|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
พระจอมเกล้า - พระจอมปราชญ์ ตอนที่ ๕ ปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช มีรเหตุการณ์สำคัญๆ หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องหนึ่งคือหม่อมไกรสรต้องโทษประหาร ซึ่งเกิดเป็นกระทู้ในพันทิปหลายครั้งมาแล้ว เรื่องนี้ในกระทู้นี้จะแสดงความตามหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์
เหตุการณ์ที่สำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองอีกเรื่อง เป็นเรื่องราชทูตฝรั่งเข้ามาขอทำสัญญา ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องต่อไปถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชกรณียกิจสำคัญ ที่แสดงถึงพระสติปัญญา ปรีชาสามารถ ความสุขุมลุ่มลึกของพระองค์ท่านในการแก้ไขปัญหาอย่างละมุ่มละม่อม สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือเรื่อง "ความทรงจำ" ในตอนนี้ว่า
".... เมื่อเขียนถึงตรงนี้นึกขึ้นถึงคำราชทูตฝรั่งคนหนึ่งซึ่งเอาใจใส่ศึกษาพงศาวดารประเทศทางตะวันออกนี้ เคยแสดงความเห็นแก่ฉันว่า สังเกตตามเรื่องที่ฝรั่งมาทำหนังสือสัญญาเมื่อรัชกาลที่ ๔ นั้น เมืองไทยใกล้จะเป็นอันตรายมากที่เดียว ถ้าหากไม่ได้อาศัยพระสติปัญญาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไข ประเทศสยามก็อาจจะไม่เป็นอิสระสืบมาได้ คำที่เขาว่านี้พิเคราะห์ในพงศาวดารก็สมจริง ในชั้นนั้นมีประเทศที่เป็นอิสระอยู่ทางตะวันออกนี้ ๕ ประเทศด้วยกันคือ พม่า ไทย ญวน จีน และญี่ปุ่น นอกจากเมืองไทยแล้ว ต้องยอมทำหนังสือสัญญาด้วยถูกฝรั่งเอากำลังบังคับทั้งนั้น ที่เป็นประเทศเล็กเช่นพม่าและญวนก็เลยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเมื่อปลายมือ ที่เป็นประเทศใหญ่หลวง เช่นเมืองจีนก็จลาจลและลำบากยากเข็ญสืบมาจนทุกวันนี้ กลับเอาตัวรอดได้แต่ประเทศญี่ปุ่นเพราะเขามีคนดีมากและมีทุนมากด้วย ถึงกระนั้นก็ต้องรบราฆ่าฟันกันเองแล้วจึงตั้งตัวได้ มีประเทศสยามประเทศเดีวที่ได้ทำหนังสือสัญญากับฝรั่งโดยฐานมิตร และบ้านเมืองมิได้เกิดจลาจลเพราะทำหนังสือสัญญา ...."
....................................................................................................................................................................................
ถึงปีวอกสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๑๐ พุทธศักราช ๒๓๙๑ เป็นปีที่ ๒๕ ในรัชกาลนี้ ครั้นมาถึงเดือนอ้าย พระยาธนูจักรรามัญทำฎีกาทูลเกล้าฯ ถวาย กล่าวโทษกรมหลวงรักษรณเรศว่า ชำระความไม่ยุติธรรม กดขี่บุตรชายว่าเป็นผู้ร้ายย่องเบาลักเอาเงินทองสมิงพิทักษ์เทวาไป สมิงพิทักษ์เทวาเป็นโจทก์ จึ่งโปรดให้ประชุมเสนาบดีชำระความใหม่ ก็ได้ความจริงว่าบุตรพระยาธนูจักรมิได้เป็นผู้ร้าย ผู้ร้ายนั้นคือบุตรเขยของสมิงพิทักษฺเทวาเอง ทรงขัดเคืองกรมหลวงรักษรณเรศเป็นอันมาก ตรัสบริภาษว่า ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงให้เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หวังจะให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยปฏิบัติราชกิจการต่างพระเนตรพระกรรณ ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในยุติธรรมกดขี่หักหาญถ้อยความให้วิปริตผิดๆ เช่นนี้คงหลายเรื่องหลายคราวมาแล้ว ก็เพราะด้วยอ้ายพวกละครชักพาให้เสียคน
จึงโปรดฯ เกล้าให้ตุลาการค้นหาความอื่นขึ้นมาชำระอีกต่อไป ได้ความว่า กรมหลวงรักษรณเรศชำระความของราษฎรมิได้เป็นยุติธรรมสมกับที่ไว้วางพระราชหฤทัย ด้วยพวกละครและข้าในกรมรับสินทั้งฝ่ายโจทย์ฝ่ายจำเลย แล้วหักความเอาชนะจงได้ ในกรมเองก็เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ลอยกระทงก็ขึ้นไปลอยถึงกรุงเก่าบ้าง เมืองนครเขื่อนขันธ์บ้าง ทำเลียนธรรมเนียมในหลวงทรงลอย พวกละครก็ให้ห่มแพรสีทับทิมใส่แหวนเพชรเลียนหม่อมห้าม อีกทั้งเกลี้ยกล่อมขุนนางและกองรามัญไว้เป็นพวกพ้องก็มาก ผู้ใดไม่มาเข้าฝากตัวก็พยาบาทเคียดแค้น ตั้งแต่ริเล่นละคร ก็ไม่ได้บรรทมข้างใน อยู่แต่ที่เก๋งข้างท้องพระโรงด้วยพวกละคร จึงรับสั่งให้เอาพวกละครมาแยกกันไต่ถามค้นความ ก็ได้ความสมพ้องว่าได้เป็นสวาทไม่ถึงชำเรา แต่เอามือคนละครและพระหัตถ์ท่านกำคุยหฐานด้วยกันทั้งสองฝ่าย ให้สำเร็จภาวะธาตุเคลื่อนพร้อมกัน เท่านั้น
แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ตุลาการถามกรมหลวง ว่าเป็นทรงชุบเลี้ยงเจ้าใหญ่นายโตถึงเพียงนี้ เล่นการเช่นนี้สมควรอยู่หรือ กรมหลวงรักษรณเรศให้การว่า การที่ไม่อยู่กับลูกเมียนั้นหาเกี่ยวข้องแก่การแผ่นดินไม่ ตุลการถามอีกข้อ ๑ ว่า ที่เกลี้ยกล่อมเจ้านายขุนนางไว้เป็นพรรคพวกมากนั้นจะคิดกบฏหรือ กรมหลวงรักษรณเรศให้การว่าไม่ได้คิกกบฏ จึงถามต่อไปว่า ถ้าไม่ได้คิดกบฏก็แล้วเกลี้ยกล่อมหาพรรคพวกไว้เหตุใด กรมหลวงรักษรณเรศจึงตอบว่า คิดอยู่ว่าถ้าสิ้นแผ่นดินไปแล้ว ก็จะไม่ยอมเป็นข้าของใคร ตุลาการถามอีกข้อ ๑ ว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วจะเอาเจ้านายพระองค์ใดเป็นวังหน้า กรมหลวงรักษรณเรศให้การว่าคิดอยู่ว่าจะเอากรมขุนพิพิธภูเบนทร์ จึงจดคำถามตุลาการแลคำให้การของกรมหลวงรักษรณเรศขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงวินิจฉัยต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริปรึกษาด้วยพระราชวงศานุวงศ์เสนาบดีว่า กรมหลวงรักษรณเรศมีความผิดหลายอย่าง ทั้งบังเอาเงินเบี้ยหวัดและเงินวัดพระพุทธบาทปีหนึ่งหลายสิบชั่งไปเป็นอาณาประโยชน์ ครั้นจะเลี้ยงไว้ต่อไปก็ไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เห็นควรอย่างไรดี พระราชวงศานุวงศ์และเสนาบดีกราบทูลว่า แม้จะไม่เอาโทษปล่อยไปเสีย ด้วยจะชุบเลี้ยงไว้ต่อไปก็ไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เหมือนตีอสรพิษให้หลังหักระแวดระวังยาก
ถึงวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๓ ค่ำ ปีวอกสัมฤทธิศกนั้น โปรดเกล้าฯ ให้ตุลาการทำกระทู้ซักถามกรมหลวงรักษรณเรศว่า ที่ตัวได้เป็นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ยิ่งกว่าเจ้านายทุกๆ พระองค์ จึงได้คิดกำเริบใจขึ้น แต่ก่อนนั้นยังกำเริบน้อยๆ เดี๋ยวนี้มากขึ้นๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ได้ ๒๕ ปีแล้ว บัดนี้ก็ปรารถนาถึงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ให้ตัวระลึกถึงความหลังดู แต่ก่อนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้และกรมหมื่นสุรินทรรักษ์กับตัวก็ได้ทำราชการมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ สมเด็จพระบรมชนกนาถ จนถูกหนังสือทิ้งฟ้องกล่าวหามาด้วยกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้สำคัญพระราชหฤทัยว่าได้เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากกันมา ฝ่ายกรมหมื่นสุรินทรรักษ์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ยังอยู่แต่ตัว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงไว้วางพระราชหฤทัยให้ช่วยราชการแผ่นดินต่อมา ตัวประพฤติการคดๆ โกงๆ เอาสินบนในการชำระถ้อยความและตั้งขุนนาง ก็ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่บ้าง ได้ทรงเตือนสติหลายครั้งหลายคราว ว่าอย่าทำให้ราษฎรเขาติฉินนินทาหมิ่นประมาทได้ อย่าให้ชื่อชั่วช้าตราตรึงอยู่กับแผ่นดิน เหมือนตัวประพฤติการที่ไม่อยู่กับเมียดังนี้ ก็มีผู้มาพูดว่าทั้งผู้ชายผู้หญิง ข้างผู้ชายนั้นกรมขุนรามอิศเรศเป็นต้น จนกระทั่งมหาดเล็กเด็กชา ฝ่ายผู้หญิงนั้นเมียของตัวที่ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดก็มาเล่าให้ฟังออกเซ็งแซ่ ว่าตัวไม่อินังขังข้อกับลูกเมีย ไปหลงรักอ้ายคนโขนคนละคร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงทราบ จึงทรงพระราชดำริว่าจะชอบใจอย่างเจ้าปักกิ่งเตากวางรักงิ้ว จะซ่องเสพผู้ชายบ้าง ผู้หญิงบ้างกระมัง ครั้นจะทรงห้ามปรามว่ากล่าวให้รู้สึกตัวว่า กระทำดังนี้ไม่ดีไม่งามความก็จะอื้ออึงออกไป เหมือนจะแกล้งประจานให้ญาติได้รับอัปยศ แล้วทรงพระราชดำริว่า แต่ก่อนกรมหลวงเทพพลภักดิ์ก็ประพฤติไม่อยู่กับลูกเหมือนกัน สมเด็จพระบรมวงศาธิราชซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในราชวงศ์ก็ทรงทราบทุกพระองค์ ก็หาได้ว่ากล่าวกรมหลวงเทพพลภักดิ์ประการใดไม่ คราวนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมิได้เอาพระราชหฤทัยเป็นธุระ ด้วยสำคัญว่าเขาประพฤติให้เหมือนพี่ชาย เป็นพืชพันธุ์ลูกอียายเดนเกือก เป็นคนอุบาทว์บ้านอุบาทว์เมือง แล้วมิหนำซ้ำกระทำให้แผ่นดินเดือดร้อนไปทุกเส้นหญ้าใบไม้ ด้วยโลภเจตนา ให้ขายใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระเดชพระคุณเป็นล้นพ้นของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง ทั้งขายหน้าข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย สมณชีพราหมณ์ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ด้วยความชั่วของตัวฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไปทั่วนานาประเทศทั้งปวง หาควรไม่เลย ต่างคนต่างมีใจโกรธแค้นยิ่งนัก แล้วยังมาคิดทักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่างว่าแต่มนุษย์เขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน จึงโปรดให้ถอดเสียจากกรมหลวง ให้เรียกว่าหม่อมไกรสร ลงพระราชอาญาแล้วให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์ที่วัดปทุมคงคา ณ วันพุธเดือนอ้าย แรม ๓ ค่ำนี้ บ่าว ๓ คน กับขุนวุทธามาตย์ขุนศาลคน ๑ เป็น ๔ คนด้วยกัน เอาไปประหารชีวิตที่สำเหร่ในวันเดียวกัน
ความผิดข้อใหญ่ของหม่อมไกรสรอยู่ที่หมายจะเอาราชสมบัติ เมื่อสิ้นแผ่นดินแล้ว เมื่อพิจารณาดูก็เหมือนจะทรงป้องกันอันตรายสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณ ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่ารัชทายาทที่จะสืบราชบัลลังก์ให้แผ่นดินร่มเย็นเป็นสุขต่อไปนั้น คงมีแต่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์นั้นเท่านั้น มีเหตุหลายอย่างที่ส่อให้เห็นพระจำนงในพระราชหฤทัยจะให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณ ทรงสืบราชบัลลังก์ต่อไป เช่นโปรดฯ ให้กระบวนแห่เสด็จสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณจัดอย่างแห่เสด็จกรมพระราชวังบวรฯ เมื่อย้ายมาทรงครองวัดนิเวศฯ ดังที่กล่าวมาแล้ว และเมื่อครั้งทรงบูรณะพระปรางวัดอรุณาชวราราม พระปรางค์เดิมเป็นของโบราณสูง ๘ วา โปรดให้ก่อหุ้มขึ้นใหม่สูง ๑ เส้น ๑๓ วา ๑ ศอก ๑ คืบ ๑ นิ้ว เดิมทำเป็นยอดนภศูลตามแบบพระปรางค์ที่เคยสร้างกันมา ครั้นใกล้ถึงถึงวันฤกษ์จะยกยอดพระปรางค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้ไปยืมมงกุฎที่หล่อไว้สำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่อง ที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดบนยอดนภศูล ทรงพระราชดำริอย่างไรจึงทำเช่นนี้ หาได้ตรัสให้ใครทราบไม่ และการเอามงกุฎขึ้นต่อยอดนภศูลก็ไม่เคยมีแบบอย่างมาแต่ก่อน คนในสมัยจึงพากันสันนิษฐานว่า มีพระราชประสงค์จะให้คนทั้งหลายเห็นเป็นนิมิตว่าสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า มงกุฎ จะเป็นยอดของบ้านเมืองต่อไปข้างหน้า
ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณเมื่อทรงเสด็จมาครองวัดบวรนิเวศน์ฯ ก็ทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษต่อมิชชันนารีอเมริกัน พวกมิชชันนารีอเมริกันกับพวกบาทหลวงฝรั่งเศส แม้มีเจตนาจะมาสั่งสอนเผยแพร่คริสต์ศาสนาเหมือนกันก็ตาม แต่วิธีปฏิบัติต่างกันเป็นข้อสำคัญหลายอย่าง พวกบาทหลวงโรมันคาทอลิกวางตัวเป็น พระ พยายามบำรุงศาสนาตั้งวัด และอุปถัมภ์บำรุงการฝึกสอนผู้คนให้เข้ารีตนับถือคริสต์ศาสนาเป็นสำคัญ ส่วนพวกมิชชันนารีอเมริกันถือโปรเตสตันส์ วางตัวเป็น ครู ใช้วิธีทำให้เกิดประโยชน์ต่างๆ เช่นรักษาความเจ็บไข้และสอนวิชาความรู้อารยธรรม ให้คนทั้งหลายเลื่อมใสเสียก่อน จึงสอนศาสนาต่อไป เพราะฉะนั้นพวกมิชชันารีอเมริกันจึงเข้ากับไทยได้สะดวกกว่าพวกบาทหลวง ในครั้งนั้นมีพวกคนชั้นสูงสมัยใหม่ ปรารถนาจะศึกษาวิชาอย่างฝรั่งหลายคน เช่น พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้านวม กรมหมื่นวงศาธิราชสนิท ใคร่จะทรงศึกษาวิชาแพทย์อย่างฝรั่งพระองค์ ๑ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ใคร่จะทรงศึกษาวิชาทหารพระองค์ ๑ หลวงนายสิทธิ (ช่วง) ใคร่จะศึกษาวิชาต่อเรือกำปั่นคน ๑ ได้ศึกษาวิชาตามประสงค์ต่อพวกมิชชันนารีอเมริกัน ส่วนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณทรงคุ้นเคยกับพวกมิชชันนารีตั้งแต่เสด็จประทับอยู่วัดสมอรายแล้ว แต่ไม่ปรากฏชัดว่าได้ทรงศึกษาวิชาอันใดจากพวกมิชชันนารีในชั้นนั้น
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณทรงปรารภถึงการบ้านเมือง เมื่อ พ.ศ. ๒๒๘๕ จีนรบแพ้อังกฤษและต้องทำหนังสือสัญญายอมให้อังกฤษกับฝรั่งชาติอื่นเข้าไปมีอำนาจในเมืองจีน เวลานั้นในบ้านเมืองไทยโดยมากยังเชื่อตามคำพวกจีนที่กล่าวกันว่าที่แพ้สงครามอังกฤษเพราะไม่ทันได้เตรียมตัว รัฐบาลจีนจึงต้องยอมทำหนังสือสัญญาพอให้มีเวลาตระเตรียมที่จะสู้รบต่อไป แต่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณทรงพิเคราะห์แล้วทรงพระดำริเห็นว่าถึงคราวโลกวิสัยจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ฝรั่งจะมามีอำนาจขึ้นทางตะวันออกนี้ และประเทศอาจจะมีการเกี่ยวข้องกับฝรั่งมากยิ่งขึ้นในวันหน้า จึงเริ่มทรงศึกษาภาษาอังกฤษกับมิสเตอร์ แคสเวลมิชชันนารีอเมริกัน หรือที่คนไทยในสมัยนั้นเรียกท่านว่า หมอหัศกัน มิสเตอร์แคสเวลไม่ยอมรับค่าจ้าง แต่ทูลขอโอกาสให้สอนคริสต์ศาสนาได้ที่วัดบวรนิเวศน์ฯ เป็นทำนองท้าพิสูจน์ความศรัทธาของพุทธบริษัทวัดบวรนิเวศน์ฯ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณก็ประทานอนุญาตให้สอนได้ตามประสงค์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณทรงศึกษาภาษาอังกฤษกับมิสเตอร์แคสเวล จนทรงสามารถจะอ่านเขียนและตรัสเป็นภาษาอังกฤษได้ดียิ่งกว่าใครๆ ที่เป็นชาวไทยด้วยกันในสมัยนั้น
การที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณทรงศึกษาภาษาอังกฤษในครั้งนั้น ทำให้ฝรั่งชาวต่างชาติเข้าใจว่าพระองค์ทรงเลื่อมใสในการฝรั่งไปด้วย ถึงกับชักชวนพระองค์ให้ทรงเข้ารีตนับถือคริสต์ศาสนา ดังปรากฏในหนังสือจดหมายโต้ตอบที่พระองค์ทรงมีไปถึงพระสหาย เป็นเค้าความดังนี้
Dated a place of sea surface 130 261 N. latitude And 1010 31 E. longitude in Gulf of Siam 18th November Anbo Christi 1849 In touring or voyage of the undersigned
To Mr. & Ms Eddy of New York, Unite States Sri & Madam
I have the honour to acknowledge the cheerfully receipt of your kind letter which was finest manuscript of the latter or lady, dated Waterford Sar Co. state of New York October 6th 1848 from the hand of my & your friend Doctor S.R. House on the 19th June inst, in which time there was the most awful & dangerious fatal disease of Cholera or Jala sandy just visiting our country & abating our people of Bangkok during four weeks or one month commencing 16th & 17th June inst.
