เลิกถอน พระนามซึ่งตั้งเป็นกรมนั้นไม่เป็นพระนามของเจ้า เป็นชื่อของเจ้ากรม ถาจะเรียกพระนาม ต้องเรีกพระนามเดิม ตลอดถึงชื่อเจ้ากรมด้วย เหมือนอย่างสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระบำราบปรปักษ์ เจ้ากรมเป็นพระบำราบปรปักษ์ ปลัดกรมเป็นหลวง สมุหบัญชีเป็นขุนตามลำดับยศ
อนึ่งเครื่องพานหมากเสวย พระเต้าบ้วนพระโอษฐ์ ใช้เครื่องลงยาราชาวดี ผิดกับเจ้านายทั้งปวง ถ้าเจ้านายทั้งปวงถึงจะมียศใหญ่เป็นต่างกรมอย่างสูง ถึงกรมสมเด็จพระ ก็จะใช้เครื่องลงยาไม่ได้ ต้องใช้ทองเปล่า เว้นแต่ทำใช้เองในเวลานอกจากหน้าพระที่นั่งพระเจ้าแผ่นดิน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯพระราชทานเครื่องในพานนั้นลงยา พานทองเปล่า แก่ท่านผู้ที่ได้ช่วยราชการแผ่นดินบ้าง น้อยคนที่เดียว
ถ้าเจ้าฟ้าได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ใช้สร้อยพระนาม อุภโตสุชาติสังสุทธเคราหณี ซึ่งเป็นคำนับถือของพวกนักปราญช์ชาวสยามว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ คำว่าอุภโตสุชาตินั้นว่ามีความเกิดดีแต่ฝักฝ่ายทั้งสอง สังสุทธเคราหณีว่ามีครรภเป็นที่ถือเอาปฏิสนธิบริสุทธิ์พร้อม คือถ้าจะรวมความตามเข้าใจ ว่ามีครรภ์ที่เกิดปฏิสนธิบริสุทธิ์เป็นอันดีพร้อมทั้งสองฝ่าย
อนึ่งถ้ามีช้าลูกหลวงเมื่อเวลาประสูติแล้ว เวลาสิ้นพระชนม์ก็ต้องมีนางร้องไห้ แลทำพระเมรุกลางเมือง ใหญ่บ้างย่อมบ้างตามกาลเวลา
อนึ่งยังมีคำของคนทั้งปวงที่เรียกยกยอนอกจากยศที่พระเจ้าแผ่นดินให้ เคยเรียกอยู่ในเจ้าฟ้าซึ่งเป็นลูกเธอว่า ทูลกระหม่อม คำซึ่งเรียกว่าทูลกระหม่อมนี้ไม่เป๋นยศในตำแหน่ง เป็นแต่เรียกกันขึ้นลอยๆ เหมือนดังขุนนางเป็นพระยา แล้วบ่าวไพร่ฤาใครๆที่มียศต่ำกว่า ฤาขุนนางด้วยกันเองที่มียศเสมอกัน เคยเรียกว่าเจ้าคุณ แต่คำที่เรียกเจ้าคุณนี้ ถ้าจะกราบทูลในราชการ ก็ใช้ไม่ได้ต้องเรียกชื่อพระยาอันนั้นตามที่ตั้ง ฉันใดคำที่เรียกว่า ทูลกระหม่อม นี้ก็เหมือนกันอย่างนั้น แต่บางทีถ้าไม่เป็นที่ใช้ในหนังสือราชการ แลคำกราบทูลที่ไม่เป็นราชการแท้ ก็กราบทูลว่า ทูลกระหม่อม ได้บ้างเป็นแต่ไปรเวต
คำว่าทูลกระหม่อมนี้ บางทีคนที่ฟังจะสงสัยไปว่าเรียกไม่ทั่วกันเป็นเฉพาะแห่ง แต่ที่จริงนั้นถ้าเป็นเจ้าฟ้าชั้นเอก แล้วเรียกทูลกระหม่อมได้ทั้งสิ้น ถึงโดยผู้อื่นจะเรียกบ้างไม่เรียกบ้าง ข้าไทคนใช้นั้นคงเรียกว่า ทูลกระหม่อม
อนึ่งพระเจ้าลูกเธอ เรียกพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นพระราชบิดา ว่าทูลกระหม่อมบ้าง ลูกเจ้าฟ้าเหล่านี้ก็เรียกเจ้าฟ้าผู้เป็นพระบิดาว่า ทูลกระหม่อม เหมือนกัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็รับสั่งว่าอย่างนี้ เป็นการถูกธรรมเนียมแล้ว แต่ยศนี้เจ้าแผ่นดินไม่ต้องตั้ง คนทั้งปวงเรียกเองได้ ก็เป็นยศของเจ้าฟ้าผิดกับพระองค์เจ้าด้วยอย่างหนึ่ง
ธรรมเนียมยศอย่างนี้ เป็นของมีมาแต่กรุงเก่าแต่ในตอน ๒๐๐ ปีข้างต้นบ้าง มาเกิดขึ้นภายหลัง ๒๐๐ ปีบ้าง ยศอย่างนี้ เจ้าฟ้ายังได้รับอยู่เสมอจนถึงปัจจุบันนี้ เว้นแต่การโสกันต์แลการลงสรงที่เป็นการใหญ่ๆ ต้องใช้ผู้คนมาก เวลามีราชการบ้านเมืองขัดขวางก็ไม่ได้ทำ ถ้าว่างเปล่าสมควรจะทำได้ก็ได้ทำ
ตำแหน่งยศแลอำนาจของเจ้าฟ้า ซึ่งว่ามานี้เป็นแต่เจ้าฟ้าซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ ถ้าเจ้าฟ้าอื่นๆกมียศศักดิ์น้อยกว่าพระเจ้าลูกเธอของพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นพระองค์เจ้า จะมีเครื่องยศแลการโสกันต์ทรงผนวชสิ่งใดก็เท่าๆกับเจ้านายตามธรรมเนียม ฤาต่ำลงไปกว่าพระองค์เจ้าบ้าง ตามลำดับยศซึ่งพรรณนามาข้างต้น ต้องเข้าใจว่าเป็นแต่เจ้าฟ้าที่เป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินใหญ่พวกเดียวเท่านั้น ธรรมเนียมยศเจ้าฟ้าลูกเจ้าแผ่นดิน ดังเช่นว่ามานั้นมีมาแต่โบราณ ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
