กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนเสวยราชย์


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยมหาราช


...............................................................................................................................................



พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ


พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อ ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ พระพุทธศาสนากาลล่วงแล้วได้ ๒๔๑๑ พรรษา ถ้าเทียบประดิทินทางสุริยคติ ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม คริสตศักราช ๑๘๖๘ นับวันนี้เป็นต้นรัชกาลที่ ๕ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งได้ประดิษฐานดำรงกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราโยธยา เป็นราชธานีแห่งสยามประเทศได้ ๘๗ ปีโดยนิยม


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรพระโรคไข้ป่า(๑) เพราะเหตุเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยอุปราคาหมดดวงที่ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพได้ ๕ วัน ก็เกิดพระอาการประชวรไข้ เมื่อ ณ วัน พุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๙ ค่ำ ตั้งแต่จับประชวรได้ไม่ช้า พระองค์ก็ทรงทราบโดยพระอาการว่า ประชวรครั้งนั้นเห็นจะเป็นที่สุดพระชนมายุสังขาร ได้ตรัสแก่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถให้ทรงทราบ ทั้งมีพระราชดำรัสสั่งพระราชประสงค์ แลพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ แล้วจึงมีรับสั่งแก่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพอธิบดีกรมหมอ ว่าพระอาการประชวรครั้งนี้มากอยู่ ให้ประชุมแพทย์ปรึกษากันตั้งพระโอสถ และมีรับสั่งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์ กับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ เสด็จเข้าไปประจำกำกับหมอที่ในพระบรมมหาราชวัง


กรมขุนวรจักรธรานุภาพ

ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรเสด็จออกไม่ได้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถก็เสด็จเข้าพยาบาลอยู่ข้างที่ ทรงพยาบาลสมเด็จพระบรมชนกนาถอยู่ได้ ๑ วัน พระองค์เองก็จับมีพระอาการไข้ไม่ทรงสบาย แต่ถึงเวลาก็ยังอุตส่าห์เสด็จเข้าไปเฝ้าพยาบาลอยู่ข้างที่ตามเคย ต่อมาวันที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยกพระหัตถ์ลูบพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เห็นร้อนผิดปกติก็ทรงทราบว่าประชวรไข้ด้วย จึงตรัสสั่งให้เสด็จกลับไปพักรักษาพระองค์ที่พระตำหนักสวนกุหลาบ อย่าให้ทรงเป็นกังวลถึงการที่จะเข้าไปเฝ้ารักษาพยาบาลเลย ให้เร่งรักษาพระองค์ให้หาย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเสด็จกลับออกมาถึงพระตำหนัก พระโรคไข้ป่าก็กำเริบมากขึ้น ประชวรไข้อยู่หลายวัน มีพระอาการค่อยคลายก็เกิดพระยอดมีพิษขึ้นที่พระศอ พระอาการกลับทรุดลงไปอีก จนถึงประชวรเพียบหนักอยู่เป็นหลายเวลาพระอาการจึงค่อยคลายขึ้น แต่พระกำลังยังอ่อนเพลียมากนัก จึงต้องปกปิดมิให้ทรงทราบพระอาการของสมเด็จพระบรมชนกนาถตลอดมา จนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต

ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวรพระอาการทรุดลงโดยลำดับ(๒) ครั้นถึงวันจันทร์ เดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ เป็นวันพระราชพิธีศรีสัจปานการเสด็จออกไม่ได้ ข้าราชกาลประชุมถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วจึงพร้อมกันมาถวายบังคมที่ในพระที่นั่งอนันตสมาคม อันเป็นท้องพระโรงอภิเนานิเวศ(๓) และในที่นั้นพระราชวงศานุวงศ์ประชุมถือน้ำตามประเพณีที่ไม่เสด็จออกวัด

ในเวลาเมื่อพระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยประชุมพร้อมกันที่พระที่นั่งอนันตสมาคมนั้น(๔) เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่สมุหพระกลาโหม ซึ่งเป็นหัวหน้าในข้าราชการทั้งปวงกล่าวในที่ประชุมว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรพระอาการมากอยู่ ทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ก็ประชวรอยู่ด้วยไม่ควรจะประมาท แล้วจึงสั่งให้จัดการรักษาพระบรมมหาราชวังกวดขันขึ้นกว่าปกติ และให้ตั้งกองล้อมวงพระตำหนักสวนกุหลาบ อันเป็นที่ประทับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอด้วย ตั้งแต่วันนั้นมาเจ้านายและเสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่ ก็เข้ามาอยู่ประจำที่ในพระบรมมหาราชวัง

ถึง ณ วันอังคาร เดือน ๑๑ ขึ้น ๖ ค่ำ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่โดยเจริญพระชนมายุกว่าพระองค์อื่นๆพระองค์ ๑ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ในรัชกาลพระองค์ ๑ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ อัครมหาเสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม ซึ่งเป็นหัวหน้าในราชการทั้งปวงคน ๑ เข้าไปเฝ้าพร้อมกัน แล้วมีพระบรมราชโองการมอบพระราชกิจในการปกครองพระราชอาณาจักร ให้ท่านทั้ง ๓ ปรึกษาหารือกันบังคับบัญชาการ ต่างพระองค์ในเวลาทรงพระประชวร อย่าให้ราชการบ้านเมืองติดขัดผันแปร เป็นเหตุให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ความเดือดร้อน


กรมหลวงเทเวศวัชรินทร์


กรมหลวงวงศาธิราชสนิท


เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

และในวันอังคาร เดือน ๑๑ ขึ้น ๖ ค่ำ นั้น มีรับสั่งให้ภูษามาลาเชิญหีบพระเครื่องมาถวาย ทรงเลือกพระประคำทองสาย ๑ อันเป็นของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก(๕) กับพระธำมรงค์เพชรองค์ ๑ ให้พระราชโกษา(๖) เชิญตามเสด็จพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี ไปพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีเสด็จออกมาทูลกรมหลวงวงศาธิราชสนิท และบอกเจ้าพระยาศรีวสุริยวงศ์ ซึ่งพร้อมกันอยู่ที่ท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้ทราบตามกระแสรับสั่ง กรมหลวงวงศาธิราชสนิทและเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ก็ไปยังพระตำหนักสวนกุหลาบด้วย เวลานั้นปิดความไม่ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทรงทราบ ว่าสมเด็จพระบรมชนกนาถประชวรพระอาการมาก

เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงแนะพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี ให้ทูลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอว่าของ ๒ สิ่งนั้น พระราชทานเป็นของขวัญ โดยทรงยินดีที่ได้ทรงทราบว่าพระอาการที่ประชวรค่อยคลายขึ้น เมื่อพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีไปทูล สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอดำรัสถามว่า ของขวัญ เหตุใดจึงพระราชทานประคำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกด้วย แต่ก็ไม่มีผู้ใดทูลตอบว่ากระไร เมื่อถวายสิ่งของแล้วต่างก็กลับมา ในเวลานั้นเห็นจะเป็นด้วย เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เห็นว่าพระองค์เจ้าโสมาวดีได้เสด็จออกไปทอดพระเนตร เห็นการที่จัดตั้งกองล้อมวงแล้วก็กลับเข้าไปข้างใน ก็คงจะกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระองค์เจ้าโสมาวดี ศรีรัตนราชธิดา กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ

ครั้นเมื่อกลับมาถึงพระที่นั่งอนันตสมาคม เจ้าพระยาศรีสุริยาวงศ์กับกรมหลวงวงศาธิราชสนิทปรึกษากันว่า ควรจะกราบทูลพระบาทสมเด็จฯพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ทรงทราบถึงการที่จัดไว้ จึงสั่งพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีเข้าไปกราบบังคมทูลว่า เจ้านายผู้ใหญ่กับเสนาบดีปรึกษากันเห็นว่า พระอาการที่ทรงพระประชวรมากอยู่ ไม่ควรจะประมาทแก่เหตุการณ์ ได้สั่งจัดการจุกช่องล้อมวงรักษาพระบรมมหาราชวังให้กวดขันขึ้น และได้ตั้งกองล้อมวงรักษาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ที่พระตำหนักสวนกุหลาบด้วย(๗)

เมื่อพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี กราบทูลความให้ทรงทราบ มีรับสั่งถามว่า ได้เห็นผู้คนล้อมวงที่สวนกุหลาบจริงหรือและมีผู้หลักผู้ใหญ่ใครดูแลการล้อมวงอยู่ที่นั้น เมื่อได้ทรงทราบแล้ว จึงดำรัสสั่งให้พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีกลับออกไปทูลกรมหลวงวงศาฯ และแจ้งแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ว่าการที่จะสืบพระวงศ์สนองพระองค์นั้น ขอให้คิดมุ่งหมายเอาแต่ความเรียบร้อยมั่นคงแห่งพระราชอาณาจักรเป็นประมาณ พระองค์ไม่ได้ตั้งพระราชหฤทัยมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไรดอก ผู้ที่จะรับราชสมบัติจะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอก็ได้ หลานเธอก็ได้ ขอแต่ให้ได้ร่มเย็นเป็นสุขแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระชันษายังทรงพระเยาว์นัก จะทรงบังคับบัญชาราชการบ้านเมืองได้ละหรือ ขอให้คิดกันดูให้ดี

เมื่อพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีเชิญพระกระแสออกมาทูลกรมหลวงวงศาฯและเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ทั้งสองท่านจึงเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์มาปรึกษาอีกพระองค์หนึ่ง แล้วสั่งให้เข้าไปกราบบังคมทูลว่าได้ปรึกษาเห็นพร้อมกัน ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอสมควรจะได้รับรัชทายาทสืบสนองพระองค์ ราชการบ้านเมืองจึงจะเรียบร้อยเป็นปกติ ข้อซึ่งทรงปริวิตกว่ายังพระเยาว์นั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์รับจะสนองพระเดชพระคุณ ช่วยดูแลประคับประคองในส่วนพระองค์ มิให้เสื่อมเสียได้


สมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนบำราบปรปักษ์

เมื่อพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีนำความเข้าไปกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระปริวิตกว่า พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีจะเชิญกระแสรับสั่งออกไปแจ้งไม่ถูกถ้วนตามพระราชประสงค์ ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันพุธ เดือน ๑๑ ขึ้น ๗ ค่ำ จึงดำรัสสั่งให้พระยาศรีสุนทรโวหาร(๘) เขียนกระแสรับสั่งพระราชทานให้พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี เชิญออกไปยังที่ประชุมพระราชวงศ์และเสนาบดี ว่าผู้ซึ่งจะครองราชสมบัติสืบพระราชวงศ์ต่อไปนั้น ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากัน แล้วแต่จะเห็นว่าเจ้านายพระองค์ใด จะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอก็ดี พระเจ้าลูกยาเธอก็ดี พระเจ้าหลานเธอก็ดี สมควรจะเป็นใหญ่ เมื่อพร้อมกันเห็นว่าพระองค์ใดจะปกครองรักษาแผ่นดินได้ ก็ให้ถวายราชสมบัติแก่พระองค์นั้น สืบสนองพระองค์ต่อไป กระแสรับสั่งซึ่งโปรดฯให้เขียนออกไปอ่านในทีประชุมเสนาบดีนี้ หาปรากฏว่ามีคำที่ประชุมทูลสนองอย่างใดไม่

ในระหว่างนั้น เห็นจะเป็นด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปริวิตกถึงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอยิ่งขึ้น ด้วยเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอประชวรพระอาการมากอยู่นั้น ไม่ได้กราบบังคมทูลฯให้ทรงทราบ เพราะเกรงกันว่าถ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ก็จะทรงพระปริวิตกวุ่นวาย พระอาการจะทรุดหนักไป จึงปิดความเสีย

ครั้น ณ วันพุธ เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ จึงโปรดฯให้พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีถวายปฏิญาณก่อนแล้วจึงดำรัสถามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมขุนพินิตประชานาถ ซึ่งรับสั่งเรียกว่า "พ่อใหญ่" นั้น สิ้นพระชนม์เสียแล้วหรือยังทรงพระชนม์อยู่ ขอให้กราบทูลโดยสัตย์จริง ถ้าจะสิ้นพระชนม์เสียแล้วก็จะได้สิ้นห่วง(๙) พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีกราบทูลฯว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้น เดือนประชวรไข้ ครั้นไข้ค่อยคลาย พระยอดมีพิษขึ้นที่พระศอพระอาการมากอยู่ครู่หนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ค่อยคลายขึ้นแล้ว เป็นความสัตย์จริงดังนี้ มีพระราชดำรัสว่า ถ้าเช่นนั้นให้ไปทูลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ว่าถ้าพระอาการค่อยคลายพอจะมาเฝ้าได้ ให้เสด็จมาเสียก่อนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ถ้ารอไปจนถึงวันแรมค่ำ ๑ ก็จะได้แต่สรงพระบรมศพไม่ทันสั่งเสียอันใด

พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีเชิญกระแสรับสั่งออกมาทูลกรมหลวงวงศาฯและเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ท่านทั้งสองปรึกษากันเห็นว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระกำลังยังอ่อนนัก ถ้าเชิญเสด็จเข้าไปเฝ้าในเวลานั้น คงทรงพระโศกาดูรแรงกล้า น่ากลัวพระโรคจะกลับกำเริบขึ้น เห็นควรระวังรักษาอย่างให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอมีภัยอันตรายจะดีกว่า จึงพร้อมกันห้ามมิให้ไปทูลให้ทราบพระราชประสงค์ และให้กราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระอาการค่อยคลายแล้ว แต่พระกำลังยังอ่อนเพลียนัก เสนาบดีปรึกษากันเห็นว่ายังจะเชิญเสด็จมาเฝ้าไม่ได้

ในวันพุธ เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำนั้น จึงมีรับสั่งให้หาพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์(๑๐) จางวางมหาดเล็ก เข้าไปเฝ้าพร้อมกับพระยาบุรุษฯ ตรัสถามพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ว่า พระอาการสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้าง พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์กราบบังคมทูลว่าพระอาการค่อยคลายขึ้นแล้ว ตรัสถามต่อไปว่า การแผ่นดินเดี๋ยวนี้จัดกันอย่างไร พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์กราบบังคมทูลว่า เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ผู้บิดาเห็นว่าอาการที่ทรงพระประชวรมาก ได้ปรึกษากับพระราชวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ เห็นพร้อมกันว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ควรจะรับสิริราชสมบัติสืบสนองพระองค์ต่อไป เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงได้สั่งเจ้าพนักลานตั้งกองล้อมวงที่พระตำหนักสวนกุหลาบหลายเวลามาแล้ว


พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ (วร บุนนาค)

มีพระราชดำรัสว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯ พระชันษายังเยาว์จะทรงบังคับบัญชาราชการแผ่นดินอย่างใด เกรงจะทำการไปไม่ตลอด เจ้านายผู้ใหญ่ที่ทรงพระสติปัญญาก็มีอยู่หลายพระองค์ พระองค์ใดสามารถจะว่าราชการแผ่นดินได้ จะเลือกพระองค์นั้นก็ควร อย่าให้เกิดภัยอันตรายแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอซึ่งยังทรงพระเยาว์อยู่ พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์กราบบังคมทูลว่า ถ้าไม่ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอขึ้นครองราชสมบัติ น่ากลัวจะมีเหตุร้ายไปภายหน้า ด้วยคนทั้งหลายตลอดจนชาวนานาประเทศก็นิยมนับถือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถว่าเป็นรัชทายาท แม้สมเด็จพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ เอมปเรอฝรั่งเศส ก็ได้มีพระราชสาส์นทรงยินดีประทานพระแสงมีจารึกยกย่องพระเกียรติเป็นรัชทายาทมาเป็นสำคัญ ถ้าไม่ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป การภายหน้าเห็นจะไม่เป็นปกติเรียบร้อยได้ มีพระราชดำรัสว่า เมื่อเห็นพร้อมกันเช่นนั้นก็ตามใจ

แล้วทรงชี้แจงต่อไปถึงครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มิได้มีรับสั่งหาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์เข้าไปทรงฝากฝังสั่งเสียราชการแผ่นดิน รับสั่งให้หาแต่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์แต่ยังเป็นจางวางมหาดเล็กเข้าไปทรงสั่ง ครั้งนี้พระองค์ทรงประพฤติแบบอย่างพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมิได้มีรับสั่งให้หาเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เข้ามาสั่งเสีย ให้พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์เป็นผู้รับสั่ง เมื่อจะขัดขวางอย่างใดก็จงปรึกษากับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ผู้เป็นบิดาเถิด ไหนๆสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอก็ได้เป็นเขย การที่ได้ปรึกษาเห็นพร้อมกันว่าจะให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอครองราชสมบัติต่อไปนั้น ขอทรงฝากฝังให้ช่วยกันทำนุบำรุงให้ดีอย่าให้มีเหตุเกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงแผ่นดินใหม่ ถ้าไม่ระวังให้ดีอาจจะเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกัน ต้องระวังอย่าให้มีเหตุเช่นพระเสน่หามนตรี(๑๑) ถ้าเกิดเหตุขึ้นเช่นนั้นจะอายเขา เจ้าพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์กราบบังคมทูลฯ รับว่าจะไปคิดอ่านกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ผู้บิดา สนองพระเดชพระคุณมิให้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นได้

ถึงวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลา ๕ โมงเช้า ดำรัสสั่งให้พระยาบุรุษฯ ออกไปเชิญเสด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม เจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายก เข้าไปเฝ้าถึงข้างพระแท่นบรรทม มีพระราชดำรัสว่าเห็นจะเสด็จสวรรคตในวันนั้น ท่านทั้ง ๓ กับพระองค์ได้ทำนุบำรุงประคับประคองกันมา บัดนี้กาละจะถึงพระองค์แล้ว ขอลาท่านทั้งหลายในวันนี้ ขอฝากพระราชโอรสธิดาอย่าให้มีภัยอันตราย หรือเป็นที่กีดขวางในการแผ่นดิน ถ้ามีผิดสิ่งไรเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ ขอให้ท่านทั้ง ๓ จงเป็นที่พึ่งแก่พระราชโอรสธิดาต่อไปด้วยเถิด


พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (เพ็ง เพ็ญกุล)


กรมหลวงวงศาธิราชสนิท


เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม


เจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายก

ท่านทั้ง ๓ ได้ฟังก็พากันร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยอาลัย จึงดำรัสห้ามว่า อย่าร้องไห้ ความตายไม่เป็นอัศจรรย์อันใด ย่อมมีย่อมเป็นเหมือนกันทุกรูปทุกนาม ผิดกันไปที่ตายก่อนและตายทีหลัง แต่ก็อยู่ในต้องตายเหมือนกันทั้งสิ้น บัดนี้เมื่อกาละมาถึงพระองค์เข้าแล้ว จึงได้ลาท่านทั้งหลาย แล้วมีพระราชดำรัสต่อไปว่า พระราชประสงค์จะตรัสสั่งด้วยราชการแผ่นดิน แต่จะทรงสมาทานเบญจศีลเสียก่อน ครั้นทรงสมาทานศีลแล้วตรัสภาษาอังกฤษหลายองค์ แล้วจึงมีพระราชดำรัสว่า ที่พูดภาอังกฤษนี้เพื่อจะให้ท่านทั้งหลาย เห็นว่าสติสัมปชัญญะยังปกติดีอยู่ ท่านทั้งปวงจะได้สำคัญในข้อความที่จะสั่งว่ามิได้สั่งโดยฟั่นเฟือน

เมื่อตรัสประภาษดังนี้แล้ว จึงมีพระราชดำรัสต่อไปว่า ท่านทั้ง ๓ กับพระองค์ได้ช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินมาได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา จนถึงเวลาสิ้นพระชนมายุ ถ้าสิ้นพระองค์ล่วงไปแล้ว ขอให้ท่านทั้งปวงจงอยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน ขอให้ทูลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ให้เอาเป็นธุระรับฎีการาษฎรอันมีทุกข์ร้อน ให้ร้องได้โดยสะดวกเหมือนพระองค์ได้ทรงเป็นพระธุระรับฎีกามาแต่ก่อน อนึ่งผู้ซึ่งจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบพระบรมราชวงศ์ไปภายหน้านั้น ให้ปรึกษากันเลือกดูแต่สมควร จะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอก็ตาม พระเจ้าลูกยาเธอ หรือพระเจ้าหลานเธอก็ตาม เมื่อปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า พระองค์ใดมีปรีชาสามารถควรจะรักษาแผ่นดินได้ ก็จงยกพระองค์นั้นขึ้น จะได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน ให้พระราชวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และอาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขต่อไป อย่าได้หันเหียนเอาโดยเห็นว่าจะชอบพระราชหฤทัยเป็นประมาณเลย เอาแต่ความดีความเจริญของบ้านเมืองเป็นประมาณเถิด มีพระราชดำรัสสั่งดังนี้แล้ว ก็มิได้ตรัสสั่งถึงราชการแผ่นดินอีกต่อไป

เวลาเย็นวันนั้นมีรับสั่งให้พระศรีสุนทรโวหารเขียนพระราชดำรัสทรงขมาและลาพระสงฆ์ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์เป็นภาษามคธ แล้วให้พระศรีสุนทรโวหารเชิญไปพร้อมด้วยเครื่องสักการ ไปอ่านในที่ประชุมพระสงฆ์ มีกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์เป็นประธาน ที่ในพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ์ เมื่อเวลาค่ำก่อนพระสงฆ์ทำพิธีปวารณา พอถึงเวลา ๙ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ

จดหมายเหตุทรงประชวร ยังมีความข้ออื่นอีกปรากฏอยู่ในท้ายพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ คัดเนื้อความมากล่าวไว้ในที่นี้ เฉพาะแต่ข้อความอันเกี่ยวเนื่องด้วยพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๕



Create Date : 13 ตุลาคม 2550
Last Update : 13 ตุลาคม 2550 8:56:45 น. 9 comments
Counter : 9537 Pageviews.  
 
