กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
คำให้การหัวพันห้าทั้งหกในศึกฮ่อ


แผนที่แสดงอาณาเขตประเทศไทยและประเทศราช ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช


.....................................................................................................................................................



คำนำประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๒
พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ



ที่เรียกว่าเมืองหัวพันห้าทั้งหกนี้เป็นเมืองไทยหมู่ ๑ หลายเมืองด้วยกัน เรียกชื่อว่าหัวเมืองเมือง ๑ เมืองซำเหนือเมือง ๑ เมืองซำใต้เมือง ๑ เมืองซ่อนเมือง ๑ เมืองโสยเมือง ๑ เมืองเหยียบเมือง ๑ เมืองสบแอดเมือง ๑ เมืองเชียงค้อเมือง ๑ ตั้งอยู่ทางข้างเหนือเมืองหลวงพระบาง

เรื่องราวของเมืองเหล่านี้ เดิมทีเดียวตั้งแต่ราว พ.ศ. ๕๐๐ พวกชนชาติไทยตั้งต้นอพยพมาแต่แดนเดิมของตน คือที่ประเทศจีนฝ่ายใต้บัดนี้ มีมณฑลฮุนหนำและมณฑลกุยจิ๋วเป็นต้น มาเที่ยวหาที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่เป็นอิสระทางแดนดินข้างตะวันตก มาตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นหลายแห่ง ครั้นจำเนียรกาลนานมาก็เกิดแว่นแคว้นแดนไทยขึ้นโดยลำดับ เป็นหลายอาณาเขตด้วยกัน ข้างตอนเหนือที่ต่อแดนจีนเรียกว่าอาณาเขตสิบสองเจ้าไทย ทิศตะวันตกเรียกว่าอาณาเขตสิบสองปันนา ต่อมาเมื่อพวกไทยมีกำลังมากขึ้น ก็ขยายอาณาเขตต่อออกไป พวก ๑ ไปตั้งบ้านเมืองอันได้นามปรากฏในชั้นหลังสืบมาว่าสิบเก้าเจ้าฟ้า อยู่ทางลุ่มแม่น้ำสาละวินต่อแดนพม่า ไทยพวกนี้ได้นามว่าไทยใหญ่ หรือที่เราเรียกกันในบัดนี้ว่าเงี้ยว ไทยอีกพวก ๑ ขยายอาณาเขตลงมาทางลุ่มแม่น้ำโขงข้างทิศใต้ มาตั้งบ้านเมืองขึ้นเป็น ๒ อาณาเขต เรียกว่าลานช้างอยู่ข้างตะวันออกอาณาเขต ๑ เรียกว่าลานนาอยู่ข้างตะวันตก (คือมณฑลพายัพบัดนี้) อาณาเขต ๑ ไทยพวกนี้ได้นามว่าไทยน้อย

ต่อมาพวกไทยน้อยในอาณาเขตลานนาปราบปรามพวกขอมขยายเขตแดนลงมาข้างใต้จนได้เป็นใหญ่ในสยามประเทศนี้เมื่อราว พ.ศ. ๑๘๐๐ ส่วนไทยน้อยที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตลานช้างนั้น ก็ขยายแดนออกไปทางทิศตะวันออกจนต่อแดนพวกจาม ทางทิศใต้ได้แดนขอมตอนแผ่นดินสูงข้างฝ่ายเหนือ (คือท้องที่มณฑลอุดรเดี๋ยวนี้) แล้วตั้งเป็นกรุงกะ-ษั-ต-ริ-ย์ เรียกว่ากรุงศรีสัตนาคนหุต เอาเมืองเซ่า (ซึ่งมาได้นามในชั้นหลังว่าเมืองหลวงพระบาง) เป็นราชธานี อาณาเขตกรุงศรีสัตนาคนหุตทางทิศเหนือต่อกับอาณาเขตสิบสองเจ้าไทย

เหล่าเมืองหัวพันห้าทั้งหก (อันเรื่องพงศาวดารมีในสมุดเล่มนี้) อยู่ในระหว่างกรุงศรีสัตนาคนหุตกับเมืองสิบสองเจ้าไทย จึงตกมาเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีสัตนาคนหุตก่อน ต่อมาครั้งกรุงศรีสัตนคนหุตมีอำนาจมากขึ้น แม้เมืองสิบสองเจ้าไทยก็ตกมาเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีสัตนคนหุตอย่างเดียวกัน เรื่องชั้นเดิมมีมาดังนี้ พวกชาวเมืองหัวพันห้าทั้งหกก็ยังเป็นไทย และพูดภาษาไทยอยู่จนทุกวันนี้

ครั้นกรุงศรีสัตนาคนหุตถึงคราวเสื่อมทรามลงโดยลำดับจนเมื่อราว พ.ศ. ๒๒๔๐ ราชวงศ์ที่ครองเมืองเกิดแตกกันเป็น ๒ พวก ต่างปราบกันไม่ลง จึงยอมแยกกันเป็น ๒ อาณาเขต ฝ่ายหนึ่งตั้งเมืองหลวงพระบางเป็นเมืองหลวงอยู่ทางตะวันตก อีกฝ่ายหนึ่งตั้งเมืองเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงอยู่ทางตะวันออก เมื่อแยกกันเช่นนี้กำลังและอำนาจก็น้อยลงด้วยกัน บังคับบัญชาได้แต่เมืองขึ้นที่อยู่ใกล้เมืองหลวง แต่เมืองขึ้นที่อยู่ไกลออกไปเช่นเหล่าหัวเมืองหัวพันห้าทั้งหกเป็นต้นนั้น ทั้งเจ้าเมืองเวียงจันทน์และเจ้าเมืองหลวงพระบางต่างถือว่าเป็นเมืองขึ้นของตน แต่มิได้ปกครองมั่นคง เป็นแต่แต่งข้าหลวงขึ้นไปตรวจตราเป็นครั้งคราว ข้าหลวงฝ่ายไหนขึ้นไปถึงพวกเจ้าเมืองท้าวขุนหัวเมืองเหล่านั้นก็ฟังบังคับบัญชา จึงเป็นเมืองขึ้น ๒ ฝ่ายมาช้านาน จนกระทั่งเมืองหลวงพระบางและเมืองเวียงจันทน์เป็นประเทศราชขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา

ครั้นเมื่อพวกญวนซึ่งลงมาชิงเขตแดนของพวกจามตั้งเป็นประเทศญวนขึ้น และพวกเม่งจูซึ่งมาได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินจีน ต่างแผ่อำนาจแต่งข้าหลวงมาถึงหัวเมืองสิบสองเจ้าไทย และหัวเมืองหัวพันห้าทั้งหก พวกหัวเมืองเหล่านั้นก็ยอม “ทู้” ต่อญวนและจีน ดังเคยประพฤติมาต่อกรุงศรีสัตนาคนหุตซึ่งแตกกันเป็น ๒ ก๊ก ความปรากฏในรัชกาลที่ ๓ ว่าเมื่อเจ้าอนุผู้ครองเมืองเวียงจันทน์เป็นกบฏต่อกรุงเทพฯ ได้ยอมยกหัวเมืองหัวพันห้าทั้งหก และเมืองพวนให้เป็นสินบนญวน เพื่อจะขอกำลังอุดหนุน แต่ครั้งนั้นไทยปราบปรามพวกกบฏได้ราบคาบ จนจับตัวเจ้าอนุได้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลิกอาณาเขตเมืองเวียงจันทน์เสีย พระราชทานเมืองหัวพันห้าทั้งหกให้เป็นเมืองขึ้นของเมืองหลวงพระบางแต่นั้นมา

มามีเหตุเกี่ยวข้องด้วยหัวเมืองเหล่านี้เกิดขึ้นอีกเมื่อคราวทัพฮ่อในรัชกาลที่ ๕ พวกฮ่อตั้งซ่องสุมกันในแดนจีนแล้วยกลงมาตีหัวเมืองสิบสิงจุไทยและเมืองพวน ครั้นได้เมืองเหล่านั้นไว้ในอำนาจแล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘ ฮ่อพวก ๑ ยกกองทัพลงมาทางเมืองเวียงจันทน์ (ซึ่งเป็นเมืองร้าง) หมายจะตีหัวเมืองในมณฑลอุดร ฮ่ออีกพวก ๑ ยกไปทางเมืองหัวพันห้าทั้งหก หมายจะตีเอาเมืองหลวงพระบาง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) กับพระยานครราชเสนี (กาจ สิงหเสนี) ยกกองทัพขึ้นไปปราบฮ่อทางเมืองเวียงจันทน์ทาง ๑ ให้เจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายกกับเจ้าพระยานครศรีธรรมาธิราช (เวก บุณยรัตพันธุ์) ยกกองทัพขึ้นไปปราบฮ่อทางเมืองหลวงพระบางทาง ๑ ได้รบพุ่งกัน พวกฮ่อแตกพ่ายทั้ง ๒ ทาง การก็สงบไปคราวหนึ่ง

ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๒๖ พวกฮ่อกลังลงมาอีก มาตั้งค่ายมั่นที่ทุ่งเชียงคำในแขวงเมืองพวน แล้วยกกองทัพมาตีหัวเมืองหัวพันห้าทั้งหกอีกครั้ง ๑ จึงโปรดฯ ให้พระยารณไชยชาญยุทธ (ครุธ) เมื่อยังเป็นผู้ว่าราชการเมืองสุโขทัย กับพระยาพิไชย (มิ่ง) ยกกองทัพหัวเมืองขึ้นไปก่อน แล้วให้พระยาศรีธรรมาธิราช (เวก บุณยรัตพันธุ์) เป็นแม่ทัพยกตามขึ้นไปปราบฮ่อเป็นครั้งที่ ๒ กองทัพยกขึ้นไปครั้งนี้ถึงได้ไปตั้งล้อมค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ แต่เผอิญเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชไปถูกกระสุนปืนข้าศึกในเวลารบกัน การหาสำเร็จไม่

ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๒๘ จึงโปรดฯ ให้กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเป็นแม่ทัพยกขึ้นไปทางเมืองหนองคายทาง ๑ ให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) เมื่อยังเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถเป็นแม่ทัพ ยกขึ้นไปทางเมืองหลวงพระบางทาง ๑ กองทัพทางกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมยกขึ้นไปถึงเมืองพวน พวกฮ่อทิ้งเมืองหลบหนีไปไม่ต้องรบพุ่ง แต่กองทัพทางเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรียกขึ้นไปต้องรบกับพวกฮ่อในหัวเมืองหัวพันห้าทั้งหกหลายครั้ง พวกฮ่อจึงแตกหนีไปบ้างยอมสามิภักดิ์บ้าง

เมื่อปราบพวกฮ่อเรียบร้อยแล้ว กองทัพไทยตั้งอยู่ที่เมืองซ่อน เจ้าพระยาสุรศักดิ์สมตรีจึงมีคำสั่งให้ถามพวกเจ้าเมืองหัวพันห้าทั้งหกถึงเรื่องพงศาวดารของเมืองนั้นๆ ตามที่รู้กันมาในพื้นเมือง แล้วจดส่งลงมากรุงเทพฯกับใบบอก เดิมมีสำเนาอยู่ที่กระทรงมหาดไทย หอพระสมุดฯ ได้ฉบับมาจึงได้พิมพ์ในสมุดนี้ เพื่อให้ทราบเรื่องราวทั่วกันและรักษาไว้มิให้สูญ


.....................................................................................................................................................





Create Date : 06 กันยายน 2550
Last Update : 6 กันยายน 2550 9:19:34 น. 6 comments
Counter : 3134 Pageviews.  
 
 
 
 
คำให้การเมืองสบแอด เชียงค้อ


ที่ตั้งกองทัพ ณ เมืองซ่อน
ณ วันพฤหัสบดี แรม๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีจออัฐศก๑๘ ๑๒๔๘

ท้าวพล กรมการ้าวขุนในเมืองสบแอด เชียงค้อ ให้ถ้อยคำว่า เดิมบ้านเมืองก็เป็นสุขเรียบร้อย หามีโจรผู้ร้ายไม่ สืบมาแต่ปู่และบิดามาช้านาน

ครั้นล่วงมาเมื่อปีวอกจัตวาศก ๑๒๓๔ (พ.ศ. ๒๔๑๕) มีอ้ายจีนฮ่อพวกหนึ่งใช้ธงลาย นายจีนฮ่อชื่อสามบิวคน ๑ ชื่อยิบใตคน ๑ มีกำลังประมาณ ๓,๐๐๐ คน ยกเข้ามาตีเมืองสิบสองจุไทยแตกทั้งสิ้น ครั้นแล้วฮ่อจึงปรึกษากันแยกย้ายเที่ยวตั้งอยู่หลายตำบล เพราะขัดสนด้วยเสบียงอาหาร แล้วจีนฮ่อชื่อลอลีจึงแยกกองทัพยกไปจีกวานฟูข้าหลวงมาจากเมืองญวนซึ่งไปกำกับอยู่เมืองแถง กวานฟูกับลอลีได้สู้รบกันอยู่ ๓ เวลา กวานฟูสู้ไม่ได้แตกหนีไปเมืองญวน เจ้าเมืองแถงยอมเข้าทู้จีนฮ่อก็ฆ่าเสีย แล้วยกพลเข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองแถง กวานกอยิบใตตีได้ได้เมืองมวก เมืองลา แล้วยกพลขึ้นไปตั้งค่ายอยู่เมืองลา

เจ้าเมืองมวกเจ้าเมืองลากลับแข็งเมืองขึ้นอีก กวานกอยิบใตยกพลลงมาจะเข้าตีเมืองมวกเมืองลา เมืองมวกเมืองลามีคนอยู่ ๓๐๐ คน เห็นจะสู้กวานกอยิบใตไม่ได้ จึงมีหนังสือลงมาขอกองทัพเมืองฮุงขึ้นไปช่วย เจ้าเมืองฮุงจัดได้คน ๓๐๐ คน แต่งให้เจียวดา เพี้ยฟูกเป็นนายคุมคน ๓๐๐ คนขึ้นไปช่วยเจ้าเมืองมวกเจ้าเมืองลา เจ้าเมืองมวกเจ้าเมืองลาได้คนเมืองฮุง ๓๐๐ คนรวมเป็น ๖๐๐ ด้วยกัน ยกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่บ้านพิงแขวงเมืองมวก กวานกอยิบใตก็ยกเข้าตีค่ายเจ้าเมืองมวก เจ้าเมืองมวกกับกวานกอยิบใตสู้รบกันอยู่ได้ ๓ เวลา กวานกอยิบใตอ่อนกำลังลงถอยกองทัพกลับไปค่ายเมืองลา

องตีเจ้าเมืองมวกยกพลขึ้นไปตั้งค่ายอยู่บ้านกับแขวงเมืองมวกกับเมืองลาต่อกัน กวานกอยิบใตก็ออกรบกับเมืองมวกอยู่หลายวันยังหาแพ้ชนะกันไม่ ต่างคนต่างรักษาค่ายมั่นไว้ได้ ๒ ปี เจ้าเมืองมวกถอยกำลังลงล่าทัพมาต้อนเอาครอบครัวที่เมืองมวกมาพักอยู่เมืองสบแอด แล้วเพี้ยคำเจ้าเมืองสบแอดกับเพี้ยเกียนเจ้าเมืองฮุง กับเพี้ยท้าวทั้งปวงปรึกษาพร้อมกันแล้วจัดคนเมืองสบแอด ๓๐๐ คน เมืองฮุง ๓๐๐ คน ยกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่บ้านงิ้วแขวงเมืองฮุงได้ ๓ เวลา สามบิวก็ยกพลลงมารบกันตั้งแต่เช้าจนเวลาเที่ยง เจ้าเมืองสบแอดเจ้าเมืองฮุงสู้ฝีมือฮ่อไม่ได้ แตกหนีมาตั้งค่ายอยู่บ้านด่านแขวงเมืองสบแอดกับเมืองฮุงต่อกัน

แล้ววงเวียนเจ้าเมืองเชียงค้อ เพี้ยพลเจ้าเมืองฮุง เพี้ยไซเจ้าเมืองบัว รู้ว่าเมืองสบแอดเมืองฮุงแตกพวกฮ่อหนีตั้งค่ายอยู่บ้านด่าน จึงปรึกษาพร้อมกันเกณฑ์คนทั้ง ๓ เมือง ได้คน ๙๐๐ คน ยกขึ้นไปสมทบเจ้าเมืองสบแอดเจ้าเมืองฮุง รวม ๕ เมืองเป็นคน ๑,๕๐๐ คน แล้วแบ่งคนออก ๕๐๐ ไปตั้งค่ายอยู่บนเนินทุ่งนาค่ายหนึ่ง อยู่ค่ายบ้านด่าน ๑,๐๐๐ คน พอฮ่อสามบิวรู้ว่าเจ้าเมืองสบแอดเจ้าเมืองฮุงหนีลงไปตั้งค่ายอยู่บ้านด่านก็ยกกองทัพตามลงมารบ พวกเมืองเชียงค้อ เมืองฮุง เมืองบัว เมืองสบแอด ออกรบกับพวกฮ่อสามบิวอยู่ได้เดือนเศษ เห็นไพร่พลตายลงมาก ทิ้งค่ายบ้านด่านหนีลงมาพักอยู่ค่ายเนินทุ่งนา พวกฮ่อยกตามลงไปได้สู้กันถึงตะลุมบอน พวกเจ้าเมืองทั้ง ๕ สู้ฝีมือฮ่อไม่ได้ หนีลงมาตั้งค่ายอยู่สบวงแขวงเมืองเชียงค้อ พวกฮ่อก็ไล่ติดตามมาถึงได้รบกันตั้งแต่เช้าจนเวลาเพล ถอยเข้าค่ายรักษามั่นไว้ แล้วทราบว่าเจ้าเมืองญวนให้กวานเล่งบิงเป็นข้าหลวงยกพลขึ้นมาขัดทัพอยู่เมืองฉิม ก็ทิ้งค่ายสบวงหนีลงไปหากวานเล่งบิงที่เมืองฉิม ไปแจ้งความกวานเล่งบิงซึ่งได้สู้รบกับพวกฮ่อให้กวานเล่งบิงฟังทุกประการ แต่เจ้าเมืองสบแอดเจ้าเมืองฮุงหนีไปอยู่เมืองสะแนงหนองกาง