แต่ที่มีในกฎมณเฑียรบาล ซึ่งเป็นของโบราณว่าได้ด้วยกระบวนแห่แหน แลเครื่องยศต่างๆ เครื่องสูงต่างๆของเจ้าฟ้าเป็นชั้นๆ จะเก็บมาเรียงในที่นี้ก็จะยืดยาวนัก ด้วยเป็นของเลิกทิ้งเสียแล้ว ที่ยังเหลือติดมาบ้างก็เป็นแต่ของหลวงพระราชทาน เหมือนหนึ่งเครื่องสูงกลองชนะแห่โสกันต์เป็นต้น จะพรรณนาให้ละเอียดก็เห็นจะไม่จบ
จะขอว่าด้วยผู้ซึ่งมียศสมควรเป็นเจ้าฟ้าตามธรรมเนียมภายหลัง ๒๐๐ ปีมาแล้วต่อไป เจ้าฟ้าซึ่งเข้าใจกันในชั้นหลังๆตั้งแต่กรุงเก่ามาจนถึงกรุงเทพฯในระหว่าง ๓๐๐ ปีเศษ ว่าเจ้าอย่างไรสมควรจะเป็นเจ้าฟ้า อย่างไรไม่สมควรจะเป็น ตามตัวอย่างมีอ้างอิงให้เห็นชัดได้สมเป็นแบบแผน ให้พึงทราบไว้ก่อนว่า ในราชตระกูลนั้นนับถือข้างฝ่ายมารดามาก ถ้าจะนับผู้ที่สมควรเป็นเจ้าฟ้าได้นั้น เป็นได้เพราะ
๑. เจ้าแผ่นดินปราบดาภิเษกใหม่เปลี่ยนพระวงศ์แรกจะตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า พระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นมีอำนาจที่จะตั้งเจ้าฟ้าได้ตามชอบพระทัย แต่คงไม่ผิดจากหนทางที่เป็นแบบมาแล้ว แล้ววิเศษกว่าพระเจ้าแผ่นดิน ที่บรมราชาภิเษกสืบพระวงศ์บ้างเล็กน้อย คือเหมือนหนึ่งพระพี่ยาเธอ พระพี่นาง พระน้องนาง ที่ร่วมพระครรภ์กับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าได้ พระราชโอรสอค์ใดองค์หนึ่ง จะยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าก็ได้ (๑) เหมือนอย่างพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงยกสมเด็จพระพี่นางเธอ ๒ พระองค์ และพระเจ้าลูกเธอซึ่งเป็นพระโอรสพระธิดากรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์เป็นเจ้าฟ้าทั้ง ๔ พระองค์ แต่กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ซึ่งเป็นพระมารดานั้น ก็ไม่ได้ยกขึ้นเป็นอัครมเหสี มีการตั้งแต่งอย่างไรอย่างหนึ่ง เป็นแต่โปรดฯให้เป็นเจ้า จะได้สมกับที่เป็นพระมารดาเจ้าฟ้า นี่เป็นเจ้าฟ้าตั้งขึ้นยกขึ้นอย่างหนึ่ง แต่พระเจ้าน้องยาเธอของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งบรมราชาภิเษกสืบพระบรมราชวงศ์โดยการเรียบร้อย เหมือนพระบาทสมเด็นพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอนุชาร่วมพระมารดาไม่เห็นยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้า (๒) จะเป็นด้วยสิ้นพระชนม์ไปเสียแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงไม่ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้า ฤามีธรรมเนียมห้ามปรามกันอย่างไรก็ไม่ทราบ
๒. พระเจ้าลูกเธอซึ่งเกิดด้วยลูกหลวง คือ พระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ้าฟ้าตรงตำแหน่ง เหมือนหนึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระบำราบปรปักษ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสเจ้าฟ้ากุณฑล เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นพระราชบิดา ถ้าจะว่าตามภาษาอังกฤษก็นับว่าเป็น เจ้าฟ้าไบไรต์ (By rigth)