 
 
 
...............................................................................................................................................


(ต่อ)

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว เจ้าพระศรีสุริยวงศ์ก็สั่งให้เจ้าพนักงานล้อมวงรักษาพระราชมณเฑียรทั้งข้างหน้าข้างใน แล้วสั่งให้นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะฐานานุกรมรวม ๒๕ รูป มีกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เป็นหัวหน้ามานั่งเป็นประธานในที่ประชุมพระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ ซึ่งประชุมกันอยู่ในพระที่นั่งอนันตสมาคม

พระราชวงศานุวงศ์ซึ่งประทับอยู่ในที่ประชุมเวลานั้น พระเจ้าน้องยาเธอ ๗ พระองค์ คือ ๑. กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร์ ๒. กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ๓. กรมหมื่นถาวรวรยศ ๔. กรมหมื่นวรศักดาพิศาล ๕. กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ ๖. กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ๗. สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนบำราบปรปักษ์ พระราชวรวงศ์เธอ ๖ พระองค์(๑๒) คือ ๑. กรมหมื่นภูมินทรภักดี ๒. กรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ ๓. กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย ๔. กรมหมื่นภูวนัยนฤเบนทราธิบาล ๕. กรมหมื่นอักษรสารโสภณ ๖. กรมหมื่นเจริญผลพูลสวัสดิ์ พระเจ้าบวรวงศ์เธอ ๓ พระองค์ คือ ๑. กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ๒. กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ ๓. กรมหมื่นสิทธสุขุมการ นอกจากนี้พระเจ้าลูกเธอที่เป็นชั้นใหญ่ที่ทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่ ๗ พระองค์ คือ ๑. พระองค์เจ้ากฤษฎาภินิหาร ๒. พระองค์เจ้าคัคนางค์ยุคล ๓. พระองค์เจ้าสุขสวัสดิ์ ๔. พระองค์เจ้าทวีถวัลยลาภ ๕. พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ ๖. พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ ๗. พระองค์เจ้ากมลาศเลอสรรค์ เจ้านายทั้งปวงนี้ เวลาประชุมประทับทางด้านตะวันตก แต่ตรงหน้าพระแท่นเศวตฉัตรเรียงไปข้างด้านเหนือ


กรมหลวงเทเวศวัชรินทร์


กรมหลวงวงศาธิราชสนิท


กรมหมื่นวรศักดาพิศาล


กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์


กรมขุนวรจักรธรานุภาพ


สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนบำราบปรปักษ์


กรมหมื่นภูมินทรภักดี


กรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ


กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย


กรมหมื่นภูวนัยนฤเบนทราธิบาล


กรมหมื่นอักษรสารโสภณ


กรมหมื่นเจริญผลพูลสวัสดิ์


กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์


กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์


กรมหมื่นสิทธสุขุมการ


พระองค์เจ้ากฤษฎาภินิหาร


พระองค์เจ้าคัคนางค์ยุคล


พระองค์เจ้าสุขสวัสดิ์


พระองค์เจ้าทวีถวัลยลาภ


พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่


พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์


พระองค์เจ้ากมลาศเลอสรรค์

ข้างด้านเหนือพระสงฆ์นั่ง กรมหมื่นบวรรังษีฯประทับเป็นประธานอยู่ข้างหน้า ส่วนพระสงฆ์ที่มานั่งในที่ประชุมนั้น มีพระราชาคณะ ๒ รูป คือ พระสาสนโสภณ(สา) วัดราชประดิษฐ์ ๑ พระอมรโมลี(นพ) วัดบุพผาราม ๑ นอกนั้นเป็นฐานานุกรมและเปรียญ ล้วนคณะธรรมยุติกา ที่มาประชุมฟังพระอาการอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ทุกๆวัน(๑๓) สังฆการีไปนิมนต์จึงได้มาพร้อมกันโดยเร็ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สั่งให้นิมนต์พระราชาคณะฝ่ายมหานิกายด้วย แต่มาไม่ทันประชุม


พระสาสนโสภณ(สา) วัดราชประดิษฐ์

ส่วนขุนนางนั้นนั่งทางด้านตะวันตก จางวางมหาดเล็กอยู่ทางด้านใต้ ขุนนางผู้ใหญ่ที่เข้าประชุมในเวลานั้น ข้าราชการฝ่ายพระบรมมหาราชวัง คือ ๑. เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) ที่สมุหพระกลาโหม ๒. เจ้าพระยาภูธราภัย(นุช บุณยรัตพันธ์) ที่สมุหนายก ๓. พระยามหาอำมาตย์(ลมั่ง สนธิรัตน) ๔. พระยาราชภักดี(ช้าง เทพหัสดินทร ณ อยุธยา) ๕. พระยาศรีพิพัฒน์(แพ บุนนาค) ๖. พระยาเพ็ชรพิชัย(หนู เกตุทัต) ๗. พระยาสีหราชเดโช(พิณ) ๘. พระยาสีหราชฤทธิไกร(บัว) ๙. พระยาราชวรานุกูล(บุญรอด กัลยาณมิตร) ๑๐. พระยาเทพประชุม(ท้วม บุนนาค) (๑๔) ๑๑. พระยาอภัยรณฤทธิ์(เฉย ยมาภัย) ๑๒. พระยาอนุชิตชาญชัย(อุ่น) ๑๓. พระยาสุรวงศวัยวัฒน์(วร บุนนาค) ๑๔. พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ(เพ็ง เพ็ญกุล) ๑๕. พระยาศรีเสาวราช(ภู่) ข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายพระบวรราชวัง ๑๖. เจ้าพระยามุขมนตรี(เกต สิงหเสนี) ๑๗. พระยามณเฑียรบาล(บัว) ๑๘. พระยาเสนาภูเบศ(กรับ บุณยรัตพันธ์) ๑๙. พระยาศิริไอศวรรย์ ๒๐. พระยาสุรินทราชเสนี(ชื่น กัลยาญมิตร) (๑๕) นอกจากขุนนางผู้ใหญ่ ยังมีเจ้ากรมปลัดกรมตำรวจขัดกระบี่นั่งประจำอยู่ข้างหลังเสนาบดี ข้างมุขตะวันออกอีกหลายคน แต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการประชุม


เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่สมุหพระกลาโหม


เจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธ์) ที่สมุหนายก


พระยามหาอำมาตย์ (ลมั่ง สนธิรัตน)


พระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค)


พระยาเพ็ชรพิชัย (หนู เกตุทัต)


พระยาสีหราชฤทธิไกร (บัว) - ด้านขวา


พระยาราชวรานุกูล (บุญรอด กัลยาณมิตร)


พระยาเทพประชุม (ท้วม บุนนาค)


พระยาอภัยรณฤทธิ์ (เฉย ยมาภัย)


พระยาสุรวงศวัยวัฒน์(วร บุนนาค)


พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (เพ็ง เพ็ญกุล)
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:10:25:39 น.  

