กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
ว่าด้วยประเทศสยามในจดหมายเหตุจีน


คัดจาก หนังสือประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔ (ภาค ๔ ตอนปลาย และภาค ๕)
องค์การค้าของคุรุสภา ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ ถ.ราชดำเนิน
พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง ๓,๐๐๐ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๐๖ ปกอ่อนราคา ๑๐ บาท


...............................................................................................................................................


ว่าด้วยสยามประเทศในจดหมายเหตุจีน
คัดจากหนังสือ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕
คำนำภาคที่ ๕ พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดังนี้

หนังสือจดหมายเหตุจีนว่าด้วยสยามประเทศ ได้ตรวจสอบในหนังสือจีนมี ๕ เรื่อง คือ
๑. หนังสือฮ่วงฉียวบุ๋นเหี่ยนทงเค้า
๒. หนังสือคิมเตี้ยซกทงจี่
๓. หนังสือยี่จั๋บสี่ซื้อ ตอนเหม็งซื้องั่วก๊กเลียดต้วน
๔. หนังสือคิมเตี้ยซกทงเตี้ยน
๕. หนังสือกึงตังทงจี่

จดหมายเหตุจีนเหล่านี้ หลวงเจนจีนอักษร (สุดใจ) พนักงานหอพระสมุดฯ ได้แปลเป็นภาษาไทยเฉพาะตอนที่กล่าวด้วยประเทศสยาม เรียบเรียงทูลเกล้าฯ ถวายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปีระกาเอกศก พ.ศ. ๒๔๕๓ เจ้าพระยายมราชได้พิมพ์ช่วยในงานศพพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต เป็นครั้งแรก เมื่อปีฉลูเบญจศก พ.ศ. ๒๔๕๖

ผู้ที่ได้อ่านพากันชอบ ด้วยได้ความรู้เรื่องพงศาวดารตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระร่วงสุโขทัย และครั้งกรุงเก่าแปลกๆ อีกหลายอย่าง แต่หนังสือเรื่องนี้เมื่อพิมพ์ครั้งแรกไปแจกไว้ตามหัวเมืองมาก เพราะทำศพพระยารัษฎรนุประดิษฐที่เมืองระนอง ที่ในกรุงเทพฯ ไม่ใคร่จะมีใครได้อ่าน มีผู้มาสืบหาที่หอพระสมุดฯ อยู่เนืองๆ ไม่ขาด อีกประการ ๑ เมื่อพิมพ์ครั้งแรกนั้น ยังไม่ได้สอบศักราชรัชกาลครั้งกรุงเก่าได้แน่นอน จดหมายเหตุจีนมักเรียกพระเจ้าแผ่นดินสยามแต่ว่า “เสี้ยมหลอก๊กอ๋อง” รู้ไม่ใคร่ได้ว่าความที่กล่าวตรงไหนจะเป็นในแผ่นดินไหนแน่

บัดนี้ได้สอบศักราชรัชกาลครั้งกรุงเก่ารู้ได้เกือบจะไม่ผิดแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้บอกรัชกาลและได้ทำคำอธิบายเพิ่มเติมลงไว้ในฉบับที่พิมพ์เล่มนี้ เชื่อว่าทำให้ดีขึ้นกว่าที่พิมพ์ครั้งแรกเป็นอันมาก ถึงผู้ที่มีฉบับพิมพ์ครั้งแรกอยู่แล้ว ก็คงจะพอใจอ่านฉบับนี้อีก

........................................................................................................



อธิบายเบื้องต้น
พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

หนังสือเรื่องทางพระราชไมตรีระหว่างกรุงจีนกับกรุงสยามนี้ หลวงเจนจีนอักษร (สุดใจ) พนักงานหอพระสมุดวชิรญาณ แปลถวายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แปลจากหนังสือจีน ๓ เรื่อง คือ หนังสือคิมเตี้ยซกทงจี่เรื่อง ๑ หนังสือหวงเฉียวบุ๋นเหี่ยนทงเค้าเรื่อง ๑ หนังสือยี่จั๋บสี่ซื้อ ตอนเหม็งซื้องั่วก๊กเลียดต้วนเรื่อง ๑ เป็นจดหมายเหตุกล่าวถึงทางพระราชไมตรีที่กรุงสยามได้มีมากับกรุงจีน ตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระร่วงตั้งราชธานีอยู่ที่นครสุโขทัย ตลอดเวลากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ลงมาจนครั้งกรุงธนบุรี

หนังสือจีนทั้ง ๓ เรื่องที่ได้กล่าวมาแล้ว เป็นหนังสือหลวงซึ่งพระเจ้ากรุงจีนราชวงศ์ไต้เชง แผ่นดินเขียนหลง ให้กรรมการข้าราชการตรวจจดหมายเหตุของเก่าในเมืองจีนมาเรียบเรียง (ตรงกับเมื่อครั้งธนบุรี) ว่าด้วยเมืองต่างประเทศที่เคยมีไมตรีกับกรุงจีน หนังสือเหล่านี้จึงมีเนื้อเรื่องเมืองไทยด้วย

ได้ตรวจดูเรื่องที่แปลนี้ เห็นว่าจดหมายเหตุจีนมีหลักฐานหลายอย่าง ควรเป็นเรื่องประกอบพงศาวดารของเมืองไทยได้เรื่อง ๑ แต่ผู้อ่านจำต้องอ่านด้วยไม่ลืมความจริง ๓ ข้อ

ข้อที่ ๑. คือ ต้องไม่ลืมว่าเมื่อจีนมีอำนาจแผ่อาณาเขตออกมาถึงเมืองต่างประเทศทางตะวันตก เช่นในครั้งพระเจ้ากรุงจีนวงศ์หงวนเป็นต้น อันพงศาวดารปรากฏว่า ได้เคยรบพุ่งชนะเมืองพม่า เมืองญวน กรุงจีนไม่เคยชนะและไม่เคยรบพุ่งกับกรุงสยาม เพราะเหตุที่ราชธานีทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างไกลกันมาก เขตแดนก็ไม่ต่อติดกันยืดยาวเหมือนเช่นเมืองพม่าและเมืองญวน เพราะฉะนั้น การเกี่ยวข้องในระหว่างกรุงจีนกับกรุงสยามแต่โบราณมา เคยมีแต่เป็นมิตรไมตรีอย่างบ้านพี่เมืองน้อง ไทยไม่ได้เคยยอมเป็นเมืองขึ้นจีน

ข้อที่ ๒. นั้นต้องไม่ลืมว่าวิสัยพระเจ้าแผ่นดินจีนชอบยกย่องเกียรติยศของตนเองแต่ไรๆ มา บรรดาเมืองต่างประเทศที่ไปมาค้าขายหรือแต่งราชทูตไปเมืองจีน จีนจดหมายเหตุตีขลุมเอาว่าไปอ่อนน้อมยอมขึ้นต่อกรุงจีน ไม่เลือกหน้าว่าประเทศไหนๆ พระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศไม่ว่ายุโรปหรือเอเชีย จดหมายเหตุจีนไม่ยอมยกเกียรติยศให้ใครเป็น “ฮ่องเต้” ให้เป็นเพียง “อ๋อง” ทุกประเทศ ต่างประเทศที่ไปมาค้าขายหรือเกี่ยวข้องกับจีน เมื่อยังไม่รู้หนังสือและภาษาจีน ก็ไม่รู้เท่าจีน การเป็นดังนี้มาหลายร้อยปี จนที่สุดเมื่ออังกฤษกับฝรั่งเศสทำสงครามชนะจีน ฝรั่งเล่ากันว่าเมื่อจะเดินทัพเข้าเมืองปักกิ่ง จีนยังทำธงเขียนตัวหนังสือจีนนำหน้า ว่าฝรั่งจะเข้าไปคำนับอ่อนน้อม ฝรั่งพึ่งมารู้ตัวว่าถูกจีนหลอกในเรื่องเหล่านี้ เมื่อฝรั่งมาเรียนรู้หนังสือและภาษาจีน จนต้องมีในข้อหนังสือสัญญาให้จีนยอมรับว่า พระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศเป็นฮ่องเต้เหมือนกับจีน การเป็นมาดังนี้ บรรดาจดหมายตุของจีนในชั้นเก่าๆ จึงเรียกพระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศว่าอ๋อง และเหมาเอาการที่ทูตไปเมืองจีนว่าไปยอมเป็นเมืองขึ้นทั้งนั้น ไม่ว่าฝรั่ง หรือแขก หรือไทย

ข้อที่ ๓. เหตุที่เมืองไทยจะเป็นไมตรีกับกรุงจีนนั้น เกิดแต่ด้วยเรื่องไปมาค้าขายถึงกันทางทะเล เมืองไทยมีสินค้าหลายอย่าง ซึ่งเป็นของต้องการในเมืองจีนแต่โบราณมาเหมือนกันทุกวันนี้ และเมืองจีนก็มีสินค้าหลายอย่างที่ไทยต้องการเหมือนกัน การไปมาค้าขายกับเมืองจีน ไทยได้ผลประโยชน์มาก แต่ประเพณีจีนในครั้งนั้น ถ้าเมืองต่างประเทศไปค้าขาย ต้องมีเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน จึงจะปล่อยให้ค้าขายโดยสะดวก เพราะเหตุนี้จึงมีประเพณีที่ถวายบรรณาการแก่พระเจ้ากรุงจีน ไม่แต่ประเทศไทยเรา ถึงประเทศอื่นก็อย่างเดียวกัน

ผู้อ่านจะต้องเข้าใจความจริงทั้ง ๓ ข้อนี้ จึงจะไม่ประหลาดใจและไม่เข้าใจผิด เมื่อเวลาอ่านจดหมายเหตุของจีน ซึ่งกล่าวเป็นโวหารดุจว่ากรุงสยามเป็นเมืองขึ้นของกรุงจีน การที่แต่งหนังสือใช้โวหารเช่นนั้น จะโทษแต่จีนก็ไม่ได้ ถึงไทยเราก็เอาบ้าง ท่านผู้ใดได้อ่านหนังสือพงศาวดารเหนือ คงจะได้พบในเรื่องหนังสือนั้น ๒ แห่ง แห่ง ๑ ว่าเมื่อสมเด็จพระร่วงจะลบศักราช พระเจ้ากรุงจีนไม่มาช่วย สมเด็จพระร่วงขัดเคืองยกออกไปเมืองจีน พระเจ้ากรุงจีนต้องถวายพระราชธิดา และได้พวกจีนบริวารเข้ามาคราวนั้น จึงได้มาทำถ้วยชามสังคโลกขึ้นเป็นปฐม อีกแห่ง ๑ เมื่อพระเจ้าสายน้ำผึ้งครองเมืองอโยธยา ก็ว่าได้ราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีนชื่อนางสร้อยดอกหมากมาเป็นพระมเหสี ถ้าเทียบเรื่องที่ไทยเราแต่งไว้แต่ก่อน ก็จะไม่พอกระไรกับที่จีนเขาแต่งนัก

ความจริงบุคคลต่างชาติกัน จะมีชาติใดที่รักชอบกันยืดยาวมายิ่งกว่าไทยกับจีนนี้ไม่เห็นมี ด้วยไม่เคยเป็นศัตรูกัน เคยแต่ไปมาค้าขายและประโยชน์ต่อกันมาได้หลายร้อยปี ความรู้สึกทั้งสองชาติจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งแต่โบราณจนตราบเท่าทุกวันนี้ ซึ่งควรจะหวังว่าจะเป็นอย่างเดียวกันต่อไปในวันหน้า

การไปมาค้าขายในระหว่างจีนกับไทยในครั้งกรุงเก่า ไม่ใช่แต่เป็นประโยชน์เฉพาะแต่แก่จีนและไทยเท่านั้น ฝรั่งก็ต้องมาอาศัยค้าขายกับจีนทางเมืองไทย ความปรากฏในหนังสือจดหมายเหตุของฝรั่งว่า เมื่อฝรั่งรู้ทางเรือที่จะมาจากยุโรปถึงประเทศทางตะวันออกได้ พวกโปรตุเกตเป็นผู้มาค้าขายก่อน พวกโปรตุเกตเป็นคนใจร้ายถือว่ามีปืนไฟ ใช้เรือรบเที่ยวปล้นสะดมขู่กรรโชกตามเมืองที่ไปค้าขาย เป็นเหตุให้จีนเกลียดฝรั่งขึ้น ครั้นต่อมามีพวกฝรั่ง วิลันดา อังกฤษ ออกมาค้าขายทางประเทศนี้ จะไปเมืองจีนไม่ได้สะดวก ต้องมาอาศัยเมืองไทยเป็นที่พักสินค้า ทำการค้าขายกับเมืองจีนและเมืองญี่ปุ่นอยู่นาน ตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมลงมาจนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การค้าขายไปมาในระหว่างเมืองจีนกับเมืองไทยก็ยิ่งเจริญขึ้นโดยลำดับสืบมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

........................................................................................................



พรรณนาว่าด้วยกรุงสยาม

หนังสือเรื่องกรุงสยามได้เป็นพระราชไมตรีกับกรุงจีน ข้าพระพุทธเจ้าขุนเจนจีนอักษร (สุดใจ) แปลออกจากหนังสือ หวงฉียวบุ๋นเหี่ยนทงเค้า เล่ม ๓๔ หน้า ๔๐ หน้า ๔๑ หนังสือหวงฉียวบุ๋นเหี่ยนทงเค้า นี้เป็นหนังสือหลวง ขุนนาง ๖๖ นายเป็นเจ้าพนักงานเรียบเรียงในราชวงศ์ไต้เชง เมื่อแผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๔๒ เตงอีว (ตรงปีระกา จุลศักราช ๑๑๓๙ ปี พ.ศ. ๒๓๒๐ ในครั้งกรุงธนบุรี)

เสี้ยมหลอก๊ก

เสี้ยมหลอก๊กอยู่ฝ่ายตะวันออกเมืองก้วงหลำ เฉียงหัวนอน(เฉียงใต้) มืองกั้งพู้จ้าย(กัมพูชา) ครั้งโบราณมี ๒ ก๊ก เสี้ยม(สยาม คือ สุโขทัย)ก๊กหนึ่ง หลอฮก(ละโว้)ก๊กหนึ่ง อาณาเขตพันลี้เศษ (นับก้าวเท้าแต่ ๑ ถึง ๒๖๐ กว้าเท้าจึงเรียกว่า ลี้) ปลายแดนมีภูเขาล้อมตลอด ในอาณาเขตแบ่งเป็นกุ๋น(เมือง) กุ้ย(อำเภอ) กุ้ยขึ้นฮู้(ขึ้นเมือง) ฮู้ขึ้นต๋าคูสือ (แปลว่าเจ้าพนักงานคลังมณฑล คือ เมืองที่มีข้าหลวงคลังกำกับ คงจะหมายความเป็นเมืองที่ตั้งมณฑล ด้วยแบบราชการวงศ์เชงมีข้าหลวงคลังกำกับแต่เมืองที่ตั้งมณฑล

ต๋าคูสือมี ๙
(๑) เสี้ยมหลอ (จะหมายความว่ากรุงศรีอยุธยา)
(๒) ค้อเล้าสี้ม้า (นครราชสีมา)
(๓) จุกเช่าปั้น
(๔) พี่สี่ลก (พิษณุโลก)
(๕) สกก๊อตท้าย (สุโขทัย)
(๖) โกวผินพี้ (กำแพงเพชร)
(๗) ต๋าวน้าวสี้ (ตะนาวศรี)
(๘) ท้าวพี้
(๙) ลกบี๊

ฮู้มี ๑๔
(๑) ไช้นะ (ชัยนาท)
(๒) บู้เล้า
(๓) บี๊ไช้ (พิชัย)
(๔) ตงปั๊น (เข้าใจว่าชุมพร)
(๕) ลูโซ่ง (เข้าใจว่าหลังสวน)
(๖) พีพี่ (พริบพรี คือ เพชรบุรี)
(๗) พีลี้ (น่าจะเป็นราดพรี คือ ราชบุรี)
(๘) ไช้เอี้ย (ไชยา)
(๙) โตเอี้ยว
(๑๐) กันบู้ลี้ (กาญจนบุรี)
(๑๑) สี้หลวงอ๊วด (ศรีสวัสดิ์)
(๑๒) ไช้ย็อก (ไทรโยค)
(๑๓) ฟั้นสี้วัน (นครสวรรค์)
(๑๔) เจี่ยมปันคอซัง

กุ้ยมี ๗๒ พื้นแผ่นดินข้างฝ่ายทิศตะวันตกเฉียงปลายตีนหรือเฉียงเหนือมีหินกรวด ด้วยเป็นอาณาเขตเสี้ยมก๊ก อาณาเขตหลอฮกก๊กอยู่ฝ่ายทิศตะวันออกเฉียงหัวนอนหรือเฉียงใต้ พื้นแผ่นดินราบและชุมชื้น

เมืองหลวงมีแปดประตู กำแพงเมืองก่อด้วยอิฐ เลียบรอบกำแพงเมืองประมาณสิบลี้เศษ ในเมืองมีคลองน้ำเล็กเรือไปมาได้ นอกเมืองข้างทิศตะวันตกเฉียงหัวนอนหรือเฉียงใต้ราษฎรอยู่หนาแน่น

ก๊กอ๋อง (พระเจ้าแผ่นดิน) อยู่ในเมืองข้างฝ่ายทิศตะวันตก ที่อยู่สร้างเป็นเมืองเลียบรอบกำแพงประมาณสามลี้เศษ เต้ย(พระที่นั่ง)เขียนถาพลายทอง หลังคาเต้ยมุงกระเบื้องทองเหลือง ซิด(ตำหนักและเรือน)มุงกระเบื้องตะกั่ว เกย(ฐานบัตร)เอาตะกั่วหุ้มอิฐ ลูกกรงเอาทองเหลืองหุ้มไม้