๓. เจ้าฟ้าซึ่งเกิดด้วยพระราชนัดดาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินนั้น ถ้าจะว่าโดยตรงก็ควรเป็นเจ้าฟ้าได้ตามกฎหมาย แต่พระราชนัดดาของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ไม่ใคร่จะมีพระบิดามารดาเป็นเจ้าฟ้า ฤาเป็นพระองค์เจ้าทั้งสองฝ่าย จึงตกลงเป็นหม่อมเจ้าเสียโดยมาก เมื่อเป็นหม่อมเจ้าอยู่ดังนี้ ก็ไม่สมควที่จะเป็นพระมารดาเจ้าฟ้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินจะโปรดให้เป็นเจ้าฟ้าจึงต้องยกขึ้นให้เป็นพระองค์เจ้า เหมือนแบบในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้าหญิงในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ๆ ยกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าไว้แต่ก่อนแล้ว ครั้นมาเป็นพระราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชโอรสเป็นเจ้าฟ้า แลหม่อมเจ้ารำเพยเป็นพระราชธิดาในกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นพระราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงยกขึ้นเป็นพระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ ได้เป็นพระราชมารดาเจ้าฟ้าถึง ๔ พระองค์ เจ้าฟ้าอย่างนี้เป็น เจ้าฟ้าไบไรต์(By rigth) เหมือนกัน แต่ซึ่งต้องยกเป็นพระองคืเจ้า เพราะจะให้สมกับพระเกียรติยศเจ้าฟ้า ซึ่งเป็นพระโอรสแต่ที่พระราชโอรสพระเจ้าแผ่นดิน เกิดด้วยหลานเธออย่างนี้ พระเจ้าแผ่นดินไม่โรปดฯให้เป็นเจ้าฟ้าก็ได้ ธรรมเนียมที่ว่าพระราชโอรสเกิดด้วยหลานหลวงเป็นเจ้าฟ้านั้น ถ้าเป็นพระองค์เจ้าเป็นเจ้าฟ้า ถ้าเป็นหม่อมเจ้าไม่แน่ พระเจ้าแผ่นดินยังขัดขวางได้
๔. พระราชโอรสเกิดด้วยเจ้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นเมืองเอกราชในครั้งนั้น เป็น เจ้าฟ้าไบไรต์ ฤาเมืองซึ่งเป็นเอกราชอยู่เดิม ภายหลังมาเป็นเมืองประเทศราชขึ้นกรุงเทพฯ พระเจ้าแผ่นดินนั้นยังคงศักดิ์อยู่ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินจะโปรดฯให้หลานเจ้าคนนั้นซึ่งเป็นพระราชโอรส พระราชธิดาของพระองค์เป็นเจ้าฟ้าก็เป็นได้ เหมือนดังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ยกพระองค์เจ้าหญิงในเจ้าจอมมารดา ซึ่งเป็นลูกเจ้าเวียงจันทน์ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงกุญฑลทิพยวดี เจ้าฟ้าดังนี้ก็ยังนับว่าเป็นไบไรต์ แต่คนไม่สู้จะนับถือเหมือนพระมารดา ซึ่งเป็นพระบรมวงศ์เดียวกัน แลในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นักเยี่ยมซึ่งเป็นบุตรสมเด็จพระเจ้านโรดมเจ้ากรุงกัมพูชา ซึ่งโปรดฯให้เป็นพระองค์เจ้ากำโพชราชสุดาดวง แลตนกูสุเบีย ซึ่งเป็นน้องสาวสุลต่านมหมุดเมืองลิงงา เป็นพระสนมอยู่ทั้งสองคน ก็ได้ปรารภเป็นการดังทราบทั่วกัน ถ้าพระราชบุตรเกิดด้วยเจ้า ๒ คนนี้ ก็ต้องเป็นเจ้าฟ้าตามธรรมเนียมเหมือนกัน แต่ก็มีคนรังเกียจอยู่ในการที่จะต้องเป็นดังนั้นมาก
๕. เจ้าฟ้าหญิงซึ่งเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ ฤาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอก็ดี มีพระสวามีเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ฤาเป็นเจ้าฟ้า ฤาเป็นเจ้าต่างกรมพระองค์เจ้าอย่างใดๆก็ดี เมื่อเจ้าฟ้าหญิงองค์นั้นมีพระโอรสพระธิดา ก็คงเป็นเจ้าฟ้าตามพระมารดา แต่ศักดินาลดลงไปตามบรรดาศักดิ์เจ้าซึ่งเป็นพระบิดา ได้แต่ชื่อว่าเป็นเจ้าฟ้าเหมือนสมเด็จพระพี่นางเธอของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมั้งสองพระองค์ มีพระสวามีแต่ยังไม่ได้เป็นเจ้า มีพระโอรสพระธิดาองค์ละหลายองค์ พระโอรสพระธิดานั้นต้องนับเป็นเจ้าฟ้าทั้งสิ้น ตามพระมารดา ครั้นถายหลังมาเจ้าฟ้าหยิงซึ่งเป็นพระธิดาสมเด็จพระพี่นางพระองค์น้อยได้เป็นพระชายาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธออยู่ มีพระโอรสสามพระองค์ เป็นเจ้าฟ้าทั้งสามพระองค์ เป็นตัวอย่างดังนี้ แต่ผู้อ่านต้องเข้าใจว่าเจ้าฟ้าหญิงซึ่งจะได้เป็นเมียพระองค์เจ้า