For this consequence of the distress I beg to confess myself that I could do no attention to reply your address and farther forgot until the present date completely four months ago. Now I am however in my happy voyage to deliver my letters & some presents suitable to be forwarded for my foreign friends on board exporting ship ready to be sailing away from the anchor place of our Gulf, I just saw your letter remaining in my writing box from which your letter has led me in recollection to write you here myself very soon without hesitation.
I observed certainly by your letters content of this date that my second letter accompanied some triffing articles of this country (I had sent to be presented to you for showing of foolish manufacture of our poor & ignorant people according to direction of my friend Dr. S.R.House) committed on board ship bounding to Canton to be forwarded to America via China where we hear that the vessels of America are frequently visiting, was not yet reached your hand, as it (my second letter together some presents) was just put away on June or July ultimo, before your letters date about three months, and I trust you would write me again on its receipt.
Allow me to say truly without any near case of falsehood or anigma1 &c. as the truth is most important subject of all religion in the world, though many sinners whoever are thinking themselves to be skilful, think it (the truth) that useless some time, yet it is indeed the highest head of holy morality. Therefore I beg to say truly what in my mind. Your letters content is generally regarding the surpriseble & admirable qualities & conducts of Missrs Mattoon & S.R.House for introduction to astonishment of my mind which may be fore way to be easily converted to Christianity. But such the words were much more said & related here by every one of Missionaries many while so that it is now very common, as the Siamese people did know certainly that such influence of opparation of the Christian countrymen was just occurred by the ways by which they accustomed to introduce this Christianity to savage & barburious countries very easily according to the late system of Columbus &c then this Missionaries who were learned of such knowledges of religion having no situation for their life by their knowledges in their mother country as there were many most preachers & teacher of the same system got their rooms in churches of all Christian countries so that the progresses of search their lives support by gethering money from gentle & induligent2 Pious people in hands of their employers who let the people be glad to pay for spreaching of their most respected religion to other country which they think very benighted. But the wiseman like myself and other learned have had know that this religion of Christ was but ancient superstition of the Jew who were near of Barburious, but it war introduced to Europe before these lights of undoubtable knowledge of wonderful sciences were shoned there on, so that it was the verneetical3 system of Europians until the present days. We communicate whit English and American friend for knowledge of sciences & arts, not for any least admiration or astonishment of vulgar religion as we know that there are very plenty of the men of knowledge who were learned & profissers of various sciences Astronomy Geography Grammartical navigation &cc. abusing & refusing all content of Bible & stated that they do not believe at all. Be not trouble for such introductory writing, if I would believe such system I would be converted to Christianity very long are before you have heard my name perhaps. Besides the conversation concerning religion, it will be your displeasure for more word. My many Christian friends generally think that I communicating with Eurian4 & American friends for being wonderful for their all conducts every ways for this evidence they think that they may introduce me to their religion every easier that other rather that if I were converted to it then afterward many more of noblemen & people of this country might be converted & introduced to Christianity very soon & easily as I am hight priest of Buddhist & conductor of this nation to the system of the action of merits for eternal happiness. The people might follow me like in the account of Sandawed Island &c. Such vulgar desire of those my friends was for they accustomed to do to the savage & Barburious nation like those occanican of Sandawed Island &c. But our country is not like those nation as here were longly some knowledges of morality & civility bearing legible wonderful accurate system & believable consequences more admirable than the same Jewish system though this was corrupted & mixed with most reproveable superstitions of Brahmines & forest &cc.
I beg to say truly that I was thankful to you much for you wish my happiness both internal & eternal.5 So that you wrote all your mind that the undoubtable way saving the lives of all creatures to eternal happiness. But I not receive you such advice as my faith is but that the moreality & virtues of action & mind which were subjects of all religions of whole world is to be proper course for obtain eternal happiness. What is the Christ who was appeared to us not more than an extraordinary person in whom the wonder of the same superstitious ignorant people had placed on the same period & respected foolishly by other nation from the shilly presumption which carried in due course. I beg to return only man thouson thank to you for your kindness & mercy upon me even for my for my eternal life.
Here are many gentlemen who formerly believed in the cosmogony & cosmography according to Brahmanical work which the old ancient Buddhist authors of book have adopted to their system without hesitation. They took contrary contest with many subjects of Europian or enlightened Geography astronomy Horology navigation chemistry &c. On their first hearing or receipt. They thought that such the system & knoeledges were but the inflences of imagination of heathen or propounded subject from the Christ and his disciples. Afterward they have examined accurately & exemplified with many reason, arguments & circumstands. Now the skilful gentlemen & wise men of our country generally believed all foresaid sciences & pleased with them much so that a few of them including myself endevoured to study language of English proposing the knowledge of reading & perusing their book of scientific action or arts to be immated6 & introduce to our country whatever would come under their power. But no one of such learned personages is doubting that lest Christianity might be best system or religion or lest Jesus might be genueut7 or real son of God or saviour of liar to the same ignorant nation where he has met with his borth. His prediction from the words of profets &c. All in disbelieve of these wisemen. Be not trouble to lead us in such system, we have heard most words of here missionaries both old & modern saying in various ways the Bible and it various Elements or commentaries are accustomed to read much. I beg to say but the importance which may be useful between you & me.
I am sorry to say that I could not get opportunity to be out of our kindom owing to the reprovable custom & police8 of our country which were enacted by our Goverments both ancient & Modern who were deeped in most profound darkness of ignorant pleasures & desires from which we think we will not be able to lead them out during their life & our time. On hearing of your desire that I may pay visit New York &c. I was most sorry for I know the opportunity would not be to me during my life for arrival the same with my body. The exact description of New York I have read in some books & heard frequently from mouth of my teacher and friend so that I was desirious long are to visit, my whealth or property is as much as enough or sufficient for let me meet9 all countries of the Europes America but how shall I do to our governments but I am glad that my manuscript has some time opportunity to visit the same state.
I was very glad to hear that you power to do many branches of businesses. I beg therefore to offer myself to you to be your true friend as I am longly desirious of obtaining some extraordinary faithful and grateful person of your country to be my agent, to whom I might order some needable articles to be shipped from America to Siam & I should do to him in such a way or case but have no one before now I am glad to have yourself to be my agent.
I have heard from my agents of Singapore who stated to me that at least 30 ships of America visit the same port. But I am sorry that the American vessels do not visit Siam sometime. Therefore I beg to ask you for my a single purpose. I desire to have one Lithographic press (instrument of printing on stone) with all its compliment10 or implement. Will you please to obtain for me one from your country? Please write me soon by overland let me know how much prices would required for it if less that $200 Dollars then I must request or solicite you to advance for me & take it & put in certain ship which you know that would be bounded to Singapore and you write information to me with the values of articles. Than I will return my order to me agent of Singapore to wait upon the same ship of America & accept the same & pay the prices immediately as soon as the ship would sail away safely without any delay or detain for money. Will you please to comfort me in China where American ships visit continually I cannot pay for things that were said but the names that were lost by piraters of China as I know that all ships have the securities or assurints who might pay for lost at ocean wherefore do not send me articles which I order you by hand of Missionaries or other who would land on China or Chinese shore as I know that there are many more piraters who spoil foreign vessels very often but in Singapore there will be not any calamity for protection of English government & I have faithful agents thereon too wherefore I wish you to send me ordered things to the same port. I beg to denote the names of my care your letters for me or deliver your articles to be present or sell to me per ship visiting the same port.
My Chinese agent of Singapore named thus Tan Tock Sing Esquire or kongsee.
My English agent named thus Messrs. Hamilton & Grey & Co. Singapore.
Please write answer to me for this me reqest as very soon as possible. I am earnestly desirious of obtaining the Lithograghic press which have heard that is cheaper than that of England.
Be not sorry or angry to me for the foresaid religious subject, I said so for I am uwilling your thouble in your endevvouring which would be not furnished at all. Please pardon me for those words if they displeased you, but be graceful11 to me as I am native of poor country and be glad for my kindness & respect to you who offer your infriendship upon me firstly by sending me the printing Ink.