ก๊กอ๋องชุดเสงกิมจึงไช้เกีย (พระเจ้าแผ่นดินเสด็จตำบลใดก็ทรงราชยาน) บางครั้งก็ทรงช้างที่มีกูบ สั่ว(พระกลดและร่ม)ที่กั้นทำด้วยผ้าแดง

ก๊กอ๋องหมวยต่างเตงเต้ย (พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกท้องพระโรงทุกเวลาเช้า) พวกขุนนางอยู่ที่พื้นปูพรม นั่งพับเข่าตามลพดับ แล้วยกมือประนมขึ้นถึงศีรษะ ถวายดอกไม้สดคนละหลายช่อ มีกิจก็เอาบุ๋นจือ (หนังสือ) อ่านขึ้นถวายด้วยเสียงอันดัง คอยก๊กอ๋องวินิจฉัยแล้วจึงกลับ

เสี้ยมหลอก๊กมีขุนนาง ๙ ตำแหน่ง
(๑) อกอาอว้าง (ออกญา)
(๒) อกบู้ล้า (ออกพระ)
(๓) อกหมัง (ออกเมือง)
(๔) อกควน (ออกขุน)
(๕) อกมู้น (ออกหมื่น)
(๖) อกบุ่น
(๗) อกปั้ง (ออกพัน)
(๘) อกล้ง (ออกหลวง)
(๙) อกคิว

การตั้งแต่งขุนนาง ให้เจ้าพนักงานไปเลือกเอาราษฎรตามหมู่บ้านมอบให้ต๋าคูสือ ต๋าคูสือให้ผู้ที่จะเป็นขุนนางนำหนังสือมาถวายอ๋อง อ๋องก็สอบตามวิธีที่เคย และสอบไล่ข้อปกครองราษฎรด้วย แม้ผู้ที่มาสอบไล่ตอบถูกต้อง อ๋องก็ตั้งให้เป็นขุนนางเข้ารับราชการตามตำแหน่ง ที่ตอบไม่ถูกต้องก็ไม่ได้เป็นขุนนาง วิธีสอบไล่นั้นสามปีครั้งหนึ่ง แต่หนังสือชาวเสี้ยมหลอก๊กเขียนไปทางข้าง ด้วยไม่ได้เล่าเรียนห่างยี่ (หนังสือจีน)

แต่ก๊กอ๋องนั้นหลีวฮวด (ไว้พระเกศายาว) ฮกเซก(เครื่องแต่งพระองค์) มงกุฎทำด้วยทองคำประดับป๊อเจียะ(เพชรนิลจินดาที่เกิดจากหิน) รูปคล้ายต๋าวหมง(หมวกยอดแหลมสำหรับนายทหารใส่เมื่อเวลาออกรบศึก) เสี่ยงอี(ภูษาเฉียง)ยาวสามเชียะ(นับนิ้ว ๑ ถึง ๑๐ เรียกว่าเชียะ) ใช้แพรตึ้งห้าสี เหียอี้(ภูษาทรง)ทำด้วยด้ายห้าสี เอ๋ย,บ๋วย(ฉลองพระบาท ถุงพระบาท)ทำด้วยแพรตึ้งสีแดง

ขุนนางและราษฎรไว้ผมยาวเกล้ามวย ใช้ปิ่นปักและใช้ผ้าขาวพันศีรษะ ขุนนางตำแหน่งที่ ๑ ถึงที่ ๔ ใช้หมวกทองคำประดับป๊อเจิยะ (พลอย) ตำแหน่งที่ ๕ ถึง ๙ ใช้หมวกทำด้วยแพรตึ้งและทำด้วยกำมะหยี่ นุ่งห่มใช้ผ้าสองผืน รองเท้าทำด้วยหนังโค ผู้หญิงใส่ก่วย (รัดเกล้า) ค่อนไปข้างหลัง เครื่องปักผมใช้เข็มเงินเข็มทอง หน้าปักแป้ง นิ้วมือนั้นใส่แหวน รัดเกล้าและแหวนของคนจนทำด้วยทองเหลือง ผ้าห่มทำด้วยด้ายห้าสียกดอก ผ้านุ่งก็ทำด้วยด้ายห้าสีแต่เอาไหมทองยกดอก นุ่งผ้าสูงพ้นดินสองสามนิ้ว ใส่รองเท้าคีบทำด้วยหนังสีดำสีแดง

ฤดูปีเดือนในเสี้ยมหลอก๊กไม่เที่ยง พื้นแผ่นดินก็เปียกแฉะ ชาวชนต้องอยู่เรือนหอสูง (เรือนโบราณที่มีชั้นบนชั้นล่าง ชั้นบนเรียกว่าหอ) หลังคามุงด้วยไม้หมากเอาหวายผูก ทีมุงด้วยกระเบื้องก็มี เครื่องใช้ไม่มีโต๊ะ , เก้าอี้ และม้านั่ง ใช้แต่พรมกับเสื่อหวายปูพื้น ประชาชนนับถือเซกก่า (พุทธศาสนา) ผู้ชายบวชเป็นเจง (พระภิกษุ) ผู้หญิงบวชเป็นหนี (ชี) ไปอยู่ตามวัด ผู้ที่มียศศักดิ์และมั่งมีนั้นเคารพหุด (นับถือพระภิกษุที่สำเร็จ) มีเงินทองถึงร้อยก็ทำทานกึ่งหนึ่งด้วยไม่มีความเสียดาย

แม้ชาวชนถึงแก่ความตาย ก็เอาน้ำปรอทกรอกปากแล้วจึงเอาไปฝัง ศพคนจนเอาไปทิ้งไว้ที่ฝั่งทะเล ในทันใดก็มีกาหมู่หนึ่งมาจิกกิน บัดเดี๋ยวหนึ่งก็สูญสิ้น ญาติพี่น้องของผู้ตายร้องไห้เอากระดูกทิ้งลงในทะเล เรียกว่า เนี้ยวจึ่ง(ฝังศพกับกา) การซื้อขายใช้เบี้ยแทนตั้งจี๋(กะแปะทองเหลือง) ปีใดไม่ใช้เบี้ยแล้วความไข้ก็เกิดชุกชุม

ขุนนางและราษฎรที่มีเงิน จะใช้จ่ายแต่ลำพังนั้นไม่ได้ ต้องเอาเงินส่งไปเมืองหลวงให้เจ้าพนักงานหลอมหล่อเป็นเมล็ด เอาตราเหล็กตีอักษรอยู่ข้างบนแล้วจึงใช้จ่ายได้ เงินร้อยตำลึงต้องเสียค่าภาษีให้หลวงหกสลึง ถ้าเงินที่ใช้จ่ายไม่มีอักษรตราก็จับผู้เจ้าของเงินลงโทษว่าทำเงินปลอม จับได้ครั้งแรกตัดนิ้วมือขวา ครั้งสองงตัดนิ้วมือซ้าย ครั้งสามโทษถึงตาย การใช้จ่ายเงินทองสุดแล้วแต่ผู้หญิง ด้วยผู้หญิงมีสติปัญญา ผู้ชายที่เป็นสามีก็ต้องเชื่อฟัง

ชาวชนเสี้ยมหลอก๊กมีชื่อไม่มีแซ่ ถ้าเป็นขุนนางเรียกว่าอกม้ง (ม้งแปลว่านั้น หมายความว่าออกนั้น) ผู้ที่มั่งมีเรียกว่านายม้ง ยากจนเรียกว่าอ้ายม้ง ขนบธรรมเนียมของชาวชนนั้นแข็งกระด้าง การรบศึกสงครามชำนาญทางเรือ ไต๊เจี่ยง(นายทหารใหญ่)เอาเซ่งทิ(เครื่องราง)พันกาย สำหรับป้องกันหอกดาบและจี่(จี่แปลว่าลูกธนู) เซ่งทินั้นกระดูกศีรษะผี ว่ายิงแทงไม่เป็นอันตราย

สิ่งของที่มีในประเทศ อำพันทองที่หอม ไม้หอมสีทอง ไม้หอมสีเงิน เนื้อไม้ ไม้ฝาง ไม้แก่นดำ งาช้าง หอกระดาน กระวาน พริกไทย ไต๊ปึงจื่อ(ผลไม้) เฉียงหมุยโล่ว(น้ำลูกไม้กลั่น) ไซรเอี๋ยเซี้ยม(แพรมาจากเมืองพุทเกด) แพรลายทอง สิ่งของงที่กล่าวนี้เคยเอามาถวายเป็นเครื่องยรรณาการ

ทองคำและหินสีต่างๆ ที่มีในประเทศ ทองคำก้อน ทองคำทราย ป๊อเจียะ(พลอยหินต่างๆ) ตะกั่วแข็ง

สัตว์สี่เท้า สัตว์สองเท้า สัตว์มีเกล็ด ที่มีในประเทศ แรด ช้าง นกยูง นกแก้วห้าสี ลกจูกกู (เต่าหกเท้า)

ผลไม้และต้นไม้ที่มีในประเทศ ไม้ไผ่ใหญ่ ไม่ไผ่สีสุก ไม้ไผ่เลี้ยง ผลทับทิม แตง ฟัก

สิ่งของที่มีกลิ่นหอม กฤษณา ไม้หอม กานพลู หลอฮก(เครื่องยา) แต่หลอฮกนั้นกลิ่นหอมคล้ายกฤษณา นามประเทศคงจะตั้งตามชื่อของสิ่งนี้ (๑)


........................................................................................................

(๑) ตอนพรรณนาว่าด้วยสยามประเทศนี้ จีนเห็นจะเอาจดหมายเหตุบรรดามีจดไว้เรื่องเมืองไทย ตั้งแต่เก่าที่สุดลงมาจนถึงเวลาที่แต่งหนังสือนี้ มาเก็บเนื้อความรวบรวมลงในที่อันเดียวกัน ไม่ได้แก้ไขตัดทอนการที่เปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง เช่นพรรณาว่าไทยไว้ผมยาวเกล้ามวยเป็นต้น

........................................................................................................



ว่าด้วยทางพระราชไมตรี

หนังสือเรื่องเสี้ยมก๊ก หลอฮกก๊ก เป็นพระราชไมตรีกับกรุงจีน ข้าพระพุทธเจ้า ขุนเจนจีนอักษร (สุดใจ) แปลออกจากหนังสือ คิมเตี้ยซกทงจี่เล่ม ๕ หน้า ๓๔ หน้า ๓๕ หน้า ๓๖ หน้า ๓๗ หน้า ๓๙ หนังสือคิมเตี้ยซกทงจี่นี้เป็นหนังสือหลวง ด้วยขุนนาง ๖๖ นาย เป็นเจ้าพนักงานเรียงหนังสือคิมเตี้ยซกทงจี่ เมื่อแผ่นดินเขียนหลง ปีที่ ๓๒ เตงหาย (ตรงกับปีกุจุลศักราช ๑๑๒๙ ปี) ในราชวงศ์เชงนี้ ต่อมาถึงแผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๕๐ อิจจี๋ (ตรงกับปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๑๔๗ ปี ในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์) ขุนนางจ๋อโตวหงือซื้อ ชื่อกีก๊ก (เจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายขวา) กับขุนนางต๋ายลี้ยี่เคง ชื่อเล็กเซียะหิม (ต๋ายลี้ยี่เคงเป็นกรมขึ้นอยู่ในกระทรวงเมือง) ได้ชำระหนังสือคิมเตี้ยซกทงจี่นี้อีกครั้งหนึ่ง


ครั้งสมเด็จพระร่วงรามคำแหงครองนครสุโขทัย

พระเจ้าหงวนสี่โจ๊วฮ่องเต้ (ครั้งนั้นเป็นปงโกลได้ราชสมบัติในกรุงจีน เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงหงวน นามแผ่นดินเรียกว่า จี่หงวน) แผ่นดินจี่หงวนปีที่ ๑๙ หยิบโหงวลักหง้วย (ตรงกับ ณ เดือนแปด ปีมะเมีย จุลศักราช ๖๔๔ ปี) พระเจ้าหงวนสีจ๊วฮ่องเต้ รับสั่งให้ขุนนางก๊วนกุนโหว ชื่อหอจือจี่เป็นราชทูตไปเกลี้ยกล่อมเสี้ยมก๊ก(๑)

แผ่นดินจี่หงวนปีที่ ๒๖ กี๊ทิ้วจับหง้วย (ตรงกับ ณ เดือน ๑๒ ปีฉลู จุลศักราช ๖๕๑ ปี) หลอฮกก๊กให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย(๒)

แผ่นดินจี่หงวนปีที่ ๒๘ ซินเบ๊าจับหง้วย (ตรงกับ ณ เดือน ๑๒ ปีเถาะจุลศักราช ๖๕๓ ปี) หลอฮกก๊กอ๋องให้ราชทูตนำราชสาส์นอักษรเขียนด้วยน้ำทอง กับเครื่องบรรณาการ คือทองคำ งาช้าง นกกระเรียน นกแก้วห้าสี ขนนกกระเต็น นอระมาด อำพันทอง มาถวาย

แผ่นดินจี่หงวนปีที่ ๓๐ กุ๋ยจี๋สี่หง้วย (ตรงกับ ณ เดือนหก ปีมะเส็ง จุลศักราช ๖๕๕ ปี) พระเจ้าหงวนสี่โจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้ราชทูตไปทำพระราชไมตรีด้วยพระเจ้าเสี้ยมก๊ก(๓)

แผ่นดินจี่หงวนปีที่ ๓๑ กะโหงวชิดหง้วย (ตรงกับ ณ วันเดือนเก้า ปีมะเมีย จุลศักราช ๖๕๖ ปี) ในปีนั้นพระเจ้าหงวนสี่โจ๊วฮ่องเต้สวรรคต พระเจ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้ขึ้นเสวยราชสมบัติ แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนนามแผ่นดิน สี้ยมก๊กอ๋องกังมกติ๋งมาเฝ้า(๔) พระเจ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้รับสั่งกับเสี้ยมก๊กอ๋องกังมกติ๋งว่า แม้ท่านคิดว่าเป็นไมตรีกันแล้ว ก็ควรให้ลูกชายหรือขุนนางมาเป็นจำนำไว้บ้าง

แผ่นดินไต๋เต็ก (นามแผ่นดินของพระเจ้าหงวยเสงจงฮ่องเต้) ปีที่ ๔ แกจื๊อลักหง้วย (ตรงกับ ณ เดือนแปดปีชวด จุลศักราช ๖๖๒ ปี) เสี้ยมก๊กอ๋องมาเฝ้า(๕)

เรื่องเสี้ยมก๊กเป็นไมตรีกับกรุงจีน ข้าพระพุทธเจ้า ขุนเจนจีนอักษร (สุดใจ) แปลออกจากหนังสือคิมเตี้ยซกทงจี่เล่ม ๔๐ หน้า๕๕ หนังสือคิมเตี้ยซกทงจี่เป็นหนังสือหลวง ขุนนางวงศ์ไต้เชง ๖๖ คน เป็นเจ้าพนักงานเรียบเรียง เมื่อแผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๓๒ เตงหาย (ตรงกับปีกุน จุลศักราช ๑๑๒๙) (๖)

เสี้ยมก๊ก

เมื่อครั้งวงศ์หงวน (ตรั้งนั้นมงโกลได้ราชสมบัติในกรุงจีน) ในแผ่นดินพระเจ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้ (พระเจ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้กษัตริย์ที่ ๒ วงศ์หงวนขึ้นครองราชสมบัติปีอิดบี๊ ตรงกับปีมะแม จุลศักราช ๖๕๗ ขนานนามแผ่นดินว่าเจงหงวน) เสี้ยมก๊กให้ราชทูตนำราชสาส์นอักษรเขียนด้วยย้ำทองมาถวาย ด้วยเสี้ยมก๊กกับม่าลี้อี๋เอ้อก๊ก(๗) ทำสงครามโดยสาเหตุความอาฆาตกัน เฉียงเถง(รัฐบาล)แต่งให้ราชทูตนำหนังสือตอบราชสาส์นไปถึงเสี้ยมก๊ก ว่ากล่าวประนีประนอมให้เลิกสงครามกันเสียทั้งสองฝ่าย

ในแผ่นดินไต๊เต็ก (นามแผ่นดินที่เรียกเจงหงวนนั้นยกเลิกเมื่อปีเปียซิน ตรงกับปีวอก จุลศักราช ๖๕๘ นามแผ่นดินที่เรียกไต๊เต๊กนี้ ขนานขึ้นเมื่อปีเต็กอิ๊ว ตรงวกับปีระกา จุลศักราช ๖๕๙ แผ่นดินไต๊เต็กมี ๑๑ ปี) เสี้ยมก๊กให้ราชทูตมาขอม้า พระเจ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้ประทานเสื้อกิมหลูอี(เสื้อยศลายทอง)ให้ไป


........................................................................................................