พวกฮ่อสามบิวเก็บได้สิ่งของเมืองสบแอด ปืนหามแล่น ๒ กระบอก ปืนคาบศิลา ๒๐ กระบอก ม้า ๖ ตัว วัว ๖๐ ตัว กระบือ ๔๐๐ เศษ เมืองเชียงค้อปืนใหญ่ ๒ กำ ยาว ๒ ศอกคืบปอกหนึ่ง กระบือ ๓๐๐ ตัว วัว ๘๐ ตัว ม้า ๔๐ ตัว เมืองฮุงกระบือ ๑๖ ตัว วัน ๔๐ ตัว ม้า ๑๓ ม้า คนตายในที่รบเมืองเชียงค้อ ๓๗ คน เมืองสบแอด ๑๒ คน เมืองฮุง ๑๓ คน รวม ๓ เมือง ปืนใหญ่ ๓ กระบอก ปืนเล็ก ๒๐ กระบอก กระบือ ๘๖๐ ตัว ม้า ๕๙ ตัว วัว ๕๖ ตัว กับทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก

แล้วพวกฮ่อสามบิวตีเมืองหัวพันห้าทั้งหกได้แล้ว จึงแยกกองทัพออกเป็น ๓ กอง ตั้งให้กวานตาหยัดไปตั้งค่ายอยู่เมืองฮุงค่ายหนึ่ง มีคนรักษาค่าย ๑๐๐ คนตำบลหนึ่ง ตั้งกวานสับสุยไปตั้งค่ายอยู่บ้านตราง คุมคน ๑๐๐ คนเป็นนายตำบลหนึ่ง ค่ายบ้านสบสามแขวงเมืองเชียงค้อ แล้ว ๓ ปีคุมจีนธงลาย ๑,๐๐๐ คนยกไปเมืองพวน ท้าวเพี้ยและราษฎรที่ไม่ได้หนีพวกฮ่อไปนั้น ขอยอมเข้าทู้เป็นบ่าวฮ่อ พวกฮ่อคิดเงินค่าทู้เมืองเชียงค้อ ๔๐ ขัน เมืองสบแอด ๖๐ ขัน เมืองฮุง ๓๐ ขัน รวมเป็น ๑๓๐ ขัน คิดเป็นเงินตรา ๓๙ ชั่ง สามบิวก็ตั้งค่ายสามตำบลได้ปีเศษ

ครั้นอยู่มา ณ ปีมะโรงโทศก ๑๒๔๒ เจ้าเมืองญวนแต่งให้องเถืองเป็นแม่ทัพกับกวานเล่งบิง กวานลิงมวก กวานกด คุมทหารญวน ๘๐๐ คน นั่งกางเกงแดงใส่เสื้อแดงหอกดาบครบมือ มีปืนใหญ่ ๖ กระบอก ปืนหามแล่น ๕๐ กระบอก แล้วเกณฑ์คนหัวเมืองขึ้นญวนขึ้นม้อยขึ้นผู้ไทยบ้าง รวมเป็นคน ๒,๘๐๐ คน เดินกองทัพขึ้นมาตามน้ำมา ครั้น ณ วันเดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีมะโรงโทศก ๑๒๔๒ ถึงเมืองเชียงค้อ องเถืองแม่ทัพจึงตั้งค่ายลงที่เมืองฮุง ใกล้กับฮ่อกวานตาหยัด ๑๐ เส้น ค่ายกว่าง ๔๐ วา ยาว ๔๐ วา ค่ายหนึ่ง มีทหารรักษาค่าย ๑,๐๐๐ คน กวานเล่งบิง กวานลิงน๊อก ตั้งค่ายลงคนละค่ายเคียงกับค่ายองเถือง กวานเล่งบิงมีคน ๓๐๐ กวานลิงน๊อกมีคน ๖๐๐ กวานต๊กค่ายหนึ่งมีคน ๒๖๐ กวานค้องเจ้าเมืองค้องค่ายหนึ่งมีคน ๑๖๐ คน เจ้าเมืองจีผู้ไทยค่ายหนึ่งมีคน ๑๖๐ คน เจ้าเมืองจือผู้ไทยค่ายหนึ่งมีคน ๑๖๐ คน เจ้าเมืองลี เจ้าเมืองลาด เจ้าเมืองฟุง สามเมืองค่ายหนึ่งมีคน ๓๐๐ คน เจ้าเมืองเชียงค้อ เจ้าเมืองสบแอด เจ้าเมืองบัว เจ้าเมืองฮุง สี่เมืองค่ายหนึ่งมีคน ๓๐๐ แต่พวกกองทัพองเถืองตั้งค่ายรายเรียงกันไป ๖ วันจึงแล้วพร้อมกัน

ครั้นตั้งค่ายแล้ว ก็ยกออกระดมตีค่ายกวานตาหยัด กวานตาหยัดหาออกรบนอกค่ายไม่ รบสู้อยู่แต่ในค่ายเพราะคนน้อย กวานกอยิบ กวานกอสุยก็หาได้ไปช่วยไม่ กวานตาหยัดรักษาค่ายมั่นไว้ได้สามวัน พวกฮ่อเมืองไปชื่อวังไตคุมคนลงมา ๖๐ คนเข้าช่วยกวานตาหยัด กวานตาหยัดกับวังไตยกคนออกรบนอกค่าย ต่างคนต่างยิงปืนสู้รบกันอยู่ได้ ๒ วัน คนตายด้วยกันทั้งสองฝ่ายเป็นอันมาก พวกกองเถืองแม่ทัพหมดกระสุนดินดำหามีจะสู้รบกับฮ่อไม่ ต่างคนต่างแตกแยกกันไป ท้าวพลกับเพี้ยคำเจ้าเมืองสบแอด กับท้าวเพี้ยและราษฎร ๕๐ ครัวหนีไปอยู่เมืองสแนนหลองกาง องเถืองก็แตกหนีไปทางเมืองสิง พวกฮ่อเก็บได้ปืนหามแล่น ๖ บอก กับเครื่องศัสตราวุธหลายสิ่ง พวกฮ่อก็ไล่ติดตามองเถืองไปถึงเมืองสิง ก็หาทันไม่พากันกลับมาค่าย

แต่เจ้าเมืองเชียงค้อกับท้าวเพี้ยราษฎรประมาณ ๕๐ , ๖๐ ครัวหนีฮ่อไปอยู่บ้านหาดจางแขวงเมืองหลวงพระบาง แล้วเจ้าเมืองสบแอดพาครอบครัวออกจากเมืองสแนนไปอยู่กับแสนหลวงแขวงเมืองซึม พวกท้าวและราษฎรเมืองเชียงค้อ เมืองฮุง เมืองสบแอด กับท้าวพลอดเสบียงอาหารหามีกินไม่ พากันกลับมาเข้ายอมทู้ฮ่อหมด พวกฮ่อกับราษฎรออกทำมาหากินตามเดิม องเถืองกวานเล่งบิง องเถืองกวานลิงน๊อก องเถืองกวานต๊ก ซึ่งแตกหนีฮ่อไปนั้น เจ้าเมืองญวนเอาตัวไปใส่คุกไว้หมด

ครั้นอยู่นานมา ท้าวพลเห็นกายเม้าทหารเมืองญวนคุมพลขึ้นมา ๗๐๐ คน มาตั้งค่ายอยู่เมืองเชียงค้อ พวกท้าวเพี้ยเมืองสบแอดรู้ว่ากายเม้าทหารเมืองญวนจะขึ้นมารบพวกฮ่อ จึงมีหนังสือไปถึงเพี้ยคำเจ้าเมืองสบแอดที่บ้านแสนหลวงแขวงเมืองซึม ให้มาปรึกษาข้อราชการกัน เพี้นคำเจ้าเมืองสบแอดรู้หนังสือแล้วกลับมาอยู่เมืองสบแอด ไปปรึกษาราชการกับกายเม้าทหารญวน

กายเม้าทหารญวนตั้งค่ายแล้วได้วันหนึ่ง พวกฮ่อกวานตาหยัดก็ลงไปที่ค่ายกายเม้า กายเม้ากับกวานตาหยัดสู้รบกันตั้งแต่เช้าจนเวลาค่ำ กายเม้าสู้พวกฮ่อไม่ได้แตกหนีออกจากค่ายไปเมืองสิม พวกฮ่อไล่ติดตามไปถึงเมืองฮุง เห็นไม่ทันก็กลับมาค่าย แล้วท้าวพลทราบความว่าเจ้าราชวงศ์เมืองหลวงพระบางเป็นแม่ทัพยกพลขึ้นไปตีค่ายลอลี ฮ่อกอไล้ที่เมืองแถง พวกฮ่อกอลีพวกฮ่อกอไล้ออกสู้รบต้านทานกองทัพเจ้าราชวงศ์ไม่ได้ พากันแตกหนีออกจากค่ายเดินมาทางเมืองสบดบ เมืองวา เลยเข้าไปตัเมืองซ่อน พระยายอดจอมคำซ่อนไท พระยาสีสุมังซ่อนลาว ช่วยกันออกรบฮ่อกอไล้ ฮ่อกอไล้กับพระยายอดจอมคำ พระยาสีสุมังได้สู้รบกันอยู่ถึง ๑๐ วัน รี้พลต่างคนต่างตาย พระยายอดจอมคำ พระยาสีสุมังสู้ฝีมือฮ่อกอลี ฮ่อกอไล้ไม่ได้ พระยาสีสุมังทิ้งเมืองหนีลงไปเมืองหลวงพระบาง พระยายอดจอมคำยกเมืองเข้าทู้ฮ่อ

ฮ่อตั้งค่ายอยู่ในเมืองซ่อนลาวได้ ๕ เดือน แล้วท้าวเม้าเมืองหลวงพระบางยกกองทัพขึ้นมามีคน ๕๐๐ คนเศษ เข้าตีค่ายฮ่อที่เมืองซ่อน พวกฮ่อกับท้าวเม้าได้สู้รบกันอยู่ ๓ วัน พวกฮ่อที่เมืองซ่อน พวกฮ่อกับท้าวเม้าได้สู้รบกันอยู่ ๓ วัน พวกฮ่อสู้ฝีมือท้าวเม้าไม่ได้แตกหนีพาไพร่พลเดินไปทางเมืองพวน เมืองกูด เมืองเหี้ยมพันลอ แล้วเลยยกขึ้นไปตีทุ่งเชียงคำ พวกทุ่งเชียงคำออกสู้รบกับพวกฮ่อธงแดงได้ ๓ วัน สู้พวกฮ่อไม่ได้ยอมเข้าทู้ฮ่อ ฮ่อตั้งค่ายอยู่ทุ่งเชียงคำพักรี้พลได้ ๓ วัน แล้วลงไปตีเวียงคังลาดบวกได้ พวกเวียงคังลาดบวกยอมเข้าทู้ฮ่อ แล้วพวกฮ่อก็ยกกองทัพลงไปตีเมืองเชียงขวางต่อไป เจ้าเมืองเชียงขวางออกรบต้านทานกำลังพวกฮ่อได้เดือนเศษ เจ้าเมืองเชียงขวางเสียทีตายในที่รบ พวกท้าวเพี้ยและราษฎรแตกหนีไปทางท่าโทมไปทางหนองคาย เมืองหลวงพระบางบ้าง ที่เหลืออยู่ยอมเข้าทู้ฮ่อสามกอปิว ฮ่อสามกอปิวก็ตั้งค่ายพักอยู่ที่เมืองเชียงขวางได้ ๑๕ วัน แล้วสามกอปิวก็ยกกองทัพตามลงไปตีบ้านม่าโทม ท่าเรือ พวกบ้านท่าโทมท่าเรือก็แตกหนีไป พวกฮ่อสามกอปิวเก็บทรัพย์สิ่งของทองเงินม้าและวัวควายได้เป็นอันมาก แล้วยกกองทัพกลับมาอยู่ค่ายทุ่งเชียงคำ

ครั้นอยู่มาสามกอปิวจึงมีหนังสือขึ้นไปขอกองทัพองวันฮ่อธงลายอยู่เมืองตึก องวันได้จัดคนได้ ๑,๐๐๐ คนเศษ องวันยกเป็นกระบวนทัพมาหาสามกอปิวที่ค่ายทุ่งเชียงคำ องวันกับสามกอปิวปรึกษาพร้อมกัน แล้วสามกอปิวจึงให้องวันกับกวานลานเป็นนายคุมพล ๑,๐๐๐ เศษ ยกกองทัพลงไปตีเมืองเวียงจันทน์ พวกเมืองเวียงจันทน์หาทันรู้ตัวว่าพวกฮ่อมามากน้อยเท่าใดไม่ ก็พากันแตกตื่นทิ้งบ้านเรือนเก็บได้ครอบครัวบ้างคนละเล็กละน้อยหนีลงไปทางเมืองหนองคายบ้าง ยอมเข้าทู้ฮ่อบ้าง แล้วพวกฮ่อองวันกับกวานลานเอาไฟเผาบ้านเรือนราษฎรเสียหลายตำบล แล้วองวัน กวานลานเข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองเวียงจันทน์

ครั้นอยู่มาประมาณสามสี่เดือน พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) เป็นแม่ทัพคุมทหารกรุงเทพฯ ขึ้นมาฆ่าฮ่อที่ตั้งค่ายอยู่เมืองเวียงจันทน์ตาย ๑,๐๐๐ คนเศษ หนีไปได้ ๓ คนชื่อกอยี่ ชื่อซู ชื่อเจียง ๓ คนกลับมาอยู่กับสามกอปิวที่ทุ่งเชียงคำ เมื่อปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ (พ.ศ. ๒๔๑๘) ท่านพระยาพิไชย (ดิศ) ยกกองทัพขึ้นไปตีฮ่อสามกอปิวที่ทุ่งเชียงคำ ท่านพระยาพิไชยกับสามกอปิวได้สู้รบกันอยู่หลายเดือน พวกท่านพระยาพิไชยตาย ๑๑ คน พวกฮ่อตายเป็นอันมาก พวกฮ่อสามกอปิวสู้ฝีมือพวกกองทัพท่านพระยาพิไชยไม่ได้ ทิ้งค่ายหนีไปตั้งค่ายอยู่เมืองแวน

พวกฮ่อที่ตั้งค่ายอยู่สามตำบล คือเมืองฮุง เมืองสบสาน เมืองตราง รู้ว่าพวกฮ่อสามกอปิวแตกหนีท่านพระยาพิไชยมา จึงปรึกษากันว่า สามกอปิวยกกองทัพไปตีค่ายเมืองพวนทุ่งเชียงคำ แล้วรักษาค่ายไว้ไม่ได้ กลับแตกหนีท่านพระยาพิไชยมาอยู่เมืองแวนในแผ่นดินหัวพันห้าทั้งหกที่กวานกอยิบตีได้ นานไปท่านพระยาพิไชยรู้เข้าก็จะยกกองทัพมาตีกวานกอปิวในแผ่นดินเมืองหัวพันห้าทั้งหก พวกกวานกอยิบก็จะได้ความลำบาก กวานกอยิบปรึกษากับไพร่พลเสร็จแล้ว จึงจัดคนได้ ๑,๐๐๐ เศษ ยกไปตีสามกอปิวที่เมืองแวน สามกอปิวมีคนอยู่ ๘๐๐ เศษ ในเวลากลางคืนหาทันรู้ตัวไม่ กวานกอยิบแยกทหารออกระดมตีค่ายสามกอปิว สามกอปิวแตกพาไพร่พลได้ ๓๐๐ คนเศษ หนีไปอยู่ทุ่งเชียงคำบ้าง น้ำสิมบ้าง แต่กวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจือง กับไพร่พล ๒๐๐ คนเศษยอมเข้าทู้กวานกอยิบ กวานกอยิบก็พากวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจือง กับไพร่พลยกกองทัพกลับไปค่ายบ้านสบสาน แล้วกวานกอยิบจึงให้กวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจือง ไปตั้งค่ายอยู่เมืองเชียงเขือง แล้วกวานกอยิบจึงยกกองทัพไปอยู่เมืองลาค่ายเดิม