แลพระองค์เจ้าจะเป็นเมียหม่อมเจ้า ฤาเป็นเมียยขุนนาง ฤาเจ้าต่างประเทศ แลเจ้าในตระกูลแต่มิใช่พี่น้องสนิทกันนั้น ธรรมเนียมห้าม มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้าจะมีสวามีต้องมีได้แต่ที่เป็นพี่น้องกันสนิทแลมียศเสมอกัน ฤาที่ชายสูงกว่าหญิง เพราะเหตุนั้นเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้า จึงเป็นธรรมเนียมไม่ได้มีพระสวามีแทบทั้งนั้น ถ้าจะมีก็เป็นแต่พระราชเทวีของพระเจ้าแผ่นดินบ้าง ซึ่งจะมีพระสวามีอื่นนอกจากพระเจ้าแผ่นดินนั้นน้อยนัก เพราะมักจะเป็นที่รังเกียจกันไป จึงไม่มีเจ้าฟ้าซึ่งสืบตระกูลพระมารดาดังเช่นว่ามาแล้ว ซึ่งจะชี้เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ในปัจจุบันนี้ มีมากอยู่ก็แต่เมื่อแรกตั้งบรมราชวงศ์เป็นเจ้าขึ้นใหม่ๆ เจ้าฟ้าโดยพระมารดาดังนี้ก็นับว่าเป็น ไบคอกเตสซี(BY-courtesy)
๖. ลูกวังหน้าเดิมพระเจ้าเจ้าแผ่นดินโปรดฯให้เป็นพระองค์เจ้าไว้ แต่ครั้งกรมพระราชวังในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแล้ว ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเจ้าองค์นั้น โดยเป็นลูกใหญ่ของวังหน้าบ้าง ได้รับราชการบ้าง มีเชื้อวงศ์ข้างมารดาอยู่พอจะยกย่องให้เป็นเจ้าฟ้า ก็โปรดฯยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าพอเป็นเกียรติยศ มีตัวอย่างมาสององค์ คือ เจ้าหญิงพิกุลทอง ซึ่งเป็นพระราชธิดากรมพระราชวังในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มารดาเป็นลูกเจ้าลาวเมืองเชียงใหม่ โปรดฯตั้งให้เป็นเจ้าฟ้า แต่ที่มารดาเป็นลูกเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดีก็มีมารดาเป็นพระองคืเจ้า พระธิดาเจ้ากรุงธนบุรีก็ไม่โปรดฯให้เป็นเจ้าฟ้า ก็ต้องเป็นอยู่แต่พระองคืเจ้า ครั้นอยู่มาถึงกรมพระราชวังในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า มีพระราชบยุตรเกิดด้วยพระองค์เจ้าดารา ซึ่งเป็นพระธิดากรมพระราชวังที่ ๑ ก็ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้า เป็นแต่พระองค์เจ้าอิศราพงษ์ อยู่จนเป็นผู้ใหญ่อายุจนถึง ๓๐ ปีเศษ ครั้นมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับราชการเรียบร้อยแข็งแรงมาก ก็โปรดฯให้เป็น เจ้าฟ้า โดยโปรโมชั่น(Promotion) แต่เจ้าฟ้าอย่างนี้ไม่ได้ใช้คำนำพระนามว่าสมเด็จ ใช้แต่พระบรมวงศ์เธอเหมือนพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าอย่างนี้เป็นได้แต่เฉพาะแต่พระเจ้าแผ่นดินโปรดฯให้เป็น พอเป็นที่ยิรดี เป็นเจ้าฟ้านอกแบบ ลูกวังหน้าจะเป็นเจ้าฟ้าได้จริง ก็แต่ที่พระมารดาเป็นเจ้าฟ้าเหมือนอธิบายไว้แล้วข้างบน
๗.ยังมีเจ้าฟ้าอีกอย่างหนึ่ง เป็นธรรมเนียมปรากฏมาแต่ครั้งเดียว แต่แผ่นดินเจ้ากรุงธนบุรี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้มีพระราชบุตรด้วยเจ้ากรุงธนบุรีองค์หนึ่ง แล้วพระมารดาก็สิ้นชีพไป ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬ่โลกได้รับตำแหน่งใหญ่เรียกว่ามหากษัตริย์ศึก มีอำนาจบังคับบัญชาในการศึกได้เหมือนพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อการทัพศึกในครั้งนั้นมีมาก พระเจ้ากรุงธนบุรีนับถือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเหมือนเป็นเจ้าในการศึกองค์หนึ่ง แลโดยเจ้ากรุงธนบุรีได้ปราบดาภิเษก มีอำนาจที่จะตั้งเจ้าฟ้าได้ดังเช่นว่าไว้ในข้อ ๑. จึงได้ตั้งพระเจ้าลูกเธอพระองค์นั้น เป็นเจ้าฟ้าวิเศษมิใช่โดยไรต์องค์หนึ่ง เจ้าฟ้านอกนั้นก็เกิดด้วยเชื้อวงศ์ของพระเจ้ากรุงธนบุรีอีก ๒ องค์ แต่เจ้าฟ้าทั้งสององค์นั้นตั้งโดยไรต์ ไม่เหมือนเจ้าฟ้าซึ่งเป็นพระราชนัดดาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนี้ แต่ครั้นภายหลังมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ปราดาภิเษก เจ้ฟ้าพระองค์นี้ก็เป็นเจ้าฟ้าไบไรต์ เพราะเป็นพระราชธิดาสมเด็จพระอมรินทรามารตย์ ก็คงเป็นเจ้าฟ้าเหมือนกับพระโอรสซึ่งเป็นเจ้าฟ้า