(๑) เมื่อครั้งราชวงศ์หงวนเป็นใหญ่ในเมืองจีน ยกกองทัพมาปราบปรามตีได้ทั้งเมืองญวนและเมืองพม่า ส่วนเมืองไทยจีนคงจะได้ความว่า พระเจ้าขุนรามคำแหงเข้มแข็งในการศึกสงคราม ทั้งภูมิประเทศก็อยู่ห่าง จึงแต่งทูตมาเกลี้ยกล่อมให้เป็นไมตรี

(๒) ควรจะสังเกตว่า ครั้งพระเจ้ารามคำแหงครองกรุงสุโขทัยนั้น เสี้ยมก๊กกับหลอฮกก๊กยังแยกกันอยู่ ข้อนี้มีเนื้อความในจารึกพ่อขุนรามคำแหงประกอบ ด้วยในจารึกนั้นชื่อเมืองขึ้นนครสุโขทัย ไม่มีชื่อเมืองอโยธยาเมืองละโว้และเมืองอื่นๆ ซึ่งต่อไปทางตะวันออก จนนครราชสีมา อาจจะยังมีผู้ปกครองเมืองละโว้เป็นอาณาจักร ๑ ต่างหาก ซึ่งเรียกในที่นี้ว่า “หลอฮกก๊ก” แต่เป็นไมตรีกับจีนมาก่อนแล้ว

(๓) ตรงนี้ทำให้เข้าใจว่า ทูตจีนมาครั้งแรกเป็นแต่มาฟังลาดเลา พึ่งมาทำไมตรีกันในคราวนี้

(๔) ที่จีนเรียกพระนามเสียก๊กอ๋องว่ากังมกติ๋ง จะมาแต่อะไรยังคิดไม่เห็น แต่ศักราชนั้นตรงกับแผ่นดินพระเจ้ารามคำแหง
(“กังมกติ๋ง” ผมจำชื่อหนังสือไม่ได้ ท่านว่าคือ “กมรเต็ญ(อัญ) - กัมม์)

(๕) พระเจ้ารามคำแหงเสด็จไปเมืองจีน ๒ ครั้งนี้ ที่ไปเอาจีนเข้ามาทำเครื่องถ้วยสังคโลก
(ผมคิดว่าคงไม่ได้เสด็จไปถึงเมืองหลวงหรอกครับ คงเสด็จประพาสที่ใกล้ๆ มากกว่า ที่เข้าเฝ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้ก็คงเป็นราชทูต - กัมม์)

(๖) ความตอนนี้ศักราชก็อยู่ในแผ่นดินพระเจ้ารามคำแหง เป็นแต่คัดมาจากหนังสือเรื่องอื่น

(๗) ม่าลี้อี๋เอ้อก๊ก นี้ เข้าใจว่า มลายู

.........................................................................................................





Create Date : 28 กันยายน 2550
Last Update : 28 กันยายน 2550 11:29:56 น. 4 comments
Counter : 8811 Pageviews.  
 
 
 
 
...............................................................................................................................................


ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ารามาธิบดี อู่ทอง

ข้าพระพุทธเจ้า ขุนเจนจีนอักษร (สุดใจ) เลือกคัดแปลเรื่องพระราชไมตรีในระหว่างกรุงสยามกับกรุงจีน ออกจากหนังสือยี่จั๊บสี่ซื้อ ตอนเหม็งซื้องั่วก๊กเลียดต้วน (เรื่องนานาประเทศในรัชกาลวงศ์เหม็ง) เล่ม ๘๒๘ หน้า ๓๕ถึงหน้า ๔๐ มีข้อความดังนี้

เสี้ยมหลอฮกก๊ก

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๓ แกชุด (ตรงปีจอ จุลศักราช ๗๓๒) พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้ (จูหงวนเจียงได้ราชสมบัติ เป็นพระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้ปฐมกษัตริย์วงศ์เหม็ง ครองราชสมบัติปีโบ้วซิน ตรงปีวอก จุลศักราช ๗๓๐ ขนานนามแผ่นดินว่าหงบู๊ อยู่ในรัชกาล ๓๑ ปี วงศ์เหม็งตั้งกรุงที่น่างกิง สมัยนี้เรียกว่าเมืองเกียงลิ่งฟู้ แขวงมณฑลเกียงซู) รับสั่งให้หลุยจงจุ่นเป็นราชทูต ถือหนังสือรับสั่งไปชวนเสี้ยมหลอฮกก๊กให้เป็นไมตรี(๑)


........................................................................................................
(๑) ตรงนี้ควรสังเกตว่า ในปลายแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดี อู่ทอง จีนเรียกประเทศสยามว่า เสี้ยมหลอฮกก๊ก เหมือนหนึ่งว่าได้รวมเสี้ยมก๊กข้างเหนือกับหลอฮกก๊กข้างใต้ เข้าเป็นอันเดียวกันแล้ว ตามที่ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร พึ่งรวมกันต่อในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ บางทีตรงนี้ผู้เขียนจดหมายเหตุจีนชั้นหลังจะเรียกรวมกันเร็วไป

........................................................................................................



ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๔ ซินหาย (ตรงปีกุน จุลศักราช ๗๓๓) เสี้ยมหลอฮกก๊กอ๋อง เซียนเลียดเจี่ยวปีเองีย(๑) ให้ราชทูตเชิญพระราชสาส์นและพาช้างกับเต่าหกเท้า และสิ่งของในพื้นประเทศมาเจริญทางพระราชไมตรี พร้อมกันกับหลุ่งจงจุ่น พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้านักงานเอาแพรม้วนประทานไปให้อ๋อง กับประทานผ้าม้วนให้ราชทูตด้วย

ในปีนั้นเสี้ยมหลอฮกก๊กอ๋อง ให้ราชทูตกลับมาถวายชัยมงคลในการขึ้นปีใหม่ พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาพงศาวดารเรื่องได้ราชสมบัติ หับแพรม้วนผ้าม้วนประทานไปให้อ๋อง

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๕ หยิมจื๊อ (ตรงปีชวด จุลศักราช ๗๓๔) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตพาหมี ชะนีเผือก กับสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๖ กุ่ยทิ้ว (ตรงปีฉลู จุลศักราช ๗๓๕) ราชทูตเสี้ยมหลอฮกก๊กนำสิ่งของมาถวาย

ในปีนั้นนางเซียนเลียะซือลิ่ง ซึ่งเป็นพระพี่นางของเสี้ยมหลอฮกก๊กอ๋อง(๒) ให้ราชทูตเชิญพระราชสาส์นซึ่งจารึกอักษรในแผ่นทองคำ กับสิ่งของในพื้นประเทศมาถวายตงกง(พระมเหสี) ตงกงไม่รับ

นางเซียนเลียะซือลิ่งให้ราชทูตนำสิ่งของกลับมาถวายอีก พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้ก็ไม่ทรงรับ เป็นแต่โปรดให้เลี้ยงโต๊ะราชทูต

ครั้งนั้นเสี้ยมหลอฮกก๊กไม่ปรีชาสามารถ ชาวปีระเทศก็เชิญเซียนเลียะเปาปี๊เองียสือลี่ตอล่อหลก(๓) ลุงของเสี้ยมหลอฮกก๊กอ๋องขึ้นครองราชสมบัติ แล้วจัดให้ราชทูตมาทูลข้อความเรื่องนี้ กับเอาสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย เจ้าพนักงานก็เลี้ยงดูราชทูต และจัดสิ่งของพระราชทานตอบแทนตามธรรมเนียม

อ๋องที่ขึ้นครองราชสมบัติใหม่ ให้ราชทูตเอาสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย และถวายชัยมงคลในการขึ้นปีใหม่ กับถวายแผนที่เสี้ยมหลอฮกก๊กด้วย ราชทูตที่มาต่างก็มีสิ่งของถวาย พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้ไม่ทรงรับสิ่งของราชทูต

แผ่นดินหงบู้ปีที่ ๗ กะอิ๋น (ตรงปีขาล จุลศักราช ๗๓๖) ราชทูตเสี้ยมหลอฮกก๊กชื่อ ซาลี้ปะ นำสิ่งของมาถวายที่เมืองกวางตง และบอกเล่าแก่เจ้าพนักงานว่า เรือบรรทุกเครื่องราชบรรณาการคราวนี้ มาถึงทะเลอูชีถูกลมคลื่นซัดไปถึงทะเลหน้าเมืองงไฮ้น่าง(ไหหลำ) เดชะบุญได้เจ้าเมืองและขุนนางช่วยจึงได้แต่ฝ้าย ไม้ฝาง ไม้หอมมาถวาย ที่เหลือลมคลื่นซัดไป

เทศาภิบาลมณฑลกวางตงตอบราชทูตว่า พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อว่าสิ่งของที่เอามานี้เป็นเครื่องบรรณาการ เพราะไม่มีพระราชสาส์นกำกับมา ซึ่งราชทูตว่าเรือถูกลมคลื่นซัดแต่สิ่งของยังเหลืออยู่ ทรงเห็นว่าคงจะเป็นพวกพาณิชเสี้ยมหลอฮกก๊กปลอมมา มีรับสั่งไม่ให้รับเครื่องบรรณาการไว้

พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้รับสั่งแก่จงซู(ขุนนางในที่ว่าการอุปราช) กับพนักงานลี้ปู้(กระทรวงแบบธรรมเนียม) ว่าเมื่อครั้งโบราณพวกจูโฮว(เจ้าเมืองเอก) มาเฝ้าเถียนจื๊อ(พระมหากษัตราธิราช) นั้น ปีหนึ่งนำสิ่งของมาถวายแต่เล็กน้อยครั้งหนึ่ง ถึงสามปีจึงมีสิ่งของมาถวายมากๆ เพราเป็นการประชุมใหญ่ ประเทศที่อยู่นอกเขตหัวเมืองทั้งเก้านั้น (หัวเมืองทั้งเก้านั้น คือสิบแปดมณฑลเดิมของประเทศจีน) สีหนึ่ง(สี่หนึ่งนั้นสามสิบปี)จึงมาเฝ้าครั้งหนึ่ง และมีสิ่งของในประเทศมาถวายเพื่อให้เห็นว่าซื่อสัตย์สุจริต แต่เกาหลีก๊กนั้นรู้แบบธรรมเนียมอยู่บ้าง จึงอนุญาตให้สามปีมาจินก้ง(๔) ประเทศทั้งหลายที่อยู่ไกลนั้นคือ เจียมเสีย(ประเทศจามปา) งังน่าง(ญวน) ซีเอี้ยง(โปรตุเกต) ซอลี้(ประเทศซอลี้นั้นอยู่ใกล้เคียงโปรตุเกต เข้าใจว่าสเปญ) เอี๋ยวอวา(ชวา) ปะหนี(ปัตตานี) ซำฟัดฉิ(ประเทศซามฟัดฉินั้น เคยขึ้นชวา) เสี้ยมหลอฮก(สยาม) จินละ(คือละแวก สมัยนี้จีนเรียกกังฟู้จ้าย คือกัมพูชา) เคยมาถวายของเสมอ ฝ่ายเราต้องใช้จ่ายมาก ตั้งแต่นี้ต่อไปจงห้ามประเทศทั้งหลายเหล่านั้นเสีย ว่าไม่ต้องมาถวายของทุกปี เพราะเป็นการลำบากเจ้าพนักงาน จงมีราชสาส์นไปให้ประเทศทั้งหลายทราบทั่วกัน(๕)

เมื่อมีพระราชสาส์นไปห้ามแล้ว ประเทศทั้งหลายก็ยังมาถวายของเสมอ ในปีนั้นสี่จื๊อ (บุตรขุนนางผู้ใหญ่หรือบุตรเจ้าประเทศราช ซึ่งจะได้รับทายาทของบิดา จีนเรียกว่า สี่จื๊อ) ของซูมั่นบังอ๋องชื่อ เจียวหลกควานอิน(๖) เป็นราชทูตถือหนังสือมาถวายฮ่องไทจื๊อ (พระราชโอรส) และมีสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานนำราชทูตเข้าเฝ้าตงกง(พระมเหสี)แล้ว ก็ให้เลี้ยงดูราชทูต กับประทานสิ่งของตอบแทนให้ราชทูตนำกลับไปให้สี่จื๊อ

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๘ อิดเบ๊า (ตรงปีเถาะ จุลศักราช ๗๓๗) ราชทูตเสี้ยมหลอฮกก๊กนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย และสี่จื้อ (บุตรที่จะได้รับสมบัติ) ของมี่นถ้ายอ๋ององค์เก่า (องค์เก่านั้นคือองค์ที่ออกจากราชการ) ชื่อเจี่ยวปะล่อกยก(๗) ให้ราชทูตนำราชสาส์นกับสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย เจ้าพนักงานก็ตอบแทนสิ่งของและเลี้ยงดูราชทูตเหมือนกันกับราชทูลอ๋ององค์ที่ยังอยู่ในราชสมบัติ

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๑๐ เตงจี๋ (ตรงปีมะเส็ง จุลศักราช ๗๓๙) ซูมั่นบังอ๋องให้สี่จื้อชื่อเจี่ยวหลกความนอินมาเผ้า(๘) พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้มีความยินดี รับสั่งให้อยงไวล่าง (ขุนนางในกระทรวงแบบธรรมเนียม) ชื่ออองหัง ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในลีปู๋ (กระทรวงแบบธรรมเนียม) ตอบราชสาส์น กับตราไปให้อ๋องดวงหนึ่ง อักษรในดวงตรามีว่า เสี้ยมหลอก๊กอ๋องจืออิ๋น (ตราของเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง) และประทานเครื่องยศกับค่าใช้จ่ายในระหว่างไปมาให้แก่สี่จื้อเจี่ยวหลกควานอิน ตั้งแต่นั้นต่อไปก็เรียกชื่อประเทศตามอักษรในดวงตราว่า เสี้ยมหลอก๊ก และเคยมาถวายบรรณาการเจริญพระราชไมตรีเสมอ ปีละครั้งก็มี สามปีสองครั้งก็มี ครั้นพระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้จัดราชการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว ต่อหลายปีเสี้ยมหลอก๊กจึงมาเจริญทางพระราชไมตรีครั้งหนึ่ง(๙)

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๑๖ กุ่ยหาย (ตรงปีกุน จุลศักราช ๗๔๕) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาถวายของ พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้ ประทานแพรม้วนกับเครื่องถ้วยชามให้ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำไปให้ก๊กอ๋องเหมือนกันกับจินละก๊ก(ละแวก)

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๒๐ เตงเบ๊า (ตรงปีเถาะ จุลศักราช ๗๔๙) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำพริกไทยหมื่นชั่ง ไม้ฝางหมื่นชั่ง (ชั่งหนึ่งหนักสี่สิบบาท) มาถวาย พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาสิ่งของตอบแทนให้เป็นอันมาก ขณะนั้นราษฎรเมืองอวันเจียวซื้อไม้กฤษณากับสิ่งของต่างๆ ของพวกราชทูต ผู้รักษาเมืองหาว่าผู้ซื้อสิ่งของไว้นั้น คบคิดกันกับพวกต่างประเทศ ก็เอาตัวผู้ซื้อสิ่งของมาขังไว้ ลงโทษประจานมิให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง ครั้นพระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้ทรงทราบ ก็รับสั่งแก่เจ้าพนักงานว่า ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี ต้องเดินผ่านมาทางเมืองอวันเจียว พวกราษฎรเห็นมีสิ่งขิงมาขายก็ซื้อไว้ มิใช่จะคบคิดกันกับพวกต่างประเทศ ให้ปล่อยราษฎรเหล่านั้นเสีย


........................................................................................................

(๑) คำ “เซียนเลียดเจี่ยวปีเองีย” ดูเสียงตรงกับสมเด็จเจ้าพระยามากกว่าคำอื่น หรือจะใช้ยศอย่างนั้นในสมัยนั้น ข้อนี้รู้ไม่ได้

(๒) ที่เรียกว่า “นางเซียนเลียะซือลิ่ง” เซียนเลียะนั้นตรงกับสมเด็จเป็นแน่ แต่ซือลิ่งเหลือที่จะเดา ที่ว่าเป็นพระพี่นางนั้นก็ตรงกัน แต่พระราชพงศาวดารว่าเป็นน้องนาง คือพระราชมารดาของสมเด็จพระราเมศวร

(๓) ตรงนี้เรื่องก็ตรงกับพระราชพงศาวดาร ที่จีนเรียกว่า “เซียนเลียะเป๋าปี๊เองียสือลี่ตอล่อหลก” นี้ ถ้าจะเดาตามเสียง ที่เห็นใกล้ก็คือ สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ แต่หมายความว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ นั้นเป็นแน่ ตรงนี้ว่าเป็นพระเจ้าลุงตรงตามพระราชพงศาวดาร

(๔) ประเพณีจิงก้ง หรือจิ้มก้องนี้ เป็นการที่เข้าใจผิดในข้อสำคัญเรื่องทางพระราชไมตรีในระหว่างจีนกับประเทศอื่น ไม่ใช่แต่กับไทยเท่านั้น จีนตั้งประเพณีว่า ชาวต่างประเทศที่ไปมาค้าขายเมืองจีนนั้น ต่อมีเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน จึงให้ไปมาค้าขาย ต่างประเทศต้องการประโยชน์ในทางค้าขาย จึงจัดเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน ถึงต่างประเทศที่มาค้าขายเมืองไทย ก็มีราชบรรณาการมาถวายเช่นนั้น แต่จีนตีขลุมเอาว่า ประเทศที่ถวายเครื่องราชบรรณาการนั้นยอมขึ้นเมืองจีน เครื่องราชบรรณาการเป็นทำนองของส่วย เช่นถวายต้นไม้ทองเงิน แต่ประเพณีทั้ง ๒ อย่างผิดกันมาก ว่าโดยย่อ เครื่องราชบรรณาการจิ้มก้องไม่จำกัด แต่ของส่วยถวายกับต้นไม้ทองเงินจำกัดจะขาดไม่ได้

(๕) จะเห็นได้ในความตอนนี้ ว่าจีนจะตีขลุมเอาเมืองต่างประเทศที่เป็นไมตรี ให้แลเห็นว่าเป็นประเทศราชขึ้นเมืองจีน ที่ว่าไปถวายของทุกปีนั้น คือถึงฤดูมรสุมที่เรือเมืองต่างประเทศไปค้าขายเมืองจีน ก็ส่งราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีนปีละครั้ง ๑ เพื่อประโยชน์แก่การค้าขาย จีนเห็นไม่ตรงกับแบบส่งส่วย จึงแก้กำหนดให้ถวาย ๓ ปีครั้ง ๑ มิใช่เพราะความกรุณา ดังจะแลเห็นผลได้ในความต่อไปข้างหน้า ว่าประเทศเหล่านั้นก็ยังถวายปีละครั้งเสมอ

(๖) ที่จีนเรียก ซูมั่นบังอ๋อง คือพระเจ้าสุพรรณบุรีเป็นแน่ ที่เรียก เจียวหลกควานอิน นั้น ก็คือเจ้านครอินทร์ ตรงกับในพระราชพงศาวดาร พระราชพงศาวดารว่า เจ้านครอินทร์เป็นหลานเธอของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ได้ความในจดหมายเหตุแจ่มแจ้งว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชให้น้องยาเธอพระองค์ ๑ ครองเมืองสุพรรณบุรี ที่เป็นพระบิดาของเจ้านครอินทร์

(๗) ที่เรียกว่า เจี่ยวปะล่อกยก เดาได้แต่ว่า เจ้าพระ อะไรต่อไปเดาไม่ถูก แต่หมายความว่า พระรามราชา ที่เป็นพระราชโอรสของพระราเมศวรนั้นเป็นแน่ ควรจะสังเกตเห็นได้อีกอย่าง ๑ ว่าการถวายบรรณาการพระเจ้ากรุงจีนนั้น ในประเทศอัน ๑ เจ้านายเมืองไหนๆ จะไปถวายก็ได้ คือ พระองค์ไหนแต่งเรือไปค้าขายเมืองจีน ก็ฝากบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน ไม่เป็นบรรณาการของรัฐบาลนั้นตรงทีเดียว

(๘) เจ้านครอินทร์นี้ต่อมาได้ครองราชสมบัติ ต่อแผ่นดินสมเด็จพระรามราชา เพราะฉะนั้น เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทยพระองค์ที่ ๒ รองแต่พระเจ้ารามคำแหงที่ได้เสด็จไปเมืองจีน

(๙) ควรสังเกตความตรงนี้ บรรณาการเมืองจีนไม่ได้ส่งเป็นกำหนดเสมอ ที่จีนว่านานๆ จึงไปเจริญทางพระราชไมตรีครั้ง ๑ ที่จริงแปลว่า ในตอนนั้นการค้าขายกับเมืองจีนซาไป

........................................................................................................



ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๒๑ โบ้วสิน (ตรงปีมะโรง จุลศักราช ๗๕๐) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำช้างสามสิบช้าง กับคนเลี้ยงช้างหกสิบคนมาถวาย

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๒๒ กี๊จี๋ (ตรงปีมะเส็ง จุลศักราช ๗๕๑) สี่จื้อเจี่ยวหลกควานอิน ให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๒๓ แกโหงว (ตรงปีมะเมีย จุลศักราช ๗๕๒) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำพริกไทย ไม้ฝาง ไม้หอม รวมน้ำหนักแสนเจ็ดหมื่นชั่ง (ชั่งหนึ่งนั้นหนักสี่สิบบาท) มาถวาย

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๒๔ ซินบี้ (ตรงปีมะแม จุลศักราช ๗๕๓) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี ในปีนั้นชาวเจียมเสียก๊ก (ประเทศจามปา อยู่ตอนปากแม่น้ำโขง) แย่งชิงราชสมบัติซึ่งกันและกัน พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้รับสั่งไม่ให้เจ้าพนักงานรับเครื่องบรรณาการนานาประเทศ

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๒๘ อิดหาย (ตรงปีกุน จุลศักราช ๗๕๗) สี่จื้อเจี่ยวหลกควานอินให้ราชทูตนำราชสาส์นกับสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย ในราชสาส์นมีความว่า พระบิดาสิ้นพระชนม์ พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้จงกวาง (ขุนนางกรมขันที) ชื่อจ๋าวตะ นำราชสาส์นกับเครื่องสังเวยไปคำนับศพ และยกย่องสี่จื๊อเจี่ยวหลกควานอินเป็นอ๋อง กับพระราชทานสิ่งของไปให้เป็นอันมาก

ในพระราชสาส์นมีความว่า ตั้งแต่เรา (พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้) ครองราชสมบัติมานี้ ได้แต่งให้ราชทูตออกไปนานาประเทศตามแบบธรรมเนียมวงศ์จิว (พระเจ้าบู๊อ๋องเป็นปฐมกษัตริย์วงศ์จิว ครองราชสมบัติปีกี่เบ๊า ตรงปีเถาะก่อนพุทธกาล ๕๗๘ ปี อยู่ในรัชกาล ๗ ปี วงศ์จิวตั้งกรุงที่เมืองลกเอี๋ยง สมัยนี้เรียกเมืองโฮ่น่างฟู้ ซึ่งตั้งเป็นที่ว่าการมณฑลโฮ่น่าง วงจิวลำดับ ๓๘ กษัตริย์ จำนวนปีในรัชกาล ๘๓๔ ปี) ด้วยวงศ์จิวให้ราชทูตไปนานาประเทศทั่วทั้งสี่ทิศ ราชทูตวงศ์จิวได้ไปถึงสามสิบหกประเทศ ภาษาพูดพ้องกันสามสิบเอ็ดประเทศ แต่แบบธรรมเนียมนั้นต่างกัน สมัยโน้นจึงมีประเทศใหญ่สิบแปดประเทศ ประเทศน้อยสี่สิบเก้าประเทศ มาขึ้นวงศ์จิว เป็นแบบธรรมเนียมเนื่องมาถึงปัจจุบัน

ครั้งนี้ เสี้ยมหลอก๊กกับประเทศเราก็ไม่ใกล้กัน คราวนี้ราชทูตของท่านไปถึงเรา จึงทราบว่าเซยอ๋อง (อ๋ององค์ที่ล่วงลับ) ของท่านสิ้นพระชนม์ ขอให้อ๋องปกครองประเทศตามประเพณีของเซยอ๋องโดยความยุติธรรม ขุนนางและราษฎรก็คงจะชื่นชมยินดี

บัดนี้ เราจัดให้ขุนนางนำหนังสือยกย่องมาให้ท่าน(๑) ขอให้อ๋องปกครองประเทศอย่าให้ผิดแบบธรรมเนียม และอย่างได้เพลิดเพลินในกามคุณ แสวงหาความสำราญ ประเพณีของเซยอ๋องจึงจะเจริญ ขอท่านได้ประพฤติตามคำของเรานี้เถิด

........................................................................................................

(๑) อ๋ององค์ที่ล่วงลับไปนั้น คือพระเจ้านครสุพรรณบุรีที่เป็นพระบิดาของเจ้านครอินทร์ เจ้านครอินทร์ได้ครองเมืองสุพรรณบุรีต่อพระบิดา ก็สมด้วยพระราชพงศาวดาร แล้วจึงได้เข้ามาเสวยราชย์ในกรุงศรีอยุธยา ต่อแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราช

........................................................................................................


ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระรามราชาธิราช

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๓๐ เตงทิ้ว (ตรงปีฉลู จุลศักราช ๗๕๙) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๓๑ โบ้วอิ๋น (ตรงปีขาล จุลศักราช ๗๖๐ ในปีนั้นพระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้สวรรคต พระเจ้ากยหุยฮ่องเต้ครองราชสมบัติลำดับกษัตริย์ที่ ๒ วงศ์เหม็ง ต่อขึ้นปีใหม่จึงขนานนามแผ่นดินว่าเกียนบุ๋น) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินเกียนบุ๋นปีที่ ๔ หยิมโหง้ว (ตรงปีมะเมีย จุลศักราช ๗๖๔ ในปีนั้นเอียนอ๋องราชบุตรที่ ๔ ของพระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้ แย่งเอาราชสมบัติของกษัตริย์ที่ ๒ วงศ์เหม็งได้ เอียนอ๋องก็ขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้ลำดับกษัตริย์ที่ ๓ วงศ์เหม็ง ขนานนามแผ่นดินว่าอย้งลัก ย้ายไปตั้งราชธานีที่เมืองปักกิ่ง) ครั้นพระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้ครองราชสมบัติแล้ว ก็รับสั่งแก่ขุนนางคนหนึ่ง ให้เป็นราชทูตเชิญพระราชสาส์นไปเสี้ยมหลอก๊ก

........................................................................................................

 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:9:42:29 น.  

 
 
 
...............................................................................................................................................



ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนครอินทราธิราช

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๑ กุยบี้ (ตรงปีมะแม จุลศักราช ๗๖๕) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาตรา ซึ่งทำด้วยเงินชุบทองคำยอดตราทำเป็นรูปอูฐดวงหนึ่ง ประทานให้ราชทูตนำไปให้ก๊กอ๋องเจี่ยวหลกควานอินตอล่อทีล้า(๑)

ลักหง้วย (ตรงกับเดือน ๘) พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้ทรงเพิ่มพระเกียรติยศพระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้เป็น พระเจ้าไถ่โจ๊วเสงเกาฮ่องเต้ ให้ขุนนางคนหนึ่งเป็นราชทูตเชิญพระราชสาส์นไปถวายเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง

โป๊ยหง้วย (ตรงกับเดือน ๑๐) พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้เกะซือจงชื่ออองเจะ ฮินเย่นชื่อเสงหวู เอาแพรม้วนกับสิ่งของต่างๆ ไปถวาบยเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง (เกะซือจง, ฮินเย่น สองตำแหน่งนี้คือตำแหน่งขุนนางในกระทรวงขนบธรรมเนียม)

เก้าหง้วย (ตรงกับเดือน ๑๑) พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้จงกวาง (ขุนนางในกรมขันที) ชื่อลีฮิน เชิญพระราชสาส์นกับสิ่งของต่างๆ ไปถวายเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง ทั้งมีสิ่งของไปประทานให้ขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารด้วย

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๒ กะซิน (ตรงปีวอก จุลศักราช ๗๖๖) เรือเสี้ยมหลอก๊กถูกลมซัดไปถึงทะเลหน้าเมืองฝกเกี๋ยน เจ้าพนักงานไต่สวนได้ความว่า เรือเสี้ยมหลอก๊กจะไปหลิวขิวก๊ก (หลิวขิวก๊กนั้นอยู่ใกล้เคียงกับญี่ปุ่น สมัยนี้ญี่ปุ่นปกครอง) เจ้าพนักงานก็เก็บภาษีสินค้ามีหนังสือบอกมาถึงเมืองหลวง

ครั้นพระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้ทรงทราบ จึงรับสั่งว่าเสี้ยมหลอก๊กกับหลิวขิวก๊กเป็นไมตรีกันก็เป็นการดีแล้ว นี่เป็นคราวเคราะห์เรือจึงถูกลมซัดเข้ามาในอาณาเขต ควรมีความสงสารจึงจะถูก ไม่ควรเก็บภาษีสินค้าเอามาเป็นประโยชน์ ผู้รักษาเมืองต้องช่วยเหลือเกื้อหนุนซ่อมแซมเรือ และจัดเสบียงอาหาร ให้คอยมีลมดีแล้ว ให้ปล่อยเรือเสี้ยมหลอก๊กไปหลิวขิวก๊ก

ในปีนั้น เสี้ยมหลอก๊กอ๋องได้รับตรากับสิ่งของต่างๆ ที่พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้ส่งไปถวายแล้ว ก็ให้ราชทูตมาถวายคำนับขอบคุณ และมีสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาสิ่งของตอบแทนให้เป็นอันมาก และประทานหนังสือประวัติสตรีสุจริตให้ร้อยเล่ม ราชทูตทูลขอกฎหมายเพื่อเอาไปเป็นแบบอย่างไว้สำหรับประเทศ พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้ก็ทรงประทานให้(๒)

เมื่อครั้งก่อนนั้น ราชทูตเจี่ยมเสี้ยมก๊ก (ประเทศเจียมเสี้ยมก๊กนั้นใกล้กันกับไหหลำ) มาเจริญทางไมตรีกลับไป เรือถูกลมซัดไปถึงตำบลพั่งฮิน ชาวเสี้ยมหลอก๊กจับราชทูตไว้ไม่ปล่อยให้กลับไป เจียมเสี้ยมก๊กอ๋องซูมั่นตะล้ากับมั่นล้าเกีย (ซูมั่นตะล้า , มั่นล้าเกีย ทั้งสองนี้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเจียนเสี้ยมก๊ก) มีราชสาส์นมาฟ้องว่าชาวเสี้ยมหลอก๊กถือว่ามีอำนาจ จึงให้พลทหารเที่ยวสกัดตีแย่งชิงเอาหนังสือยกย่องกับดวงตราที่เทียนเฉียว (เมืองสวรรค์ หมายความว่าประเทศจีน) ประทานให้ไป

พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้ มีพระราชสาส์นไปต่อว่าเสี้ยมหลอก๊กอ๋องว่า เจียมเสี้ยมก๊กอ๋องซูมั่นตะล้า กับมั่นล้าเกีย เป็นประเทศที่เป็นไมตรีกับเราเหมือนกับท่าน ท่านไม่ควรกระทำตามอำนาจจับราชทูตแย่งชิงเอาหนังสือยกย่องกับดวงตราของเจียมเสี้ยมก๊กไว้ แต่ความยุติธรรมของโลกนั้น ถ้าผู้ใดจะมีบุญญาธิการก็ประพฤติกิจการที่ดี ความพินาศจะมาถึงก็ประพฤติอุลามก เช่นกับอ้ายโจรเหล (เจ้าประเทศญวน) งังน่านก๊กซึ่งเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว ขอให้ท่านจงส่งราชทูตเจียมเสี้ยมก๊กกับสิ่งของที่แย่งชิงเอาไว้นั้น ไปให้เจียมเสี้ยมก๊กอ๋องกับมั่นล้าเกีย ตั้งแต่นี้ต่อไปขอให้ประพฤติตามคำตักเตือนของเรา ปกครองขอบขัณฑเสมาอย่าให้ผิดธรรมเนียม และต้องมีไมตรีกับประเทศที่ใกล้เคียงกัน จึงจะอยู่เป็นสุขไปกาลนาน

เมื่อครั้งก่อน เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตมาเจริญทางไมตรี เรือถูกลมซัดไปถึงอ่าวงังน่าง ถูกอ้ายโจรเหล (เจ้าประเทศญวน) ฆ่าฟันไพร่พลเสียสิ้น เหลืออยู่แต่ปะหักคนหนึ่ง ต่อไปไม่นานกองทัพจงก๊ก (ประเทศจีน) ยกไปตีงังน่างก๊ก (ประเทศญวน) แตก จับเอาผู้คนกลับมา ปะหักก็ถูกจับมาด้วย พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้ทรงสงสารปะหักยิ่งนัก

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๖ โบ๊วจื้อโป้ยหง้วย (ตรงกับเดือน ๑๐ ปีชวดจุลศักราช ๗๗๐) พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้จงกวาง (ขุนนางในกรมขันที) ชื่อเจียงโย่งไปส่งปะหัก ณ เสี้ยมหลอก๊ก กับประทานสิ่งของไปให้อ๋องด้วย และมีรับสั่งไปว่า ขอให้อ๋องชุบเลี้ยงครอบครัวที่ถูกอ้ายโจรเหล (เจ้าประเทศญวน) ฆ่าฟัน อย่าให้ถึงแก่ความอดอยาก

จงกวาง (ขุนนางในกรมขันที) ชื่อ เจียนห้อ ซึ่งพระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้ให้เป็นราชทูตไปเกลี้ยกล่อมนานาประเทศ (เมื่อจงกวางเจียนห้อเป็นราชทูตไปเกลี้ยกล่อมนานาประเทศนั้น ได้คุมพลทหารสองหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยเศษยกไปทางเรือ ลงเรือที่อ่าวทะเลหน้าเมืองฝกเกียน จำนวนเรือสำเภาหกสิบสองลำ ออกเรือเมื่อแผ่นดินอย้งลักปีที่ ๓ อิดอิ๊วลักหง้วย (ตรง ณ เดือน ๘ ปีระกา จุลศักราช ๗๖๗ มีในพงศาวดารวงศ์เหม็งตอนประวัติขุนนาง) ได้ไปถึงเสี้ยมหลอก๊กเมื่อเก้าหง้วย (ตรง ณ เดือน ๑๑ ปีชวด) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาเจริญทางไมตรีและรับผิดการที่ทำครั้งก่อน

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๗ กีทิ้ว (ตรงปีฉลู จุลศักราช ๗๗๑) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำเครื่องสังเวยมาคำนับพระศพนางเย่นเหี่ยวฮองเฮา พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้จงกวาง (ขุนนางในกรมขันที) นำเครื่องสังเวยเข้าไปคำนับพระศพ

ในระหว่างนั้น มีราษฎรทุจริตชื่อห้อปะกวานกับพรรคพวกพากันหลบหนีไปอาศัยอยู่กับเสี้ยมหลอก๊ก ครั้นราชทูตเสี้ยมหลอก๊กจะกลับประเทศ พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งแก่ราชทูตว่า ถ้าท่านกลับไปถึงเสี้ยมหลอก๊กแล้ว จงบอกแก่จู๊ (เจ้า) ของท่านว่าอย่าได้คบหากับพวกทุจริตที่หนีไปเลย เสี้ยมหลอก๊กอ๋องก็ตกลงตามรับสั่ง จัดให้ราชทูตนำม้ากับสิ่งของในประเทศมาถวาย และคุมตัวห้อปะกวางกับพรรคพวกมาถวายด้วย พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้เจียงย่งตอบราชสาส์น กับตอบแทนสิ่งของให้ตามความชอบ

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๙ ซินเบา (ตรงปีมะโรง จุลศักดราช ๗๗๓) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี
กษัตริย์
แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๑๐ หยิมสิน (ตรงปีมะโรง จุลศักราช ๗๗๔) พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้จงกวาง (ขุนนางในกรมขันที) ชื่อหงเป๊า เอาสิ่งของไปกับราชทูตเสี้ยมหลอก๊กเป็นอันมาก เอาไปประทานให้ก๊กอ๋อง ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (สามพระยา)