 
 
 
...............................................................................................................................................


(ต่อ)

พอเวลาเที่ยงคืน ที่ประชุมพร้อมกันแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าประสานมือ หันหน้าไปทางเจ้านายกล่าวในท่ามกลางประชุมว่า ด้วยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อเวลายาม ๑ บัดนี้แผ่นดินว่างอยู่ การสืบพระราชสันตติวงศ์ตามราชประเพณีเคยมีมาแต่ก่อนนั้น เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจะเสด็จสวรรคต ได้ทรงมอบราชสมบัติพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน คือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจะสวรรคต ไม่ได้ทรงมอบราชสมบัติแก่เจ้านายพระองค์ใด ด้วยอาการพระโรคตัดตรัสสั่งไม่ได้ เสนาบดีจึงพร้อมกันถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคต มีรับสั่งคืนราชสมบัติแก่เสนาบดี ตามแต่จะปรึกษากันให้เจ้านายพระองค์ใดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีปรึกษากัน ถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรอยู่ได้มีรับสั่งให้หากรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์และเจ้าพระยาภูธราภัยเข้าไปเฝ้า พระราชทานพระบรมราชานุญาตไว้ว่า ผู้ที่จะดำรงรักษาแผ่นดินต่อไปนั้น ให้พระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการปรึกษาหารือ สุดแต่จะเห็นพร้อมกันว่า พระราชวงศ์พระองค์ใดจะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานเธอ ซึ่งทรงพระสติปัญญารอบรู้สรรพสิ่งทั้งปวง สมควรจะปกป้องสมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรได้ ก็ให้ยกพระราชวงศ์พระองค์นั้นขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์มิได้ทรงรังเกียจ บัดนี้ท่านทั้งหลายทั้งปวงบรรดาอยู่ในที่ประชุมนี้ จะเห็นว่าเจ้านายพระองค์ใดสมควรจะเป็นที่พึ่งแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และอาณาประชาราษฎรดับยุคเข็ญได้ ก็ให้ว่าขึ้นในท่ามกลางประชุมนี้ อย่าได้มีความหวาดหวั่นเกรงขามเลย

ขณะนั้นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร์ ซึ่งมีพระชนมายุยิ่งกว่าพระราชวงศานุวงศ์ทั้งปวง จึงเสด็จลุกคุกพระชงฆ์หันพระพักตร์ไปทางข้างตะวันออก ประสานพระหัตถ์ ตรัสขึ้นในท่ามกลางประชุมว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระเดชพระคุณ ได้ทรงทำนุบำรุงเลี้ยงพระบรมวงศานุวงศ์และมุขมนตรีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงมาเป็นอันมาก พระคุณเหลือล้น ไม่มีสิ่งใดจะทดแทนให้ถึงพระคุณได้ ขอให้ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เหมือนหนึ่งได้ทดแทนพระคุณพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๒ กรมพระเทเวศวัชรินทร์

เมื่อกรมหลวงเทเวศรฯ ตรัสดังนี้แล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงถามที่ประชุมเรียงพระองค์เจ้านาย และเรียงตัวข้าราชการ แต่ส่วนพระ ถามเฉพาะกรมหมื่นบวรรังษีฯ พระองค์เดียว ถามตั้งแต่กรมหลวงวงศาฯ เป็นต้นมา ทุกพระองค์ทุกท่านประสานพระหัตถ์และประสานมือยกขึ้นรับว่า "สมควร" เมื่อเห็นชอบพร้อมกันแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงอาราธนาพระสงฆ์สวดชยันโตและถวายอติเรก(๑๖)

เมื่อประชุมพร้อมกันถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงกล่าวถามต่อไปในที่ประชุมว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรอยู่นั้น ท่านได้กราบบังคมทูลฯให้ทรงทราบว่า จะถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่าทรงพระวิตกอยู่ด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระชันษายังทรงพระเยาว์ จะไม่สามารถว่าราชการแผ่นดินให้ร่มเย็นเป็นสุขแก่พระราชวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท สมณพราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎรได้ดังสมควร พระกระแสที่ทรงพระปริวิตกเช่นนี้จะคิดอ่านกันอย่างไร

กรมหลวงเทเวศรฯ ตรัสว่า ขอให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่าราชการแผ่นดินไปกว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอจะทรงผนวชพระ(๑๗) เจ้าพระศรีสุริยวงศ์ถามความข้อนี้แก่ที่ประชุม ก็ให้อนุมัติเห็นสมควรพร้อมกัน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงว่า ส่วนตัวท่านนั้น จะรับสนองพระเดชพระคุณโดยเต็มสติปัญญา แต่ในเรื่องการพระราชพิธีต่างๆ ท่านไม่สู้เข้าใจ ขอให้เจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์ช่วยในส่วนการพระราชนิเวศด้วยอีกพระองค์หนึ่ง ที่ประชุมก็อนุมัติเห็นชอบด้วย


สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์


สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาบำราบปรปักษ์

เมื่อเสร็จการปรึกษาตอนถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าฯกรมขุนพินิตประชานาถแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงกล่าวขึ้นอีกว่า แผ่นดินที่ล่วงแล้วแต่ก่อนๆ มา มีพระมหากษัตริย์แล้วก็ต้องมีพระมหาอุปราชฝ่ายหน้าเป็นเยี่ยงอย่างมาทุกๆ แผ่นดิน ครั้งนี้ที่ประชุมจะเห็นควรมีพระมหาอุปราชฝ่ายหน้าด้วยหรือไม่

กรมหลวงเทเวศรฯ เสด็จลุกคุกพระชงฆ์ประสานพระหัตถ์ตรัสขึ้นอีกว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระเดชพระคุณมาแก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นอันมาก ควรจะคิดถึงพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ยกกรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล สนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมหมื่นบวรวิชัยชาญก็ทรงชำนิชำนาญการต่างๆ ซึ่งได้ทรงศึกษามาตามแบบอย่างพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จะได้ทรงปกครองพวกข้าไทยฝ่ายพระราชวังบวรและคงจะเป็นความยินดีของพวกวังหน้าด้วย

เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ถามที่ประชุมเรียงไปดังแต่ก่อน โดยมากรับว่า "สมควร" หรืออนุมัติโดยอาการไม่คัดค้าน แต่กรมขุนวรจักรฯ ตรัสขึ้นว่า "ผู้ที่จะเป็นตำแหน่งพระราชโองการมีอยู่แล้ว ตำแหน่งพระมหาอุปราชควรแล้วแต่พระราชโองการจะทรงตั้ง เห็นมิใช่กิจของที่ประชุม ที่จะเลือกพระมหาอุปราช" เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ซักไซ้กรมขุนวรจักรฯ ว่าเหตุใดจึงขัดขวาง กรมขุนวรจักรฯ ทรงชี้แจงต่อไปว่า เห็นราชประเพณีที่เคยมีมาแต่ก่อน ครั้งรัชกาลที่ ๑ เมื่อพระบาทสมเด็จฯพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จปราบดาภิเษก ก็ทรงตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราชเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทรงตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราชเป็นกรมพระวังบวร ถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงตั้งกรมหมื่นศักดิพลเสพเป็นกรมพระราชวังบวร มาในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราชเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เห็นเคยทรงตั้งมาทุกรัชกาล จึงเห็นว่ามิใช่หน้าที่ของที่ประชุมจะเลือกพระมหาอุปราช เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ขัดเคือง ว่ากล่าวกรมขุนวรจักรฯ ต่างๆ กรมขุนวรจักรฯ จึงตอบว่า "ถ้าจะให้ยอมก็ต้องยอม" การก็เป็นตกลง เป็นอันที่ประชุมเห็นสมควรที่กรมหมื่นบวรวิชัยชาญจะเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงอาราธนาให้พระสงฆ์สวดชยันโต และอติเรกอีกครั้งหนึ่ง


กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ

เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์กล่าวในที่ประชุมต่อไปว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมขุนบำราบปรปักษ์ ทรงพระสติปัญญารอบรู้ราชการแผ่นดิน ด้วยได้เคยทำราชการในกรมวังมาช้านานถึง ๒ แผ่นดิน ขอให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์สำเร็จราชการกรมพระคลังมหาสมบัติและคลังต่างๆ และสำเร็จราชการในราชสำนัก เป็นผู้อุปถัมภ์ในส่วนพระองค์พระเจ้าแผ่นดินด้วย ที่ประชุมก็เห็นชอบพร้อมกัน เป็นเสร็จการประชุมเวลาราว ๗ ทุ่มเศษ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ จึงให้อาลักษณ์จดคำปรึกษา แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ(๑๘) ดังนี้

ศรีศุภมัสดุ พระพุทธศักราชอดีตกาล ชมัยสหัสสวัจฉร จตุสตาธฤกเอกาทศสังวัจฉร ปัตยุบันกาล มังกรสังวัจฉร อัสยุชมาศศุกรปักษ์ บรรณสิตยฤถีคุรุวาร บริเฉทอุสฤกฐ เวลา ๔ ทุ่มทุติยบาท

กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ พระราชาคณะ พระวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อย ปรึกษาพร้อมกัน กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ พระสาสนโสภณ พระอมรโมลี พระราชาคณะคามวาสีและอรัญวาสี กับพระครูฐานานุกรมเปรียญฝ่ายข้างพุทธจักร และฝ่ายข้างพระราชอาณาจักร กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร์ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท กรมหมื่นถาวรวรยศ กรมหมื่นวรศักดาพิศาล กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ เจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์ กรมหมื่นภูมินทรภักดี กรมหมื่นอดุลลักษณ์สมบัติ กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย กรมหมื่นภูวนัยนฤเบนทราธิบาล กรมหมื่นอักษรสารโสภณ กรมหมื่นเจริญผลพูลสวัสดิ์ กรมหมื่นอนันตกาลฤทธิ์ กรมหมื่นสิทธิสุขุมการ พระราชวงศานุวงศ์ผู้น้อยที่ยังไม่ได้กรม กับข้าทูลละอองธุลีพระบาท ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม ท่านเจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายก พระยามหาอำมาตย พระยาราชภักดี พระยาศรีพิพัฒน์ พระยาเพ็ชรพิชัย พระยาสีหราชเดโช พระยาสีหราชฤทธิไกร พระยาราชวรานุกูล พระยาเทพประชุม พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยาอนุชิตชาญชัย พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ พระยาบุรุษตนราชพัลลภ พระยาศรีเสาวราช ท่านเจ้าพระยามุขมนตรี พระยาราชมณเฑียรบาล พระยาเสนาภูเบศร์ พระยาศิริไอศวรรย์ พระยาสุรินทรราชเสนี และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารและพลเรือน ทั้งพระพุทธจักรและพระราชอาณาจักรประชุมในพระที่นั่งอนันตสมาคม ปรึกษาพร้อมกันว่า พระบาทสมเด็จพระบรมนาถบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่สวรรคตแล้ว และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ ทรงกอรปด้วยวัยวุฒิปรีชาญาณสุรภาพ และทรงพระสติปัญญาพระเมตตามหาปรมอันประเสริฐ สามารถเป็นบรมศาสนูปถัมภกพระพุทธศาสนา สมควรที่จะดำรงราชสมบัติ ปกป้องพระมหานครขอบขัณฑเสมา สมณพราหมณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข ได้ด้วยพระบุญญฤทธิมหาบารมีอันส่ำสมมา จะหาผู้ใดเสมอมิได้ จึงกราบทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ ขึ้นผ่านพิภพมไหศวรรยาธิบัติถวัลยราชประเพณี สืบศรีสุริยสันตติวงศ์ ดำรงพิภพมณฑลสกลกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์มหินทราโยธยา มหาดิลกภพนพรัตนราษี มหานครบวรราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศนมหาสถาน อันอำพลด้วยสามนตประเทศ นานามหาไพบูลย์พิศาลราชเจ้าสีมาอาณาเขตมณฑลทั้งปวง โดยบูรพประเพณีพระมหากระษัตราธิราชเจ้าสืบๆมา


ในกลางคืนวันนั้น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สั่งให้ตั้งกองล้อมวงที่วังใหม่ เหนือพระราชวังบวร อันเป็นที่ประทับกรมหมื่นบวรวิชัยชาญอีกแห่งหนึ่ง(๑๙) และสั่งให้เชิญเสด็จพระองค์เจ้าเณรคัคณางยุคลกับพระองค์เจ้าเณรทวีถวัลยลาภลาผนวช เพื่อจะได้ประคองพระโกศพระบรมศพในกระบวนแห่เมื่อวันรุ่งขึ้น(๒๐)

ณ วันศุกร์ เดือน ๑๑แรมค่ำ ๑ เจ้าพนักงานจัดเตรียมการสรงสักการพระบรมศพ และเตรียมกระบวนแห่และที่ประดิษฐานพระบรมศพพร้อมเสร็จ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยประชุมพร้อมกัน ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมแต่เวลาเช้า เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงให้พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ไปเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ ที่พระตำหนักสวนกุหลาบ(๒๑) ในเวลานั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระกำลังยังอ่อนเพลียมาก ด้วยทรงพระประชวรมากว่าเดือน และซ้ำประสบทรงโศกศัลย์แรงกล้า ไม่สามารถจะทรงพระราชดำเนินได้ ต้องเชิญเสด็จทรงพระเก้าอี้หามขึ้นไปจนในพระที่นั่งภานุมาศจำรูญที่สรงพระบรมศพ


สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ (ทรงฉายเมื่อพระชันษา ๑๖ พรรษา)

พอทอดพระเนตรเห็นพระบรมศพสมเด็จพระบรมชนกนาถ ได้แต่ยกพระหัตถ์ขึ้นถวายบังคมเท่านั้นแล้วก็ทรงสลบนิ่งแน่ไป เจ้านายผู้ใหญ่ซึ่งเสด็จอยู่ที่นั่นกับหมอที่ตามเสด็จกำกับเข้าไป ช่วยกันแก้ไขพอฟื้นคืนได้สมประฤดี แต่พระกำลังอ่อนนัก ไม่สามารถจะเคลื่อนพระองค์ลงจากพระเก้าอี้ได้ จึงมีรับสั่งขอให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์ ถวายน้ำสรงทรงเครื่องพระบรมศพแทนพระองค์ เจ้านายผู้ใหญ่เห็นว่าจะให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่นั้นต่อไป เกรงพระอาการประชวรจะกลับกำเริบขึ้น จึงสั่งให้เชิญเสด็จกลับมายังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งได้จัดห้องในพระฉากข้างด้านตะวันออกไว้เป็นที่ประทับระหว่างเวลา กว่าจะได้ทำการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียร(๒๒)