ครั้นอยู่นานมาได้ ๒ ปีเศษ เจ้าเมืองไลไปจ้างเอาฮ่อธงดำเมืองเล่ากาย ๑,๐๐๐ คน ยกลงมาตีค่ายกวานกอยิบเมืองลา แล้วจึงแต่งให้ท้าวสามบุตรเจ้าเมืองไล กายตงเจ้าเมืองแถง แสนจงเจ้าเมืองไล ๓ นายคุมพล ๖๐๐ คนยอลงมาล้อมค่ายกอยี่ กอวาง กอซู กอเจืองที่เชียงเขืองแขวงเมืองฮุง แล้วพวกท้าวสามกายตง สมาแสนจง ร้องประกาศแก่ราษฎรเมืองฮุงเมืองสบแอดว่า ล้อมค่ายกวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจือง ไว้แล้วจะฆ่าเสียให้หมด อย่าให้ราษฎรมีความกลัวตกใจพวกอ้ายฮ่อเลย ให้พวกราษฎรออกทำมาหากินตามภูมิลำเนาของราษฎรเถิด พวกราษฎรเมืองฮุงเมืองสบแอดออกทำไร่นา แล้วกวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจือง ออกสู้รบกับท้าวสามกายตง ท้าวสามแสนจงถึง ๓ เดือนยังไม่แพ้ชนะกัน ท้าวสามกายตง ท้าวสามแสนจงหมดเสบียงหาพอเลี้ยงไพร่พลไม่ ก็เลิกทัพถอยมาตั้งค่ายอยู่เมืองวา กวานกอยี่เห็นกองทัพพวกท้าวสามยกถอยไปแล้ว มีความโกรธพวกเมืองสบแอดว่าไปเข้ากับพวกท้าวสามเมือง ไล่จับเอาราษฎรเมืองสบแอดได้ ๓ คน เอาไปฆ่าเสีย ที่ไม่ได้ฆ่านั้นริบเอาเงินทองไปเป็นอันมาก เจ้าเมืองสบแอดกลัวพวกฮ่อจะฆ่า หนีไปอยู่เมืองลาน แล้วบิดามารดาท้าวพลยกครอบครัวพาน้องสาวท้าวพลหนีไปอยู่ที่ห้วยจำแลงแขวงเมืองสบแอด กวานกอยี่รู้จึงไปจับตัวอำแดงแก้วน้องสาวท้าวพลไปเป็นภรรยาอยู่ที่ค่ายเชียงเขือง

แล้วท้าวสามกายตง ท้าวสามแสนจงซึ่งถอยไปตั้งค่ายอยู่เมืองวานั้นได้ ๓ เดือน ก็หาได้ยกลงมารบกับกวานกอยี่ไม่ แล้วก็เลิกกองทัพกลับไปหาเจ้าเมืองไลที่ค่ายเมืองลา ช่วยเจ้าเมืองไลรบกวนกวานกอยิบ กวานกอยิบกับเจ้าเมืองไลรบกันอยู่ได้ปีเศษยังหาแพ้ชนะกันไม่ เจ้าเมืองไลจึงมีหนังสือขึ้นไปกองทัพพวกธงดำเจ้าเมืองเล่ากาย เจ้าเมืองเล่ากายได้จัดพล ๘๐๐ คน กับธงยี่ห้อของเมืองเล่ากายมอบให้ปักเปงเก๊าเป็นแม่ทัพยกขึ้นไปช่วยเจ้าเมืองไล กวายกอยิบรู้ว่าพวกธงดำเจ้าเมืองเล่ากายแต่งให้ปักเปงเก๊าเป็นแม่ทัพ มีธงยี่ห้อของเมืองเล่ากายมาเป็นสำคัญ กวานกอยิบมีความกลัว จึงออกไปคำนับรับกองทัพปักเปงเก๊าเข้ามาในค่าย ปักเปงเก๊าจึงว่ากับกวานกอยิบว่า เจ้ากรุงจีนมีหนังสือให้เจ้าเมืองเล่ากายไปจับตัวพวกฮ่อที่เข้าไปรบอาณาเมืองลาวให้หมด ถ้าไม่ได้ตัวพวกฮ่อไปจะทำโทษเจ้าเมืองเล่ากาย เจ้าเมืองเล่ากายจึงใช้ให้ปักเปงเก๊ามาเอาตัวกวานกอยิบกับไพร่พลไปเมืองเล่ากาย กวานกอยิบกับไพร่พลก็ยอมไป

กวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจือง ที่ตั้งค่ายอยู่เชียงเขืองนั้น รู้ว่าปักเปงเก๊าเมืองเล่ากายขึ้นมาเอาตัวกวานกอยิบไปเมืองเล่ากาย กวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจืองมีความกลัวพากันยกครอบครัวไพร่พล ๒๐๐ คนเศษ หนีไปอยู่กับพระยาพระข่าเจืองที่เมืองเปินได้ปีหนึ่ง เจ้าเมืองสบแอดรู้ว่ากวานกอยี่หนีไปอยู่กับพระยาพระที่เมืองเปิน เจ้าเมืองสบแอดก็พาครอบครัวกลับเข้ามาอยู่เมืองสบแอดตามเดิม

แล้วกวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจืองจึงไปปรึกษากับพระยาพระว่า ให้พระยาพระช่วยกวานกอยี่รบพวกเมืองสบแอดได้แล้ว กวานกอยี่ก็จะไปช่วยพระยาพระรบเมืองซ่อน จะให้พระยาพระอยู่เมืองซ่อน พระยาพระกับกวานกอยี่ปรึกษากันตกลงพร้อมกันแล้ว พระยาพระกับกวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจืองคุมไพร่พลทั้งฮ่อและข่าเจือง ๑๖๐ คนเศษยกเข้าตีเมืองสบแอด เจ้าเมืองสบแอดกับท้าวพลและราษฎร ๑๐๐ คนเศษหนีไปอยู่เมืองหลวงพระบาง ท้าวเพี้ยและราษฎรที่ไม่ได้หนีไปนั้นยอมเข้าทู้กวานกอยี่หมด กวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจือง พระยาพระเข้าตั้งค่ายอยู่บ้านนาเพียงแขวงเมืองสบแอด

ปักเปงเก๊ารู้ว่ากวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจืองหนีไปหาได้ตัวไม่ จึงเอาตัวกวานกอยิบกับไพร่พล ๒,๐๐๐ เศษไปเมืองเล่ากาย เจ้าเมืองไลยกกองทัพไปเมืองไล พวกไพร่พลกวานกอยิบที่ไปอยู่เมืองเล่ากายมาทีละ ๑๐ คนบ้าง ที่ละ ๒๐ คนบ้าง มารวบรวมกันเข้าไปคน ๑๐๐ เศษ กวานกอต้ายเป็นนาย คุมพล ๑๐๐ เศษยกไปตั้งค่ายอยู่เมืองสบคบได้ปีเศษ เจ้าเมืองเล่ากายรู้ว่าพวกกอต้ายหนีมาอยู่เมืองสบคบ กวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจืองหนีไปอยู่เมืองสบแอด จึงแต่งให้องบาฮ่อธงดำคุมพล ๓๐๐ คน กับเจ้าเมืองไลคุมพล ๑๖๐ คนขึ้นมาจัวตัวกวานกอต้าย กวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจือง

กวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจืองรู้ตัวว่าองบาจะมาจับ มีความหวาดกลัวหนีไปสมทบอยู่กับกวานกอต้าย แล้วก็พากันหนีองบาไปอยู่ห้วยสุย แต่พระยาพระหนีไปอยู่กับกายตงเมืองลาน องบากับเจ้าเมืองไลตามไปถึงห้วยสุย กวานกอยี่ กอวาง กอซู กอเจือง กอต้ายหนีจากห้วยสุยไปอยู่เมืองซ่อน เจ้าเมืองซ่อนกับราษฎรหาสู้พวกฮ่อไม่ ก็พาครอบครัวยกหนีเข้าป่าไปหมด กวานกอยี่ กวานกอต้ายก็เข้าตั้งค่ายอยู่เมืองซ่อนได้ ๑๕ วัน ค่าหาทันแล้วไม่ องบากับเจ้าเมืองไลก็ยกตามไปถึง กวานกอยี่ กวานกอต้ายจวนตัวออกสู้รบกับองบาและเจ้าเมืองไล รี้พลต่างคนต่างตาย แต่พวกกวานกอยี่ กวานกอต้ายตายมาก กวานกอยี่ กวานกอต้ายสู้ฝีมือองบากับเจ้าเมืองไลไม่ได้ แตกหนีพาไพร่พลหนีไปอยู่ทุ่งเชียงคำ แล้วพระยาพระเอาเงิน ๓ ขันหกขีด คิดเป็นเงิน ๑ ชั่ง ๒ ตำลึง กับนอศีรษะหนึ่งให้กายตงเจ้าเมืองลานไปขอทู้กับองบา องบาก็ยอมรับทู้ แล้วพระยาพระมาตั้งบ้านเรือยอยู่ที่ห้วยหวนแขวงเมืองลาน แล้วองบากับเจ้าเมืองไลก็ยกกองทัพมาตั้งค่ายอยู่เมืองวา เจ้าเมืองซ่อนและราษฎรเห็นกองทัพทั้ง ๒ กองยกไปแล้ว ก็พากันเข้าอยู่บ้านเมืองตามเดิม

แล้งองบาจึงใช้ให้กอหวายไปขอเงินค่าลูกดินกับเจ้าเมืองซ่อน เจ้าเมืองซ่อนให้เงินตรากับกอหวายไป ๕ ชั่ง แล้วองบาก็ยกกองทัพไปตั้งค่ายอยู่ที่บ้านท่าขวา เจ้าเมืองไลก็ยกกลับไปเมืองไล แต่ข้าพเจ้าทราบความว่ากวานกอปิวที่ตั้งค่ายอยู่ทุ่งเชียงคำนั้นตาย ไกวซรึงฮ่อเป็นนายขึ้น เรียกกันว่ากวานหลวงคุมไพร่พลอยู่ทุ่งเชียงคำ กวานหลวงกับกวานกอยี่ กอต้ายเกิดวิวาทกันขึ้น กวานหลวงก็หาให้กอยี่ กอต้ายอยู่ที่ทุ่งเชียงคำไม่ กอต้ายก็รวบรวมคนได้ ๑๕๐ คน ยกมาตั้งค่ายยู่ที่บ้านนาปาได้ ๖ เดือน แล้วกวานกอยี่กับอึงกอตามมาภายหลังมาพล ๗๐ คนเศษยกไปเมืองอ้อ จึงปรึกษากันกับพระยาว่านชวนกันไปตีเมืองทราง พวกเมืองทรางหาทันรู้ตัวไม่ก็แตก เจ้าเมืองทรางกับราษฎรหนีไปอยู่เมืองซ่อน พวกแม้วที่อยู่ในแขวงเมืองทรางยอมเข้าทู้กับกวานกอยี่ กวานกอยี่กับอึงกอ พระยาว่านเข้าตั้งค่ายอยู่ในเมืองทราง

แล้วกอวาง กอเจืองที่อยู่กับกวานหลวงค่ายทุ่งเชียงคำนั้น ยกไปตีเมืองยู้ เจ้าเมืองยู้และราษฎรแตกหนีเข้าป่าหมด กอวาง กอซู กอเจืองก็เก็บเอาทรัพย์สิ่งของวัวควายกลับมายังทุ่งเชียงคำ กวานหลวงทุ่งเชียงคำก็หายอมให้กอวาง กอซู กอเจืองอยู่ที่ค่ายนั้นไม่ กอวาง กอซู กอเจืองจึงยกไปตั้งค่ายอยู่ที่ห้วยทราบ กอต้ายซึ่งตั้งค่ายอยู่บ้านนาป่านั้นรู้ว่ากวานกอยี่ตีเมืองทรางได้แล้ว จึงขึ้นไปชวนกวานกอยี่ให้ยกไปอยู่ที่ค่ายบ้านนาป่า กอยี่กับอึงกอก็ยกมาอยู่ค่ายบ้านนาป่า แต่พระยาว่านยังอยู่เมืองทราง กอยี่จึงว่ากับกอต้ายว่า กอต้ายเป็นฮ่อธงดำ กอยี่เป็นฮ่อธงเหลืองจะอยู่ด้วยกันนั้นไม่ได้ กอยี่จึงยกมาตั้งค่ายอยู่ที่บ้านได กอยี่จึงตั้งให้กอรันเป็นที่ซือแย้นายทหาร แต่กออึงนั้นหามาอยู่กับกอยี่ไม่ อยู่กับกอต้ายที่ค่ายนาป่า แล้วอึกกอมาได้เมียอยู่ที่เมืองสบแอด กอยี่จึงว่านานไปอึงกอจะคบคิดกับกอต้ายมาฆ่ากอยี่เสีย กอยี่จึงลอบไปฆ่าอึงกอตายที่เมืองสบแอด

แล้วองบาถ้าขวารู้ว่ากอยี่ กอต้าย กลับมาจากทุ่งเชียงคำมาตั้งค่ายอบู่บ้านได บ้านนาป่า จึงกวานซือแย้ฮ่อธงดำมาเอาตัวกอยี่ กอต้ายไป กอยี่ กอต้ายจึงว่ากับกวานซือแย้ว่า ตีได้เมืองหัวพันห้าทั้งหกยอมเข้าทู้หมดแล้ว กอยี่ กอต้ายขอยอมตัวเป็นบ่าว จะช่วยดูแลเมืองหัวพันห้าทั้งหกให้องบา ขออย่าให้ไปเมืองเล่ากายเลย กวานซือแย้จึงเอาความไปแจ้งกับองบา องบาก็ยอมให้กอยี่ กอต้ายอยู่ องบาจึงว่าถ้าเช่นนั้นให้เปลี่ยนแซ่ ธงเหลืองเป็นธงดำให้หมด องบาจึงเอาธงดำให้กวานกอยี่ กอต้าย เป็นสำคัญคนละธง องบาตั้งแต่ให้ซือแย้เป็นนายเล่าแย้ จึงยกมาเข้าอยู่ค่ายกอต้ายที่บ้านนาป่า แล้วองบาจึงมีหนังสือไปยังเจ้าเมืองเล่ากายฉบับหนึ่ง ใจความว่ากอยี่ กอต้าย ตีได้เมืองหัวพันห้าทั้งหก พวกราษฎรขอขอให้กวานกอยี่อยู่รักษาบ้านเมือง เจ้าเมืองเล่ากายจึงมีหนังสือมาถึงองบา ให้องบารักษาเมืองสิบสองจุไทย ให้กอยี่กับซือแย้รักษาเมืองหัวพันห้าทั้งหก แต่เงินที่ทู้นั้นมอบให้องบา

กอยี่ กอต้าย ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านไดบ้านนาป่าได้ปีเศษ ท้าวโต้บุตรเจ้าเมืองเชียงค้อจึงรวมคนเมืองสบแอดเมืองเชียงค้อ กับไพร่ราษฎรที่แตกหนีไปอยู่ตามป่าได้คน ๓๐๐ เศษ ยกเข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่บ้านศพมอญแขวงเมืองเชียงค้อ แล้วจึงแต่งคนไปพูดกับกวานซือแย้ฮ่อธงดำที่ค่ายบ้านนาป่าว่า ท้าวโต้ยกกองทัพมาตั้งนี้ไม่ใช่จะมารบกับกวานซือแย้ จะมารบกวนกวานกอยี่ฮ่อธงเหลืองที่ค่ายบ้านได ขออย่าให้กวานซือแย้มาช่วยกวานกอยี่ กวานกอยี่จึงตอบว่ารบเถิดไม่ไปช่วยดอก

ท้าวโต้ตั้งค่ายเสร็จแล้ว กวานกอยี่รู้ว่าท้าวโต้ยกกองทัพจะมาตีจึงจัดพลได้ ๕๐ คน ยกลงไปตั้งค่ายที่บ้านโสดใกล้กับค่ายท้าวโต้ ๓ เส้นเศษ ท้าวโต้กับกอยี่ได้สู้รบกันอยู่ ๓ วัน กอยี่ก็แตกหนีมาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองสบแอดได้วันหนึ่ง ก็หาเห็นกองทัพพวกท้าวโต้ยกตามขึ้นมาไม่ กอยี่จึงยกลงไปรบกับท้าวโต้อีก ท้าวโต้แตกถอยลงมาตั้งอยู่เมืองฮุง จึงเกลี้ยกล่อมเอาคนเมืองโสย เมืองพูน เมืองสิม เมืองพุง ได่คน ๘๐๐ คนเศษ ยกเข้ามาตั้งค่ายที่เมืองสบแอด กวานกอยี่เห็นท้าวโต้ยกพลเข้ามามากจึงยกหนีไปอยู่ค่ายบ้านนาป่ากับซือแย้ แล้วจึงพูดกับซือแย้ว่าขอให้ซือแย้ช่วย ถ้าไม่ช่วย กอยี่แพ้ท้าวโต้ ท้าวโต้ก็จะตีความกวานซือแย้ ซือแย้กับกอยี่ปรึกษาพร้อมกันแล้วก็ยกกองทัพมาถึงทุ่งนาหน้าเมืองสบแอดฟากตะวันตก ท้าวโต้ก็ยกพลข้ามน้ำแอดไปรบกวนซือแย้กวานกอยี่ที่ทุ่งนา รบกันอยู่ได้ ๔ วัน พวกกวานซือแย้กวานกอยี่รวนเรจวนจะแตกอบยู่แล้ว พอท้าวโต้ถูกกระสุนปืนฮ่อที่หน้าผากไรผมแต่หาเข้าไม่ พวกบ่าวก็หามเอาท้าวโต้ลงไปเมืองเชียงค้อ ทาวโต้ก็ถึงแก่กรรม พวกไพร่พลในกองทัพท้าวโต้ก็แตกกระจัดกระจายไป หาได้สู้รบกับพวกฮ่อต่อไปไม่ พวกฮ่อก็ยกกลับมาอยู่ที่ค่ายบ้านไดตามเดิม

ต่อมาจนถึงปีจออัฐศก ๑๒๔๘ กองทัพกรุงเทพฯ (คือกองทัพเจ้าพระยาสุรศักดิ์ฯ) ยกขึ้นมาปราบปราม อ้ายฮ่อต่อสู้ทางกำลังมิได้ ซือแย้ กวานกอยี่ กวานกอต้าย และองบาถ้าขวายอมเข้าหากองทัพ เป็นสิ้นโจรผู้ร้ายในครั้งนี้ สิ้นคำให้การท้าวพลเมืองสบแอดแต่เท่านี้ ฯ

....................................................................................................................