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๑๔ เปี๊ยซิน (ตรงปีวอก จุลศักราช ๗๗๘) อ๋องจื๊อ (ลูกยาเธอ) เสี้ยมหลอก๊กชื่อซำในผอล่อม่อล้าตะติใน ให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย กับมีราชสาส์นมาด้วย ความว่า พระบิดาสิ้นพระชนม์ พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้จงกวาง (ขุนนางในกรมขันที) ชื่อเกวาะวั่น นำเครื่องสังเวยไปกับราชทูต ไปคำนับศพเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง และรับสั่งให้ขุนนางคนหนึ่งเชิญพระราชสาส์นไปเจริญทางพระราชไมตรียกย่องอ๋องจื้อ (ลูกยาเธอ) เป็นก๊กอ๋อง (เจ้าประเทศ) กับประทานแพรกิ๊ม (แพรดอก) ขาว แพรโล่ขาว ไปให้ด้วย

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๑๕ เตงอิ๊ว (ตรงปีระกา จุลศักราช ๗๗๙) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย กับมีราชสาส์นมาขอบคุณในการที่ทรงยกย่องเป็นก๊กอ๋อง

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๑๖ โบ้วชุด (ตรงปีจอ จุลศักราช ๗๘๐) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๑๗ กี๊หาย (ตรงปีกุน จุลศักราช ๗๘๑) พระเจ้าเสงโจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้จงกวาง (ขุนนางในกรมขันที) ชื่อเอี่ยงเมี่ยงเป็นราชทูตส่งราชทูตเสี้ยมหลอก๊กกลับไปประเทศ ด้วยชาวเสี้ยมหลอก๊กยกกองทัพไปตีอาณาเขตเจียมเสียก๊กอ๋องมั่นล้าเกีย เพราะฉะนั้นจึงให้ราชทูตถือหนังสือรับสั่งไปช่วยว่ากล่าวทั้งสองฝ่าย ให้ประนีประนอมเป็นไมตรีกัน(๓)

แผ่นดินอย้งลักปีที่ ๑๘ แกจื๊อ (ตรงปีชวด จุลศักราช ๗๘๒) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย และรับผิดเรื่องเจียมเสียก๊ก

แผ่นดินซวงเต็กปีที่ ๑ เปี๊ยโหง้ว (ตรงปีมะเมีย ลุศักราช ๗๘๘ ซวงเต็กนั้น นามแผ่นดินพระเจ้าซวงจงฮ่องเต้ กษัตริย์ที่ ๕ วงศ์เหม็ง พระเจ้าซวงจงฮ่องเต้อยู่ในรัชกาล ๑๐ ปี) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินซวงเต็กปีที่ ๓ โบ้วซิน (ตรงปีวอก จุลศักราช ๗๙๐) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินซวงเต็กปีที่ ๘ กุ่ยทิ้ว (ตรงปีฉลู จุลศักราช ๗๙๕) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องซีลี้กับไน(๔)ให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย

เดิมราชทูตเสี้ยมหลอก๊กชื่อไนซำจ๊ะ(๕) จะมาเจริญทางพระราชไมตรี เรือถูกลมซัดเข้าไปในแม่น้ำหน้าเมืองซินเจียว แขวงเจียมเสียก๊ก ถูกชาวเจียมเสียก๊กแย่งชิงเอาสิ่งของ และจับเอาผู้คนไปสิ้น

แผ่นดินเจี่ยท้งปีที่ ๑ เปี๊ยสิน (ตรงปีมะโรง จุลศักราช ๗๙๘ เจี่ยท้งนั้น นามแผ่นดินพระเจ้าเองจงฮ่องเต้ กษัตริย์ที่ ๖ วงศ์เหม็ง พระเจ้าเองจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติ ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ครองราชสมบัติปีเปี๊ยสินตรงกับปีมะโรง ขนานนามแผ่นดินว่าเจี่ยท้ง อยู่ในรัชกาล ๑๔ ปี ครั้งที่ ๒ ครองราชสมบัติปีเตงทิ้ว ตรงปีฉลู ขนานนามแผ่นดินว่าเทียนสูนอยู่ในรัชกาล ๑๘ ปี) ไนซำจ๊ะโดยสารเรือพาณิชมาเมืองหลวง ถวายเรื่องราวกล่าวโทษชาวเจียมเสียก๊ก หาว่าปล้นสะดมเรือบรรทุกเครื่องราชบรรณาการ จับเอาผู้คนไว้

พระเจ้าเองจงฮ่องเต้รับสั่งให้หาราชทูตเจียมเสียก๊กมาแก้คดีไนซำจ๊ะ ครั้นราชทูตเจียมเสียก๊กมาเฝ้าก็ไม่มีถ้อยคำโต้ตอบ พระเจ้าเองจงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานมีหนังสือรับสั่งให้ราชทูตเจียมเสียก๊กถือไปให้เจียมเสียก๊กอ๋อง ให้ส่งผู้คนและสิ่งของให้ไนซำจ๊ะ

ในปีนั้น เจียมเสียก๊กอ๋องมีราชสาส์นมาถึงลีปู๋ (กระทรวงแบบธรรมเนียม) ความว่า เมื่อปีแล้วมานี้ ข้าพเจ้าให้ราชทูตไปเมืองซีบุ้น เมืองตะน่อ(เมืองตะนาวศรี) พวกโจรในแขวงเสี้ยมหลอก๊กจับเอาราชทูตข้าพเจ้าไว้ ต้องให้ชาวเสี้ยมหลอก๊กส่งผู้คนที่จับไว้ให้ข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้าจึงจะส่งผู้คนและสิ่งของคืนให้เสี้ยมหลอก๊ก

แผ่นดินเจี่ยท้งปีที่ ๓ โบ้วโหง้ว (ตรงปีมะเมีย จุลศักราช ๘๐๐) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาถวายเครื่องบรรณาการ พระเจ้าเองจงฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานมีพระราชสาส์น ตามข้อความในราชสาส์นเจียมเสียก๊ก ขอให้เสี้ยมหลอก๊กอ๋องส่งผู้คนและสิ่งของให้เจียมเสียก๊กคืน มอบให้ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำไปถวายก๊กอ๋อง

แผ่นดินเจี่ยท้งปีที่ ๑๑ เปี๊ยอิ๋น (ตรงปีขาล จุลศักราช ๘๐๘) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องซือลีผอล่อม่อน่อเยาะจีล้า ให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย


........................................................................................................

(๑) อ๋ององค์นี้ คือ เจ้านครอินทร์ ตรงกับพระราชพงศาวดารเมื่อเสวยราชย์แล้ว จึงเรียกว่าเจ้านครอินทราธิราช คงจะเรียกตามพระราชสาส์นที่มีไป แต่ในพระราชพงศาวดารเรียกสมเด็จพระอินทราชาบ้าง สมเด็จพระนครอินทราชบ้าง

(๒) เห็นได้ในหนังสือนี้ ว่าสมเด็จพระนครอินทราธิราชสนิทสนมกับจีนยิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์อื่น

(๓) ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชสามพระยา ไปตีกรุงกัมพูชาต่อปีกุน จุลศักราช ๗๙๓ ที่ว่ายกกองทัพไปตีอาณาเขตจำปาคราวนี้ ไม่มีในพระราชพงศาวดาร

(๔) ที่จีนเรียกพระนามว่า “ซีลี้กับไน” ดังนี้ เดาได้แต่ว่าสมเด็จคำ ๑ ต่อนั้นเดาไม่ถูก แต่คงหมายว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชสามพระยา นั้นเอง

(๕) ที่ว่าราชทูตไทยชื่อ “ไนซำจ๊ะ” นี้ ชอบกลนักหนา ด้วยในหนังสือตำนาน และจดหมายเหตุเก่าทางเมืองนครศรีธรรมราช มีชื่อคนๆ หนึ่งเรียกว่า “นายสามจอม” ตามเรื่องราวว่าเป็นข้าหลวงลงไปทำการงานอะไรหลายอย่าง และยังมีชื่อนายสามขลาอีกชื่อ ๑ ในกฎหมายที่เป็นผู้กราบทูลเรื่องราวอันเป็นมูลเหตุที่ตั้งกฎหมายบางบท (ลักษณะลักพาในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง – กัมม์) ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า ชื่อนายสามจอมและนายสามขลานี้ จะเป็นชื่อตำแหน่งขุนนางในกรุงเก่าชั้นแรกมิใช่ชื่อตัว ที่จีนเรียกว่า “ไนซำจ๊ะ” ตรงนี้ น่าจะตรงกับนายสามจอม

........................................................................................................



ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

แผ่นดินเก๊งไถ่ปีที่ ๓ หยิบซิน (ตรงปีวอก จุลศักราช ๘๑๔ เก๊งไถ่นั้น นามแผ่นดินพระเจ้าเก๊งฮ่องเต้ กษัตริย์ที่ ๗ วงเหม็ง อยู่ในรัชกาล ๑๗ ปี) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินเก๊งไถ่ปีที่ ๔ กุ่ยอิ๊ว (ตรงปีระกา จุลศักราช ๘๑๕) พระเจ้าเก๊งฮ่องเต้รับสั่งให้เกะซือจง (ขุนนางในกระทรวงแบบธรรมเนียม) ชื่อหลิวจู๊ เปแนราชทูตนำเครื่องสังเวยไปคำนับพระศพเสี้ยมหลอก๊กอ๋ององค์ก่อน ซึ่งมีพระนามว่า ซำไนผอล่อม่อล้าตะติไน กับมีพระราชสาส์นไปยกย่องสี่จื๊อ (บุตรที่ได้สมบัติ) บ๋ายล่อสั่งนี้ซุนล้า(๑) เป็นอ๋อง

แผ่นดินเทียนสูนปีที่ ๑ เตงทิ้ว (ตรงปีฉลู จุลศักราช ๘๑๙ เที่ยนสูนนั้น นามแผ่นดินพระเจ้าเองจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติครั้งที่ ๒) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาถวายเครื่องราชบัรรณาการ พระเจ้าเองจงฮ่องเต้ประทานแพรสายอำนาจปะดับด้วยทองคำซึ่งทำเป็นลวดลาย ให้ราชทูตนำไปให้ก๊กอ๋อง

แผ่นดินเทียนสูนปีที่ ๖ หยิมโหง้ว (ตรงปีมะเมีย จุลศักราช ๘๒๔) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องปะล้าน่างล่อเจ๊เจะผอจี๋(๒) ให้ราชทูตนำสิ่งขิงในพื้นประเทศสยามมาถวาย

แผ่นดินเสงห่วยปีที่ ๙ กุ่ยจี่ (ตรงปีมะเส็ง จุลศักราช ๘๓๕ เสงห่วยนั้น นามแผ่นดินพระเจ้าเหี่ยนจงฮ่องเต้กษัตริย์ที่ ๘ วงศ์เหม็ง อยู่ในรัชกาล ๒๓ ปี) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี และทูลว่าเครื่องยศที่ประทานให้ไปแต่เมืองแผ่นดินเทียนสูนปีที่ ๑ นั้น บัดนี้เกิดกินตัวขาดปรุเสียแล้ว จะขอรับประทานอีกใหม่ พระเจ้าเหี่ยนจงฮ่องเต้ก็ประทานให้

แผ่นดินเสงห่วยปีที่ ๑๑ อิดบี้ (ตรงปีมะแม จุลศักราช ๘๓๗) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำบรรณาการมาถวาย

แผ่นดินเสงห่วยปีที่ ๑๖ แกจื๊อ (ตรงปีชวด จุลศักราช ๘๔๒) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาถวายเครื่องบรรณาการ กลับไปประเทศเมื่อแผ่นดินเสงห้วยปีที่ ๑๗ ซินทิ้ว (ตรงปีฉลู จุลศักราช ๘๔๓) ครั้นไปถึงกลางทางก็ลอบลักซื้อเด็กชายเด็กหญิง และซื้อเกลือที่ยังไม่ได้เสียภาษีบรรจุเรือไปด้วย ครั้นพระเจ้าเหี่ยนจงฮ่องเต้ทรงทราบ ก็รับสั่งให้เจ้าพนักงานออกหมายประกาศ ห้ามปรามราชทูตทุกๆ ประเทศที่เคยมาเจริญทางพระราชไมตรี

เดิมราษฎรเมืองตินเจียวคนหนึ่งชื่อเจ้บุ๋นบิ๋น เป็นพาณิชเรือเคยบรรทุกเกลือไปเที่ยวขาย เรือถูกลมซัดไปถึงเสี้ยมหลอก๊ก เจ้บุ๋นบิ๋นก็เลยอาศัยอยู่เสี้ยมหลอก๊ก จนได้เป็นขุนนางตำแหน่งควนงะ(๓) ยศเท่ากันกับตำแหน่งวฮกซือ (อุปราช) ของเทียนเฉียว (เทียนเฉียวแปลว่าเมืองสวรรค์ เป็นคำของพวกจีนยกย่องประเทศของเขา) เจ้บุ๋นบิ๋นเคยเป็นราชทูตมาเจริญทางพระราชไมตรี และเคยลอบลักซื้อสิ่งของที่ต้องห้ามกลับไป จนรู้ไปถึงนายด่านและเจ้าเมือง


........................................................................................................

(๑) ที่จีนเรียกพระนามสมเด็จพระบรมราชาธิราชสามพระยาแห่ง ๑ ว่า “ซีลี้ม่อกับไน” ต่อมาอีกแห่ง ๑ เรียกว่า “ซำไนผอล่อม่อล้าตะติไน” พอสังเกตได้ว่าเป็นพระนามองค์เดียวกัน มีคำพอเดาได้บ้างคือ ซีลี้, ซือลี, ซำไน ๓ คำนี้คือสมเด็จเป็นแน่ ผอล่อคือพระ จีล้าคือธิราช นอกจากนี้ข้าพเจ้าเดาไม่ถูก ขอแรงท่านผู้อ่านช่วยเดาด้วย ส่วนพระนามพระยุวราชจีนเรียกว่า “บ๋ายล่อลั่งนี้ซุนล้า” นั้น บ๋ายล่อ ดูใกล้กับ บรม ลั่งนี้ซุน นั่นคือ ราเมศวร เป็นแน่ ตรงกับพระราชพงศาวดารด้วย แต่คำว่า ล้า ที่อยู่ข้างท้ายจะว่า ราช ก็เห็นพอจะได้ ตรองกับคำว่า บรมราเมศวรราช บางทีจะใช้พระนามอย่างนี้ในราชสาส์นบอกข่าวเปลี่ยนรัชกาลไปยังเมืองจีน

(๒) จีนเรียกพระนามสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถว่า “ปะล้า(พระ)น่างล่อเจ๊เจะผอจี่” ข้าพเจ้าเดาไม่ถูก

(๓) ตำแหน่ง “ควนงะ” ยังเดาไม่ถูกว่าจะเป็นตำแหน่งขุนหรืออะไร

........................................................................................................



แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓

แผ่นดินเสงห่วยปีที่ ๑๘ หยิมอิ๋น (ตรงปีขาล จุลศักราช ๘๔๔) สี่จื๊อ (บุตรที่จะได้ราชสมบัติ) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องชื่อ ก๊กโล่งปล้าเลี้ยควนซีล้าเอี่ยวตี๋(๑) ให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย กับมีราชสาส์นมาว่าพระบิดาสิ้นพระชนม์

พระเจ้าเหี่ยนจงฮ่องเต้รับสั่งให้เกะซือจงชื่อลิ่นเซียวกับฮินเย่น ชื่อเอี๋ยวโล่ง (เกะซือจง ฮินเย่น สองตำแหน่งนี้ คือตำแหน่งขุนนางในกระทรวงแบบธรรมเนียม) เชิญพระราชสาส์นไปยกย่องสี่จื๊อก๊กโล่งปะล้าเลี้ยควนซีล้าเอี่ยวตี๋เป็นอ๋อง


........................................................................................................

(๑) ที่จีนเรียกพระนามยุวราชว่า “ก๊กโล่งปะล้าเลี้ยควนซีล้าเอี่ยวตี๋” ตรงนี้ที่จริงคือ กรุงพระนครศรีอยุธยา มิใช่ชื่อคน และศักราชตรงนี้เร็วไป ๖ ปี ตามพระราชพงศาวดาร สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคตปีวอก จุลศักราช ๘๕๐

........................................................................................................



แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒

แผ่นดินหงตี้ปีที่ ๔ ซินหาย (ตรงปีกุน จุลศักราช ๘๕๓ หงตี้นั้น นามแผ่นดินพระเจ้าเฮาจงฮ่องเต้กษัตริย์ที่ ๙ วงศ์เหม็ง อยู่ในรัชกาล ๑๘ ปี) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาถวายเครื่องบรรณาการ

แผ่นดินหงตี้ปีที่ ๖ กุ่ยทิ้ว (ตรงปีฉลู จุลศักราช ๘๕๕) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินหงตี้ปีที่ ๑๐ เตงจี๋ (ตรงปีมะเส็ง จุลศักราช ๘๕๙) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาถวายเครื่องราชบรรณาการ ขณะนั้นในสถานรับทูตนานาประเทศ ไม่มีเจ้าพนักงานแปลหนังสือเสี้ยมหลอก๊ก อุปราชชื่อฉีปู๋ทูลขอให้มีหนังสือรับสั่งไปมณฑลกวางตง ให้จงต๊ก (เทศาภิบาล)หาคนที่รู้ภาษาและหนังสือเสี้ยมหลอก๊กเข้ามารับราชการในเมืองหลวง พระเจ้าเฮาจงฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาต

แผ่นดินเจ่งเต๊กปีที่ ๔ กี๋จี๋ (ตรงปีมะเส็ง จุลศักราช ๘๕๑ เจ่งเต็กนั้น นามแผ่นดินพระเจ้าบู๊จงฮ่องเต้กษัตริย์ที่ ๑๐ วงศ์เหม็ง อยู่ในรัชกาล ๑๖ ปี) เรือพาณิชเสี้ยมหลอก๊กถูกลมซัดเข้ามาในแม่ย้ำเมืองกวางตง ข้าหลวงกรมเจ้าท่าชื่อฮินสวง กับเจ้าพนักงานกรมเจ้าท่า หารือกันจะเก็บภาษีสินค้าเอาไว้เป็นค่าใช้สอยในฝ่ายทหาร ครั้นพระเจ้าบู๊จงฮ่องเต้ทรงทราบ ก็รับสั่งให้เจ้าพนักงานมีหนังสือรับสั่งไปติเตียนฮินสวงว่ากระทำละเมิด และให้ย้ายฮินสวงไปอยู่เมืองน่างกิง

แผ่นดินเจ่งเต็กปีที่ ๑๐ อิดหาย (ตรงปีกุน จุลศักราช ๘๗๗) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำราชสาส์นซึ่งเขียนอักษรในแผ่นทองคำ กับสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย ขณะนั้นในสถานรับราชทูตนานาประเทศ ไม่มีเจ้าพนักงานแปลหนังสือเสี้ยมหลอก๊ก อุปราชชื่อเลี่ยงจู๊ (อุปราชเลี่ยงจู๊คนนี้มีในหนังสือเจ่งเต็กอิวกังหนำเรียกว่า เนี้ยถุ) ทูลขอเลือกเอาชาวเสี้ยมหลอก๊กที่มาด้วยราชทูตไว้คนหนึ่งหรือสองคน เพื่อจะให้เป็นครูโรงเรียนสอนหนังสือเสี้ยมหลอก๊ก พระเจ้าบู้จงฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาต

แผ่นดินเกียเจ๋งปีที่ ๑ หยิมโหง้ว (ตรงปีมะเมีย จุลศักราช ๘๘๔ เกียเจ๋งนั้น นามแผ่นดินพระเจ้าสี่จงฮ่องเต้ กษัตริย์ที่ ๑๑ วงศ์เหม็ง อยู่ในรัชกาล ๔๕ ปี) เรือพาณิชเสี้ยมหลอก๊กกับเรือพาณิชเจียมเสียก๊กมาจอดอยู่ในแม่น้ำเมืองกวางตง ข้าหลวงกรมเจ้าท่าชื่องิวอย้งปล่อยให้บ่าวไพร่ลอบซื้อสิ่งของที่ยังไม่เสียภาษี ครั้นพระเจ้าสี่จงฮ่องเต้ทรงทราบก็รับสั่งให้เจ้าพนักงานประหารชีวิตงิวอย้งตามกฎหมาย

แผ่นดินเกียเจ๋งปีที่ ๕ เปี๋ยซุก (ตรงปีจอ จุลศักราช ๘๘๘) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

........................................................................................................



แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

แผ่นดินเกียเจ๋งปีที่ ๓๒ กุ่ยทิ้ว (ตรงปีฉลู จุลศักราช ๙๑๕) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำช้างเผือกกับสิ่งของในพื้นประเทศจะมาถวาย ครั้นมาถึงกลางทางช้างเผือกนั้นตายเสีย ราชทูตก็เอาเพชรพลอยประดับงาช้างเผือกใส่ถาดทองคำ พร้อมกับหางช้างเผือกมาถวาย พระเจ้าสี่จงฮ่องเต้ก็ยินดีทรงเห็นว่ามีความตั้งใจจริง จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาสิ่งของตอบแทนให้เป็นอันมาก

แผ่นดินเกียเจ๋งปีที่ ๓๗ โบ้วโหง้ว (ตรงปีมะเมีย จุลศักราช ๙๒๐) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินเกียเจ๋งปีที่ ๓๘ กีบี๊ (ตรงปีมะแม จุลศักราช ๙๒๑) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินเกียเจ๋งปีที่ ๓๙ แกซิน (ตรงปีวอก จุลศักราช ๙๒๒) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

ในระหว่างแผ่นดินโล่งเข่ง (โล่งเข่งนั้น นามแผ่นดินพระเจ้าม๊กจงฮ่องเต้กษัตริย์ที่ ๑๒ วงศ์เหม็ง พระเจ้าม๊กจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติปีเตงเป๊า ตรงปีเถาะ จุลศักราช ๙๒๙ อยู่ในรัชกาล ๖ ปี) ชาวตงมั่งงิวก๊ก (มอญ) ซึ่งอยู๋ใกล้เคียงกันกับเสี้ยมหลอก๊ก มาขอบุตรีเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง เสี้ยมหลอก๊กอ๋องไม่ใช้ ชางตงมั่งงิวก๊กโกรธยกกองทัพมาตีเสี้ยมหลอก๊กแตก ก๊กอ๋องผูกพระศอสิ้นพระชนม์ สี่จื๊อ (บุตรที่จะได้รับราชสมบัติ คือ พระราเมศวร) ถูกชาวตงมั่งงิวก๊กจับเอาไป และเก็บริบเอาดวงตราซึ่งเทียนเฉียว (เมืองสวรรค์ หมายความว่าประเทศจีน) ให้ไปด้วย

ครั้งฉื่อจื๊อ (บุตรที่ ๒ คือสมเด็จพระมหินทราธิราช) ของเสี้ยมหลอก๊กขึ้นครองราชสมบัติ ก็ให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย เมื่อแผ่นดินบ้วนเละปีที่ ๑ กุ่ยอิ้ว (ตรงปีระกา จุลศักราช ๙๓๕ บ้วนเละนั้น นามแผ่นดินพระเจ้าเจ้าสินจงฮ่องเต้ กษัตริย์ที่ ๑๓ วงศ์เหม็ง อยู่ในรัชกาล ๔๗ ปี) มีราชสาส์นมาขอความยกย่องกับดวงตรา พระเจ้าสินจงฮ่องเต้ก็ประทานให้(๑)


........................................................................................................

(๑) ตรงนี้จดหมายเหตุจีนเห็นจะผิด สำคัญสมเด็จพระมหาธรรมราชาว่าเป็นพระองค์เดียวกับสมเด็จพระมหินทราธิราช

........................................................................................................

 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:9:45:12 น.  

 
 
 
...............................................................................................................................................



ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร

แต่นั้นต่อไป ชาวตงมั่งงิวก๊ก (มอญ) ยกกองทัพมาย่ำยีเสมอ สืออ๋อง (เจ้าองค์ที่สืบสมบัติ) ก็มีความมุ่งหมายจะแก้แค้น ไม่ช้านานพวกข้าศึกยกกองทัพมาอีก สืออ๋องก็ตระเตรียมพลทหารยกออกต่อสู้โดยความสามารถ ตีพวกข้าศึกพ่ายแพ้ ฆ่าลูกตงมั่งงิวก๊กอ๋องตาย(๑) พวกข้าศึกก็แตกหนีกลับไป เสี้ยมหลอก๊กมีอำนาจมาแต่ครั้งนั้น ก็เลยยกกองทัพไปตีจินละก๊ก (เมืองละแวก) แตก จินละก๊กอ๋องก็ยอมเป็นเมืองขึ้นตั้งแต่นั้นต่อไป ชาวเสี้ยมหลอก๊กยกกองทัพไปเที่ยวทำสงครามทุกๆ ปี จนมีอำนาจแผ่ไพศาลไปตลอดถึงประเทศที่ใกล้เคียง

แผ่นดินบ้วนเละปีที่ ๖ โบ้วอิ๋น (ตรงปีขาล จุลศักราช ๙๔๐) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย

แผ่นดินบ้วนเละปีที่ ๒๐ หยิมสิน (ตรงปีมะโรง จุลศักราช ๙๕๔) ชาวเยะป๋าน (ญี่ปุ่น) ยกกองทัพไปตีเฉียวเซียน (เกาหลี) ในปีนั้นเสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นเมืองมาถวาย กับมีราชสาส์นมาว่า จะขอยกกองทัพลอบไปตีเยะป๋านก๊ก (ประเทศญี่ปุ่น) ตัดกำลังตอนหลังชาวเยะป๋านเสีย พระเจ้าสินจงฮ่องเต้รับสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่หารือกัน ขณะนั้นจงคี (ขุนนางในที่ว่าการอุปราช) ชื่อเซกเซงเห็นตามข้อความในราชสาส์นที่มีมา แต่เลี้ยงกวางจงต๊ก (เทศาภิบาลสำเร็จราชการสองมณฑล คือมณฑลกวางตงกับมณฑลกวางซี) ชื่อเซียวเง่น มีหนังสือบอกมายังเมืองหลวงว่า ขออย่าได้ยอมให้ชาวเสี้ยมหลอก๊กยกกองทัพไปเป็นอันขาด พระเจ้าสินจงฮ่องเต้ทรงเห็นด้วย ก็ไม่ยอม(๒)


........................................................................................................

(๑) คือที่สมเด็จพระนเรศวรชนช้างชนะพระมหาอุปราชา

(๒) ความตรงนี้ที่ปรากฏว่า สมเด็จพระนเรศวรรับจะยกกองทัพไทยไปตีเมืองญี่ปุ่นช่วยจีน ประหลาดหนักหนา

........................................................................................................



ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ

แผ่นดินบ้วนเละปีที่ ๓๙ ซินหาย (ตรงปีกุน จุลศักราช ๙๗๓) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินบ้วนเละปีที่ ๔๕ เตงจี๋ (ตรงปีมะเส็ง จุลศักราช ๙๗๙) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินบ้วนเละปีที่ ๔๗ กี๊บี๊ (ตรงปีมะแม จุลศักราช ๙๘๑) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กเจริญทางพระราชไมตรี

........................................................................................................



ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม

แผ่นดินเทียนคี้ปีที่ ๓ กุ่ยหาย (ตรงปีกุน จุลศักราช ๙๘๕ เทียนคี้นั้น นามแผ่นดินพระเจ้าฮีจงฮ่องเต่ กษัตริย์ที่ ๑๕ วงศ์เหม็ง อยู่ในรัชกาล ๗ ปี) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

........................................................................................................



ครั้งในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

แผ่นดินชงเจงปีที่ ๗ กะซุด (ตรงปีจอ ศักราช ๙๙๖ ชงเจงนั้น นามแผ่นดินพระเจ้าจ่างเลียดฮ่องเต้ กษัตริย์ที่ ๑๖ วงศ์เหม็ง อยู่ในรัชกาล ๑๗ ปี วงเหม็งลำดับ ๑๖ กษัตริย์ จำนวนปีในรัชกาล ๒๗๗ ปี ต่อวงศ์เหม็งไปนั้น คือวงศ์เชงในปัจจุบันนี้) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินชงเจงปีที่ ๘ อิดหาย (ตรงปีกุน จุลศักราช ๙๙๗) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินชงเจงปีที่ ๙ เปี๊ยจื๊อ (ตรงปีชวด จุลศักราช ๙๙๘) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี

แผ่นดินชงเจงปีที่ ๑๖ กุ่ยบี๊ (ตรงปีมะแม จุลศักราช ๑๐๐๕) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมาเจริญทางพระราชไมตรี แต่ในเสี้ยมหลอก๊กนั้น ชาวประเทศสร้างศาลซามป๊อ ทำรูปจงกวาง (ขุนนางในกรมขันที) ชื่อเจียนห้อไว้สักการบูชา(๑)

แผ่นดินสูนตี้ปีที่ ๙ หยิมสินจับยี่ง้วย (ตรง ณ เดือนยี่ ปีมะโรง จุลศักรช ๑๐๑๔ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย ขอเปลี่ยนตรา พระเจ้าสี่โจ๊วเจียงฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานเปลี่ยนให้ตามประสงค์ ตั้งแต่นั้นก็ส่งเครื่องบรรณาการมาเสมอ(๒)


........................................................................................................

(๑) ที่ชาวต่างประเทศสร้างศาลทำรูปจงกวางไว้บูชาในเมืองไทย น่าจะเป็นศาลเจ้าจีนอะไรแห่ง ๑ ดูไม่มีเค้าเงื่อนอย่างอื่น

(๒) ปรากฏตรงนี้ว่า การที่ไปมากับเมืองจีนห่างไปเสียคราวหนึ่ง พึ่งมาจับสนิทขึ้นอีกเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ความข้อนี้สมกับจดหมายเหตุฝรั่งตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถคลอดมาจนแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ฝรั่งไปมาค้าขายทางเมืองจีนยาก ด้วยโปรตุเกตไปทำหยาบคายร้ายแรงให้จีนเกลียดฝรั่งทั่วไป ฝรั่งต้องมาอาศัยไทยเป็นนายหน้าพาไปค้าขายเมืองจีนและญี่ปุ่นด้วย

........................................................................................................



ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

แผ่นดินฆังฮีปีที่ ๓ กะสินชิดง้วย (ตรง ณ เดือนห้า ปีมะโรง จุลศักราช ๑๐๒๖ ปี) ขุนนางเผ่งหลำอ๋องชื่อเสียงค้อฮี้ ทูลพระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต้ว่า เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตเอาของกำนันมาให้แต่หาได้รับไว้ไม่ และขออนุญาตว่าแต่นี้ต่อไปห้ามไม่ให้ผ็ใดรับของกำนัลต่างประเทศ พระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต้ก็อนุญาต พวกขุนนางเปียนพวน (ขุนนางรักษาปลายเขตแดน) ต๊กบู๊ (เทศาภิบาลและปลัดเทศา) ก็ประพฤติตามรับสั่ง

แผ่นดินฆังฮีปีที่ ๔ อิดจี๋จับอิดง้วย (ตรง ณ เดือนอ้าย ปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๐๒๗ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องเซียนเลียดพะละเจียวกู๊โล่งพะละม้าฮู้ลกควนสือเอี่ยวธีย่าพูอาย (สมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุธยาผู้ใหญ่) ให้ขุนนางควนสือสิงลาเย่ไหมติ (ออกขุนศิริราชไมตรี) เป็นราชทูตนำราชสาส์นซึ่งเขียนอักษรในแผ่นทองคำกับเครื่องบรรณาการลงเรือข้ามทะเลมาถวาย ราชสาส์นมีความว่า

เสี้ยมหลอก๊กอ๋องเซียนเลียดพะละเจียวกู๊โล่งพะละม้าฮู้ลกควนสือเอี่ยวธีย่าพูอาย ขอถวายคำนับทูลไต้เชงฮ่องเต้กษัตริย์องค์ใหม่ซึ่งขึ้นดำรงโลก อานุภาพแผ่ไพศาลประประหนึ่งพระอาทิตย์ส่องอยู่กลางอากาศ ต่างประเทศทั้งสี่ทิศก็สยดสยองขอพึ่งบุญบารมี ข้อความที่ได้สั่งสอนหมื่นประเทศก็ขอบคุณ ข้าพเจ้าผู้เป็นประเทศน้อยขอบคุณเทียนเฉียว (เมืองฟ้า) ประหนึ่งน้ำที่ประพรมระลึกอยู่ในใจเสมอทุกเวลามิได้ขาด บัดนี้ตั้งใจให้ราชทูตมาถวายเครื่องบรรณาการโดยความเคารพนับถือ ด้วยมิได้หมายแลกเปลี่ยนสิ่งของที่ตอบแทน จึงแต่งให้ราชทูตอกควนสือสิงลาเย่ไหมติลี้ (ออกขุนศิริราชไมตรีราชทูต) อุปทูตอกควนซิดมุตอัวดิ (ออกขุนสมุทรวาที) ตรีทูตอกควนสือเซียะเภาะอัวดิ (ออกขุนศรีศุภวาที) ไถ่ลงสือ (ล่าม) สีเกียดเต้เต๊น กับขุนนางอีกหลายนาย ลงเรือข้ามทะเลนำราชสาส์นซึ่งเขียนอักษรในแผ่นทองคำ กับคำแปลเป็นภาษาจีน กับสิ่งของในพื้นประเทศมาก้วงแซ้ (มณฑลก้วงตัง) ขุนนางเจ้าพนักงานนำราชทูตกับสิ่งของมาถวาย ณ เกียซือ (กรุงปักกิ่ง) ถวายความเคารพโดยความตั้งใจ ตามตำแหน่งประเทศที่อยู่ไกล แล้วแต่จะโปรด ข้าพเจ้าผู้น้อยนบนอบเทียนเสี่ย (เจ้าฟ้า) ขอเดชานุภาพเป็นที่พึ่งด้วย จึงได้มีราชสาส์นมาทูลให้ทรงทราบ(๑)

พระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาสิ่งของตอบแทนให้ตามธรรมเนียม

แผ่นดินฆังฮีปีที่ ๗ โบ๊วซินจับอิดง้วย (ตรง ณ เดือนอ้าย ปีวอก จุลศักราช ๑๐๓๐ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตอกควนสือสิงลาเย่ไหมติลี้ นำเครื่องบรรณาการมาถวาย

ขณะนั้นขุนนางผู้ใหญ่หารือกันว่า เสี้ยมหลอก๊กส่งเครื่องบรรณาการมาไม่ถูกต้องเหมือนทุกครั้ง ต้องสั่งว่าคราวหลังจะมาส่งเครื่องบรรณาการ ให้เอาสิ่งของมาใช้คราวนี้ด้วย(๒)