Remember me your friend have the honour to be your agent here if some things which lies in my power may required
Prince T.Y. Chaufa Mongkut The High priest & head of the church named Wat Pawaraniwes in Bangkok modern capital of Siam
P.S. Please read carefully and overlook all mistaken in writing as I was most hurried in my manuscripts in this letter T.Y.M.
.
1 enigma 2 indulgent 3 veneratical เห็นจะหมายความว่า system of Veneration 4 Europian 5 external 6 intimated 7 genuine 8 policy 9 visit 10 complement 11 graceful ในที่นี้หมายความว่า indulgent
มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ให้คำแปลพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ ดังนี้
แห่งหนึ่งในทเล ๑๓-๒๖- แล๊ดติจู๊ดเหนือ แล ๑๐๑-๓- ลองติจุ๊ดตะวันออก ในอ่าวสยาม วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๔๙ (พ.ศ. ๒๓๙๒) ในระหว่างเที่ยวหรือเดินทางของผู้เซ็นนามข้างท้าย
จดหมายมายัง มิสเตอร์แลมิสซิซ เอ๊ดดี แห่งนิยอร์ก ยูไนเตตเสตต ให้ทราบ
ข้าพเจ้ามีเกียรติได้รับโดยปิติซึ่งจดหมายกอปรด้วยเมตตาของท่าน เป็นลายมืองามที่สุดของมิสซิซเอ๊ดดี เขียนที่เมืองวอร์เตอฟอร์ด ซาร์.โค. เสตตแห่งนิวยอร์ก เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๔๘ (พ.ศ. ๒๓๙๑) จดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากมือมิตรของท่านแลของข้าพเจ้า ดอกเตอร์ เอส.อาร์.เฮาส์. เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ปีนี้ ในขณะที่กำลังเกิดอหิวาตกโรค หรือ ชลสันดี1อย่างร้ายแรง ซึ่งพึ่งจะมาเยี่ยมประเทศเรา แลลดจำนวนราษฎรในกรุงเทพฯ ลงไปภายใน ๔ อาทิตย์หรือ ๑ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑๖ แลที่ ๑๗ เดือนมิถุนายนปีนี้
เพราะความเดือดร้อนนั้นเป็นเหตุ ข้าพเจ้าจึงต้องขอสารภาพว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถเขียนหนังสือตอบจดหมายท่านได้ แลซ้ำลืมมาจนวันนี้ รวมเวลา ๔ เดือนบริบูรณ์ แต่ในบัดนี้ข้าพเจ้ากำลังอยู่ในการเดินทางอย่างสุขสบาย เพื่อจะพาจดหมายของให้ซึ่งเหมาะสมแก่การที่จะส่งไปให้มิตรชาวต่างประเทศของข้าพเจ้าไปฝากเรือซึ่งจะพาออกนอกประเทศ เรือนั้นพร้อมจะออกแล่นจากที่ทอดสมอในอ่าวของเรา ข้าพเจ้าพึ่งเห็นจดหมายของท่านในหีบเขียนหนังสือของข้าพเจ้า จดหมายนั้นเป็นเครื่องเตือนให้ข้าพเจ้ารีบเขียนมาถึงท่านจากที่นี่โดยเร็วปราศจากความรั้งรอ
ข้าพเจ้าสังเกตถ่องแท้จากเค้าความในจดหมายท่านลงวันที่ ๖ ตุลาคมนี้ว่า จดหมายฉบับที่ ๒ ซึ่งข้าพเจ้าส่งไปพร้อมกับของบางอย่างในประเทศนี้ (ข้าพเจ้าได้ส่งไปกำนัลท่านเพื่อให้เห็นฝีมือโง่เขลาของราษฎรเราผู้ต่ำต้อยแลอับความรู้ ตามคำแนะนำแห่งมิตรของข้าพเจ้าคือ ดอกเตอร์ เอส.อาร์.เฮาส์) จดหมายแลของเหล่านั้นได้มอบไปกับเรือซึ่งจะออกไปเมืองกวางตุ้ง แล้วเลยไปอเมริกาผ่านไปทางเมืองจีน อันเป็นที่ซึ่งเราได้ยินว่ากำปั่นของประเทศอเมริกาเคยมาเสมอๆ แต่จดหมายแลของเหล่านั้นยังไม่ถึงมือท่าน เพราะจดหมายนั้น (คือฉบับที่ ๒ ของข้าพเจ้าพร้อมด้วยของให้บางอย่าง) พึ่งจะส่งลงเรือเมื่อเดือนมิถุนายน หรือ กรกฎาคมปีก่อน ก่อนวันซึ่งท่านลงไว้ในจดหมายของท่านประมาณ ๓ เดือน ข้าพเจ้าหวังว่าเมื่อท่านรับจดหมายฉบับนี้แล้ว ท่านคงจะเขียนตอบมาอีก
ท่านจงอนุญาตให้ข้าพเจ้าพูดจริงปราศจากข้อความใดๆ ซึ่งใกล้กับความเท็จ หรือเคลือบคลุมเป็นต้น เพราะความสัตย์ย่อมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในศาสนาทั้งสิ้นในโลก แม้ผู้ทำบาปเป็นอันมากซึ่งทะนงตนว่าเฉลียวฉลาด นึกว่าสิ่งนั้น (ความสัตย์) เป็นของซึ่งบางทีก็หาประโยชน์มิได้ ถึงกระนั้นความสัตย์ก็ยังเป็นยอดแห่งธรรมะบริสุทธิ์2 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอกล่าวตามความจริงที่อยู่ในใจข้าพเจ้า ข้อความในจดหมายของท่านนั้น มักกล่าวถึงความน่าพิศวงแลน่าชมแห่งคุณสมบัติของมิสเตอร์แมตตูน แลมิสเตอร์ เอส.อาร์.เฮ้าส์ เพื่อให้เป็นเครื่องนำความมหัศจรรย์ใจให้เกิดแก่ข้าพเจ้า ซึ่งอาจเป็นทางเบื้องต้นชักจูงให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนไปถือคริสต์ศาสนาโดยง่าย แต่คำพูดเช่นนั้นมิชชันนารีทุกคนได้พูดแลบรรยาย ณ ที่นี้มามากแล้ว กว่าที่ท่านกล่าวพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นของชินหู เพราะไทยเรารู้แน่แล้วว่าการเผยแพร่ศาสนาของชาวเมืองคริสเตียนนั้น ได้กระทำโดยประการที่เคยนำคริสต์ศาสนาไปสั่งสอนชาวป่า แลชาวประเทศมิลักขะได้ง่ายดายตามวิธีของโคลัมบัสเป็นต้น อนึ่งพวกมิชชันนารีผู้มีความรู้ทางศาสนาดังได้กล่าวแล้ว ไม่มีตำแหน่งที่จะหาเลี้ยงชีพในเมืองมารดาของตนโดยวิชาที่มีอยู่ เพราะว่ามีนักเทศน์แลครูสอนศาสนาวิธีเดียวกันมากเกินกว่าจำนวนวัดที่มีในประเทศคริสเตียนทั้งหมด จึงต้องดำเนินการหาเลี้ยงชีพด้วยอาศัยรับเงินของผู้มีใจกอปรด้วยปรานี ยอมสละง่าย ซึ่งผู้จ้าง (ของมิชชันนารี) บันดาลให้มีความยินดียอมเสียเงิน เพื่อให้มีผู้นำศาสนาที่นับถือของตนไปเทศน์สั่งสอนในเมืองอื่นๆ ซึ่งตนเห็นว่าราษฎรอยู่ในความมืดมนไร้ปัญญาคือความสว่าง แต่คนมีปัญญาเช่นข้าพเจ้าแลคนอื่นที่มีความรู้ทราบดีแล้วว่า คริสตศาสนาเป็นเพียงแต่การงมงานเชื่อลัทธิโบราณของพวกยิวผู้ใกล้จะเป็นมิลักขะ แต่ว่าได้มีผู้นำเข้าไปแพร่หลายในยุโรปก่อนแสงสว่างแห่งความรู้อันไม่มีข้อสงสัย คือวิทยาศาสตร์อันมหัศจรรย์ ได้เกิดขึ้นในยุโรป ดังนั้นคริสต์ศาสนาจึงเป็นลัทธิที่นับถือของชาวยุโรปมาจนทุกวันนี้ เราติดต่อกับมิตรชาวอังกฤษแลอเมริกันนั้นก็เพื่อความรู้ในทางวิทยาศาสตร์แลศิลปะศาสตร์ หาใช่ติดต่อเพราะชื่นชมแลอัศจรรย์ใจในศาสนาสามานย์นั้นไม่ เพราะเราทราบแล้วว่ามีคนเป็นอันมากซึ่งรอบรู้วิชา แลเป็นอาจารย์ในวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่นดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ไวยากรณ์ แลการเดินเรือเป็นต้น พวกนี้ติฉินแลปฏิเสธทุกข้อที่กล่าวไว้ในไบเบอล แลแสดงว่าไม่เชื่อถือเลย ขอท่านอย่ามัวกังวลเขียนแนะนำมาในเรื่องเช่นนั้น ถ้าข้าพเจ้าเชื่อลัทธินั้น ข้าพเจ้าก็คงจะเข้าอยู่ในศาสนาคริสเตียนเสียก่อนที่ท่านได้ยินนามข้าพเจ้านานแล้วกระมัง นอกจากนั้นการสนทนาซึ่งเกี่ยวกับศาสนา อาจเป็นเครื่องเดือดร้อนแก่ท่านโดยข้อคำที่อาจกล่าวแก่กันต่อไป มิตรข้าพเจ้าหลายคนที่เป็นคริสเตียนมักคิดกันว่า ข้าพเจ้ามีความติดต่อกับกับมิตรชาวยุโรปแลชาวอเมริกัน ก็เพราะพิศวงในความประพฤติของผู้นั้นๆ ไปทุกๆ ทาง ข้อนี้เป็นเหตุให้พากันคิดว่าอาจชักจูงข้าพเจ้าไปเข้าศาสนาของเขาได้ง่ายกว่าคนอื่น และถ้าข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนแล้ว ภายหลังพวกขุนนางแลราษฎรประเทศนี้อีกเป็นอันมาก ก็จะพากันเลื่อมใสตาม แลอาจชักนำไปเป็นคริสเตียนได้โดยเร็วอย่างสะดวก ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้ามีสมณศักดิ์สูงในพุทธศาสนา เป็นผู้นำหน้าชาติในการบุญเพื่อสู่ความสุขนิรันดร เพราะฉะนั้นราษฎรก็คงทำตามข้าพเจ้า เหมือนกับเรื่องเกาะแซนดอเวดเป็นตัวอย่าง ความปรารถนาอันสามานย์ของพวกมิตรข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ โดยที่พวกนั้นๆ เคยกระทำกับพวกชาวป่าแลชาติมิลักขะ เช่นเดียวกับทำแก่ชาวแซนดอเวดเป็นต้นมาแล้ว แต่คนในประเทศของเราไม่เหมือนกับคนเหล่านั้น เพราะได้มีความรู้ในเรื่องธรรมะแลจรรยามานานแล้ว ธรรมะแลจรรยาของเรานั้น แม้ว่าได้มีลัทธิพราหมณ์แลลัทธิชาวป่าเป็นต้นมาปะปน ทำให้เสียไปบ้าง ก็ยังเป็นลัทธิอันแจ่มแจ้งถูกต้องอย่างน่าพิศวง มีผลน่าเชื่อแลชื่นชมยิ่งกว่าลัทธิของชาติยิวที่ได้กล่าวมาแล้ว
ข้าพเจ้าขอกล่าวโดยจริงใจว่า ข้าพเจ้าขอบใจท่านในการที่ท่านปรารถนาให้ข้าพเจ้ามีความสุขทั้งภายในแลภายนอก ท่านจึงได้เขียนแนะนำมาในสิ่งซึ่งท่านเชื่อมั่นแล้วเต็มความคิด ว่าเป็นหนทางอันปราศจากข้อสงสัย ที่จะช่วยชีวิตสัตว์โลกให้มีความสุขนิรันดร แต่ข้าพเจ้ารับทำตามคำแนะนำของท่านไม่ได้ เพราะความเชื่อของข้าพเจ้ามีว่า ธรรมะแลคุณความดีโดยกิริยาแลใจ อันเป็นน้ำเนื้อของศาสนาทั้งปวงในโลกนั้น เป็นทางถูกต้องที่จะได้รับความสุขนิรันดร ใครคือไครสต์ผู้ปรากฏแก่เราว่าไม่ยิ่งไปกว่าบุคคลแปลประหลาดคนหนึ่ง ผู้ซึ่งความพิศวงของฝูงชนไร้ปัญญา มัวเชื่อลัทธิงมงายได้ยกย่องขึ้นในสมัยโน้น แลชนชาติอื่นก็ได้นับถือตามๆ กันไปโดยความเขลา จนความเชื่อโดยเดาเอาอย่างโง่ๆ ก็ได้ส่งสืบกันมา ข้าพเจ้าแสดงความขอบใจมายังท่านสักพันครั้ง ตอบแทนความเมตตากรุณาของท่าน แม้ความเมตตากรุณานั้นจะเป็นไปเพื่อชีวิตนิรันดรของข้าพเจ้า
ที่นี่มีผู้ดีหลายคนซึ่งแต่ก่อนได้เชื่อในเรื่องสร้างโลก แลโลกสัณฐานตามตำราพราหมณ์ ซึ่งคนแต่งหนังสือเรื่องพุทธศาสนาครั้งโบราณได้นำเข้ามาไว้เป็นลัทธิในพุทธศาสนาโดยไม่รั้งรอผู้รู้อย่างเก่าของเรานั้น เมื่อแรกได้ยินหรือรับความรู้ของชาวยุโรป ก็ได้โต้เถียงคัดค้านวิชานั้นๆ เช่นภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิชาวัดเวลา วิชาเดินเรือ แลเคมีสตรีเป็นต้น พวกนั้นพากันคิดไปเสียว่า ลักษณะแลความรู้เรื่องวิทยานั้นๆ คือปัญญาเดาๆ ของชนชาติมิจฉาทิษฐิชักจูงให้เป็นไป หรือเป็นข้อความซึ่งได้รับอธิบายมาจากไครสต์แลจากสานุศิษย์ของไครตส์ ครั้นภายหลังได้พิจารณาอย่างถ่องแท้ แลคิดค้นหาตัวอย่างด้วยเหตุผลด้วยคำชี้แจง แลด้วยรูปการอย่างอื่นๆ บัดนี้ผู้มีความเฉลียวฉลาดแลผู้มีปัญญาในประเทศเรา มีความเชื่อทางวิทยาศาสตร์อันกล่าวมาแล้ว แลมีความยินดีในวิชานั้นๆ เป็นอันมาก กระทั่งบางคนรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย ได้พากันพยายามศึกษาภาษาอังกฤษเพื่อจะได้มีความรู้ อ่านตำราภาษาอังกฤษในเรื่องวิทยาศาสตร์แลศิลปะศาสตร์ต่างๆ เพื่อให้คุ้นเคยแลชักนำความรู้นั้นๆ มาสู่ประเทศของเรา ตามแต่จะสามารถนำมาได้ แต่ไม่มีใครเลยสักคนเดียวในพวกที่มีความรู้เช่นที่กล่าวนั้น จะระแวงว่าคริสต์ศาสนาอาจเป็นลัทธิหรือศาสนาดีที่สุด หรือว่าเยซูเป็นบุตรจริงๆ ของพระเจ้า หรือผู้ช่วยมนุษยชาติได้ พวกนั้นเป็นแต่ลงความเห็นว่าเยซูเผอิญไปมีกำเนิดในชาติโง่เขลาเบาปัญญา จึงเป็นเครื่องใช้ล่อลวงกันในชาตินั้น การทำนายในเรื่องเยซูตามคำกล่าวของผู้ทายทั้งสิ้นนั้น ผู้มีความรู้เหล่านี้ไม่มีใครเชื่อเลย โปรดอย่างต้องลำบากเพื่อชักจูงเราให้เชื่อในลัทธินั้น เราได้ฟังคำบรรยายเป็นอันมากจากพวกมิชชันนารีซึ่งอยู่ที่นี่ ทั้งพวกเก่าแลพวกใหม่กล่าวชี้แจงโดยทำนองต่างๆ กัน คัมภีร์ไบเบอลแลอรรถกถาต่างๆ นั้นก็ได้เคยอ่านมามากแล้ว ข้าพเจ้าขอกล่าวแต่ข้อความสำคัญซึ่งอาจเป็นประโยชน์ระหว่างท่านกับข้าพเจ้าเท่านั้น
ข้าพเจ้าเสียใจที่จะกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถหาโอกาสออกนอกพระราชอาณาจักรได้ เพราะขัดกับประเพณีหรืออุบายอันน่าติเตียนของประเทศเรา ซึ่งรัฐบาลของเราทั้งสมัยเก่าแลสมัยใหม่ได้บัญญัติไว้ รัฐบาลนั้นเป็นผู้ซึ่งจมลึกอยู่ในความชอบใจแลความปรารถนาอันมืดไปด้วยความไม่รู้ อันเราคิดว่าเราไม่สามารถจะนำให้ออกมาพ้นได้ตลอดชีวิตของท่านนั้นๆ แลในสมัยของเราเมื่อได้ยินว่าท่านแสดงปรารถนาให้ข้าพเจ้าไปเยี่ยมกรุงนิวยอร์กแลกรุงอื่นๆ ข้าพเจ้ามีความเสียใจเป็นที่สุด เพราะทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่มีโอกาสตลอดชีวิตที่จะไปถึงนิวยอร์กด้วยร่างกายของข้าพเจ้าได้ เรื่องที่กล่าวถึงนิวยอร์กโดยละเอียดนั้น ข้าพเจ้าได้อ่านแล้วในหนังสือบางเล่ม แลได้ยินเสมอๆ จากปากครูแลมิตรข้าพเจ้าทางนี้ เหตุดังนั้นข้าพเจ้าจึงปรารถนามานานแล้วที่จะไปเยี่ยมเยียนกรุงนั้น ทรัพย์สมบัติของข้าพเจ้าก็พอที่ข้าพเจ้าจะไปเยี่ยมประเทศต่างๆ ในยุโรปแลอเมริกาได้ แต่จะทำประการใดกับรัฐบาลของเราได้เล่า แต่ข้าพเจ้ายินดีอยู่ว่า ลายมือของข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเยี่ยมประเทศอเมริกาได้บ้างบางคราว