ทางโน้นเจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์สรงน้ำทรงเครื่องพระบรมศพแล้วเชิญลงพระลองเงิน แห่พระบรมศพเป็นกระบวนมาออกประตูสนามราชกิจ เชิญพระโกศขึ้นตั้งบนพระยานุมาศสามลำคาน ประกอบพระโกศทองใหญ่ มีพระมหาเศวตฉัตรกั้น แห่กระบวนใหญ่ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เชิญพระโกศพระบรมศพขึ้นประดิษฐานเหนือชั้นแว่นฟ้าทองคำในพระมหาปราสาทมุขด้านตะวันตก ตั้งเครื่องสูง เครื่องราชูปโภค ตั้งเตียงพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม ๒ เตียง และมีนางร้องไห้ มีเครื่องประโคมตามอย่างพระบรมศพแต่ก่อน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จไปถวายบังคมพระบรมศพ และบำเพ็ญพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณด้วยประการต่างๆทุกวัน

เมื่อจัดการพระบรมศพแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งฝ่ายนอกฝ่ายใน ก็ถือน้ำกระทำสัจถวายในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ ณ วันศุกร์ เดือน ๑๑ แรมค่ำ ๑ เป็นต้นมาจนถ้วนทั่วกัน และส่วนหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือ และเมืองประเทศราชทั้งปวงนั้น เจ้ากระทรวงมหาดไทย กลาโหม กรมท่า ที่ได้บัญชาการหัวเมือง ก็มีสารตราบอกไปให้ทราบ ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ให้บรรดาข้าราชการและราษฎรทั้งชายหญิงโกนผมฉลองพระเดชพระคุณเดือนละครั้ง ไปจนกว่าจะถวายพระเพลิงพระบรมศพ(๒๓) เว้นแต่ลูกค้าที่มาจากนานาประเทศ และผู้ซึ่งไว้เปียไว้มวยตามคติของชาติ และเด็กที่ไว้ผมจุกอย่าให้โกน และมีท้องตราประกาศไปตามหัวเมืองให้ทราบ ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถได้เสด็จผ่านพิภพ ดำรงราชสมบัติสืบสนองพระองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ บรรดาเจ้าประเทศราชและผู้ว่าราชการกรมการหัวเมืองทั้งปวง เมื่อได้ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอได้เสด็จผ่านพิภพโดยสวัสดิภาพ ต่างก็มีความสวามิภักดิ์พร้อมกันถือน้ำกระทำสัจถวายตามประเพณีทั่วทุกเมือง
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:10:54:25 น.  

 
 
 
........................................................................................................

เชิงอรรถ

(๑) หมอบรัดเลได้ตรวจพระอาการ ว่าเป็นไข้ไตฟอยต์

(๒) จดหมายเหตุเรื่องทรงประชวรนี้ ทรงใช้จดหมายเหตุสองฉบับ ของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ซึ่งเป็นจางวางมหาดเล็กขณะนั้นและเป็นผู้หนึ่งที่เฝ้าพยาบาลอยู่ข้างที่ ฉบับ ๑ และพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์แต่งขึ้นฉบับ ๑ โดยสอบข้อทรงสงสัยด้วยกราบทูลถาม พระองค์เจ้าโสมาวดี กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ ซึ่งทรงเป็นผู้อยู่ประจำรักษาพยาบาลข้างที่เป็นนิจและเป็นผู้เชิญกระแสรับสั่งออกมาข้างหน้าในเวลาทรงประชวรนั้น

(๓) อยู่ตรงสวนศิลาลัยบัดนี้ เดิมเป็นสวนที่เสด็จประพาสครั้งรัชกาลที่ ๒ (เรียกสวนขวา - กัมม์) ถึงรัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่ ทำอย่างแบบตึกฝรั่งมีชื่อพระที่นั่งหลายองค์ เรียกรวมกันว่าพระอภิเนานิเวศ ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ พระราชมณเฑียรหมู่นี้ชำรุดทรุดโทรมลง เพราะเป็นตึกมีเสาไม้เป็นโครง ไม่ผุเหลือที่จะซ่อมแซมคืนได้ดี จึงต้องรื้อเสียทั้งหมู่

(๔) พระที่นั่งอนันตสมาคมองค์แรก อยู่ตรงหลังพระที่นั่งสุทไธศวรรย์

(๕) พระประคำทองสายนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต จะพระราชทานพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าอรรณพซึ่งได้เป็นกรมหมื่นอุดมรัตนราษีในรัชกาลที่ ๔ แต่บังเอิญเจ้าพนักงานหยิบผิดสาย กรมหมื่นอุดมฯไม่ได้ไป จึงถือว่าเป็นของสิริมงคลสำหรับแต่ผู้มีบุญญาอภินิหาร

(๖) ชื่อจัน ในรัชกาลที่ ๕ เป็นพระยา เป็นบิดาพระยาอุไทยธรรม(หรุ่น วัชโรทัย)

(๗) ประเพณีการตั้งกองล้อมวงรักษาพระองค์ เจ้านายพระองค์ใดในเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประชวรหนัก เป็นการแสดงว่าเจ้านายพระองค์นั้นจะเป็นผู้รับราชสมบัติ เคยตั้งกองล้อมวงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแต่ก่อน

(๘) ชื่อฟัก รัชกาลที่ ๕ เป็นพระยา ต้นสกุล สาลักษณ์

(๙) ข้าพเจ้าเคยได้ยิน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสเล่าตรงกัน

(๑๐) พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ (วร) เป็นบุตรเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ต่อมมาในรัชกาลที่ ๕ ได้เป็นเจ้าพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ ที่สมุหพระกลาโหม เวลานั้นธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ คือ เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ เป็นอัครบริจาในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ

(๑๑) เหตุเรื่องพระเสน่หามนตรีนั้น คือ เจ้าพระยานคร(น้อยกลาง) ถึงอสัญกรรมในรัชกาลที่ ๔ พระเสน่หามนตรี(หนูพร้อม)ผู้เป็นบุตรใหญ่ อายุยังเยาว์ยังไม่ได้บวช มีผู้ซึ่งเป็นเชื้อวงศ์ของเจ้าพระยานคร(น้อย) คิดปรารถนาจะเป็นพระยานครศรีธรรมราชหลายคน แต่พระบาทสมเด็จฯพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริจะโปรดฯให้พระเสน่หามนตรีเป็นพระยานครฯ จึงยังรอการตั้งพระยานครไว้ ครั้นพระเสน่หามนตรีมีอายุครบอุปสมบท เข้ามาบวชอยู่วัดพิชัยญาติการาม เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ คืนวันหนึ่งพระเสน่หามนตรีไหว้พระอยู่ในกุฏิ มีผู้ร้ายเอาปืนยิงเข้าไปทางช่องทาง บังเอิญปืนลั่นออกเมื่อขณะพระเสน่หามนตรีกราบพระ กระสุนข้ามไปจึงไม่ถูก การไต่สวนต่อมาก็ไม่ได้ตัวผู้ร้าย พอพระเสน่หามนตรีลาสิกขาก็ทรงตั้งให้เป็นเจ้าพระยานครฯ อยู่มาจนชราได้เลื่อนเป็นพระยาสุธรรมมนตรี เมื่อในรัชกาลที่ ๕