ผู้ที่สมควรเป็นเจ้าฟ้า ซึ่งได้เป็นมาแล้วในระหว่าง ๓๐๐ ปี ได้เป็นเจ้าทั้ง๗ หมู่นี้เท่านั้น นอกจากนั้นพระเจ้าแผ่นดิน จะมีพระราชโอรสด้วยพระสนมใดๆ เป็นเจ้าฟ้าไม่ได้เด็ดขาด ถ้าจะแบ่งยศในจำพวกเจ้าฟ้าเหล่านี้ตามกฎหมายศักดินา ก็เห็นว่าเจ้าฟ้าซึ่งเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยเธอเป็นที่หนึ่ง แต่เจ้าฟ้าซึ่งเป็นพี่ป้าน้าอาของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ไม่มีกำหนดในศักดินา แต่ดูเหมือนจะมียศใหญ่กว่าเจ้าฟ้าที่เป็นน้องยาเธอ เพราะธรรมเนียมที่นับในกฎหมายนั้นนับตามผู้ใหญ่เด็ก ไม่ได้นับตามชิดแลห่าง เว้นแต่ศักดินาที่ใช้ในปัจจุบันนี้ ไม่ได้แก้กฎหมายเก่าเลย
เมื่อในกฎหมายไม่มีกำหนด ก็คงใช้ใช้อยู่เท่าสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้า จึงต้องนับรวมไว้เป็นชั้นหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามีศักดินาลดลงมาหน่อยหนึ่ง จึงนับเป็นชั้นรอง เจ้าฟ้าตามธรรมเนียมเหมือนหนึ่งเจ้าฟ้าหลานเธอนับเป็นชั้นต่ำ ด้วยถึงเป็นกรมแล้ว ก็มียศอยู่เพียงเสมอพระองค์เจ้าต่างกรม
แต่ความนิยมนับถือของคนทั้งปวงนั้นเป็นตามกาลตามเวลาตามผู้ชิดผู้ห่าง แลพระมารดาบริสุทธิ์น้อยในราชตระกูล จึงปรากฏเป็นเจ้าฟ้าสืบมา ไม่ได้ขาดระหว่างเลยจนถึงบัดนี้ เรื่องเจ้าฟ้าที่กล่าวมานี้ มีตัวอย่างชี้ให้เห็นได้ทุกๆอย่าง แลต้องกันกับที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรียบเรียงเรื่องโสกันต์
ประกาศเรื่องโสกันนี้ เป็นพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลูสัปตศก จ.ศ. ๑๒๒๗ เป็นวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ ลงพิมพ์ในหนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอ์ เล่ม ๑ หน้า ๒๐๙ ลงวันอังคาร แรม ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลูสัปตศก ๑๒๒๙ วันที่ ๑๗ มกราคม ค.ศ. ๑๘๖๖ หน้า ๒๒๑ วันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ วันที่ ๓๑ มกราคม กับเล่ม ๒ หน้า ๑ วันแรม ๑ เดือน ๔ วันที่ ๑ มีนาคม ลงพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ ตั้งแต่วันพฤหัสบดี แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีจออัฐศก จ.ศ.๑๒๔๘ เล่ม ๒ หน้า ๓๘,๔๖,๕๔,๖๒,๗๑,๗๘,๘๑,๙๓,จน ๑๐๓ วันอาทิตย์ แรม ๘ ค่ำ เดือนยี่ ลงพิมพ์หนังสือบางกอกรีคอร์เดอร์ของหมอบัดเล เมื่อศักราช ๑๒๒๗
สิ้นเรื่องเจ้าฟ้า
ที่นี่จะว่าด้วยพระราชบุตร พระราชบุตรี ของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งในกฎมณเฑียรบาลเรียกว่า พระเยาวราช และเจ้านายซึ่งมียศต่ำๆลงไปอีกโดยลำดับ
๑. พระราชบุตรีของพระเจ้าแผ่นดินที่เกิดด้วยพระสนม ฤาที่เรียกกันว่าเจ้าจอมมารดานั้น มียศอย่างเดียวกันหมด เรียกว่า พระองค์เจ้า อย่างหนึ่ง
๒. พระบุตร พระบุตรี ของกรมพระราชวัง แต่เดิมเมื่อครั้งกรุงเก่า เป็นพระองค์เจ้าบ้าง เป็นหม่อมเจ้าบ้าง ไม่เสมอกัน แต่ต่อมาถึงแผ่นดินกรุงเทพฯ พระเจ้าแผ่นดินใหญ่ทรงเห็นว่ากรมพระราชวังได้ทำศึกมาก จึงได้โปรดฯให้เป็นพระองค์เจ้าทั้งสิ้น ภายหลังก็เป็นพระองค์เจ้าตามๆกันมาอีกพวกหนึ่ง
๓. พระโอรสพระธิดากรมพระราชวังหลังที่เกิดด้วยบริจา ก็เป็นพระองค์เจ้าอีกพวกหนึ่ง