ข้าพเจ้ายินดีหนักหนาที่ได้ยินว่า ท่านสามารถกระทำธุระได้หลายสาขา เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าขอมอบตัวข้าพเจ้าต่อท่านเพื่อเป็นมิตรอันแท้จริงของท่าน เพราะข้าพเจ้าต้องการมานานแล้วที่จะมีบุคคลในเมืองท่านผู้กอปรด้วยความซื่อตรงแลเห็นแก่ข้าพเจ้าโดยแท้เที่ยง เพื่อให้เป็นเอเย่นต์ของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้สั่งให้หาสิ่งของที่ต้องการส่งบรรทุกเรือจากอเมริกามาถึงสยาม แลถ้ามีความต้องการเมื่อไร ข้าพเจ้าจะได้สั่งผู้นั้นให้จัดการเช่นที่ว่า แต่ยังหามีใครก่อนนี้ไม่ บัดนี้ข้าพเจ้ายินดีที่จะได้ท่านเปนเอเย่นต์ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าได้ทราบจากเอเย่นต์ทางสิงคโปร์บอกเข้ามาว่า กำปั่นแห่งประเทศอเมริกาอย่างน้อย ๒๐ ลำมาเยี่ยมท่าเมืองสิงคโปร์ แต่ข้าพเจ้าเสียใจที่กำปั่นอเมริกาไม่เข้ามาเยี่ยมสยามบ้าง ดังนั้นขอให้ท่านช่วยให้สมประสงค์ข้าพเจ้าสักอย่างเถิด คือข้าพเจ้าต้องการจะมีเครื่องพิมพ์หินสักเครื่องหนึ่ง (เครื่องสำหรับตีพิมพ์ด้วยแผ่นหิน) พร้อมทั้งเครื่องประกอบให้ครบชุด ขอท่านจงช่วยหาซื้อให้ข้าพเจ้าสักเครื่องหนึ่งจากประเทศของท่าน ท่านจงเขียนถึงข้าพเจ้าโดยเร็วทางบก3 เพื่อให้ทราบว่าเครื่องพิมพ์นั้นราคาเครื่องละเท่าไร ถ้าราคาต่ำกว่า ๒๐๐ เหรียญแล้ว ข้าพเจ้าต้องขอให้ท่านออกเงินรองไปก่อน แลจัดส่งบรรทุกกำปั่นลำใดลำหนึ่งซึ่งท่านทราบว่าจะมาแวะสิงคโปร์ แล้วท่านจงแจ้งข่าวมายังข้าพเจ้าล่วงหน้า บอกชื่อเรือชื่อกัปตัน ทั้งบอกราคาสิ่งของมาด้วย ข้าพเจ้าจะได้มีคำสั่งไปถึงเอเย่นต์ของข้าพเจ้าที่อยู่เมืองสิงคโปร์ ให้คอยเรือชื่อนั้นๆ ของประเทศอเมริกา แลให้คอยรับแลใช้เงินค่าสิ่งของทันที ก่อนเวลาเรือจะออกแล่นไปโดยปลอดภัย ไม่มีความเนิ่นช้าหรือผัดผ่อนในเรื่องเงินเลย ขอท่านจงช่วยให้สมประสงค์ของข้าพเจ้าในเรื่องนี้ แต่ว่าข้าพเจ้าไม่เอเย่นต์สักคนในเมืองจีน ซึ่งกำปั่นอเมริกันมาเสมอๆ ข้าพเจ้าจะใช้เงินค่าสิ่งของที่บอกมาแต่ชื่อ แต่สิ่งของได้หายเสียแล้วเพราะถูกจีนสลัดชิงไปนั้นไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าทราบว่ากำปั่นทั้งสิ้นมีประกันภัย จะมีผู้ใช้ค่าเสียหายกลางทะเลให้ เหตุฉะนั้นท่านอย่างส่งสิ่งของที่ข้าพเจ้าสั่งฝากมากับพวกมิชชันนารี หรือผู้ใดที่จะขึ้นบกที่เมืองจีน หรือผู้ขึ้นที่ฝั่งทะเลเมืองจีนเลย ด้วยข้าพเจ้าทราบว่ายังมีพวกสลัดอีกมาก ซึ่งมักทำลายกำปั่นชาวต่างประเทศบ่อยๆ นัก แต่ที่สิงคโปร์จะไม่มีเหตุอันตรายเช่นนั้น เพราะได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลอังกฤษ แลทั้งข้าพเจ้าก็มีเอเย่นต์ซื่อตรงอยู่ที่นั่นแล้วด้วย เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าประสงค์ให้ท่านส่งของซึ่งข้าพเจ้าสั่ง มาที่ท่าเมืองสิงคโปร์ ข้าพเจ้าขอบอกชื่อเอเย่นต์ที่สิงคโปร์ ผู้ซึ่งท่านควรสลักกลังส่งหนังสือที่มีมาถึงข้าพเจ้า หรือมอบให้ส่งของที่ท่านส่งมากำนัลหรือขายให้ข้าพเจ้า อันจะส่งมาโดยกำปั่นที่จะมาสู่ท่าเมืองสิงคโปร์
เอเย่นต์จีนของข้าพเจ้าที่สิงคโปร์ ชื่อดังนี้ ตันต๊อกเสง เอส ไควร์ หรือกงสี
เอเย่นต์ชาวอังกฤษของข้าพเจ้า ชื่อดังนี้ เมสเยอร์ แฮมิลตัน แล เกรแลกัมปนี สิงคโปร์
โปรดเขียนตอบเรื่องที่ข้าพเจ้าวานนี้โดยเร็วที่สุด ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้เครื่องพิมพ์หิน ซึ่งได้ยินว่าราคาถูกกว่าที่ขายกันในเมืองอังกฤษ
ท่านอย่างเสียใจหรือโกรธข้าพเจ้าในเรื่องที่ได้กล่าวมาแล้ว ถึงข้อความในเรื่องศาสนา ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนั้นเพราะข้าพเจ้าไม่เต็มใจให้ท่านลำบากในการพยายามชักชวน ซึ่งคงไม่เป็นผลสำเร็จได้เลย ถ้าถ้อยคำที่ข้าพเจ้าเขียนนั้นทำให้ท่านขุ่นใจ ท่านจงให้อภัยแก่ข้าพเจ้า จงเห็นแก่ข้าพเจ้าในฐานที่เป็นเพียงชาวประเทศซึ่งต่ำต้อย แลจงยินดีในความเมตตาแลความนับถือของข้าพเจ้าที่มีต่อท่าน ผู้แสดงมิตรจิตมายังข้าพเจ้าก่อน โดยประการที่ส่งหมึกสำหรับตีพิมพ์มาให้
ท่านจงจำข้าพเจ้าว่าเป็นมิตรของท่านผู้มีเกียรติจะเป็นเอเย่นต์ของท่านในประเทศนี้ ถ้ามีสิ่งใดอยู่ในความสามารถของข้าพเจ้า ซึ่งท่านต้องการ
(พระอภิธัย) ปรินซ์ ท.ญ. เจ้าฟ้ามงกุฎ ผู้ทรงสมณศักดิ์เป็นอธิการแห่งอาราม ซึ่งมีนามว่า วัดบวรนิเวศน์ ในกรุงเทพฯ อันเป็นนครหลวงปัจจุบัน แห่งสยาม
ป.ล. โปรดอ่านด้วยความระมัดระวัง แลให้อภัยที่เขียนผิดในหนังสือนี้ทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าเขียน ด้วยความรีบร้อนที่สุด (พระอภิธัย) ท.ญ.ม.
.........................................................
1 ชลสันดี คำนี้ผู้แปลไม่เคยพบ แลพบใครที่พบ ครั้นจะเขียนว่า ชลสันธี ก็เกรงจะเป็นการเดาเกินไป 2 HOLY คำนี้ความเดิมแปลว่าหมด ซึ่งอาจแปลว่าสมบูรณ์ แต่ไกลกว่าอัตถะที่เข้าใจกันโดยมากในสมัยนี้ ในที่นี้จึงแปลว่า บริสุทธิ์ ซึ่งดูใกล้กับความหมาย 3 ทางบก เห็นจะทรงหมายความว่าส่งมาทางยุโรป
Create Date : 08 เมษายน 2551 |
| |
|
Last Update : 8 เมษายน 2551 9:51:32 น. |
| |
Counter : 4430 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
พระจอมเกล้า - พระจอมปราชญ์ ตอนที่ ๑ เมื่อทรงพระเยาว์
....................................................................................................................................................