(๑๒) เมื่อรัชกาลที่ ๔ โปรดฯให้ใช้คำนำพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พึ่งมาเปลี่ยนเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๓ และใช้คำนำพระนามเจ้านายวังหน้าว่า ราชวรวงศ์ เมื่อในรัชกาลที่ ๖

(๑๓) ด้วยเป็นสานุศิษย์ของพระบาทสมเด็จฯพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์ทรงตั้งลัทธิธรรมยุติกาแต่เดิมมา

(๑๔) คือ เจ้าพระยาภานุวงศ์ ท่านว่าท่านก็ได้อยู่ในที่ประชุม แต่ในจดหมายเหตุอาลักษณ์หาปรากฏชื่อไม่

(๑๕) เสนาบดีที่มีตัวอยู่แต่มิได้ปรากฏว่าได้อยู่ในที่ประชุม ๓ คน คือ เจ้าพระยายมราช(แก้ว สิงหเสนี) เห็นจะป่วย เจ้าพระยาธรรมา(บุณศรี ต้นสกุลบุรณศิริ) เจ้าพระยาพลเทพ(หลง) ชราทุพลภาพทั้ง ๒ คน

(๑๖) ประเพณีถวายอติเรกนั้น แต่เดิมพระเจ้าแผ่นดินยังไม่ได้ราชาภิเษกก็ถวายได้ แต่พระบาทสมเด็จฯพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบัญญัติว่า ควรจะถวายต่อเมื่อสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้ราชาภิเษกแล้ว ยังเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้ การที่ถวายอติเรกในที่ประชุมครั้งนั้นกลับไปใช้ประเพณีเดิม

(๑๗) คือ เมื่อพระชันษาครบ ๒๐ ในปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖

(๑๘) คำปรึกษานี้ได้มาแต่กรมราชเลขาธิการ และการที่เขียนคำปรึกษาขึ้นทูลเกล้าฯถวายเช่นนี้ ทำตามเยี่ยงอย่างครั้งรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔

(๑๙) วังใหม่ที่กล่าวนี้ อยู่ริมคลองโรงไหมฝั่งเหนือ ตรงที่สร้างโรงพยาบาลทหารบกบัดนี้

(๒๐) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจำนงจะให้พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจตุรนตรัศมี กับเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ประคองพระโกศพระบรมศพ ได้ดำรัสสั่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ แต่วันแรกทรงประชวร ผู้อื่นหาได้ทราบพระราชประสงค์ไม่ แต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมาประชวรเสียด้วยตลอดมา การเรื่องนี้จึงมิได้เป็นไปตามพระราชประสงค์ ในเวลานั้นพระเจ้าลูกเธอที่โสกันต์แล้ว ทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่ทั้ง ๗ พระองค์ ที่เลือก ๒ พระองค์นั้น เพราะพระองค์เจ้าคัคณางคยุคล(คือกรมหลวงพิชิตปรีชากร) เป็นหลานยกของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สมุหพระกลาโหม พระองค์เจ้าทวีถวัลยลาภ(คือกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์) เป็นหลานตัวเจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายก

(๒๑) การที่ให้พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ไปเชิญเสด็จนั้น ทำตามแบบอย่างครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านพิภพ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เวลานั้นเป็นเจ้าพระยาพระคลังหัวหน้าข้าราชการทั้งปวง ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ซึ่งเป็นบุตร เวลานั้นเป็นจมื่นราชามาตย์ไปเชิญเสด็จที่วัดบวรนิเวศ

(๒๒) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เวลาก่อนทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ก็ประทับที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเหมือนกัน แต่เมื่อในรัชกาลที่ ๕ เวลาระหว่างเฉลิมพระราชมณเฑียรถึงเดือนครึ่ง จึงปลูกพลับพลาถวายเป็นที่ประทับที่โรงพระแสงใน เพื่อให้ทรงสำราญกว่าประทับที่ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

(๒๓) ประเพณีที่บริวารชนของผู้มรณะโกนหัว โปรดให้เลิกในรัชกาลที่ ๕

...............................................................................................................................................


คัดจากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕
พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:10:56:05 น.  

 
 
 
สวัสดีครับ คุณโสดในซอย
แอบไปลงดูที่บล็อกแล้ว สรุปว่าผมเข้าขั้นบ้าครับ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมครับ

Comment 1

มีประโยชน์มาก ๆ เลยค่ะ
เป็นความรู้ที่ดีมาก
ขออนุญาติเซฟไว้
ให้หลาน ๆ ที่กำลังเรียน
ได้ศึกษาด้วยนะคะ

โดย: โสดในซอย วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:9:17:40 น.


สวัสดีครับ คุณ กิ๊ฟ
รู้จักน้องข้ามฟ้าตั้งแต่อยู๋ในท้อง
ตอนนี้ ๓ เดือนแล้วหรือครับ
ขอให้สุขภาพแข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูกนะครับ

Comment 2

กิ๊ฟแวะมาอ่านค่ะ แต่ยังอ่านไม่หมดเลย แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่อีกนะคะ

โดย: grippini วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:10:09:42 น.



ผมต้องขออภัยอย่างสูงนะครับ
เนื่องจากไม่ได้แจ้งให้ทราบว่า Blogpage ยังไม่จบเรื่อง
เนื่องจากพระนิพนธ์เรื่องนี้ค่อนข้างยาว จึงทำให้เพื่อนๆเข้าใจผิด
ผมขออนุญาตคัดลอก Comment ของเพื่อนๆ ทั้งสองท่านมาไว้ที่นี่นะครับ
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:11:12:11 น.  

 
 
 
สวัสดีค่ะ เข้ามาอ่าน ได้ความรู้เยอะเลย

ขอบคุณค่ะ
 
 

โดย: รักดี วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:11:35:06 น.  

 
 
 
ขอขอบพระคุณเพื่อนทุกคน ที่เอื้อเฟื้อส่งรูปมาให้ประกอบบล็อก
ที่มาของรูป ข้อทักท้วงต่างๆ และน้ำใจไมตรีของทุกคนอยู่ที่นี่ครับ
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนเสวยราชย์
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:12:38:45 น.  

 
 
 
สวัสดีครับคุณ รักดี
เจ้าของบล็อกธรรมะที่เข้าใจได้ง่ายๆ
การสาธยายธรรม เป็นกุศลอย่างยิ่ง
ขอบคุณเช่นกันครับ ที่แวะมาเยี่ยมเยือน
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:13:05:27 น.  

 
 
 
ขอแอดเป็นแฟนคลับคุณกัมม์นะค๊ะ...ขอบคุณค่ะ
 
 

โดย: Bigmommy วันที่: 1 พฤศจิกายน 2550 เวลา:4:37:15 น.  

 
 
 
สวัสดีครับ
เรียนเชิญทุกท่านไปดูลุงหนวดปราบ Bigmommy ด้วยกันครับ
บล็อกน่ารัก เพลงน่ารัก กับเรื่องราวน่ารักๆ "นินทา...นังลุงหนวด"

ตามไป AddBlog คืนมาแล้ว
ฝากเล่าเรื่องไทยๆ ให้ลุงหนวดฟังด้วยนะครับ
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:44:41 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com