๔. พระบุตร พระบุตรี ของเจ้าฟ้าก็ดี เจ้าต่างกรมก็ดี พระองค์เจ้าก็ดี ถ้ามารดาเป็นพระองค์เจ้าลูกก็เป็นพระองค์เจ้า ดังเช่นเจ้าฟ้าหญิงมีลูกต้องเป็นเจ้าฟ้าเสมอมารดาฉะนั้น นี่ก็เป็นพระองค์เจ้าอีกจำพวกหนึ่ง
๕. หม่อมเจ้าซึ่งเป็นพระบุตร พระบุตรีของเจ้าต่างกรม แลพระองค์เจ้า ซึ่งเป็นองค์ใหญ่ฤารับราชการมาก ฤาเป็นที่คุ้นเคยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงยกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าได้ไม่มีกำหนดว่าเท่าใด เหมือนกับยกลูกวังหน้าขึ้นเป็นเจ้าฟ้า แต่ลูกต่างกรมฤาพระองค์เจ้าวังหน้าไม่เคยยกขึ้น ยกขึ้นแต่ลูกเจ้าต่างกรม แลพระองค์เจ้าวังหลวงซึ่งเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน
รวมพระองค์เจ้าจึงเป็น ๕ อย่างด้วยกันดังนี้ แต่พระองค์เจ้าทั้ง ๕ อย่างนี้ ใช่ว่าจะมียศเสมอกันก็หาไม่ มียศแปลกๆกันมากทีเดียว ยศซึ่งจะกำหนดแปลกกันนั้น ด้วยคำนำพระนามข้างหน้า คำนำพระนามนั้นมีมากหลายอย่างนัก ศักดินาก็ขึ้นลงตามคำนำพระนามนั้นด้วย แลเป็นเนื้อความให้รู้ชั้นของพระองค์เจ้านั้นด้วย
๑. พระเจ้าบรมอัยกาเธอชาย พระเจ้าบรมอัยยิกาเธอหญิง คือเป็นปู่น้อยย่าน้อยของพระเจ้าแผ่นดิน คำที่ว่าเธอนั้น แปลว่าท่าน คือพระเจ้าปู่ท่าน พระเจ้าย่าท่าน แปลดังนี้ตลอดไป ท่านนั้นคือ เจ้าแผ่นดินองค์ใหญ่องค์เดียว
๒. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ คือท่านที่เป็นลุงเป็นอาเป็นป้าของพระเจ้าแผ่นดินทั้งชายแลหญิง
๓. พระเจ้าพี่ยาเธอชาย พระเจ้าพี่ยาเธอหญิง พระเจ้าน้องยาเธอชาย พระเจ้าน้องยาเธอหญิง
ท่านทั้งสามชันนี้ทรงศักดินาเสมอกัน เมื่อเวลายังไม่ได้เป็นกรม ๗,๐๐๐ ถ้าเป็นกรมทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐
๔. พระเจ้าลูกยาเธอชาย พระเจ้าลูกยาเธอหญิง
๕.พระเจ้าราชวงศ์เธอทั้งชายแลหญิงนี้ เป็นตำแหน่งตั้งขึ้นใหม่ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะทรงพระราชดำริเห็นว่า พระราชบุตร พระราชบุตรีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอมาก่อนแล้ว ครั้นพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ก็จะต้องลดลงเป็นพระเจ้าหลานเธอ ศักดินาเสมอพระองค์เจ้าวังหน้า เห็นไม่สมควร จึงโปรดฯให้เป็นพระเจ้าราชวงศ์เธอ คงศักดินาเสมอพระเจ้าลูกเธอ เมื่อยังไม่ได้เป็นกรมศักดินา ๖,๐๐๐ เมื่อเป็นต่างกรมขึ้นก็ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ เท่าชั้นสามข้างบนทั้งพระเจ้าลูกเธอ แลพระราชวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าทั้งห้าชั้นนี้ เป็นพระองค์เจ้าซึ่งเป็นพระราชบุตรแลพระราชบุตรี พระเจ้าแผ่นดิน แบ่งยกขึ้นเป็นตอนหนึ่งต่างหาก นับเป็นพระองค์เจ้าอย่างเอกทั้ง ๕ ชั้น
๑. ตอนนี้ไป พระบุตร พระบุตรี ในกรมพระราชวังแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๑
๒. พระบุตร พระบุตรี ในกรมพระราชวังแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๒
๓. พระบุตร พระบุตรี กรมพระราชวังในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๓
๔. พระบุตร พระบุตรี สมเด็จพระปิ่นเกล้าในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระชนมายุแก่กว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในปัจจุบันนี้ เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๔
๕. พระบุตร พระบุตรี สมเด็จพระปิ่นเกล้า ที่อ่อนพระชนมายุกว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในปัจจุบันนี้ เป็นพระเจ้าบวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๑