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร์มหามงกุฎ สุทธิสมมุติเทพยพงศ วงศาดิศรกษัตริย์ วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนารถอดิศวรราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหาร สุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมลศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฏิสาธุคุณวิบุลยสันดาน ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวี ตรีปิฎกาทิโกศลวิมลปรีชา มหาอุดมบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสารสยามทิโลกดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินธร มหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดม บรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตร ศิริรัตโนปลักษณ มหาบรมราชาภิเษกาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหาราชาธิราชวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีชวดฉศก จุลศักราช ๑๑๖๖ ตรงกับวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๓๔๗ ณ พระราชวังเดิม ในขณะนั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร สมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี พระธิดาสมเด็จพระพี่นางเธอในรัชกาลที่ ๑ (เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์) เป็นสมเด็จพระราชชนนี สมเด็จพระราชชนนีทรงเป็นเจ้าฟ้าชั้นตรี ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงดำรงสกุลยศเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอตั้งแต่เสด็จพระราชสมภพมา จนพระชนมพรรษา ๖ พรรษาก็สิ้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงมีพระราชโอรสด้วยสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี รวม ๓ พระองค์
๑. เจ้าฟ้าชาย (ยังไม่ได้เฉลิมพระนาม) เป็นลำดับที่ ๓๖ ในบรรดาพระราชโอรสธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ยี่ แรม ๔ ค่ำ ปีระกาตรีศก จุลศักราช ๑๑๖๓ ตรงกับวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๓๔๔ และสิ้นพระชนม์ในวันประสูติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้เรียกพระนามว่า เจ้าฟ้าราชกุมาร
๒. เจ้าฟ้าชายมงกุฎ สมมุติเทวาวงศ์ พงศาอิศรกระษัตริย์ขัตติยราชกุมาร คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๓. เจ้าฟ้าชายจุฑามณี พระราชสมภพเมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๗๐ ตรงกับวันที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๓๕๑ สวรรคตในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันอาทิตย์ เดือนยี่ แรม ๖ ค่ำ ปีฉลูสัปตศก จุลศักราช ๑๑๒๗ ตรงกับวันที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๐๘ พระชนพรรษา ๕๘ พรรษา ซึ่งจะกล่าวถึงพระราชประวัติต่อไปข้างหน้า
ในปีกุนเบญจศก พุทธศักราช ๒๓๔๖ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จสวรรคต ต่อมาอีก ๓ ปี ในปีขาลอัฐศก พุทธศักราช ๒๓๔๙ กรมพระราชวังหลัง เสด็จทิวงคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีอุปราชาภิเษกเต็มตามตำ เป็นครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรสุนทร ให้ดำรงพระยศเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าว่า คุณเสือหรือเจ้าจอมแว่นบาทบริจาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กราบทูลว่า พระราชวังบวรฯ ร้างไม่มีเจ้าของ ทรุดโทรมยับเยินไปมาก ขอพระราชทานให้เชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ใหม่ขึ้นไปครองจึงจะสมควร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่ทรงโปรดดำรัสว่า ไปอยู่บ้านช่องของเขาทำไม เขารักแต่ลูกของเขา เขาแช่งเขาชักไว้เป็นนักหนา และทรงรับสั่งว่า พระองค์ก็ทรงพระชรามากอยู่แล้ว คอยเสด็จมาอยู่พระบรมราชวังทีเดียวเถิด อย่าต้องประดักประเดิดยักแล้วย้ายเล่าเลย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกนาถจึงยังคงประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมต่อมา จนปีมะเส็งเอกศก พุทธศักราช ๒๓๕๒ ก็สิ้นรัชกาลที่ ๑
ถึงรัชกาลที่ ๒ เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จเถลิงถวัลยราชย์ราชสมบัติ สมเด็จพระชนนีและพระบาทสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๒ พระองค์ก็โดยเสด็จเข้ามาพระบรมมหาราชวังและประทับที่ตำหนักแดง อันเป็นพระตำหนักเดิมที่สมเด็จกรมพระศรีสุดารักษ์กับสมเด็จพระชนนีเคยเสด็จอยู่แต่ก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะนั้นทรงพระยศเป็นสมเด็จพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ คนทั้งหลายเรียกกันว่า ทูลกระหม่อมฟ้าองค์ใหญ่ หรือ ทูลกระหม่อมใหญ่ กันตามสะดวกปาก มิฉะนั้นก็เรียกว่า เจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ หรือ เจ้าฟ้าใหญ่ เรียกกันอย่างนี้จนกระทั่งเสด็จเสวยราชย์สมบัติ ในเรื่องพระนามที่เรียกกันนี้ ปรากฏพระบรมราชาธิบายในลายพระราชหัตถเลขาภาษาอังกฤษที่ทรงมีไปถึงนาย G.W. Eddy เมื่อครั้งยังทรงผนวชดังนี้
To The Gentlemen G.W. Eddy &C &C &C
Sir,
The names by which the common people of Siam call me are Thun Kramom Fa Yai. By these two names I find I am generally known in foreign countries. The former is a title expressive of great respect, and is chiefly used by those who are, in law and custom, my inferiors and dependents; as younger brothers and sisters, children, servants and people. The latter is used by those who are nominally my superiors and those who do not feel themselves particularly dependent on me, or accountable to me. The word Thun means to put in a high place: kramom is the middle of the top or crow of the head: chau corresponds to the English word Lord, or the Latin Dominus: Fa is sky: but when used in a persons name, it is merely an adjective of exaltation, and is equivalent to the phrase as high as the sky. The remaining word Yai means great, or elder; and I am so called to distinguish me from my brother
But the name which my father, who prededed His Majisty the present king of Siam, gave me and caused to be engraved in a plate of Gold is Chau Fa Mongkut Sammatt Wongs. Only the first three of these words, however, are commonly used in public Documents at the present time. Mongkut means Crow. The name Chau Fa Mongkut means The high Prince of the Crown or His Royal Highness the Crown prince. I prefer that my friends, when the write me letters, or send parcels to me, will use this name, with the letters T.Y prefixed as being that by which I am Known in the Laws and Public Documents of Siam.
But some of my friends at Ceylon who are Mugadhists, have called my name Wajiranneano which my preceptor had given me to be used in Budhism: it means thus he has lightness of skill like a diamond. Therefore the Singallese generall address me thus Makuto Wajiraneano Thero. Makuto is changed from a Siamese name to mugadhism: Thero is a term for Chief Priest who are venerable in religious knowledge.
I have the honour to be, Your sincere friend, T.Y. Chau Fa Mongkut.
Wat Pawarnives Northern King Street, Bangkok, Siam July 14th. A. Ch. 1848
ซึ่งมหามงกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ แปลและจัดพิมพ์ ในงานฉลองครบ ๘๔ ปี มหามงกุฎราชวิทยาลัย เมื่อ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑ ดังนี้
จดหมายมายังนาย ยี. ดับลยู. เอ๊ดดี ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ให้ทราบ
นามซึ่งคนธรรมดาในสยามเรียกข้าพเจ้านั้นคือ ทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่ แล เจ้าฟ้าใหญ่ ทั้งสองนามนี้ข้าพเจ้าทราบว่ามักใช้เรียกข้าพเจ้าในต่างประเทศ นามต้นเป็นคำแสดงความนับถืออย่างสูง แลใช้กันโดยมากในพวกที่มียศต่ำกว่า แลผู้ที่พึ่งพำนักข้าพเจ้าตามกฎหมายแลประเพณี เช่นอนุชา ขนิษฐา โอรส มหาดเล็ก แลราษฎรเป็นต้น นามท้ายเป็นนามใช้กันตามพวกที่สมมติว่ามียศสูงกว่าข้าพเจ้า แลผู้ที่ไม่สู้รู้สำนึกตนว่าต้องพึ่งพำนักข้าพเจ้า หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อข้าพเจ้า คำว่า ทูล แปลว่าวางไว้ที่สูง กระหม่อม แปลว่ากลางยอดแห่งศีรษะ คำว่า เจ้า นั้นตรงกับคำอังกฤษว่า ลอร์ด หรือคำลาตินว่า โดมินัส ฟ้า คือ สไก แต่ถ้าใช้กับชื่อบุคคลก็เป็นคุณศัพท์เพื่อแสดงบรรดาศักดิ์สูง แลมีใจความเท่ากับประโยคว่า สูงเท่าฟ้า คำอีกคำหนึ่งคือ ใหญ่ แปลว่าโตหรือแก่กว่า แลการที่เขาเรียกข้าพเจ้าเช่นนั้น ก็เพราะจะให้ผิดกับพระอนุชาผู้มีชนมายุอ่อนกว่าข้าพเจ้า