 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:9:27:36 น.  

 
 
 
คำให้การเมืองซำเหนือ


ที่ตั้งกองทัพ ณ เมืองซ่อน
ณ วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอมอัฐศก ๑๒๔๘

ข้าพเจ้าท้าวเมือง ท้าวบุญ ในเมืองซำเหนือ ให้ถ้อยคำว่า

เดิมเมื่อปีมะแมตรีศก ๑๒๓๓ (พ.ศ. ๒๔๑๔) ข้าพเจ้าทราบว่าพวกจีนธงแดง ธงเหลือง ธงลาย ยกพวกมาตีเมืองสิบสองจุไทย คือเมืองม่วย ๑ เมืองลา ๑ เมืองมอก ๑ เมืองตืก ๑ เมืองวัด ๑ เมืองลอ ๑ เมืองคาง ๑ เมืองหวก ๑ เมืองควาย ๑ เมืองไล ๑ เมืองแถง ๑ เมืองจัน ๑ รวม ๑๒ เมือง พวกฮ่อตีได้แล้วแต่จะเป็นวันเดือนปีใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ เมื่อบิดาข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่

ณ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอฉศก ๑๒๓๖ (พ.ศ. ๒๔๑๗) พวกฮ่อธงแดง ธงลาย คุมไพร่พลประมาณ ๒,๐๐๐ คนเข้ามาตีเมืองสบแอดแตกแล้ว พวกฮ่อถอยไปตั้งค่ายอยู่ที่บ้านเชียงเคือง ไกลกับเมืองสบแอดประมาณ ๓ ชั่วโมง ข้าพเจ้าได้รู้ว่าเจ้าเมืองเชื่องค้อแต่งให้เพี้ยพลไปรบกับฮ่อ ต่างคนไม่แพ้ชนะกัน เพี้ยพลก็ถอยทัพกลับมาเมืองเชียงค้อ

ณ ปีกุนสัปตศก (พ.ศ. ๒๔๑๘) เจ้าเมืองเชียงค้อแต่งให้เพี้ยพิมคุมไพร่ไปรบกับฮ่อที่ค่ายเมืองวันต่างคนต่างไม่แพ้ชนะกัน เพี้ยพิมก็ถอยทัพลงมาเมืองเชียงค้อ เหตุที่ถอยลงมานั้นเป็นการช้านาน ต้องสับเปลี่ยนกันไปรบ แต่ได้สู้กันนั้นประมาณ ๒ ปี ไม่แพ้ชนะกัน ไพร่พลที่ได้รบกันต่างคนต่างตาย แต่ฝ่ายไหนจะตายมากน้อยเท่าไรข้าพเจ้าหารู้ไม่ ในปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ (พ.ศ. ๒๔๑๙) พวกหัวเมืองคิดพร้อมใจกัน เมืองซำเหนือ ๑ เมืองโสย ๑ เมืองเชียงค้อ ๑ เจ้าเมืองเชียงค้อเป็นแม่ทัพ คุมไพร่ประมาณ ๕๐๐ คน เมืองซำเหนือคุมไพร่ประมาณ ๑๕๐ คน เมืองโสยคุมไพร่ประมาณ ๖๐ คน เข้าสมทบกันทั้ง ๓ เมือง รวม ๗๑๐ คน ยกไปตั้งค่ายที่เมืองวัน ไกลกับค่ายฮ่อประมาณ ๕ ชั่วโมงเศษ แล้วเจ้าเมืองเชียงค้อแต่ให้ท้าวเชียงเป็นนายทัพคุมไพร่ ๔๖๐ คน ยกไปที่นาสบกอง แล้วพวกฮ่อยกพลออกจากค่ายมาที่นาสบกองประมาณ ๑๐๐ คน แล้วพวกท้าวเชียงก็ออกรบกับพวกฮ่อตั้งแต่เวลาเช้า ๓ โมง ครั้นเวลาบ่าย ๓ โมง พวกฮ่อแบ่งพลออกสกัดตัดหลัง ฮ่อยิงท้าวเชียงนายทัพตาย พวกท้าวเชียงแตกฮ่อมาเข้าค่ายเมืองวัน เวลานั้นฮ่อก็หาได้ติดตามมาไม่ เจ้าเมืองเชียงค้อรู้ว่าท้าวเชียงถูกปืนตายในที่รบ

รุ่งขึ้นเวลาเช้าก่อนกินข้าว เจ้าเมืองเชียงค้อและพวกข้าเจ้าแตกฮ่อต่างคนต่างระบาด เจ้าเมืองเชียงค้อหนีฮ่อไปอาศัยกับข่าแจะอยู่ที่บ้านห้วยมั่น ในเวลาเดียวนั้นอ้ายฮ่อก็ตามไปฆ่าเจ้าเมืองเชียงค้อตายที่บ้านข่าแจะ พวกข้าพเจ้าและไพร่ราษฎรเมืองซำเหนือ เมืองโสย เมืองเชียงค้อ พากันหนีฮ่อซุ่มซ่อนอยู่ในป่าได้ประมาณปีหนึ่ง บิดาข้าพเจ้าคนหนึ่งกับเพี้ยพลน้องชายเจ้าเมืองเชียงค้อ พร้อมใจกันลงไปขอกองทัพญวนที่เจ้าเมืองเตินแถง เจ้าเมืองเติมแถงก็แต่งให้กวานถือเป็นแม่ทัพคุมไพร่ประมาณ ๒,๐๐๐ เศษยกขึ้นมา แต่เสบียงอาหารเกณฑ์ไพร่หาบขึ้นมาค่าย รบกับฮ่ออยู่ที่เมืองเชียงค้อ

พวกข่าแจะเกิดเป็นเจืองขึ้น คือ พระยาพระ พระยาว่านเป็นมีพวกประมาณ ๕๐๐ คน พากันมาตีเมืองซำเหนือและหัวเมืองขึ้นแล้วไปตั้งค่ายอยู่ที่นาคูน บิดาข้าพเจ้าให้หม่อมบ่าวลัดพี่เขยข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพยกไปรบข่าเจืองที่นาคูนแขวงเมืองซำเหนือ เพี้ยพลน้องเจ้าเมืองเชียงค้ออยู่กับญวนแกว สู้รบฮ่อที่เมืองเชียงค้อ กวานถือสู้รบฮ่ออยู่ได้ประมาณ ๓ เดือน สู้ฮ่อไม่ได้ ก็พากันแตกหนีฮ่อกลับลงไปเมืองเตินแถง ครั้นพวกข้าพเจ้ารู้ว่ากวานถือแม่ทัพเมืองญวนแตกหนีฮ่อไปแล้ว พวกข้าพเจ้าสู้รบข่าเจืองอยู่ได้ประมาณ ๒ ปี พวกข้าพเจ้าอดอยากด้วยเสบียงอาหาร ก็พากันอพยพเข้าอยู่บ้านสบกกบ้าง ลงไปอยู่น้ำบากเมืองงอยบ้าง ไปอยู่เมืองกาสีบ้าง พวกข่าแจะก็เลยเจืองตั้งค่ายอยู่ที่ห้วยตาบวนแขวงเมืองซำเหนือกับเมืองซ่อนต่อกัน

แล้วข้าพเจ้ารู้ว่าฮ่อธงลาย ธงแดง ที่หัวเมืองเชียงค้อ เมืองสบแอด เมือซำเหนือ หัวพันทั้งหกและเมืองสิบสองจุไทยเก็บได้ทรัพย์สิ่งเงินทองตามหัวเมืองที่ตีแตก แล้วเอามาแบ่งปันกัน พวกฮ่อธงลายธงแดงเกิดมีความผิดใจกัน ด้วยแบ่งปันสิ่งของไม่เสมอกัน แล้วว่าจะมีข้าศึกมาก็ไม่ช่วยกัน ในปีกุนนั้นพวกฮ่อก็แยกย้ายกันไปทางเมืองพวนบ้าง เมืองหัวพันทั้งหกบ้าง ต่อมาจนทุกวันนี้ เมื่อข้าพเจ้าแตกไปเที่ยวอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ เมืองซำเหนือก็ร้างว่างเปล่าอยู่แต่นั้นมาจนถึงปีจออัฐศก๑๙ ๑๒๔๘ ซึ่งกองทัพกรุงเทพฯ ยกขึ้นมาปราบปรามพวกจีนฮ่อ และจัดการบ้านเมืองในพระราชอาณาเขตสยามครั้งนี้นั้น ข้าพเจ้าได้แตกฮ่อไปเสียหลายปีหาได้อยู่บ้านเมืองไม่ ได้ทราบเหตุการณ์และได้ต่อสู้ฮ่อ ข่าเจืองซึ่งเป็นโจรผู้ร้ายนั้นแต่เท่านี้ ฯ


....................................................................................................................

 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:9:28:09 น.  

 
 
 
....................................................................................................................



คำให้การเมืองโสย

ที่ตั้งกองทัพ ณ เมืองซ่อน
ณ วันจันทร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจออัฐศก ๑๒๔๘

ข้าพเจ้าท้าวเมืองอินโยธาเจ้าเมืองโสย ให้ถ้อยคำว่า

เดิมพระยาสุรินทาเป็นเจ้าเมืองเป็นปู่ข้าพเจ้า รับราชการอยู่ได้ ๔๐ ปี อายุได้ ๘๐ ปี ตายในราชการ พระยาสุรินทามีบุตร ๒ ชื่อท้าวทิดพรม ๑ ชื่อท้าวล่า ๑ บุตรพระยาสุรินทร์เป็นพระยาคำเจ้าเมืองแทน รับราชการได้ ๑๒ ปี ถึงแก่กรรมในราชการ แล้วท้าวเมืองบุตรพระยาคำรับราชการเป็นเจ้าเมืองแทน เป็นพระยาอีสารอุตไท สุรินทฦๅไชยเตชนะสงคราม พระยาอีสารอุตไท สุรินทฦๅไชยเตชนะสงครามรับราชการ ๓๐ ปีถึงแก่กรรมในราชการ มีบุตรชื่อหม่อมเบ่ากงยันรับราชการแทน เป็นตีเวียนกงที่เจ้าเมือง รับราชการได้ ๒๐ ถึงแก่กรรมในราชการ มีบุตรชื่อหม่อมเบ่าสุ รับราชการเจ้าเมืองแทนเป็นตีเวียนทุกทุม รับราชการได้ ๑๒ ปี ถึงแก่กรรมในราชการ มีบุตรชื่อท้าวเมืองรับราชการอยู่ปัจจุบันนี้

เดิมจะเป็นปีใดข้าพเจ้าจำมิได้ มีนายฮ่อชื่อองยิบคุมไพร่ประมาณ ๒,๐๐๐ คนเศษ พากันมาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองลา ฮ่อพวกนี้จะมาจากเมืองใดข้าเจ้าหาทราบไม่ เมืองลาเป็นเขตแขวงเมืองสิบสองจุไทย พวกฮ่อยกรี้พลเข้าตีเมืองสบแอด พวกเมืองสบแอดเกณฑ์รี้พลออกต่อรบกับพวกฮ่อ ทัพพวกฮ่อและทัพพวกเมืองสบแอด ผู้ใดจะเป็นแม่ทัพไปรบนั้นข้าพเจ้าหาทราบไม่ พวกเมืองสบแอดต่อรบฮ่ออยู่ได้ประมาณ ๑๒ วัน ฝ่ายไหนจะตายเท่าใดข้าพเจ้าหารู้ไม่ ทัพพวกเมืองสบแอดสู้กำลังฮ่อไม่ได้ ก็แตกทัพหนีฮ่อยกครอบครัวหนีออกจากเมืองสบแอด พวกฮ่อติดตามมาถึงเมืองสบแอด แล้วพวกฮ่อเอาไฟเผาบ้านเรือนเสียสิ้น พวกฮ่อก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ในเมืองสบแอด

จะเป็นปีเดือนใดข้าพเจ้าจำหาได้ไม่ เจ้าเมืองเชียงค้อมีหนังสือแต่งให้ท้าวกองถือมาถึงตีเวียนทุกทุมเจ้าเมืองโสย มีใจความว่าให้เจ้าเมืองโสยเกณฑ์ไพร่พลขึ้นไปช่วย บัดนี้พวกฮ่อตีเมืองสบแอดแตกเสียแล้ว เจ้าเมืองโสยจึงแต่งให้องกาย ๑ หม่อมเบ่าพรมเมือง ๑ หม่อมเบ่ากงเมืองเชียงแมน ๑ รวม ๓ นายคุมไพร่พล ๓๐๐ เศษยกขึ้นไปถึงเมืองเชียงค้อ อยู่ได้ ๓ เวลาเจ้าเมืองเชียงค้อแต่งให้ท้าวหาย ท้างเชียงเป็นนายทัพคุมๆไพร่ ๔๐๐ เศษเข้ากันกับเมืองโสย นายทัพ ๕ คนไพร่ ๗๐๐ เศษ ยกไปตั้งค่ายที่สบเงินแขวงเมืองเชียงค้อ ระยะทางมาเมืองเชียงค้อวันหนึ่ง พวกกองทัพฮ่อแต่งคนมาสอดแนมเห็นว่ากองทัพพวกเมืองเชียงค้อมีไพร่พลมาก กองทัพพวกฮ่อก็ถอยทัพกลับไปเข้าค่ายเมืองลา ระยะทางจากเมืองลามาที่ค่ายสบเงิน ๓ คืน นายทัพเมืองเชียงค้อแต่งคนไปสอดแนมดู ว่าพวกฮ่อถอยทัพไปแล้ว นายทัพเมืองเชียงค้อคนไพร่ ๔๐๐ เศษ กับท้าวคูนเมืองโสย ไพร่ ๕๐๐ คน ยกไปขัดตาทัพอยู่กีกอลานที่แขวงเมืองสบแอดเมืองฮุงต่อกัน ตั้งค่ายขัดตาทัพอยู่ที่นั้น

ในคราวเดียวกันนั้น กอยิบนายทัพฮ่อจึงแต่งให้กวานซือแย้คุมไพร่พลประมาณ ๘๐๐ คน ยกแยกไปทางเมืองคาง กวานซือแย้ตั้งค่ายมั่นที่นั้น ระยะทางมาที่ค่ายเมืองลา ๔ คืน กวานซือแย้ให้คนรักษาค่ายอยู่เมืองคาง ๑๐๐ คน กวานซือแย้คุมไพร่ประมาณ ๗๐๐ เศษเข้าตีเมืองฮา เมืองมูน แขวงญวนแตก พวกกวานซือแย้เก็บได้ทรัพย์สิ่งของ แล้วก็ยกทัพไปตั้งอยู่ที่บ้านกุมแขวงเมืองฮาขึ้นกับญวน แล้วกวานซือแย้แต่กอลำต้ายเป็นนายทัพคุมพวกฮ่อ ๘๐ คน ยกแยกมาทางเมืองเซีย เมืองมิน กองหนึ่ง แล้วกวานซือแย้แต่งให้นายทัพคุมพวกฮ่อประมาณ ๖๐ คนไปทางเมืองมอและเมืองซำใต้ กองทัพพวกกอลำต้ายยกไปถึงเมืองเซีย เมืองมิน เมืองเซีย เมืองมิน เป็นพวกผู้ไทยแดง ระยะทางมาค่ายบ้านกุ่ม ๒ คืน พวกเจ้าเมืองเซียเมืองมินยอมเอาเงินเข้าทู้กอลำต้าย พวกกอลำต้ายได้เงินทู้แล้วก็หาได้ทำอันตรายบ้านเมืองไม่ กอลำต้ายยกไพร่พล ๘๐ คนมาพักอยู่เมืองจา ระยะทางจากเมืองเซียเมืองมินวันหนึ่ง กอลำต้ายมีหนังสือแต่งให้ผ๔ไทแดง ๓ คนถือหนังสือไปถึงเจ้าเมืองโสย เมืองพูน เชียงแมน มีความว่าเอาเงินไปทู้เสีย เจ้าเมืองโสย เจ้าเมืองเชียงแมน เจ้าเมืองพูนปรึกษาพร้อมกันไม่ยอมเข้าทู้ฮ่อ