๖. พระบุตร พระบุตรี กรมพระราชวังในปัจจุบันนี้ เป็นพระเจ้าบวรวงศ์ ชั้นที่ ๒
๗. พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้า ซึ่งเป็นพระองค์เจ้าเพราะมารดาก็ดี ฤาเป็นหม่อมเจ้ายกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าก็ดี เป็นพระเจ้าหลานเธอทั้งสองอย่าง
ในพระองค์เจ้า ๗ พวกนี้ เมื่อยังไม่เป็นต่างกรม ทรงศักดินา ๔,๐๐ เมื่อเป็นต่างกรมแล้วทรงศักดินา ๑๑,๐๐๐ เสมอกัน
๑. พระองค์เจ้าซึ่งเป็นพระบุตร พระบุตรี กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ซึ่งเป็นพระอัยยกา ฝ่ายพระบรมชนนีของพระเจ้าแผ่นดินปัจจุบันนี้ เป็นพระประพันธวงศ์เธอ เพราะเป็นพระวงศ์ของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองฝ่าย
๒. พระองค์เจ้าซึ่งเป็นหลานเธอเก่า พระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นพระอัยกาล่วงไปแล้ว โดยพระมารดาเป็นพระองค์เจ้าก็ดี หม่อมเจ้ายกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าก็ดี เป็นพระวงศ์เธอทั้งสิ้น
๓. พระองค์เจ้าในกรมพระราชวังหลัง แลในเจ้าฟ้าซึ่งเป็นพระโอรสของสมเด็จพระพี่นางเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ทั้งสองพระองค์เหล่านี้ เป็นพระสัมพันธวงศ์เธอ
พระองค์เจ้า ๓ ชั้นนี้ เมื่อเวลายังเป็นหม่อมเจ้า มีศักดินาเพียง ๑,๕๐๐ แต่ครั้นเมื่อเป็นพระองค์เจ้าขึ้น ก็ไม่มีตำแหน่งมาในกฎหมายว่าจะเป็นศักดินาเท่าไรแน่ ดูเหมือนของเก่าจะใช้อย่างเช่นหลานเธอเสมอมา แต่ที่เคยใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นพระองค์เจ้าศักดินาคงอยู่ ๑,๕๐๐ ฤาไม่ใคร่จะพูดถึงศักดินาทีเดียว เรื่องที่ให้ศักดินา ๑,๕๐๐ นี้เห็นว่าไม่ถูก แต่เมื่อเป็นต่างกรมแล้วคงใช้ศักดินา ๑๑,๐๐ เท่าเจ้านายวังหน้า แลหลานเธอซึ่งว่ามาแล้วทั้ง ๗ ชั้น จึงเป็นการถูกทีเดียว พระองค์เจ้าชั้นนี้ ถ้าจะแยกออกจากวังหน้าก็เป็นชั้นที่ ๓ แต่เมื่อเป็นต่างกรมขึ้นแล้ว จะนับรวมกันเข้ากับเจ้านายวังหน้าก็ได้
รวมคำนำพระนาม พระองค์เจ้าทั้ง ๓ ชั้นนี้ถึง ๑๕ อย่าง แต่ในปัจจุบันนี้ ถ้าต่อไปภายหน้าพระเจ้าแผ่นดินสืบบรมราชวงศ์ลงไปอีกกี่ชั้นกี่ชั่ว ก็คงเกิดคำนำพระนามนี้ขึ้น แผ่นดินละอย่างสองอย่างทุกชั้น แต่เจ้าฟ้านั้นก็คงใช้ตามลำดับพระวงศ์เหมือนพระองค์เจ้า เติมแต่สมเด็จข้างหน้า เหมือนอย่างสมเด็จพระบรมอัยยกาเธอ เจ้าฟ้า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า เป็นต้น ใช้คังนี้ตลอดไป
คำซึ่งใช้เป็นคำนำพระนามนี้ ที่ใช้เป็นคำตรงดังเช่นอัยยกาเธอ พี่ยาเธอ น้องยาเธอ ลูกยาเธอ หลานเธอ ดังนั้นก็มีเป็นของเก่า เรียกเป็นพี่เป็นน้องของในหลวงตามที่เป็นจริง แต่ที่เป็นบรมวงศ์เธอ ราชวงศ์เธอ วรวงศ์เธอ บวรวงศ์เธอ ประพันธวงศ์เธอ สัมพันธวงศ์เธอ ดังนี้ไม่ได้เป็นคำเรียกตรงว่าเป็นอะไรชัด เป็นแต่คำยกย่องว่าเป็นสายใหญ่บ้าง กลางบ้าง เกี่ยวพันบ้าง เป็นของเกิดขึ้นใหม่ เพราะใช่คำตรงๆไม่ เพราะเหมือนหนึ่งจะใช้ว่าเจ้าป้าเธอ พระเจ้าลุงเธอ จึ่งได้ยักเสียเป็น บรมวงศ์เธอ
ข้างฝ่ายราชวงศ์เธอนั้นเล่า ถ้าจะว่าหลานเธอก็ผิด ด้วยศักดินาสูงกว่าหลานเธอ จะเรียกว่า อะไรเธอ ก็เรียกตรงยาก จึงได้ยักเรียกไปอย่างนั้น
จะว่าโดยพวกวรวงศ์เธอ บวรวงศ์เธอ นั้นเล่า ยศบรรดาศักด์ก็เหมือนหลานเธอ แต่ถ้าจะเรียดหลายเธอก็ไม่ได้ เพราะพระวรวงศ์เธอทั้ง ๔ ชั้นก็เป็นพระวงศ์ผู้ใหญ่ ครั้นจะไปเรียกรวมกันเข้ากับเจ้านายวังหน้า ยศก็ผิกกันไป ต่างหมู่ต่างพวกไม่สมควร จึงได้ยกขึ้นเป็นชื่อเสียอย่างหนึ่ง ถึงประพันธวงศ์เธอ สัมพันธวงศ์เธอ ก็เหมือนกัน