ในทันใดนั้นขุนนางผู้ใหญ่ได้รับสั่งพระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต้ ว่าเสี้ยมหลอก๊กอ๋องเป็นประเทศน้อย เครื่องบรรณาการที่เคยเอามาส่งครั้งก่อนๆ เอามาจากประเทศอื่นก็มี เพราะฉะนั้นจึงคราวนี้ไม่ถูกต้อง แม้ว่าเครื่องบรรณาการที่เอามาคราวนี้จะขาดสิ่งใด ก็อย่าให้เอามาใช้อีกเลย แต่นี้ต่อไปให้เอาแต่สิ่งของในประเทศมาเป็นเครื่องบรรณาการก็ได้

แผ่นดินฆังฮีปีที่ ๑๑ หยิมจื๊อซาง้วย (ตรง ณ เดือนห้าปีชวด จุลศักราช ๑๐๓๔ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย ขุนนางเจ้าพนักงานรับรับสั่งพระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต้ว่า ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมีสินค้าจะเอามาขาย ณ เกียซือ ก็สุดแล้วแต่เขาจะเอามา หรือเขาจะขายที่เมืองก้วงตง ก็ให้ต๊กบู้จัดขุนนางเป็นผู้ดูแลด้วย

แผ่นดินฆังฮีปีที่ ๑๒ กุ่ยทิ้วยี่ง้วย (ตรง ณ เดือนสี่ ปีฉลู จุลศักราช ๑๐๓๕ ปี) ควรสือสิงเย่ไหมติลี้ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำเครื่องบรรณาการมาถวาย สี่ง้วย (ตรง ณ เดือนหก ในปีฉลู) พระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต้ยกย่องเซียนเลียดพะละเจียวกู๊โล่งพะละม้าฮู้ลกควนสือเอี่ยวธีย่าพูอายเป็นเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง ประทานตราทำด้วยเงินกับหนังสือยกย่อง ให้อกควนสือสิงลาเย่ไหมติลี้นำกลับไป

ข้อความในคำยกย่องมีว่า อ๋องมาเคารพขอให้ความสุขบริบูรณ์พูลเกิด ด้วยธรรมเนียมโบราณเจ้าประเทศน้อยต้องเคารพเจ้าประเทศใหญ่ ตามที่หน้าที่ผู้ใหญ่กับผู้น้อย เราผู้เป็นเจ้าประเทศใหญ่ก็เมตตาเจ้าประเทศน้อยที่อยู่ไกลโดยทางชอบธรรม เราได้รับมรดกขึ้นครองราชสมบัติ หวังจะเผื่อแผ่ความเมตตากรุณาไปทั่วทั้งสี่ทิศ มาเข้าเป็นสามัคคีเดียวกัน จะได้รับความสุขสำราญทั่วหน้า ข้อที่ยกย่องยศศักดิ์ ถ้ามีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในหนังสือลำดับเจ้าประเทศที่มีทางพระราชไมตรีแล้ว เราก็ยกย่องให้ตามธรรมเนียม บัดนี้เสี้ยมหลอก๊กท่านเซียนเลียดพะละเจียวกู๊โล่งพะละม้าฮู้ลกควนสือเอี่ยวธีย่าพูอาย ถือความซื่อสัตย์ตามขนบธรรมเนียม ยอมตั้งพระทัยเป็นไมตรีกับประเทศเราโดยสุจริต ให้ราชทูตข้ามทะเลมาขอเป็นมิตรอยู่ในขอบขัณฑสีมาปลายเขตแดนของเรามั่นคงประหนึ่งหิน ต่อเนื่องแม่น้ำของเรายาวออกไปแระหนึ่งเชือก รักษาขนบธรรมเนียมเจ้าประเทศที่มีราชไมตรีโดยชอบธรรม การที่ท่านตั้งใจให้ราชทูตมาเคารพเรายินดีมาก บัดนี้ยกให้ท่านเป็นเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง และส่งคำยกย่องมาให้ด้วย ท่านต้องถือเอาทางยุติธรรมปกครองอาณาเขต รับเอาความยกย่องนี้ไว้ด้วยเป็นชั้นสูง จะได้ระงับสุขทุกข์ในขอบเขต ตามหน้าที่อ๋องอยู่ปกครองราษฎร รักษาประเทศซึ่งมีอยู่ในโลกนี้อย่าให้เกิดเหตุขึ้นได้ ยศที่เรายกย่องนั้นจงรุ่งเรืองตามความนิยม ท่านจงรับเอาพรนี้ไว้อย่ากระทำผิดถ้อยคำของเรา(๓)

เมื่อครั้งก่อนๆ เรือเครื่องบรรณาการงั่วเอี๋ย (ต่างประเทศ) มาถึงแขวงมณฑลก้วงตง เจ้าพนักงานรักษาหน้าที่ตรวจดูถูกต้องแล้วก็ปล่อยให้เรือเข้าจอดในลำแม่น้ำ ส่งเครื่องบรรณาการขึ้นไปเมืองหลวง แต่สินค้าขนเข้าไว้ในตึกใส่กุญแจ คอยหนังสือบอกลิปู๋ (กระทรวงขนบธรรมเนียม) มาถึง จึงอนุญาตให้จำหน่าย สินค้าก็เปื่อยผุเสียมาก

แผ่นดินฆังฮีปีที่ ๒๓ กะจื๊อลักง้วย (ตรง ณ เดือนแปด ปีชวด จุลศักราช ๑๐๔๖ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย กับซอ (หนังสือ) หนึ่งฉบับ มีความว่า

เรื่องเครื่องบรรณาการมาถึงเมืองก้วงตง ราชทูตชี้แจงต่อเจ้าพนักงานแล้ว จึงเข้าจอดเรือในลำแม่น้ำ ขออนุญาตจำหน่ายสินค้าโดยเร็ว และขออนุญาตซื้อเครื่องใช้สอย ขอประทานโปรดมีรับสั่งไปถึงเจ้าพนักงานออกหนังสืออนุญาตให้ จะได้จ่ายและซื้อสิ่งของ แต่เรื่องเครื่องบรรณาการต้องกลับไปเสี้ยมหลอก๊กก่อน ถึงปีใหม่จึงจะให้เรือมารับหนังสือตอบราชสาส์น และราชทูตกลับไปเสี้ยมหลอก๊ก เจ้าพนักงานนำข้อความนี้ขึ้นทูล พระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานหารืออนุญาตให้ตามประสงค์

แผ่นดินฆังฮีปีที่ ๒๔ อิดทิ้วจับยี่ง้วย (ตรง ณ เดือนยี่ ปีฉลู จุลศักราช ๑๐๔๗ ปี) ขุนนางผู้ใหญ่หารือเพิ่มของตอบแทนเครื่องบรรณาการเสี้ยมหลอก๊ก แพรตึ้งแพรปิ๋รวมห้าสิบม้วน (ชาวประเทศจีนมักชอบใช้เสื้อสองชั้น แพรตึ้งทำชั้นนอก แพรปิ๋ทำชั้นใน) สั่งเจ้าพนักงานให้ตอบแทนตามข้อความหารือนี้



........................................................................................................

(๑) ความที่กล่าวตรงนี้ น่าเข้าใจว่า พระราชสาส์นไทยมีไปแต่ก่อนเป็นภาษาไทยไปแปลที่เมืองจีน พึ่งทำสำเนาคำแปลเป็นภาษาจีนส่งไปจากเมืองไทยในชั้นสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่ที่จริงเชื่อได้ว่า ไม่มีไทยที่รู้ภาษาจีนพอจะแต่งหนังสือจีนได้ในครั้งนั้น ต้องวานเจ๊กแต่ง เจ๊กจะแต่งว่ากระไรไทยก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น พระราชสาส์นที่ไทยมีไปเมืองจีน จะเป็นในชั้นแรกเมื่อจีนเอาไปแปลในเมืองจีนก็ดี ที่จีนแต่งให้ในเมืองไทยก็ดี จึงพินอบพิเทาอ่อนน้อมตามอัชฌาสัยของจีนผู้แต่ง เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์บ่นไว้มาก แจ้งอยู่ในหนังสือประชุมพระบรมราชาธิบายที่พิมพ์แล้ว หน้า ๕๗

(๒) จะเห็นได้ตรงนี้ว่า ของบรรณาการที่ไทยส่งหมายเพียงเป็นของเจริญพระราชไมตรี ข้างจีนพยายามจะให้เป็นของส่วยอย่างเมืองประเทศราช

(๓) พระราชสาส์นจีนฉบับนี้ ความทำนองเป็นหนังสือเมื่อแรกราชาภิเษก แต่ศักราชอยู่ระหว่างกลางรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราชผ่านพิภพปีวอก จ.ศ. ๑๐๑๘ สวรรคตปีมะโรง จ.ศ. ๑๐๕๐ เหตุใดพระเจ้ากรุงจีนจึงมีราชสาส์นอย่างนี้ ยังคิดไม่เห็น

........................................................................................................



ครั้งแผ่นดินพระเจ้าพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ

แผ่นดินฆังฮีปีที่ ๔๗ โบ๊วจื๊อลักง้วย (ตรง ณ เดือนแปด ปีชวด จุลศักราช ๑๐๗๐ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย พระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต้รับสั่งแก่ขุนนางผู้ใหญ่ ว่าราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมีสินค้ามา ก็สุดแล้วแต่เขาจะซื้อขาย อย่าเก็บค่าภาษี

แผ่นดินฆังฮีปีที่ ๖๑ หยิมอิ๋นสี่ง้วย (ตรง ณ เดือนหก ปีขาล จุลศักราช ๑๐๘๔ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย พระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต่ประทานแพรแซแพรตึ้ง (แพรแซใช้ฤดูร้อน แพตึ้งใช้ฤดูหนาว) ให้ราชทูตนำไปถวายเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง กับให้อ๋องฮุย (พระสนม) และรับสั่งแก่ราชทูตว่าจงเอาข้าวสารสามแสนเจียะ (สิบถังเรียกว่าเจียะ) ไปขายเมืองฮกเกี๋ยน เมืองก้วงตง เมืองเหล็งปอ ด้วยไต้หักสือ (ผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงขนบธรรมเนียม) เขาว่า ชาวเสี้ยมหลอก๊กพูดว่าบ้านเมืองของเขานั้นข้าวสารบริบูรณ์ เงินสองสามสลึงซื้อข้าวสารได้เจียะหนึ่ง เราจึงสั่งให้เอาข้าวสารไปขายที่เมืองก้วงตงและเมืองอื่นๆ จะได้ประโยชน์แก่หัวเมืองเหล่านั้น แต่ข้าวสารสามแสนเจียะนี้ ขุนนางเอามาไม่ต้องเสียภาษี

แผ่นดินโยองเจียะปีที่ ๒ กะสินจับง้วย (ตรง ณ เดือนสิบสอง ปีมะโรง จุลศักราช ๑๐๘๖ ปี) ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำพืชพันธุ์ข้าวสารและแก่นไม้หอมมาถวายเป็นเครื่องบรรณาการ พวกเดินเรือเก้าสิบหกคนชาติห่างหยิน (คนจีน ที่จริงลูกจีน) ขออนุญาตถอนชื่อออกจากบัญชีสำมะโนครัว

พระเจ้าเสี่ยโจ๊วหยินฮ่องเต้รับสั่งแก่ขุนนางผู้ใหญ่ว่า ชาวเสี้ยมหลอก๊กไม่รังเกียจว่าทางไปมาไกลลำบาก อุตส่าห์เอาพืชข้าวและแก่นไม้หอมมาให้โยความเคารพนับถือ เรายินดีมาก ที่ได้เอาข้าวสารมานั้นให้เจ้าพนักงานสั่งไปถึงขุนนางหัวเมือง ดูแลจำหน่ายโดยยุติธรรมห้ามไม่ให้ชาวบ้านร้านตลาดกดราคา สินค้าสิ่งอื่นมีมาด้วยก็อย่าเก็บภาษี พวกเดินเรือเก้าสิบหกคนไปอยู่เสี้ยมหลอก๊กหลายชั่วคนมาแล้ว จะเอากลับคืนมาก็เป็นการลำบาก ควรให้เจ้าพนักงานถอนบัญชีสำมะโนครัวออกเสีย ให้เห็นว่าเรากรุณา และรับสั่งให้เจ้าพนักงานเพิ่มแพรหมังตึ้ง เครื่องใช้ทำด้วยหยก ถ้วยชาม ให้ราชทูตนำไปถวายก๊กอ๋อง

แผ่นดินโยองเจี่ยปีที่ ๖ โบ๊วซินยี่ง้วย (ตรง ณ เดือนสี่ ปีวอก จุลศักราช ๑๐๙๐ ปี) ชาวเสี้ยมหลอก๊กเอาข้าวสารบรรทุกเรือมาขายที่เอ๋หมึง (ปากน้ำมณฑลฮกเกี๋ยน)

แผ่นดินโยองเจี่ยปีที่ ๗ กี๊อิ๊วลักง้วย (ตรง ณ เดือนแปด ปีระกา จุลศักราช ๑๐๙๑ ปี) ชาวเสี้ยมหลอก๊กเอาข้าวสารบรรทุกเรือมาถูกลมคลื่น สิ่งของที่เก็บได้คืน เจ้าพนักงานไม่เก็บค่าภาษี

ชิดง้วย (ตรง ณ เดือนเก้า ในปีระกา) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย พระเจ้าสี่โจ๊วหยินฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาสิ่งของตอบแทนให้ตามธรรมเนียม ประทานแพรหมังตึ้ง เครื่องใช้ทำด้วยหยก ถ้วยชาม กระดานป้าย ๆ หนึ่งมีอักษรว่า เทียนหลำลกก๊ก (เทียนว่าฟ้า หลำว่าทิศหัวนอน ลกว่าสุขสำราญ ก๊กว่าประเทศ ใจความว่า ประเทศสุขสำราญอยู่ข้างฟ้าฝ่ายทิศใต้) ให้ราชทูตนำไปถวายเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง และรับสั่งว่าทางมาจากเสี้ยมหลอก๊กต้องข้ามทะเลไกลลำบาก นำสิ่งของในพื้นประเทศมาให้ก็ไม่ง่าย เราขอให้ผ่อนลงเสียบ้าง เจ้าประเทศที่อยู่ไกลจะได้เห็นว่าเรากรุณา แต่คราวนี้ได้นำสิ่งของมาแล้ว จะให้เอากลับไปเสี้ยมหลอก๊กก็ลำบาก เพราะฉะนั้นจึงได้รับไว้ตามธรรมเนียม แต่สิ่งของในพื้นประเทศที่เอามาเป็นเครื่องบรรณาการคราวนี้ มีผ้าสบงจีวร ธูป ผ้าม้วน ธูปหอม ครั้งหลังอย่าเอาของที่กล่าวนี้มาเป็นเครื่องบรรณาการเลย

ในปีนั้นราชทูตมาถึงเมืองก้วงตง ขออนุญาตซื้อลวดทองเหลือง พระเจ้าสี่จงเหียนฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานอนุญาต

........................................................................................................

 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:9:46:58 น.  

 
 
 
...............................................................................................................................................



ครั้งแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๑ เบี้ยสินลักง้วย (ตรง ณ เดือนแปด ปีมะโรง จุลศักราช ๑๐๙๘ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องเซียนเลียดพะละเจี่ยวก้งพะละม้าฮู้ลกควนสือเอี่ยวธีย่าพูอายขึ้นครองราชสมบัติ ให้ขุนนางหลงซามลิบกวาธี (หลวงสำฤทธิวาที) เป็นราชทูตนำราชสาส์นกับสิ่งของในพื้นประเทศมีช้าง มาช้างหนึ่ง ถวายเป็นเครื่องบรรณาการ

ราชทูตพูดกับลีปู๋ (เสนาบดีกระทรวงขนบธรรมเนียม) ว่า เหตุด้วยต้องข้ามทะเลลำบากจึงเอาช้างมาแต่ช้างหนึ่ง และเมื่อครั้งก่อนๆ ประทานหมังเหล็งไต้เผา (เสื้อยศดำแพรหมังตึ้งปักลายมังกร) ไปให้ ก็เก็บเอาไว้ที่เสงอึนเต๋ง (หอไว้ของพระราชทาน) ช้านานหลายชั่วคนมาแล้ว เหลือกำลังจะรักษาอันตราย ขอความกรุณารับประทานอีกเสื้อหนังหรือสองเสื้อ

บัดนี้ก๊กอ๋องทำบุญสร้างวัดทุกปี ต้องการใช้ทองเหลือง ขอความกรุณาเลิกข้อบังคับเสียชั่วคราว จะได้หาซื้อที่เมืองก้วงตง

ขุนนางผู้ใหญ่หารือไม่ยอมอนุญาต แต่ได้รับสั่งพระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ว่า ทางมาจากเสี้ยมหลอก๊กต้องข้ามทะเลไกล เขามีความตั้งใจมาส่งเครื่องบรรณาการ สิ่งของตอบแทนเพิ่มเติมตามธรรมเนียม เอาแพรหมังตึ้งเพิ่มขึ้นให้อีกสี่ม้วน ที่ขออนุญาตซื้อทองเหลือง ว่าก๊กอ๋องจะใช้ในการทำบุญสร้างวัด เราให้ทองเหลืองหนักแปดร้อยชั่งเป็นรางวัลโดยความกรุณา แต่ครั้งหลังอย่าเอาของสิ่งนี้ตั้งเป็นธรรมเนียม (บัญชีรายละเอียดเพิ่มของตอบแทนมีอยู่ตอนปลาย)

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๘ กุ่ยหายเก้าง้วย (ตรง ณ เดือนสิบเอ็ด ปีกุน จุลศักราช ๑๑๐๕ ปี)