ตีเวียนทุกทุมเจ้าเมืองเจ้าเมืองโสย จึงแต่ให้พระสุรินทร์ นาย ๑ คุมไพร่ ๓๐๐ เศษ แต่งให้ไกโตงเจ้าเมืองแมน หม่อมเบ่าแก้วเมืองพูน คุมไพร่ ๕๐๐ เศษ พระสุรินทร์คุมไพร่ไปทางน้ำโสย ไปตั้งค่ายที่ด่านขรัวโฮบค่ายหนึ่ง ระยะทางมาเมืองโสยประมาณ ๗ ชั่วโมง กายโตง หม่อมเบ่าแก้วคุมไพร่ไปทางน้ำคูน ไปตั้งค่ายที่กิวอีลู้กองหนึ่ง ระยะทางมาเมืองโสยวันหนึ่ง พวกกอลำต้ายรู้ว่ากองทัพเมืองโสยยกไพร่พลมามาก พวกกอลำต้ายจึงถอยทัพกลับไปค่ายบ้านกุ่มที่กวานซือแย้อยู่ กองทัพเมืองโสยคือพระสุรินทร์นาย ๑ กายโตง หม่อมเบ่าแก้ว ๒ นาย รวม ๓ นาย ก็สมทบทัพกัน ยกติดตามพวกกอลำต้ายไปถึงเมืองจ่า เห็นว่าพวกฮ่อหนีไปแล้ว พระสุรินทร์ กายโตง หม่อมเบ่าแก้ว กองทัพเมืองโสยจึงคุมไพร่ตั้งค่ายขัดทัพอยู่เมืองจ่า ระยะทางไปที่ค่ายด่านขรัวโฮบ ๖ ชั่วโมง

อยู่มาจะเป็นปีเดือนใดจำมิได้ ข้าพเจ้าได้รู้ว่าองเถืองเจ้าเมืองเต็งแถง ขึ้นแก่เจ้าเมืองญวน คุมไพร่พลประมาณ ๕๐๐ เศษ ยกลงมาทางลำน้ำ มาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลความเป้แขวงเมืองกายา กวานเถืองแม่ทัพญวนจึงมีหนังสือถึงกองทัพพระสุรินทร์เมืองโสยที่ขัดทัพอยู่ มีความว่าเราจะไปตีทัพฮ่อให้คอยระวังรักษา อย่าให้พวกฮ่อหนีเล็ดรอดไปทางนั้นได้ กองทัพพวกพระสุรินทร์รู้ความแล้วก็ตั้งระวังรักษามั่นอยู่ จะเป็นวันเดือนใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ องเทืองแม่ทัพญวนยกไพร่พลเข้าตีกองทัพฮ่อกวานซือแย้ค่ายบ้านกุ่ม ญวนต่อสู้รบกันครั้งนั้น ญวนฮ่อตายในที่รบมาก ฝ่ายไหนจะตายเท่าไรข้าพเจ้าหาทราบไม่ ต่อรบกันอยู่ประมาณ ๓ – ๔ วัน พวกฮ่อกวานซือแย้ทางกำลังทัพญวนไม่ได้ก็แตกพ่ายหนีทิ้งค่ายไปเมืองลา กองทัพพระสุรินทร์รู้ว่า พวกญวนตีฮ่อแตกไปแล้วก็ถอยทัพกลับไปเมืองไล พวกทัพญวนก็ถอยทัพกลับลงไปเมืองเตงแถง

ในปีนั้นการทัพก็สงบอยู่ เจ้าเมืองโสยจึงมีหนังสือไปให้กองทัพที่ขึ้นไปช่วยเมืองสบแอดถอยกลับลงมา องกาย หม่อมเบ่าแก้วรู้หนังสือเจ้าเมืองโสยแล้ว ก็พารี้พลกลับมาเมืองโสย พวกเมืองสบแอดซึ่งแตกฮ่อมานั้นก็พากันเข้าไปอยู่ในเมืองสบแอดตามเดิม พวกฮ่อกอลำต้าย ๑ กวานสับกอ ๑ รวม ๒ นายคุมไพร่พล ๑,๐๐๐ เศษ ตีเวียนเจ้าเมืองเชียงค้อแต่ให้ท้าวเชียงเมืองฮุง ๑ ท้าวโพเมืองล้อง ๑ ท้าวหาวเมืองเชียงค้อ ๑ รวม ๓ นายคุมไพร่ ๕๐ คน ขึ้นไปตั้งสกัดด่านอยู่ที่กีกอล้าน ระยะทางจากเมืองเชียงค้อ ๒ คืน กอลำต้ายยกทัพมาใกล้จะถึงกองด่านพวกเมืองเชียงค้อ กอลำต้ายแยกให้นายทัพคุมไพร่ ๒๐๐ คนเข้าระดมรบพวกกองด่าน กอลำต้ายคุมไพร่พล ๘๐๐ เศษ ยกลัดตัดทางเข้ามาสกัดหลังพวกกองด่านไว้ที่ห้วยนาเงิน

เจ้าเมืองเชียงค้อได้รู้ความว่าพวกฮ่อยกมาตีพวกกองด่านตำบลกีกอล้าน จึงแต่งให้คำบาล ๑ คำคูน ๑ บุตรเจ้าเมืองเชียงค้อ ๒ นายคุมไพร่ ๕๐๐ คน ยกไปถึงตำบลห้วยนาเงินพบกองทัพฮ่อตั้งสกัดอยู่ที่นั้น คำบาล คำคูนยกไพร่พลเข้าต่อรบฮ่อ ทันใดนั้นพวกทัพกองด่านทานกำลังฮ่อไม่ได้ก็ถอยทัพลงมา พวกฮ่อก็ติดตามมาปะทะทัพกันเข้าที่ห้วยนาเงิน สู้กันถึงอาวุธสั้น พวกฮ่อตายในที่รบประมาณ ๒๐ คน พวกกองทัพเมืองเชียงค้อตัวท้าวเชียง ๑ ท้าวโพ ๑ ท้าวหาว ๑ รวม ๓ ไพร่ประมาณ ๔๐ คน พวกกองทัพเมืองเชียงค้อสู้ฝีมือฮ่อไม่ได้ก็แตกหนีกระจัดกระจายเข้าป่าไป กอลำต้ายก็ยกไพร่พลติดตามไปเมืองเชียงค้อ ตีเวียนเจ้าเมืองเชียงค้อรู้ว่ากองทัพเสียแก่พวกฮ่อ และพวกฮ่อล่วงมา ตีเวียนเจ้าเมืองเชียงค้อก็คุมไพร่ ๑๐๐ เศษยกไปต้านทานฮ่อไว้ ระยะทางจากเมืองเชียงค้อประมาณ ๑๐ เส้น ได้สู้รบกับฮ่อที่นั่นประมาณชั่วโมง ๑ ตีเวียนทานกำลังฮ่อไม่ได้ก็แตกหนีฮ่อ ฮ่อก็คุมไพร่พลไล่ติดตามเข้ามาในเมืองเชียงค้อ ฮ่อฆ่าพวกเมืองเชียงค้อครั้งนั้นทั้งชายหญิง ๑๐๐ เศษ จับครอบครัวชายหญิงได้ไม่ฆ่า ๑๐๐ เศษ ตีเวียนเจ้าเมืองเชียงค้อกับท้าวโต้ ท้าวเนือง ท้าวหนวกบุตร กับท้าววานรวม ๕ คน ก็พากันหนีฮ่อไปถึงบ้านปอกระยะทางไปเชียงค้อ ๓ ชั่วโมง ตีเวียนกับพวก ๔ คนก็เข้าพักอาศัยที่บ้านเรือนคนพูพวก ในเวลาเดียวนั้นพวกฮ่อก็ติดตามไปทันตีเวียนเจ้าเมืองเชียงค้อที่บ้านพูพวก พวกฮ่อล้อมจับตีเวียนได้ ท้าววานเข้าไปช่วยตีเวียน พวกฮ่อเอาปืนยิงท้าววานตาย แล้วพวกฮ่อก็ฆ่าตีเวียนเจ้าเมืองเชียงค้อเสียที่นั้น แล้วพวกฮ่อถอยกลับเข้าพักอยู่ที่เมืองเชียงค้อ

ฮ่อพักอยู่ในเมืองคืน ๑ กอลำต้ายก็ยกไพร่พลมาตั้งค่ายที่เมืองฮั้ง ระยะทางมาเมืองเชียงค้อคืน ๑ กอลำต้ายแต่งคนคุมครอบครัวชายหญิงและทรัพย์สิ่งของส่งขึ้นไปที่ค่ายเมืองลา กอลำต้ายพักอยู่ได้ ๒ วันจึงแต่งให้กวานสับกอคุมไพร่ ๔๐๐ คน ยกไพร่พลเดินทาง ๒ คืนถึงเมืองเชียงแมน ก็เข้าตีเมืองเชียงแมนแตกในทันใดนั้น แล้วพวกฮ่อตั้งค่ายพักที่เมืองเชียงแมน ระยะทางไปเมืองโสยคืน ๑

พวกเมืองเชียงแมนที่แตกฮ่อมาแจ้งความต่อเจ้าเมืองโสย ว่าฮ่อตีเมืองเชียงแมนแตกหมดแล้ว บัดนี้ฮ่อตั้งอยู่ที่นั้น ตีเวียนทุกทุมเจ้าเมืองโสยคุมครอบครัวไพร่ราษฎรออกซุ่มเสียในป่า จัดได้เงิน ๖ ขัน เป็นเงิน ๑ ชั่ง ๑๗ ตำลึง ๒ บาท แต่งให้แสนทิพย์กับไพร่ ๔ คนเอาเงินไปขอทู้ฮ่อที่เชียงแมน ฮ่อก็รับเอาเงินไว้แล้วฮ่อว่าจะเอาเงินอีก ๖๐๐ ขัน แสนทิพย์จึงว่ากับพวกฮ่อ ถ้าจะเอาเงินอีกนั้น ขอทุเลากลับมาเมืองโสยแจ้งความต่อเจ้าเมืองโสยเก็บริบรวมเงินมาให้ พวกฮ่อก็ยอม พวกแสนทิพย์ก็กลับมาเมืองโสย แสนทิพย์มาแจ้งความต่อเจ้าเมืองโสยว่าฮ่อจะเอาเงิน ๖๐๐ ขัน เจ้าเมืองโสยก็คิดว่าจะเก็บเงินไปให้ฮ่อ แต่พระสุรินทร์ไม่ยอมเสียเงินทู้ฮ่อ ในคราวเดียวนั้นพระสุรินทร์จึงอพยพครอบครัวและไพร่ราษฎรเข้ากันเป็นคน ๑,๐๗๗ คน ทั้งชายหญิงใหญ่น้อยออกจากเมืองโสยไปอยู่เสียเมืองหนองคาย

เจ้าเมืองโสยเห็นว่าไพร่ราษฎรอพยพแยกย้ายกันไปเสียมากแล้ว จะเก็บเอาเงินให้ฮ่อไม่ได้ตามสัญญา จึงแต่งให้หม่อมบ่าวบัวกับไพร่ ๔ คนไปขอกองทัพญวนเมืองเตงแถง หม่อมบ่าวบัวออกจากเมืองโสยเดินทาง ๑๒ คืนถึงเมืองเตงแถง เวลานั้นจะเป็นปีเดือนใดจำไม่ได้ องเถืองเจ้าเมืองเตงแถงได้รู้ความแล้ว แล้วแต่งให้กวานเถือม กวานท่าม ๒ คนคุมไพร่ ๓,๐๐๐ คนไปทางน้ำมา แต่งให้กวานหลิงเข ๑ กวานแจ้ง ๑ กวานลก ๑ รวม ๓ นาย คุมไพร่ ๒,๐๐๐ คนมาทางเมืองโสย เดินทาง ๑๒ คืนถึงเมืองโสย พวกกองทัพกวานหลิงก็ตั้งค่ายมั่นอยู่เมืองโสย กองทัพกวานเถือมตั้งค่ายที่สบสิม ระยะทางไปเมืองเตงแถง ๑๒ คืน กวานสับก้อพวกกองทัพฮ่อซึ่งตั้งอยู่เมืองเชียงแมน ได้รู้ว่ากองทัพญวนยกไพร่พลแยกกันมาถึง ๒ ทัพ แล้วมีไพร่พลมาก กวานสับก้อก็ยกไพร่พลพวกฮ่อถอยทัพออกจากเมืองเชียงแมน ไปเข้าค่ายเมืองฮังที่กอลำต้ายอยู่

จะเป็นวันเดือนใดจำไม่ได้ กวานหลิงนายทัพญวนรู้ว่ากวานสับก้อทัพฮ่อที่เชียงแมนถอยทัพไปเสียแล้ว กวานหลิงจึงยกไพร่พลออกจากเมืองโสย ตามกองทัพฮ่อไปสมทบเข้ากับกองทัพกวานเถือมที่ค่ายสบสิม กวานหลิง กวานเถือมยกไพร่พลรวมกัน ๔,๐๐๐ เศษจากค่ายสบสิมไปตั้งค่ายที่ตำบลปอมลาว ระยะทางจากค่ายสบสิมวันหนึ่ง อยู่ได้ประมาณ ๒ วัน กวานหลิง กวานเถือมกองทัพญวนก็ยกไพร่พลเข้ารบกับพวกฮ่อกอลำต้ายที่ค่ายเมืองฮัง ฮ่อกับญวนต่อรบกันอยู่ประมาณ ๓ วัน พวกฮ่อตายในที่รบประมาณ ๔๐ คน พวกญวนตายประมาณ ๒๐ คน กวานหลิงกับกวานเถือมนายทัพญวนครั้งนั้นหาเป็นปรกติปรองดองกันไม่ แก่งแย่งกันอยู่หาเป็นอันที่จะช่วยต่อรบฮ่อไม่ ในขณะนั้นกองทัพพวกฮ่อก็จวนจะเสียทีกองทัพญวนอยู่แล้ว กองทัพญวนทั้ง ๒ ทัพก็ต่างคนต่างถอยทัพไปเมืองเตงแถง

ในครั้งนั้น กอลำต้ายนายฮ่อเห็นว่ากองทัพญวนพากันถอยทัพกลับไปแล้ว กอลำต้ายจึงแต่งให้กวานสับก้อ กวานม้าโล่คุมไพร่ ๒๐๐ คนยกมาเมืองโสย พวกฮ่อเข้าพักอยู่ในเมืองโสย แล้วทวงเอาเงิน ๖๐๐ ขันที่ตีเวียนเจ้าเมืองโสย เจ้าเมืองโสยเก็บเอาเงินที่ท้าวขุนราษฎรได้ครบ ๖๐๐ ขัน ๑๘๗ ชั่ง ๑๐ ตำลึง เจ้าเมืองโสยจึงเอาเงินให้กับฮ่อกวานสับก้อ กวานสับก้อได้เงินแล้วอยู่ได้ประมาณ ๑๐ วัน กวานสับก้อก็ยกไพร่พลกลับไปค่ายเมืองฮัง ฮ่อกอลำต้ายนายทัพใหญ่ก็ยกไพร่พลไปหากวานยิบที่ค่ายเมืองลา แล้วข้าพเจ้าได้รู้ว่ากวานหลิง กวานเถือม กวานท่าม นายทัพญวนที่กลับไปครั้งนั้นเป็นโทษก็กินยาตายทั้ง ๓ คน

ในคราวนั้นอยู่ได้ประมาณ ๑๐ วัน พวกฮ่อกวานแอก กวานวันเป็นพวกฮ่อธงลายคุมไพร่พล ๒,๐๐๐ เศษ มาจากเมืองคางแขวงสิบสองจุไท ยกเดินทางไปทางเมืองโสยแล้วเลยไปทางเมืองเซีย เมืองมิน เมืองแจงแขวงเมืองญวน ข้าพเจ้าได้รู้ว่าพวกฮ่อธงลายนี้ไปเที่ยวตีบ้านเมืองในเขตแดนเมืองญวน พวกญวนยกทัพมาตี พวกฮ่อธงลายสู้ญวนไม่ได้ ก็ถอยทัพกลับมาตั้งค่ายอยู่เมืองโสย แล้วพวกฮ่อธงลายมาเรียกเอาเงินทู้ที่เมืองโสย ๑๐๐ ขัน พวกเมืองโสยหายอมให้ไม่ ครั้นเวลาค่ำดึกประมาณสามยาม เจ้าเมืองโสยแต่งหม่อมบ่าวไซอินโยธาคุมไพร่ ๔๐๐ คน เข้าตีค่ายฮ่อ ฆ่าฮ่อตายในที่รบ ๑๔ คน พวกเมืองโสยถูกอาวุธฮ่อป่วย ๒ คน พวกฮ่อก็แตกหนีในเวลากลางคืนนั้น แล้วข้าพเจ้าได้รู้ว่าพวกฮ่อธงลายคือกวานแอก กวานวัน คุมไพร่พลไปทางเมืองซำเหนือหัวเมือง แล้วเลยลงไปทางเมืองพวน แล้วพวกข้าพเจ้าก็ยกครอบครัวและไพร่ราษฎรเข้าตั้งทำมาหากินในเมืองโสยตามเดิม

จะเป็นเดือนใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ ข้าพเจ้าได้รู้ว่าพวกญวนลพวกฮ่อธงดำยกรี้พลไปที่เมืองลา กวาดต้อนเอาพวกฮ่อองยิบธงแดงที่ค่ายเมืองลาเอาลงไปเมืองญวนหมด แต่พวกฮ่อกอยี่ กอเจือง กอซู กอจวง กอไซ รวม ๕ คน คุมไพร่ประมาณ ๓ ร้อย ๔ ร้อยคน ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองเชียงโลงแขวงสิบสองจุไท พวกฮ่อกอยี่รู้ว่าพวกญวนและฮ่อธงดำมากวาดต้อนเอาพวกกวานยิบพวกฮ่อธงเหลืองที่ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองลาไปหมดแล้ว พวกกอยี่มีความกลัวก็พากันยกพวกออกจากค่ายเมืองเชียงลงมาทางเมืองซำเหนือ แล้วพวกกอยี่แยกกันออกเป็น ๒ กอง ตัวกอยี่ กอเจืองคุมพวกฮ่อประมาณ ๑๐๐ เศษ ยกไปทางเมืองซ่อน พวกกอซู กอจวง กอไซ รวม ๓ นายคุมพลฮ่อประมาณ ๒๐๐ คนไปทางเมืองแวน แล้วข้าพเจ้าได้รู้ว่าพวกฮ่อกอยี่ กอเจือง แตกทัพพวกเมืองซ่อนลงไปทางเมืองพวน

ในขณะนั้นตีเวียนเจ้าเมืองโสยก็ถึงแก่กรรมตาย ข้าพเจ้าท้าวเมืองก็รับว่าการเมืองโสยแทนอยู่ จึงแต่งให้หม่อมบ่าวไซเมืองโสย หม่อมบ่าวแก้วเมืองพูน ๒ นายไพร่ ๔ คน ไปขอกองทัพเมืองญวนที่เมืองเตงแถง องเทืองเจ้าเมืองเตงแถงจึงแต่งให้กวานแจงทือ กวนบ่าง กวานลิง ๓ นายคุมไพร่ ๒,๐๐๐ เศษ ยกขึ้นมาทางน้ำมา กวานแจง กวานทือ กวานลิง ก็ตั้งค่ายอยู่ที่สบสิมแขวงญวนเป็นที่ต่อเขตแดนกับเมืองเชียงค้อ แล้วข้าพเจ้าได้รู้ว่าท้าวคำตันเมืองแวนมาขอกองทัพ กวานแจง กวานบาง กวานลิง พวกญวนที่ตั้งอยู่ที่ค่ายสบสิมขึ้นไปช่วยเมืองแวน ได้รบกับกองทัพฮ่อกวาน กวานลิงถูกกระสุนปืนฮ่อตายในที่รบ กองทัพญวนก็พากันถอยทัพกลับไปบ้านเมือง แล้วพวกฮ่อกอซู กอจองไซสาม กับไพร่ประมาณ ๒๐๐ คน ยกออกจากเมืองแวนไปสมทบกับพวกท้าวพระยาร่มโพ ๑ พระยาวังโลงพวกข่าเจืองที่ด่านห้วยมั่นแขวงเมืองแวน ระยะทางจากเมืองแวนวันหนึ่ง
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:9:30:48 น.  