คำซึ่งเรียกต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นแต่เลือกหาคำที่เพราะที่สูงให้เป็นลำดับกัน แต่ต้องเข้าใจว่าที่เรียกพระอะไรเธอนั้น เป็นพระอะไรของพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียว เหมือนหนึ่งพระบุตร พระบุตรีวังหน้า จะเรียกพระเจ้าลูกเธอวังหน้าก็ไม่ได้ ผู้ซึ่งเรียกดังนี้ แต่ก่อนมาก็ทราบว่า มีความผิดทุกครั้ง ภายหลังมาเมื่อเราเป็นผู้รับฎีกา ได้เห็นมีผู้มาร้องฎีกา เรียกว่าพระเจ้าลูกเธอวังหน้า ก็ต้องรับพระราชอาญาเป็น ๒ คน ๓ คน การเรื่องนี้ตรงกันกับธรรมเนียมใช้เลขทับศก ต้องใช้ปีราชสมบัติของพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวเหมือนกัน
ยังมีคำนำพระนามวิเศษอีกอย่างหนึ่ง พึ่งเกิดขึ้นในแผ่นดินปัจจุบันนี้ คือ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร ซึ่งเป็นพระภคนีของกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ซึ่งเป็นพระอัยกาฝ่ายพระมารดาของเรา ก็นับว่าเป็นพระอัยยิกาน้องข้างฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นพระเจ้าราชวงศ์เธอ แต่พระองค์ท่านเป็นผู้ทำนุบำรุงเรามาแต่เล็กจนโต เหมือนเป็นพระชนนี จึงได้ย่อมให้เรียกเป็นพระอัยยิกาเธอตามทางพระมารดาของเราองค์หนึ่ง กับกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ถ้าจะนับก็เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๒ แต่ท่านได้อุปัชฌาย์สั่งสอนเรามาก จึงได้ยอมยกให้เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เหมือนหนึ่งกับอาของเรา มีแปลกอยู่ ๒ แห่งเท่านี้
ถัดจากชั้นพระองค์เจ้าลงไปอีก คือ พระบุตร พระบุตรี กรมพระราชวังหลัง ซึ่งไม่ได้เกิดด้วยบริจา แลพระบุตร พระบุตรี เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า ซึ่มารดาไม่ได้เป็นพระองค์เจ้าทุกๆชั้น ต้องเป็นหม่อมเจ้า มีศักดินา ๑,๕๐๐
ลูกของหม่อมเจ้าเป็นหม่อมราชวงศ์ มีศักดินา ๕๐๐ ลูกของหม่อมราชวงศ์ลงไป เป็นหม่อมหลวงมีศักดินา ๔๐๐ ต่อนั้นเป็นนายตามธรรมเนียม
แต่หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวงนี้ ถ้าจะมียศติดเนื่องกับเจ้านายเรียกว่า ราชินิกุล ก็มีชื่อตามตำแหน่งโบราณ ที่เป็นเจ้าพนักงานขี่ช้างค่าย ๔ ถือศักดินา ๑,๐๐๐ ขี่ช้างค้ำปลายเชือก ขี่ม้า โขลงกระบือ เหล่านี้ถือศักดินา ๘๐๐ ธรรมเนียมโบราณเต็มที สำหรับไปทัพใกล้พระองค์พระเจ้าแผ่นดิน แต่มาภายหลังตั้งไม่ใคร่จะเต็ม มีแต่คนหนึ่งสองคนไม่ได้เรียกว่าเจ้าในราชการ เปลี่ยนเป็นหม่อม เหมือนหม่อมกระต่ายราโชไทย หม่อมเทวาธิราชซึ่งยังอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่ข้างนอกเขาเรียกกันว่า เจ้าต่าย เจ้าเทวหนึ่ง แต่ที่ไปเป็นขุนนางเสียทีเดียวก็มีบ้าง
ตั้งแต่หม่อมราชวงศ์ลงมา เวลาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่ก่อนต้องนุ่งสมปักเหมือนขุนนาง แต่คนละอย่าง คาดผ้าขาว ไม่ใช่แพรสี แลนุ่งผ้ามีลายต่างๆสีต่างๆไม่ได้ เหมือนหนึ่งเจ้าที่ยังมียศเป็นเจ้าแท้ ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไปในเจ้านาย ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไปจะแต่งตัวอย่างไรๆมาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีความผิด
นับราชระกูลเป็นสิ้นเพียงเท่านี้
....................................................................................................................................................
Create Date : 15 มีนาคม 2550 |
| |
|
Last Update : 15 มีนาคม 2550 17:11:02 น. |
| |
Counter : 6273 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
กัมม์ |
|
|
|
|