ขุนนางเจ้าพนักงานรับรับสั่งพระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ว่า พาณิชเสี้ยมหลอก๊กเอาข้าวสารบรรทุกเรือมาจำหน่ายที่หมัง (เมืองฮกเกี๋ยน) มาโดยความตั้งใจ เราเพิ่มกรุณาพิเศษนั้นควรตั้งขึ้นเป็นธรรมเนียม ต่อไปภายหน้าเรือพวกงั่วเอี๋ย (ต่างประเทศ) มีข้าวสารถึงหมื่นเจียะแล้ว เงินค่าภาษีสิบส่วนให้ลดเสียห้าส่วน แม้นมีข้าวสารมาแต่ห้าพันเจียะ เงินค่าภาษีสิบส่วนให้ลดเสียสามส่วน

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๑๑ เปี๋ยอิ๋นเก้าง้วย (ตรง ณ เดือน ๑๑ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๐๘ ปี) พาณิชเสี้ยมหลอก๊กเอาข้าวสารบรรทุกเรือมาจอดทอดสมออยู่ที่หมังไฮ้ (ปากน้ำเมืองฮกเกี๋ยน) จำนวนข้าวสารสี่พันสามร้อยเจียะก็มี สามพันแปดร้อยเจียะก็มี สินค้าสิ่งอื่นมีตะกั่วอ่อน ตะกั่วแข็ง ไม้ฝางมาด้วย

ขุนนางฉกเกี๋ยนเจียงกุน (นายทหาร) ชื่อเซียนเถียว ทูลพระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ว่า เรือบรรทุกข้าวสารมาแต่เสี้ยมหลอก๊กไม่ถึงห้าพันเจียะตามกำหนด มีสินค้าสิ่งอื่นมาด้วย แต่ยังไม่ได้เก็บภาษี ธรรมเนียมที่ตั้งไว้นั้นต้องผ่อนผันเสียใหม่

พระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้รับสั่งว่า ชาวเสี้ยมหลอก๊กล่องเรือข้ามทะเลมาไกล ควรเพิ่มกรุณาพิเศษให้ ค่าภาษีสินค้าที่มีมาในเรือสิบส่วนให้ลดเสียสองส่วน

ต่อมาอีกปีหนึ่ง (ตรงกับ จุลศักราช ๑๑๐๙ ปี) ขุนนางฮกบู๊ (ปลัดเทศาภิบาลมณฑลฮกเกี๋ยน) ชื่อตันไต๊สิว ทูลพระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ว่า พวกพาณิชหมัง (เมืองฮกเกี๋ยน) ไปซื้อข้าวสารเสี้ยมหลอก๊กกลับมาพูดว่า เครื่องไม่ในเสี้ยมหลอก๊กราคาถูกที่สุด ควรไปต่อเรือเอามาไว้ใช้ เมื่อให้เจ้าเมืองพนักงานไต่สวนก็ถูกต้อง แต่นั้นมาเรือพาณิชเสี้ยมหลอก๊กก็ไปมามิได้ขาด

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๑๔ กี๊จี๋ชิดง้วย (ตรง ณ เดือนเก้า ปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๑๑๑ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย พระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ประทานป้านกระดารป้ายหนึ่ง อักษรมีว่า เอี่ยมฮกผินพวน (เอี่ยมว่าร้อนแรง, กล้าหาญ ฮกว่าพร้อมยอม, เคารพ ผินว่าพึ่งพิง พวนว่าเจ้าประเทศน้อย ใจความว่า ความกล้าหาญควรเป็นที่เคารพของเจ้าประเทศน้อยทั้งปวง) ให้ราชทูตนำไปถวายเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง (บัญชีรายละเอียดเพิ่มของตอบแทนมีอยู่ตอนปลาย)

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๑๖ ซินบี้ (ตรงปีมะแม จุลศักราช ๑๑๑๓ ปี) ขุนนางหมังต๊ก (เทศาภิบาลมณฑลฮกเกี๋ยน) ทูลพระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ว่า พวกพาณิชไปซื้อข้าวสารมาแต่เสี้ยมหลอก๊กประมาณสองพันเจียะ ให้เจ้าพนักงานไปตรวจดูก็ถูกต้อง ขุนนางผู้ใหญ่หารือว่าจะรางวัลยศศักดิ์ได้ พระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ก็อนุญาต

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๑๘ กุ่ยอิ๊วยี่ง้วย (ตรง ณ เดือนสี่ปีระกา จุลศักราช ๑๑๑๕ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย ทูลขอประทานหยินเซียม (โสมคน) เองหงู (ขนจามรี) เหลียงเบ๊ (ม้ามีผีเท้า) และขอดูธรรมเนียมขุนนางไหลก่ำ (ขันที) ด้วย ขุนนางผู้ใหญ่หารือไม่ยอมอนุญาต และสั่งราชทูตว่ากลับไปเสี้ยมหลอก๊กแล้วแจ้งแก่เสี้ยมหลอก๊กอ๋อง ให้ระมัดระวังรักษาขนบธรรมเนียมเคารพโดยซื่อสัตย์

พระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้มีรับสั่งถึงขุนนางผู้ใหญ่ว่า สิ่งของในพื้นประเทศที่ส่งมานั้นรับไว้ตามธรรมเนียม สิ่งของตอบแทนก็ตามธรรมเนียมครั้งก่อน แต่เพิ่มหยินเซียมให้ไปด้วย รางวัลราชทูตนั้นเลี้ยงโต๊ะ (บัญชีรายละเอียดของตอบแทนมีอยู่ตอนปลาย

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๒๒ เตงทิ้ว (ตรงปีฉลู จุลศักราช ๑๑๑๙ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย (บัญชีราชละเอียดเพิ่มของตอบแทนมีอยู่ตอนปลาย)

........................................................................................................



ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๒๗ หยิมโหง้ว (ตรงปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๒๔ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๓๐ อิดอิ๊วจั๊บง้วย (ตรง ณ เดือน ๑๒ ปีระกา จุลศักราช ๑๑๒๗ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ขุนนางปี๊เอี้ยซ่องท้งออพ่ายเป็นราชทูต (พระยาสุนทรอภัย) นำราชสาส์นกับเครื่องบรรณาการมาถวาย

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๓๑ เปี๊ยซุด (ตรงปีจอ จุลศักราช ๑๑๒๘ ปี) เสี้ยมหลอก๊กอ๋องให้ราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย สิ่งของตอบแทนตามธรรมเนียมและให้เพิ่มเติมอีกบ้างเล็กน้อย

........................................................................................................


บัญชีรายละเอียดเพิ่มเติมของตอบแทน

บัญชีรายละเอียดเพิ่มเติมของตอบแทน

เมื่อแผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๑
เพิ่มเสื้อยศทำด้วยแพรหมังตึ้ง.................................๔ เสื้อ

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๑๔
เพิ่มแพรหมังตึ้งเผี่ยน.............................................๒ ม้วน
เพิ่มแพรกิมจึงตึ้ง....................................................๒ ม้วน
เพิ่มแพรเซี้ยมตึ้ง....................................................๒ ม้วน
เพิ่มแพรกิ๊ม............................................................๔ ม้วน
เครื่องใช้ทำด้วยหยก.............................................๖ ชุด
เครื่องใช้ทำด้วยกระเบื้องม้าเล้า.............................๒ ชุด
(พื้นคล้ายแก้วลายแดงสูงโปนเป็นดอก)
เครื่องใช้ทำด้วยกระเบื้องฮวยลัง............................๔ ชุด
(พื้นคล้ายแก้วลายสีต่างๆ สูงโปนเป็นดอก)
หินฝนหมึกทำด้วยหินสงฮวย..................................๒ สำรับ
เครื่องแก้ว...........................................................๑๐ ชุด
ถ้วยชาม............................................................๑๔๖ ชุด
ในปีนั้นส่งหมี ชะนีเผือก มาเป็นเครื่องบรรณาการ
เพิ่มเติมแพรโขว่ตึ้ง..............................................๒๐ ม้วน

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๑๘
เพิ่มหยินเซียม.............................................หนัก ๔ ชั่งจีน
เพิ่มแพรตึ้ง...........................................................๑๐ ม้วน
เพิ่มแพรกึ๊ม..........................................................๑๐ ม้วน
เพิ่มเครื่องใช้ทำด้วยหยก......................................๔ ชุด
เพิ่มเครื่องใช้ทำด้วยกระเบื้องม้าเล้า......................๒ ชุด
เพิ่มเครื่องใช้ทำด้วยกระเบื้องฮวบลัง.....................๖ ชุด
เพิ่มลังล้วนอี้...........................................................๒ ชุด
(ทำด้วยทองเหลืองสำหรับผิงไฟฤดูหนาว)
เพิ่มเครื่องแก้ว.....................................................๑๐ ชุด
เพิ่มถ้วยชาม.......................................................๑๔๐ ชุด

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๒๒
เพิ่มแพรหมังตึ้ง......................................................๒ ม้วน
เพิ่มแพรกิมตึ้ง........................................................๒ ม้วน
เพิ่มแพรเซี้ยมตึ้ง....................................................๑ ม้วน
เพิ่มแพรเผี่ยนกิ๊ม....................................................๑ ม้วน
เพิ่มแพรโป๊ยซีตึ้ง...................................................๔ ม้วน
เพิ่มเครื่องใช้ทำด้วยหยก......................................๑ ชุด
เพิ่มเครื่องใช้ทำด้วยกระเบื้องม้าเล้า..................... ๑ ชุด
เพิ่มเครื่องใช้ทำด้วยกระเบื้องฮวบลัง..................๑๓ ชุด
เพิ่มถ้วยชาม.....................................................๑๔๐ ชุด

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๒๗ และปีที่ ๓๑ เพิ่มเติมของตอบแทนนั้นเหมือนปีที่ ๒๒


........................................................................................................


ตรงในแผ่นดินกรุงธนบุรี

แผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๔๖ ซินทิ้วเจี่ยง้วย (ตรง ณ เดือนสาม ปีฉลู จุลศักราช ๑๑๔๓ ปี) เสี้ยมหลอก๊กเจี๋ยงแต่เจียว (พระเจ้ากรุงสยาม เรียกว่าเจี๋ยงนั้นกรุงจีนยังไม่ได้ยกย่อง แต้เจียว พระนามเจ้ากรุงธนบุรีที่บอกไปในภาษาจีน) ให้หลงปีไช่ซาณี (หลวงพิไชยธานีหรือเพชรปาณี) กับเฮอ้กบู้ตุด (อุปทูต) สองนายเป็นราชทูตนำเครื่องบรรณาการมาถวาย ทูลว่าตั้งแต่ถูกพวกเมี้ยนฮุ้ย (โจรพม่า) มาย่ำยีแล้ว ถึงได้แก้แค้นทดแทนตีได้อาณาเขตมาก็จริง แต่เชื้อวงศ์ของเจ้านายนั้นสูญสิ้น พวกขุนนางพร้อมใจกันยกแต้เจียวขึ้นเป็นใหญ่ จึงจัดสิ่งของในพื้นประเทศส่งมาถวายเป็นเครื่องบรรณาการตามธรรมเนียม

ขุนนางผู้ใหญ่รับรับสั่งพระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ว่า เราแจ้งว่าเสี้ยมหลอก๊กเจี๋ยงให้ราชทูตลงเรือข้ามทะเลมาแต่ทางไกล เห็นได้ว่ามีความเคารพนับถือ แล้วขุนนางผู้ใหญ่ก็เขียนหนังสือตอบราชสาส์นตามข้อความราชสาส์เดิม

พระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ทรงเห็นว่า ทางมาแต่เสี้ยมหลอก๊กต้องข้ามภูเขาที่สูงและข้ามทะเลที่กว้าง ประทานโต๊ะเลี้ยงราชทูตสองวัน

ระยะทางเสี้ยมหลอก๊กมาส่งเครื่องบรรณาการ ทางผ่านเมืองก้วงตงมาเกียซือ (กรุงปักกิ่ง) กรุงเสี้ยมหลอก๊กอยู่ทิศตะวันตกเฉียงหัวนอนมณฑลก้วงตง เดินเรือไปทางทะเลสี่สิบห้าวันสี่สิบห้าคืนจึงถึง ลงเรือที่แม่น้ำอำเภอเฮียงซัวกุ้ย แขวงมณฑลก้วงตง ตั้งเข็มตรงอักษรโง้ว (ทิศหัวนอนหรือทิศใต้) ใช้ใบตามลมทิศปลายตีนหรือทิศเหนือออกทะเลชิดจิวเอี๋ย (ทะเลจีน) สิบวันสิบคืนจึงถึงทะเลอานหลำ (ทะเลญวน) ในระหว่างนั้นมีภูเขาชื่องั่วหลอภูเขาหนึ่ง ไปอีกแปดวันแปดคืนถึงทะเลเมืองเจียมเสีย ไปอีกสิบสองวันสิบสิงคืนถึงภูเขาใหญ่ชื่อคุนหลุนภูเขาหนึ่ง ต้องกลับใบตามลมทิศตะวันออกเฉียงปลายตีนหรือเฉียงเหนือ เหศีรษะเรือไปฝ่ายทิศตะวันตก ตั้งเข็มอักษรบี้กินอักษรซินสามส่วน (ทิศตะวันตกเฉียงหัวนอนหรือเฉียงใต้) ไปอีกห้าวันห้าคืนถึงทะเลแม่น้ำจีนชิ่วกั๊งไหลตก ไปอีกห้าวันห้าคืนถึงปากแม่น้ำเสี้ยมหลอกั๊ง ใช้เรือเข้าไปในแม่น้ำเสี้ยมหลอกั๊งระยะทางสองร้อยลี้ถึงน้ำจืด ไปอีกห้าวันก็ถึงเสี้ยมหลอเสีย (เมือง)

เสี้ยมหลอก๊กมีภูเขาใหญ่อยู่ฝ่ายทิศตะวันตกเฉียงหัวนอนหรือเฉียงใต้ น้ำในเสี้ยมหลอก๊กออกจากภูเขาฝ่ายทิศหัวนอนหรือทิศมใต้ ไหลมาลงทะเล

เมืองขึ้นเสี้ยมหลอก๊ก เมืองโซ้งกาล้า(สงขลา)หนึ่ง เมืองเซกเกีย(ไชยา)หนึ่ง เมืองลกคุน(นครศรีธรรมราช)หนึ่ง เมืองไต๊หนี(ตานี)หนึ่ง

........................................................................................................



ข้อความต่อไปนี้ เป็นถ้อยคำของเจ้าพนักงานเรียบเรียงหนังสือบุ๋นเหี่ยนทงเค้า

ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ตรวจดูเรื่องเสี้ยมหลอก๊ก มีต่อเนื่องมาแต่ครั้งวงศ์สุยวงศ์ถัง สมัยโน๊นเรียกว่าเชียะโท้วก๊ก ด้วยครั้งพระเจ้าสุยทางเต้ พระเจ้าสุยทางเต้ขึ้นครองราชสมบัติอิดทิ้ว (ตรงปีฉลู พุทธศักราช ๑๑๔๘ ปี ก่อนจุลศักราช ๓๓ ปี) ลำดับกษัตริย์ที่ ๒ วงศ์สุย ขนานนามแผ่นดินเรียกว่าไต๊เงียบ (แผ่นดินไต๊ ๑๒ ปี) ขุนนางสุนฉังจู๊ซื่อชื่อเสียงจุ่นไปถึงเชียะโท้วก๊ก ได้ความว่าเชียะโท้วก๊กอ๋องแซ่ขือหุน หรือเห็นว่าเชียะโท้วก๊กอ๋องนับถือหุดก่า (พุทธศาสนา) จึงคาดคะเนว่าก๊กอ๋องมีแซ่เหมือนหุด

ครั้นตรวจดูประวัติสถานราชทูตเสี้ยมหลอก๊กมีปรากฏว่า ชาวเสี้ยมหลอก๊กมีชื่อไม่มีแซ่ การก็ล่วงเลยช้านานมาพันปีเศษแล้ว จะมีแซ่หรือไม่มีแซ่ข้อความก็ไม่ถูกต้องกัน แต่ชาวเสี้ยมหลอก๊กนั้นเชื้อสายชาวหูหลำ(๑) ด้วยหนังสือหลำซื้อมีเรื่องนานาประเทศซึ่งอยู่ชายทะเลหัวนอนหรือทิศใต้ ว่าหูหลำนั้นเดิมสตรีเป็นอ๋อง ขนานนามว่าสิ้วเหียะ หนังสือเหมงอ๋องก่ายสกทงเค้า ยกย่องผู้หญิงเสี้ยมหลอก๊กว่ามีสติปัญญายิ่งกว่าผู้ชาย หรือจะเป็นขนบธรรมเนียมชาวหูหลำต่อเนื่องมา

เสี้ยมหลอก๊กได้เป็นไมตรีกับตงหัว (กรุงจีน) มาแต่ครั้งวงศ์หงวนวงศ์เหม็ง ครั้นถึงวงศ์เชงเดชานุภาพก็แผ่ไพศาล และรับสั่งให้ราชทูตบรรทุกข้าวสารมาจำหน่าย ประหนึ่งว่าทำทานให้ราษฎรในอาณาเขตรับความร่มเย็น ถึงเมื่อครั้งเจียนห้อ ขุนนางในวงศ์เหม็งไปเที่ยวเก็บเอาของพิเศษตามประเทศซึ่งอยู่ชายทะเลมาก็ไม่มีประโยชน์ จัเอามาเปรียบนั้นผิดกันประหนึ่งฟ้ากับดิน

แต่เสี้ยมหลอก๊กอ๋องดำรงประเทศอันไพบูลย์ คงวามซื่อสัตย์ไม่มีผู้ใดเสมอ อยู่ในระหว่างนานาประเทศฝ่ายทิศหัวนอนหรือทิศใต้ ก็ก้ำกึ่งกันกับอานหลำก๊ก (ประเทศอันหนำ คือญวน) ฯ


..........................................................................................................................................

(๑) คือ เมืองไทยเดิม


........................................................................................................


 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:13:38:20 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com