 
 
 
(ต่อ - คำให้การเมืองโสย)


ข้าพเจ้ารู้ว่าองบา องเมืองผู้ไทแดงอยู่บ้านดงสะมางแขวงเมืองเซีย เมืองมินเขตแดนของญวน คนจำพวกนี้ขึ้นกับญวน มาจ้างเอาพวกฮ่อพวกข่าเจืองที่ตั้งค่ายอยู่ห้วยมันไปตีเมืองโสย เมืองพูน พวกฮ่อพวกข่าเจืองก็รับคำองบา องเมือง ครั้น ณ เดือน ๘ ปีเถาะเอกศก ๑๒๔๑ (พ.ศ. ๒๔๒๒) พระยาร่มโพ พระยาวังลงนายข่าเจืองคุมไพร่พล ๒๐๐ คน พวกฮ่อกอจอง กอซูไซสาม คุมไพร่พลประมาณ ๒๐๐ คน ยกไปตีเมืองโสย ข้าพเจ้าได้รู้ว่ากองทัพพวกฮ่อ พวกข่าเจืองจะยกมาตีเมือง ข้าพเจ้าจึงแต่งให้หม่อมเบ่าทิบ ท้าวคัดคุมไพร่ ๒๐๐ เศษ ยกไปที่บ้านนาค้า ระยะทางจากเมืองโสย ๒ วัน พบกองทัพพวกฮ่อข่าเจืองที่นั้น พวกเมืองโสยกับพวกฮ่อกับพวกข่าเจืองได้ต่อรบกันอยู่ถึง ๑๐ วัน พวกฮ่อตายในที่รบ ๘ คน พวกเมืองโสยหาเป็นอันตรายไม่ พวกฮ่อทานกำลังพวกเมืองโสยไม่ได้ก็แตกหนีกองทัพพวกเมืองโสย พวกเมืองโสยเก็บได้ธงพวกฮ่อสีแดง ๒ คัน หอก ๓ เล่ม แล้วพวกฮ่อก็ถอยทัพไปรวบรวมตั้งค่ายมั่นที่บ้านเฮา ระยะทางจากนาค้าประมาณ ๔ ชั่วโมง พวกเมืองโสยก็ตั้งค่ายมั่นสกัดทางอยู่ที่นาค้า

อยู่มาได้ ๑๐ วัน พวกฮ่อกอจอง กอซู จึงแต่งให้พระยาร่มโพพระวังลงคุมไพร่พวกข่าเจืองอ้อมไปสกัดหลังกองทัพพวกเมืองโสยไว้ในคราวเดียวนั้น พวกฮ่อก็ยกไพร่พลมาเมืองโสยที่ตั้งสกัดทางอยู่ กองทัพพวกข่าเจืองก็ยกล่วงเลยไปตีเมืองโสย ครั้งนั้นเมืองโสยก็แตกแก่ทัพพวกข่าเจือง กองทัพเมืองโสยที่ตั้งสกัดทางอยู่นาค้าก็แตกหนีฮ่อ แล้วพวกทัพฮ่อก็ยกไปสมทบกับพวกข่าเจืองที่เมืองจาด ระยะทางมาเมืองโสยครึ่งวัน พวกฮ่อกับข่าเจืองก็ตั้งค่ายพักอยู่ที่นั้น พวกฮ่อและข่าเจืองแต่งคนออกสอดแนมจับครอบครัวพวกเมืองโสย เมืองจาด พวกฮ่อข่าเจืองจับได้พวกเมืองโสยชายหญิง ๓๐ คน เอาไปไว้ที่ค่ายเมืองจาด พวกข้าพเจ้าท้าวขุนและไพร่ราษฎรก็อพยพครอบครัวหนีพวกฮ่อและข่าเจืองไปอยู่ที่เมืองฮาม ระยะทางจากเมืองโสยคืนหนึ่ง

พวกข้าพเจ้าพักอยู่ที่นั้นประมาณ ๙ วัน ๑๐ วัน พวกข้าพเจ้าก็พาครอบครัวเลยลงไปอยู่ที่เมืองกีแขวงเมืองญวน ระยะทางจากนาฮาม ๘ วัน แล้วข้าพเจ้ากับท้าวขุนรวม ๑๕ คน พากันลงไปหากวานเถืองเจ้าเมืองเตงแถง ระยะทางจากเมืองกีไป ๕ คืน ขอกองทัพเจ้าเมืองเตงแถงขึ้นมาช่วย กวานเถืองจึงแต่งให้กวานทือ กวานลิง กวานทาม ๓ นาย คุมไพร่ ๓,๐๐๐ คนยกมาท่งน้ำมา ข้าพเจ้าก็มาพร้อมกับกองทัพนั้นด้วย ระยะจากเมืองเตงแถง ๑๒ คืน ครั้งนั้นพวกฮ่อข่าเจืองพวกผู้ไทแดง คือองบา องเมือง พากันเลื่อนไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองลายแขวงเมืองพูน นายทัพพวกญวนจึงยกกองทัพไปตีพวกฮ่อและข่าเจืองพวกผู้ไทค่ายเมืองลาย ได้ต่อรบกันครั้งนั้น ๘ วัน พวกฮ่อตายในที่รบ ๓๗ คน ข่าเจืองตายประมาณ ๒๐ คนเศษ พวกผู้ไทยตาย ๒๐ คน พวกญวนตายประมาณ ๓๐ คน พวกฮ่อพวกข่าเจืองผู้ไทแดงก็แตกกองทัพญวน พวกฮ่อและข่าเจืองผู้ไทก็พากันแตกหนีแยกย้ายกันไป กอซูนายฮ่อตายในที่รบ กอจองไซสามคุมไพร่ ๑๖๐ คนหนีญวนมาตั้งอยู่ที่บ้านไดนาปาแขวงเมืองสบแอด พระยาร่มโพ พระยาวังโลงคุมไพร่หนีไปทางเมืองซำใต้ แต่องบา องเมืองพวกผู้ไทแดงยอมเข้าทู้ญวน ขออาศัยทำมาหากินอยู่ในเขตแขวงเมืองโสย

แล้วกวานทือนายทัพญวนจึงถามข้าพเจ้าว่า จะยอมให้อยู่หรือไม่ให้อยู่ ข้าพเจ้าจึงว่าสุดแล้วแต่กวานทือจะเห็นควร กวานทือนายทัพญวนจึงเรียกเอาหนังสือสัญญากับองบาองเมือง องบาองเมืองก็ยอมทำหนังสือสัญญาให้ ในหนังสือสัญญามีความว่า ข้าพเจ้าองบา องเมือง และพวกข้าพเจ้าผู้ไทแดง ตั้งแต่นี้สืบไปเมื่อหน้า พวกข้าพเจ้าไม่เที่ยวชักนำพวกฮ่อข้าศึกและข่าเจือง เที่ยวรบกวนตีบ้านเมืองอีกต่อไปแล้ว กวานทือก็รับเอาสัญญาไว้ องบา องเมือง ก็ตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ในเมืองเชียงแมนแขวงเมืองโสย กวานทือ กองทัพญวนก็ถอยทัพกลับไปเมืองเตงแถง ข้าพเจ้าก็พาท้าวขุนครอบครัวไพร่ราษฎรกลับเข้าไปอยู่เมืองโสยตามเดิม

ครั้นอยู่มา ณ ปีวอกฉศก ๑๒๔๖ (พ.ศ. ๒๔๒๗) กอยี่นายฮ่อคุมไพร่ประมาณ ๔๐ คน ๕๐ คน กลับมาจากเมืองพวนเข้าสมทบอยู่กับพวกกอจองไซสามฮ่อธงเหลือง ที่บ้านไดนาปาแขวงเมืองสบแอด จะเป็นวันเดือนใดจำไม่ได้ ท้าวโต้บุตรเจ้าเมืองเชียงค้อคุมไพร่พลประมาณ ๓๐๐ คน กับไพร่พลเมือง ๑๐๐ รวม ๔๐๐ คนยกไปที่ค่ายฮ่อกอยี่ กอจองไซสามที่ค่ายบ้านไดนาปา ท้าวโต้ตั้งค่ายที่ทุ่งนาคำแขวงเมืองสบแอดไกลกับค่ายฮ่อประมาณ ๒ ชั่วโมง ครั้งนั้นท้าวโต้รบกับพวกฮ่อกอยี่ สู้รบกันถ้อยทีถ้อยแพ้ชนะกันถึง ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ท้าวโต้ถูกกระสุนปืนตายในที่รบ พวกกองทัพท้าวโต้ก็พากันแตกหนีฮ่อลงมาเมืองฮาง พวกกอยี่ก็ยกไพร่พล ๘๐ คนติดตามไปถึงเมืองฮาง กองทัพพวกท้าวโต้และไพร่ราษฎรก็พากันแตกหนีไปจากเมืองฮาง ต่างคนต่างก็แยกย้ายกระจัดกระจายไป

ครั้นถึง ณ ปีระกาสัปตศก ๑๒๔๗ (พ.ศ. ๒๔๒๘) ท้าวเนื่องพี่ชายท้าวโต้บุตรเจ้าเมืองเชียงค้อ รวบรวมไพร่พลได้ ๒๐๐ คน ยกไปรบพวกกอยี่ที่ค่ายเมืองฮาง ท้าวเนื่องตั้งค่ายมั่นที่บ้านลานฮาง ระยะทางมาเมืองบัววันหนึ่ง พวกฮ่อกอยี่รู้ว่าท้าวเนื่องยกทัพมา จึงยกไพร่พลไปต่อรบกับพวกท้าวเนื่องที่ค่ายลานฮาง ต่อรบกันอยู่ถึง ๓ เวลา พวกฮ่อตายในที่รบประมาณ ๘ คน พวกท้าวเนื่องถูกกระสุนปืนตายท้าวเคียม ๑ ป่วย ๒ ท้าวเนื่องสู้ฮ่อไม่ได้ก็แตกถอยมาเข้าค่ายเมืองบัว พวกฮ่อกอยี่ก็ติดตามไปที่เมืองบัว ท้าวเนื่องกับท้าวคำพันคำโสมเมืองบัวก็อพยพครอบครัวหนีพวกฮ่อกอยี่ไปเมืองลาดเขตแดนญวน พวกฮ่อกอยี่ก็เข้าอยู่ในค่ายเมืองบัว

ณ เดือน ๗ ข้างแรม ปีระกาสัปตศก พระสุรินทร์ท้าวเนื่องเมืองโสยรู้ว่าท้าวเนื่องแตกหนีฮ่อไป พวกฮ่อมาตั้งค่ายอยู่เมืองบัว จึงแต่งให้ท้าวพิมอินทรโยธาคุมไพร่ ๒๐๐ คน ยกขึ้นไปตั้งสกัดทางอยู่ที่ตำบลคางบัวเขตแดนเมืองโสยกับเมืองเชียงค้อต่อกัน ระยะทางมาเมืองโสย ๒ วัน พวกฮ่อกอยี่รู้ว่ากองทัพเมืองโสยยกมา จึงยกไพร่พลไปต่อรบกับพวกเมืองโสยที่ค่ายคางบัว พวกฮ่อกับพวกเมืองโสยสู้รบกันได้ประมาณ ๓ ชั่วโมง พวกฮ่อตาย ๑๒ คน คน พวกเมืองโสยตาย ๓ คน ในทันใดนั้นกอยี่แต่งนายทัพออกสกัดตัดหลัง พวกกองทัพเมืองโสยทานกำลังฮ่อไม่ได้ ก็แตกทัพ ถอยเข้ามาค่ายเมืองค้าง พวกฮ่อก็นกไพร่พลติดตามมาตั้งค่ายมั่นที่เมืองเชียงแมน ไกลกับค่ายเมืองโสยประมาณ ๒ ชั่วโมง แล้วข้าพเจ้ากับพรสุรินทร์จัดได้ไพร่ ๓๐๐ คนยกขึ้นไปที่ค่ายเมืองค้าง พวกฮ่อกอยี่เห็นว่ากองทัพพวกเมืองโสยยกมาสมทบกันเข้ามีไพร่พลมาก พวกฮ่อกอยี่ก็ถอยทัพกลับมาเข้าค่ายเมืองบัว กองทัพเมืองโสยก็ถอยกลังไปเมืองโสย

ครั้นถึง ณ เดือน ๑๑ ปีระกาสัปตศก ข้าพเจ้าได้รู้ว่าองบา องเมืองผู้ไทแดงแต่งให้ท้าวตื้อน้ององเมืองกับองโดย ไพร่ ๔ คน พากันเอากระบือตัวหนึ่งกับเงิน ๕ เบี้ย เป็นเงิน ๓ ตำลึง ๒ สลึง ไปให้กอยี่ที่ค่ายเมืองบัว แล้วว่าจ้างพวกกอยี่ไปช่วยตีเมืองโสย เมืองพูนให้แก่องบา องเมือง องบาองเมืองจะให้เงินค่าจ้าง ๒๐๐ ขัน คิดเป็นเงิน ๒๖ ชั่ง ๑๐ ตำลึง พวกกอยี่ก็รับคำว่าจะไปตีเมืองโสย เมืองพูนให้แก่องบาองเมือง แล้วกอยี่สั่งท้าวตื้อองโดยให้ไปบอกองบาองเมืองให้จัดแจงเสบียงอาหารเตรียมไพร่พลไว้ท่าเถิด ท้าวตื้อองโดยก็พากดันกลับมา ณ เดือน ๑๑ ข้างขึ้นปีระกาสัปตศก กอยี่กับไพร่ ๘๐ คน ยกไปหาองบาองเมืองที่เมืองเชียงแมน กอยี่ องบา องเมืองพร้อมใจกัน กอยี่คุมพวกฮ่อ ๘๐ คน องบา องเมืองคุมพวกผู้ไทแดง ๓๐๐ คน รวมเข้าเป็นไพร่พล ๓๘๐ คน ยกไปตีเมืองพูน แล้วพวกเมืองพูนเมืองโสยเกณฑ์ไพร่พลออกต่อรบกับพวกกอยี่ องบา องเมืองสู้รบอยู่ได้ ๘ วัน พวกฮ่อและพวกผู้ไทตายในที่รบ ๒๓ คน พวกเมืองโสยเมืองพูนตายในที่รบ ๘ คน พวกเมืองโสยเมืองพูนทานกำลังพวกกอยี่องบาองเมืองไม่ได้ ก็แตกหนีอพยพครอบครัวไพร่ราษฎรไปเมืองแวน พวกกอยี่ องบา องเมืองเก็บได้ทรัพย์สิ่งขิง และจับได้พวกเมืองพูนเมืองโสยรวมชายหญิง ๑๙ คน แล้วกอยี่คุมพวกฮ่อไปตั้งค่ายอยู่เมืองพูนกองหนึ่ง องบา องเมืองคุมพวกผู้ไทยแดงตั้งค่ายอยู่ที่เมืองโสยกองหนึ่ง

จะเป็นวันเดือนใดจำไม่ได้ กอยี่คุมไพร่พลประมาณ ๗๐ คน องบากับท้าวตื้อคุมพวกผู้ไทแดงประมาณ ๒๐๐ คน เข้ากับพวกกอยี่ รวมไพร่พลประมาณ ๒๗๐ คน ยกไปเมืองแวน พวกเมืองแวนยกไพร่พลมาต่อสู้ พวกเมืองแวนทานกำลังฮ่อและพวกองบาไม่ได้ ก็ถอยทัพกลับมาเข้าเมืองแวน พวกกอยี่และองบาก็ยกไพร่พลตามเข้าตั้งค่ายที่บ้านโคงแขวงเมืองแวน พวกเมืองแวนก็ยอมเข้าทู้ฮ่อพวกกอยี่องบา

คราวนั้นพวกข้าเจ้าและท้าวขุนไพร่ราษฎรก็อพยพครอบครัวหนีออกจากเมืองแวน แยกย้ายกันไปอยู่ตามหัวเมืองขึ้นมนเขตแขวงเมืองหลวงพระบางหลายตำบล ข้าพเจ้าคุมครอบครัวมาอยู่บ้านปุงห้าแขวงเมืองซ่อน ครั้น ณ เดือน ๔ ขึ้นแรมกี่คำจำไม่ได้ ปีระกาสัปตศก ข้าพเจ้ารู้ว่ากองทัพใหญ่กรุงเทพฯ คุมไพร่พลทหารยกขึ้นมาจากเมืองหลวงพระบางแล้ว ท่านเจ้าหมื่นไวยวรนาถแม่ทัพใหญ่ยกขึ้นมาตั้งค่ายพักอยู่ที่เมืองซ่อน แล้วข้าพเจ้าได้รู้ว่าท่านแม่ทัพแต่งทหารคุมทหารกรุงเทพฯ แยกกันเป็น ๒ กอง กองหนึ่งเจ้าราชวงศ์ หลวงจำนง(๑) นายทหารไปทางเมืองแวน กองหนึ่งเจ้าราชภาคินัย หลวงดัษกรปลาศ(๒) นายทหารไปทางเมืองสบแอด การที่จะไปรบกอยี่ จนกอยี่ยอมเข้าทู้ก็แจ้งอยู่กับเจ้าราชภาคินัยและท่านหลวงดัษกรปลาศนายทหารนั้นแล้ว

เดิมในพื้นบ้านเมืองข้าพเจ้าเมื่อปรกติอยู่ทำไร่นา ได้ปีหนึ่งประมาณ ๓๐๐ เกวียน ซื้อขายแก่กัน ๖ สัดต่อบาท ลูกสัด ๓๐ ทะนาน ทะนาน ๘๓๐ ปีหนึ่งพวกฮ่อและซื้อเอายาฝิ่นมาขายในพื้นบ้านเมือง ซื้อเป็นเงินบาทหนึ่งเป็นยาฝิ่นหนัก ๒ บาทบ้าง ได้จำหน่ายขายซื้อกันดังนี้ สิ้นถ้อยคำข้าพเจ้าท้าวเมืองอินทโยธา เป็นความสัตย์จริงแต่เท่านี้ ฯ

....................................................................................................................



เชิงอรรถ

(๑) ชื่ออิ่ม ภายหลังได้เป็น พระยาเทพาธิบดี ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก

(๒) ชื่ออยู่ ภายหลังเป็นพระยาดัษกรปลาศ เป็นตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ และตำแหน่งอื่นในกรมทหารบก


....................................................................................................................
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:9:32:41 น.  

 
 
 
คำให้การเมืองซำใต้


ที่ตั้งกองทัพ ณ เมืองซ่อน
ณ วันพฤหัสบดี แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีจออัฐศก๑๙ ๑๒๔๘

ข้าพเจ้า องเวียน ท้าวขุนในเมืองซำใต้ ให้ถ้อยคำว่า

เดิมเมื่อปีจอฉศก ๑๒๓๖ (พ.ศ. ๒๔๑๗) ข้าพเจ้าทรายว่านายจีนฮ่อกวานเหียบมีธงแดงคุมไพร่พล ๕๐๐ คน ยกมาแต่เมืองมูลหัวเมืองขึ้นเมืองญวน ลงมาตั้งมั่นอยู่ในเขตแดนแขวงเมืองซำใต้ องเวียนเจ้าเมืองซำใต้ได้ทราบข่าวว่าพวกฮ่อมาตั้งอยู่ดังนั้น จึงได้เรี่ยไรเงินท้าวขุนกรมการและราษฎรได้แล้ว แต่งให้แสนพรหมกรมการคุมเอาเงิน ๓๐๐ ขัน ขันละ ๒๔ บาทคิดเป็นเงิน ๙๐ ชั่ง เอาไปให้กับกวานเหียบนายฮ่อขอยอมเข้าทู้ กวานเหียบนายฮ่อก็รับเอาเงิน ๓๐๐ ขันไว้

ครั้นอยู่มาได้ประมาณ ๙ เวลา ๑๐ เวลา พอดึกสองยามเศษเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่เรือนราษฎรในเมืองซำใต้ เพลิงไหม้ลุกลามติดเรือนต่อไปประมาณ ๕๐ หลังเรือนเศษหมดทั้งเมืองซำใต้ เจ้าเมืองท้าวขุนกรมการและราษฎรแตกตื่นวุ่นวายกัน ฝ่ายกวานเหียบนายฮ่อสงสัยว่าพวกลาวหายอมเข้าทู้โดยสุจริตไม่ คิดอุบายแกล้งเอาเพลิงเผาเรือนเสียทั้งสิ้น ไม่เป็นที่ไว้วางใจกลัวว่าพวกฮ่อจะรบกวนอีกต่อไป ฝ่ายพวกลาวก็มีความสงสัยพวกฮ่อว่าแกล้วเอาเพลิงมาเผาเรือนเสียทั้งนี้ เพื่อความประสงค์ของพวกฮ่อจะให้ไพร่พลเมืองแตกตื่นหนีไป จะได้ยกเข้ามาครอบครองตั้งมั่นอยู่ในเมืองซำใต้ แต่เมื่อเพลิงเกิดขึ้นนั้นจะพิเคราะห์เอาเหตุกับผู้ใดเป็นแน่หาได้ความชัดไม่ ต่างคนต่างมีความสงสัยกันอยู่ทั้งสองฝ่ายดังนี้ แล้วพวกฮ่อก็กวาดเอาคนเมืองซำใต้ไป ๒๐ คน ยกออกจากเมืองซำใต้ไปตั้งมั่นอยู่นาเริมแขวงเมืองแวน แต่ฮ่อจะยกไพร่พลต่อไปบ้านใดเมืองใดหาทราบไม่ เจ้าเมืองซำใต้กับท้าวขุนกรมการและไพร่พลเมืองหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่า ซึ่งพวกลาว ๒๐ คนที่ฮ่อกวาดต้อนไปนั้นหนีกลับมาเมืองซำใต้ได้ทั้ง ๒๐ คน ก็รวบรวมกันอยู่ในป่าประมาณได้ ๗ เวลา จึงพากันยกครอบครัวออกจากป่าเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองซำใต้ดังเก่า

ครั้นอยู่มาได้ประมาณ ๑๑ เวลา ๑๒ เวลา นายฮ่อพวกธงลายคือกวานแบก กวานวัน คุมไพร่พล ๒,๐๐๐ คนยกออกจากเขตแดนแขวงเมืองญวน ขึ้นมาตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองเปา เมืองเปานี้ขึ้นกับเมืองซำใต้ ระยะทางตั้งแต่เมืองเปาขึ้นมาเมืองซำใต้ ๒ เวลา แล้วกวานแบกนายฮ่อแบ่งกำลังไพร่พล ๓๐๐ คน ยกออกจากเมืองเปาขึ้นมาตั้งมั่นอยู่เมืองพัด เมืองพัดนี้ขึ้นอยู่กับเมืองซำใต้ ระยะทางตั้งแต่เมืองพัดขึ้นมาเมืองซำใต้ ๒ ชั่วโมง แล้วกวานแบกนายฮ่อจึงให้เพี้ยพระเจ้าเมืองพัดขึ้นมาบอกกับองเวียนเจ้าเมืองซำใต้ว่า ถ้าจะต่อสู้รบกันกับกวานแบกนายฮ่อแล้ว ก็ให้เจ้าเมืองซำใต้รีบเร่งยกขึ้นมาต่อสู้รบกันโดยเร็ว อย่าได้รั้งรออยู่ให้เนิ่นช้า ถ้ามิฉะนั้นไม่ต่อสู้รบกันกับฮ่อก็ให้เจ้าเมืองซำใต้เอาเงิน ๓๐๐ ขันไปให้กวานแบกนายฮ่อ ขอยออ่อนน้อมยอมเข้าทู้เสีย องเวียนเจ้าเมืองซำใต้ได้ทราบความตามถ้อยคำกวานแบกนายฮ่อสั่ง เพี้ยพระยาแจ้งดังนั้นแล้ว จึงได้มอบเงิน ๓๐๐ ขัน ขันละ ๒๔ บาท คิดเป็นเงิน ๙๐ ชั่ง ให้กับเพี้ยพระเจ้าเมืองพัดคุมไปให้กวานแบกนายฮ่อ ขอยอมอ่อนน้อมยอมเข้าทู้ไม่สู้รบแล้ว

แล้วกวานแบกนายฮ่อก็รับเอาเงิน ๓๐๐ ขันนั้นไว้ จึงสั่งกับเพี้ยพระให้ไปบอกเจ้าเมืองซำใต้ว่า ให้เจ้าเมืองซำใต้จัดเงินมอบให้กับเราอีก ๒๐๐ ขัน ให้ครบ ๕๐๐ ขันจึงจะยอมรับให้เข้าทู้ เจ้าเมืองซำใต้ได้ทราบดังนั้นแล้ว เห็นว่ากวานแบกนยายฮ่อพูดจาไม่ยั่งยืนกลับกลอกมีใจกำเริบ หาเป็นคนซื่อตรงมั่นคงไม่ จึงได้สั่งกับเพี้ยพระให้ไปบอกกับกวานแบกนายฮ่อว่า ซึ่งจะเอาเงินอีก ๒๐๐ ขันนั้นไม่มีเงินจะให้แล้ว ให้กวานแบกยกไพร่พลฮ่อขึ้นมาต่อสู้กันเถิด เพี้ยพระจึงเอาข้อความซึ่งเจ้าเมืองซำใต้สั่งนั้นไปแจ้งความกับกวานแบกนายฮ่อทุกประการ แล้วกวานแบกนายฮ่อตอบว่าถ้าจะสู้รบกันก็ตามแต่ใจเจ้าเมืองซำใต้ ทันใดนั้นกวานแบกคุมไพร่พลฮ่อยกออกจากเมืองพัด เดินลงไปยังเมืองเปาซึ่งกวานวันนายฮ่อตั้งมั่นอยู่นั้น รวบรวมไพร่พลพร้อมกัน ณ เมืองเปา

ครั้นอยู่มาประมาณ ๓ เวลา ๔ เวลา กวานแบกนายฮ่อคุมไพร่พลแบ่งกำลังออกจากเมืองเปา ๔๐๐ คนยกเดินขึ้นมาต่อสู้กันที่ ณ เมืองซำใต้ ได้สู้รบกันเป็นสามารถอยู่ ๒ เวลา ฝ่ายพวกลาวเมืองซำใต้ไล่ฆ่าฟันพวกฮ่อตาย ๑๗ คน ถูกกระสุนปืนป่วยเจ็บเป็นอันมาก กวานแบกนายฮ่อทานฝีมือและกำลังลาวพวกเมืองซำใต้มิได้ก็แตกทัพถอยหนีลงไปหากวานวันนายฮ่อซึ่งตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองเปา รวบรวมกองทัพอยู่ที่นั้น แล้วกวานแบก กวานวัน ปรึกษากันว่าเมืองเปานี้เป็นหัวเมืองขึ้นกับเมืองซำใต้ ควรพวกเราจะแก้แค้นเจ้าเมืองซำใต้ให้ได้ เห็นชอบพร้อมด้วยกันแล้ว จึงพากันเข้าไปจับเพี้ยฮมเจ้าเมืองเปากับท้าวขุนกรมการนั้นฆ่าเสีย และกวาดต้อนราษฎรไพร่พลเมืองชายหญิงประมาณได้ ๓๐ คน ๔๐ คน กวานแบก กวานวันนายฮ่อจึงคุมไพร่พลยกออกจากเมืองเปาเดินไปทางเมืองโสย และจะไปตั้งมั่นอยู่บ้านใดเมืองใดหาทราบไม่

ครั้นอยู่มาถึง ณ ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ (พ.ศ. ๒๔๑๘) กวานเลืองนายฮ่อธงแดงคุมไพร่พล ๑๐๐ คน ยกออกจากทุ่งเชียงคำขึ้นมาตั้งมั่นอยู่เมืองแฟน เมืองแฟนขึ้นกับเมืองลาน แล้วองเวียนเจ้าเมืองซำใต้ได้ทราบข่าวว่า พวกฮ่อมาตั้งเมืองอยู่เมืองแฟนนั้น เกลือกว่าพวกฮ่อจะยกเลยลงมาตีเมืองซำใต้ เจ้าเมืองซำใต้จึงแต่งให้เอียนเทื่อกรมการคุมไพร่พล ๓๐๐ คนกอง ๑ ยกออกจากเมืองซำใต้ขึ้นไปตั้งมั่นคอยสู้รบอยู่หัวเชียงแขวงเมืองซำใต้ เพื่อจะมิให้ฮ่อยกล่วงเลยลงมาตีในเมืองซำใต้นั้นได้ แล้วก็หาได้ยกมาต่อสู้กันที่หัวเชียงนั้นไม่ แต่กวานเลืองนายฮ่อคุมไพร่พลยกออกจากเมืองแฟนเลยลงไปทางเมืองแวนโอบอ้อมสกัดหลัง มาตั้งมั่นคอยสู้รบอยู่นามอนในเขตแดนแขวงเมืองซำใต้

องเวียนเจ้าเมืองซำใต้ได้ทราบข่าวว่าพวกฮ่อยกมาตั้งอยู่นามอนดังนั้น จึงคุมไพร่พล ๒๐๐ คนยกออกจากเมืองซำใต้ขึ้นไปสมทบกองทัพเอียนเมื่อที่ ณ หัวเชียง รวบรวมไพร่พลได้ ๕๐๐ คนพร้อมกันยกออกจากหัวเชียงเลยลงมาถึงนามอน แล้วองเวียนเจ้าเมืองซำใต้ เอียนเทื่อกรมการคุมไพร่พล ๕๐๐ คนนั้นเข้าต่อสู้รบกับกวานเลืองนายพวกฮ่อเป็นสามรถได้เวลาหนึ่ง พวกฮ่อทานกำลังและฝีมือลาวมิได้แตกระส่ำระสายถอยกองทัพหนีเข้าป่าไป พวกลาวไล่ฆ่าฟันพวกฮ่อตายในขณะนั้น ๑๙ คน ถูกกระสุนปืนป่วยเจ็บไปเป็นอันมาก แต่พวกฮ่อที่เหลือตายหนีไปได้นั้น กวานเลืองนายฮ่อจะรวบรวมควบคุมไพร่พลไปตั้งมั่นอยู่ที่หนึ่งที่ใดหาทราบไม่ แล้วองเวียนเจ้าเมืองซำใต้กับเอียนเทื่อกรมการคุมไพร่พลยกออกจากนามอนกลับเข้ามายังเมืองซำใต้
ครั้นอยู่มาถึง ณ ปีเถาะเอกศก ๑๒๔๑ (พ.ศ. ๒๔๒๒) พระยาดอกไม้ พระยาคำนายข่าเจืองคุมไพร่พล ๓๐๐ คน ยกออกจากเมืองหมัดหัวเมืองขึ้นกับเมืองญวน เดินขึ้นมาตั้งมั่นอยู่เขาหมอกซึ่งเป็นเขตแดนแขวงเมืองญวน ติดต่อกับเขตแดนแขวงเมืองซำใต้นั้นด้วย แล้วองเวียนเจ้าเมืองซำใต้ได้ทราบข่าวว่าพวกข่าเจืองมาตั้งมั่นอยู่เขาหมอกดังนั้น จึงแต่งให้เพี้ยนาม แสนคำ กรมการคุมไพร่พล ๒๕๐ คน ยกออกจากเมืองซำใต้ไปตั้งรับคอยสู้รบกับพวกข่าเจืองที่บ้านนาคาในแขวงเมืองซำใต้กอง ๑ แต่งให้หม่อมบ่าวคำแพง คำโสม กรมการคุมไพร่พล ๒๕๐ คน ยกออกจากเมืองซำใต้ไปตั้งมั่นสู้รบอยู่เขาหมอกกอง ๑ รวมกองทัพเมืองซำใต้ ซึ่งได้ยกแยกทางไปต่อสู้รบ ๒ กองเป็นคน ๕๐๐ คน ระยะทางตั้งแต่เขาหมอกไปบ้านนาคาห่างกันเวลาหนึ่ง

แล้วพระยาคำแบ่งกำลังไพร่พลข่าเจือง ๑๕๐ คน ยกออกจากเขาหมอกไปต่อสู้รบกับเพี้ยนาม แสนคำ ที่บ้านนาคากอง ๑ แต่พระยาดอกไม้คุมไพร่พลข่าเจืองที่เหลือจากพระยาคำแบ่งกำลังไปรบนั้น ยังคงอยู่ ๑๕๐ คน ตั้งมั่นคอยรับรบสู้กับหม่อมบ่าวคำแพง คำโสมที่ ณ เขาหมอกกอง ๑ แต่กองทัพพวกลาวแบพวกข่าเจืองทั้ง ๒ ฝ่ายนี้ พร้อมกันต่างคนต่างสู้รบกันเป็นสามารถทั้ง ๒ กองได้เวลาหนึ่ง ฝ่ายเพี้ยนาม แสนคำ กรมการกับไพร่พลไล่ฆ่าฟันพระยาคำนายข่าเจืองตายคน ๑ ไพร่พลข่าเจืองตาย ๒๙ คน รวมข่าเจืองตาย ๓๐ คน แตกระส่ำระสายถอยหนีจากบ้านนาคา ณ ที่รบนั้นไป แต่หม่อมบ่าวคำแพง คำโสม กรมการคุมไพร่พลไล่ฆ่าฟันพวกข่าเจืองตาย ๓ คน พระยาดอกไม้นายข่าเจืองรวบรวมไพร่พลที่เหลืออยู่นั้นแตกทัพถอยหนีออกจาก ณ ที่รบ เขาหมอกนั้น กลับคืนไปตั้งมั่นอยู่ยังเมืองหมัดหัวเมืองขึ้นกับเมืองญวนดังเก่า

ครั้นถึง ณ ปีมะโรงโทศก ๑๒๔๒ (พ.ศ. ๒๔๒๓) พระยาท้าวยี่ พระยาเกิด นายข่าเจืองคุมไพร่พล ๑,๒๐๐ คน ยกออกจากเมืองเปินซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นกับเมืองญวน เดินลงมาตั้งมั่นอยู่บ้านห้วยเตียงแขวงเมืองซำใต้ แล้วองเวียนเจ้าเมืองซำใต้ได้ทราบข่าวว่าพวกข่าเจืองมาตั้งอยู่บ้านห้วยเตียงดังนั้น จึงแต่งให้เพี้ยบัว เพี้ยหาด คุมกำลังไพร่พล ๘๐๐ คน ยกออกจากเมืองซำใต้ไปต่อสู้รบกับพวกข่าเจืองที่ตั้งอยู่กิ่วเขารีบนั้นอีกครั้งหนึ่ง ต่างคนต่างเข้าสู้รบเป็นสามารถได้ ๓ เวลา พวกข่าเจืองไล่ฆ่าฟันพวกลาวตาย ๒ คน เพี้ยบัว เพี้ยหาด กรมการเห็นว่าพวกข่าเจืององอาจแข็งแรงนัก ครั้นจะสู้รบกันไปก็จะทานกำลังและฝีมือข่าเจืองมิได้ ไพร่พลคงจะเป็นอันตรายล้มตายเสียเป็นอันมาก จึงได้ถอยทัพกลับเข้ามายังเมืองซำใต้

ฝ่ายพระยาท้าวยี่ พระยาเกิด ก็คุมไพร่พลยกออกจากกิ่วเขารีบติดตามเข้ามาตั้งมั่นพักไพร่พลอยู่ที่หินคือคอยสู้รบกับพวกลาวเมืองซำใต้ พวกลาวเมืองซำใต้ก็หาได้ยกออกไปต่อสู้รบกับพวกข่าเจืองไม่ พวกข่าเจืองก็ตั้งประชิดติดพันอยู่ที่นั้นมา จนปีมะเส็งตรีศก ๑๒๔๓ แล้ว พวกม้อยกับท้าวอ๊อตตอนม้อย ซึ่งมาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ในเขตแดนแขวงเมืองซำใต้ พร้อมใจร่วมคิดกันไปชักชวนพระยาร่มโพธิ์ พระยาบังหลง นายข่าเจืองซึ่งตั้งมั่นอยู่บ้านเชียงแมนแขวงเมืองโสย ให้ยกพวกข่าเจืองลงมาตีเมืองซำใต้นั้น พระยาร่มโพธิ์ พระยาบังหลงจึงได้คุมไพร่พลข่าเจือง ๑,๐๐๐ คน ยกออกจากบ้านเชียงแมนแขวงเมืองโสย เดินลงไปถึงเมืองซำใต้แล้วเข้าสมทบกองทัพกับพระยาท้าวยี่ พระยาเกิด ซึ่งตั้งอยู่หินคือแขวงเมืองซำใต้พร้อมกันอยู่ที่นั้น

ได้ปรึกษาตกลงกันแล้วแบ่งกำลังไพร่พลออกเป็น ๒ กอง ยกแยกกันเข้าไปจ่อสู้รบกับพวกลาวเมืองซำใต้ได้ ๒ เวลา พวกข่าเจืองไล่ฆ่าฟันพวกลาวเมืองซำใต้ล้มตายเสียในขณะนั้นเป็นอันมาก องเวียนเจ้าเมืองซำใต้กับท้าวขุนกรมการและไพร่พลเมืองทางกำลังและฝีมือข่าเจืองมิได้ พากันยกครอบครัวแตกหนีออกจากเมืองซำใต้ลงไปอยู่เมืองญวน คือเมืองกิจู๊หัวเมืองขึ้นกับเมืองติงเง้ แล้วพวกข่าเจืองก็ยกกันเข้ามาตั้งมั่นอยู่ในเมืองซำใต้

ครั้นอยู่มาได้ประมาณปีเศษ องเวียนเจ้าเมืองซำใต้จึงได้ไปขอกำลังกับกวานหลวงเทืองเจ้าเมืองติงเง้ ให้ยกกองทัพขึ้นมาช่วยตีพวกข่าเจืองซึ่งตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองซำใต้ ถึง ณ ปีมะแมเบญจศก ๑๒๔๕ (พ.ศ. ๒๔๒๖) กวานหลวงเทืองเจ้าเมืองติงเง้แต่ให้กวานแจง กวานพ้อ นายทหารคุมไพร่พลญวน ๓,๐๐๐ คน ยกออกจากเมืองติงเง้ขึ้นมาต่อสู้รบกับพวกข่าเจืองซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองซำใต้ได้ ๗ เวลา พวกญวนก็ไล้ฆ่าฟันพระยาร่มโพธิ์นายข่าเจืองตาย กับไพร่พลพวกข่าเจืองตายในขณะนั้นเป็นอันมาก แต่พวกไพร่พลข่าเจืองที่เหลือจากตายนั้น พระยาท้าวยี่ พระยาเกิด พระยาบังหลง พากันควบคุมยอออกจากเมืองซำใต้ หนีไปตั้งมั่นรวบรวมกันอยู่ ณ เมืองพวน

แล้วพวกญวนจับได้ตัวท้าวอ๊อตตอนม้อยผู้ต้นเหตุคบคิดชักชวนพระยาร่มโพธิ์ พระยาบังหลง นายข่าเจืองให้ยกพวกข่าเจืองเข้ามาตีเมืองซำใต้ ทำให้ราษฎรไพร่พลเมืองได้ความเดือดร้อนล้มตายไปแต่ก่อนนั้นเป็นอันมาก เป็นเหตุให้เมืองซำใต้ตกเป็นของพวกข่าเจืองครอบครองอยู่ กวานแจง กวานพ้อ นายทหารญวนเห็นว่าท้าวอ๊อตตอนม้อยคนนี้เป็นคนพาลสันดานโกง ประพฤติการทรยศอกตัญญูหาซื่อตรงต่อเจ้าเมืองซำใต้ ซึ่งตัวได้อาศัยทำมาหากินอยู่ ณ บ้านเขานั้นไม่ กลับมาทำจิตคิดประทุษร้ายเป็นเสี้ยนหนามแก่บ้านเมือง ให้ได้รับความเดือดร้อนทุกข์ยากลำบากของไพร่บ้านพลเมืองขึ้นฉะนี้ มีความผิดเป็นอันมาก แล้วกวานแจง กวานพ้อ นายทหารญวนจึงสั่งให้พวกญวนคุมเอาตัวท้าวอ๊อตตอนม้อยไปยัง ณ เมืองติงเง้ ฝ่ายกวานหลวงเทืองเจ้าเมืองติงเง้จึงสั่งให้ฆ่าท้าวอ๊อตตอนม้อยนั้นเสีย อย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่างท้าวอ๊อตตอนม้อยคนนี้ต่อไป

เมื่อถึง ณ ปีวอกฉศก ๑๒๔๖ (พ.ศ. ๒๔๒๗) องเวียนเจ้าเมืองซำใต้กับท้าวขุนนางกรมการและไพร่พลราษฎรพากันยกครอบครัวออกจากเมืองกิจู๊ ขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองซำใต้ดังเก่า ซึ่งเป็นบ้านเมืองของตัวมาแต่เดิม

ครั้นอยู่มาถึง ณ ปีระกาสัปตศก ๒๓๔๗ (พ.ศ. ๒๔๒๘) กวานกอยี่นายฮ่อธงเหลืองคุมไพร่พล ๗๐๐ คน ยกออกจากเมืองโสยเดินลงไปตั้งมั่นอยู่วังหวายแขวงเมืองซำใต้ แล้วองเวียนเจ้าเมืองซำใต้ได้ทราบข่าวว่ากวานกอยี่คุมพวกฮ่อมาตั้งอยู่วังหวายนั้น จึงแต่งให้ท้าวกางกรมการคุมไพร่พล ๗๐ คน ยกออกจากเมืองซำใต้ไปต่อสู้รบกับพวกกวานกอยี่นายฮ่อ ณ ที่วังหวายหว่างเขาผาบางเป็นที่ช่องแคบขับขัน ต่อสู้รบกันเป็นสามารถได้ ๖ เวลา พวกลาวไล่ฆ่าฟันพวกฮ่อตายในขณะนั้น ๓๐ คน พวกฮ่อทานกำลังและฝีมือลาวมิได้ แตกหนีถอยทัพกลับไปตั้งอยู่ ณ เมืองโสยดังเก่า

ครั้นอยู่มา ณ ปีจออัฐศก ๑๒๔๘ (พ.ศ. ๒๔๒๙) ข้าพเจ้าทราบว่ากองทัพกรุงเทพฯ ซึ่งได้ยกขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองซ่อน และได้แต่งกองทัพยกแยกออกเป็น ๒ กอง เดินขึ้นไปปราบปรามโจรผู้ร้ายซึ่งตั้งมั่นอยู่ตามหัวเมืองสบแอด เมืองเชียงค้อ เมืองแวน เมืองโสย เมืองพูนนั้น กองทัพกรุงเทพฯ ได้ต่อสู้รบกับพวกจีนฮ่อเป็นสามารถ ไล่ฆ่าฟันพวกจีนฮ่อล้มตายไปเป็นอันมาก พวกฮ่อก็มีความเกรงกลัวเข้ามาอ่อนน้อมยอมสวามิภักดิ์ เป็นข้าอยู่ในพระราชอาณาเขตขอบขัณฑสีมากรุงสยามต่อไป ตั้งแต่กองทัพกรุงเทพฯ นั้นยกขึ้นมาปราบปรามโจรผู้ร้ายและได้จัดราชการเมืองหัวพันห้าทั้งหก ตลอดไปจนถึงเมืองสิบสองจุไทเรียบร้อยเป็นปรกติในครั้งนี้แล้ว พวกฮ่อก็มิได้ยกเข้ามารบกวนเมืองซำใต้อีกต่อไป เจ้าเมืองซำใต้กับท้าวขุนกรมการและไพร่พลเมืองพากันทำมาหากินทุกถ้วนหน้าโดยปรกติมีความสุขมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นสิ้นข้อความซึ่งข้าพเจ้าให้ถ้อยคำ กล่าวตามข้อราชการที่มีเหตุเกิดขึ้นตามหัวเมืองหัวพันห้าทั้งหก และเมืองสิบสองจุไทมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้ทราบความแต่เท่านี้ ให้ถ้อยคำไว้เป็นสำคัญ ฯ


....................................................................................................................
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:9:35:14 น.  

 
 
 
คำให้การเมืองหัวเมือง


ที่ตั้งกองทัพ ณ เมืองซ่อน
ณ วันจันทร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจออัฐศก๑๙ ๑๒๔๘

ข้าพเจ้า ท้าวกง และท้าวขุนในเมืองหัวเมือง ให้ถ้อยคำว่า

เดิมเมื่อ ณ ปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘ (พ.ศ. ๒๔๑๙) ข้าพเจ้าทราบว่ามีพวกจีนฮ่อธงลาย ตัวนายชื่อ สามกอปิว คุมกำลังไพร่พล ๓๐๐ คนยกออกจากเมืองเชียงค้อ เดินขึ้นมาตั้งมั่นพักไพร่พลอยู่ในเขตแดนแขวงเมืองอ้อ เมืองอ้อนี้ขึ้นกับเมืองหัวเมือง แล้วท้าวกงเจ้าเมืองหัวเมืองได้ทราบข่าวว่าพวกฮ่อมาตั้งอยู่ดังนั้น ท้าวกงเจ้าเมืองหัวเมืองก็คุมไพร่พล ๔๐๐ คนยกออกจากเมืองหัวเมืองลงไปต่อสู้รบกับสามกอปิวนายพวกฮ่อ ณ เมืองอ้อเป็นสามารถได้ ๒ เวลา พวกลาวเมืองหัวเมืองไล่ฆ่าฟันพวกฮ่อตายในขณะนั้น ๑๒ คน สามกอปิวนายฮ่อเห็นว่าจะทานกำลังฝีมือลาวมิได้ ก็รวบรวมควบคุมไพร่พลฮ่อแตกถอยขึ้นไปตั้งอยู่ ณ ทุ่งเชียงคำแขวงเมืองพวน

ครั้นอยู่มาถึง ณ ปีฉลูนพศก ศักราช ๑๒๓๙ (พ.ศ. ๒๔๒๐) ท้าวยี่นายพวกข่าเจืองคุมไพร่พล ๓๐๐ คนยกออกจากเขตแดนแขวงเมืองญวน เดินขึ้นมาตั้งมั่นพักไพร่พลอยู่ ณ เมืองเปินหัวเมืองขึ้นกับเมืองหัวเมือง แล้วพระยาว่านนายข่าเจือคุมไพร่พล ๒๐๐ คนยกออกจากเมืองยาคือหัวเมืองขึ้นกับเมืองแถง เดินลงมาสมทบกับไพร่พลพวกท้าวยี่นายข่าเจือง รวบรวมกันอยู่ ณ เมืองเปินทั้งสองกองเป็นคน ๕๐๐ คน แล้วท้าวกงเจ้าเมืองหัวเมืองได้ทราบข่าวพวกข่าเจืองมาตั้งอยู่เมืองเปินดังนั้น จึงแต่งให้เพี้ยอุดทุมกรมการคุมไพร่พล ๓๐๐ คนยกออกจากเมืองหัวเมือง เดินลงไปต่อสู้รบกับพระยาว่าน ท้าวยี่นายพวกข่าเจืองเป็นสามารถได้ ๓ เวลา พวกลาวไล่ฆ่าฟันพวกข่าเจืองตายในขณะนั้น ๘ คน พระยาว่านกับท้าวยี่และพวกข่าเจืองทานกำลังและฝีมือพวกลาวมิได้ พากันแตกระส่ำระสายถอยหนีไป แต่พระยาว่านนั้นรวบรวมไพร่พลพวกข่าเจืองขึ้นไปตั้งอยู่ ณ เมืองซางหัวเมืองขึ้นกับเมืองซำเหนือ แล้วท้าวยี่ก็คุมพวกข่าเจืองลงไปตั้งอยู่ ณ เมืองหมัดคือเมืองญวนหัวเมืองขึ้นกับเมืองติงเง้

ครั้นอยู่มา ณ ปีจออัฐศก๑๙ ๑๒๔๘ (พ.ศ. ๒๔๒๙) นี้ ข้าพเจ้าทราบว่ากองทัพกรุงเทพฯ ซึ่งได้ยกขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองซ่อน และได้แต่งกองทัพยกแยกออกเป็น ๒ กอง เดินขึ้นไปปราบปรามโจรผู้ร้าย ซึ่งตั้งมั่นอยู่ตามหัวเมืองสบแอด เมืองเชียงค้อ เมืองแวน เมืองโสย เมืองพูนนั้น กองทัพกรุงเทพฯ ได้ต่อสู้รบกับพวกจีนฮ่อเป็นสามารถ ไล่ฆ่าฟันพวกจีนฮ่อล้มตายไปเป็นอันมาก พวกฮ่อก็มีความเกรงกลัวเข้ามาอ่อนน้อมยอมสวามิภักดิ์ เป็นข้าอยู่ในพระราชอาณาเขตขอบขัณฑสีมากรุงสยามต่อไป ตั้งแต่กรุงเทพฯ นั้นยกขึ้นมาปราบปรามโจรผู้ร้ายและได้จัดราชการเมืองหัวพันห้าทั้งหก ตลอดไปจนถึงเมืองสิบสองจุไทยเรียบร้อยเป็นปรกติในครั้งนี้แล้ว พวกฮ่อกับข่าเจืองก็มิได้ยกเข้ามารบกวนในเขตแดนแขวงเมืองหัวเมืองอีกต่อไป เจ้าเมืองหัวเมืองกับท้าวขุนกรมการและไพร่พลเมืองพากันทำมาหากินโดยปรกติ มีความสุขทุกถ้วนหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ เป็นสิ้นข้อความ ซึ่งข้าพเจ้าให้ถ้อยคำกล่าวตามราชการที่มีเหตุเกิดขึ้นตามเมืองหัวพันทั้งหกและเมืองสิบสองจุไทมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้ทราบความแต่เท่านี้ ให้ถ้อยคำไว้เป็นสำคัญ ฯ


....................................................................................................................
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:9:37:18 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com