แต่นามซึ่งสมเด็จพระชนกนาถของข้าพเจ้า คือพระเจ้าแผ่นดินสยามก่อนพระองค์เดี๋ยวนี้ พระราชทานข้าพเจ้า แลได้จารึกลงไว้ในแผ่นทองคำนั้นคือ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติวงษ์ คำทั้งหมดนี้ คำต้นสามคำเท่านั้น เป็นคำซึ่งในเวลานี้มักใช้กันในหนังสือสำคัญทางราชการ มงกุฎ แปลว่า เคราน์ นามซึ่งเรียกว่า เจ้าฟ้ามงกุฎ จึ่งแปลว่า เจ้าชายทรงยศสูงแห่งมงกุฎ หรือ เจ้าฟ้าผู้เป็นรัชทายาท เมื่อมิตรของข้าพเจ้าเขียนจดหมายหรือส่งห่อของมายังข้าพเจ้า ๆ ชอบให้ใช้นามนี้ แลให้มีอักษร ท.ญ. นำหน้าเป็นที่หมายดั่งซึ่งเขาย่อมเรียกข้าพเจ้าอยู่แล้วตามกฎหมาย แลตามหนังสือสำคัญทางราชการแห่งสยาม
แต่มิตรของข้าพเจ้าบางคนซึ่งอยู่ประเทศลังกาผู้รู้ภาษามคธ เรียกนามข้าพเจ้าว่า วชิรญาโณ อันเป็นนามซึ่งพระอุปัชฌาย์ให้ข้าพเจ้าใช้ในพุทธศาสนา คำนั้นแปลว่า ผู้มีความสามารถอันสว่างประดุจเพ็ชร เหตุฉะนั้นชาวสิงหลจึงออกนามข้าพเจ้าดังนี้ มกุโฎ วชิรญาโณ เถโร มกุโฎ นั้นเปลี่ยนจากนามภาษาสยามเป็นภาษามคธ เถโร เป็นคำใช้เรียกหัวหน้าพระสงฆ์ผู้บุคคลพึงนับถือโดยความรู้ทางศาสนา
ข้าพเจ้ามีเกียรติเป็น มิตรอันมีความจริงต่อท่าน (พระอภิธัย) ท.ญ. เจ้าฟ้ามงกุฎ
วัดบวรนิเวศ ถนนหลวงด้านเหนือ กรุงเทพฯ สยาม วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๔๘ (พุทธศักราช ๒๓๙๑)
การศึกษาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เริ่มทรงศึกษาอักขรสมัยในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ชุน) วัดโมฬีโลกฯ ร่วมพระอาจารย์กับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เมื่อยังเสด็จประทับอยู่ ณ พระราชวังเดิม ครั้นเสด็จเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวังเมื่อดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอแล้ว ก็ทรงได้ศึกษาวิชาความรู้อันซึ่งคตินิยมสมัยนั้นว่าควรแก่พระราชกุมารอันสูงศักดิ์ครบถ้วนสมบูรณ์
ถึงเดือน ๔ ปีวอกยังเป็นตรีศก จุลศักราช ๑๑๗๓ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๕๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงพระราชดำริว่า การพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าเต็มตำราตามอย่างกรุงศรีอยุธยาได้ทำเป็นแบบแผนสำหรับแผ่นดินแล้วในรัชกาลที่ ๑ แต่การพระราชพิธีลงสรงเฉลิมพระนามเจ้าฟ้าตามตำราเก่า ยังหาได้ทำให้เป็นแบบอย่างไม่ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่เคยเห็นก็แก่ชราจะหมดตัวไป แบบแผนพระราชพิธีอันนี้จะสูญไปเสีย ควรทำให้เป็นแบบอย่างสำหรับแผ่นดินไว้ จึงโปรดเกล้าฯ รับสั่งให้ตั้งการพระราชพิธีลงสรงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงพิทักษมนตรี กับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช เป็นผู้รับรับสั่งอำนวยการจัดตั้งการพระราชพิธี และพระราชสุพรรณบัฏจารึกพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทวาวงษ์ พงษ์อิศรกษัตริย์ ขัติยราชกุมาร
ต่อมีอีก ๒ ปี ถึงเดือน ๑๑ ปีจอฉศก จุลศักราช ๑๑๗๖ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๕๗ พระยากาญจนบุรีมีใบบอกส่งหนังสือลับสมิงสอดเบาเข้ามายังกรุงเทพฯ จึงโปรดฯ ให้พระยากาญจนบุรีมีหนังสือลับตอบสมิงสอดเบาว่า ถ้ามอญเดือดร้อนก็ให้อพยพเข้ามาเถิด จะทรงพระกรุณาโปรดรับเป็นที่พึ่ง ให้มอญได้อาศัยพึ่งพิงในพระราชอาณาจักรโดยร่มเย็น เหตุที่มอญจะอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเมื่อพระเจ้าอลองพญาทำสงครามชนะมอญ ได้เป็นใหญ่ในดินแดนพม่า มอญถูกพม่ากดขี่ข่มเหงต่างๆ ไม่มีกำลังพอจะต่อสู้พม่า จึงอพยพเข้ามาเพิ่งพระบรมโพธิสมภาร เมื่อปีมะเมียฉศก จุลศักราช ๑๑๓๖ พุทธศักราช ๒๓๑๗ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี คือพวกมอญเจ้าพระยามหาโยธา (พระยาเจ่ง) อพยพเข้ามา ครั้นถึงรัชกาลที่ ๒ พระเจ้าปะดุงตั้งพม่าลงมาเป็นเจ้าเมืองเมาะตะมะ เจ้าเมืองพม่าคนนี้ก็เบียดเบียนพวกมอญให้ได้รับความเดือดร้อนต่างๆ พวกมอญไม่มีกำลังพอจะต่อสู้ได้ สมิงสอดเบามอญและเจ้าเมืองขึ้น กรมการหลายคนปรึกษาเห็นพร้อมกันว่าจะอพยพครอบครัวเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระราชอาณาจักร จึงมีหนังสือลับดังกล่าวมาถึงพระยากาญจนบุรี
ครั้นถึงปีกุนสัปตศก จุลศักราช ๑๑๗๗ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๕๘ พวกมอญที่เมืองเมาะตะมะถูกพม่ากดขี่หนักเข้า จึงพร้อมใจกันจับเจ้าเมืองกรมการพม่าฆ่าเสีย แล้วอพยพครอบครัวเข้ามาสู้พระราชอาณาจักรด้วยกันหลายทาง ครั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงทราบข้อราชการแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เสด็จไปตั้งเมืองปทุมธานีเป็นที่อยู่ของมอญที่จะอพยพมาคราวนี้ และโปรดฯ ให้เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ที่สมุหนายก คุมกำลังและเสบียงอาหารขึ้นไปรับครัวมอญที่เมืองตาก ส่วนทางด่านพระเจดีย์สามองค์นั้น โปรดฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ เวลานั้นพระชันษา ๑๒ ปี เสด็จคุมกำลังและเสบียงอาหารไปรับครัวมอญที่เมืองกาญจนบุรี โดยโปรดฯ ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีเป็นพระอภิบาลเสด็จกำกับไปด้วย ครัวมอญมาถึง ณ วันพุธ เดือน ๙ แรม ๓ ค่ำ ปีกุนสัปตศก จุลศักราช ๑๑๗๗ พุทธศักราช ๒๓๕๘ ตัวสมิงสอดเบานั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่พระยารัตนจักร มอญตัวนายที่มียศอยู่ในบ้านเมืองเดิมก็โปรดฯ ตั้งให้เป็นพระยาทุกคน
การที่สมเด็จพระบรมชนกนาถ โปรดฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จเป็นนายกไปรับครัวมอญทางด่านพระเจดีย์สามองค์ครั้งนี้ ดูเหมือนจะมีพระราชประสงค์ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎได้มีโอกาสศึกษากระบวนทัพศึก ทำนองเดียวกับที่พระองค์ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกในราชการสงครามเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ อีกประการหนึ่งจะได้เป็นที่ครั่นคร้ามแก่ราชศัตรูให้กิติศัพท์ปรากฏไปถึงเมืองพม่า และพวกมอญที่เข้ามาสวามิภักดิ์จะเป็นที่อุ่นใจ ด้วยโปรดฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าพระองค์ เสด็จออกไปด้วยพระองค์เองเช่นนี้
ต่อมาอีกปีหนึ่งในปีชวดอัฐศก สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงพระเจริญพระชันษา ๑๓ ปีถึงเกณฑ์โสกันต์ สมเด็จพระบรมชนกนาถโปรดฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ตามแบบการโสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า ซึ่งได้ทำเป็นแบบในรัชกาลที่ ๑ เมื่อคราวพระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ในเดือนแปดอุตราสารท ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีฉลูนพศก จุลศักราช ๑๑๗๘ ตรงกับวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๖๐ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชเป็นสามเณร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงผนวชแล้วเสด็จไปประทับอยู่ที่พระตำหนักทางต้นโพธิลังกา ณ วัดมหาธาตุ มุมวัดด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นประเพณีเมื่อเจ้านายทรงผนวชย่อมหัดเทศน์มหาชาติ เพื่อจะได้เทศน์ถวายพระราชกุศล สามเณรสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ก็เช่นกันทรงหัดเทศน์กัณฑ์มัทรี และได้เทศน์ถวายในพระบาทสมเด็จพระบรมนารถ ถึงเดือน ๑๒ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทับ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์มีเทศน์มหาชาติที่วังที่ประทับ ทรงทำกระจาดใหญ่บูชากัณฑ์เทศน์มัทรี และเชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ มาประทานเทศนา เป็นงานครึกครื้นใหญ่โตกว่าที่เคยมีมาแต่ก่อน สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชอยู่เจ็ดเดือนจึงลาผนวช
เมื่อลาผนวชสามเณรแล้ว สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จมาประทับที่พระตำหนักด้านหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ใกล้ประตูสุวรรณภิบาล สมเด็จพระบรมชนกนาถโปรดฯ ให้ทรงบัญชาการกรมมหาดเล็ก ทั้งรับราชการอื่นๆ อยู่ใกล้ชิดติดพระองค์ สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงฝึกสอนราชศาสตร์พระราชทานด้วยพระองค์เอง และในตอนนี้คงทรงศึกษาวิชาวิสามัญต่างๆ สำหรับพระราชกุมารด้วย
ในเดือน ๘ อุตราสาธ ปีฉลูนพศก จุลศักราช ๑๑๗๙ พุทธศักราช ๒๓๖๐ สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน ประชวรเป็นพระยอดตรงพระที่นั่งทับ ให้ผ่าพระยอดนั้นเลยกลายเป็นพิษพระอาการมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จไปเยี่ยมพระอาการทุกวันมิได้ขาด พระอาการกรมพระราชวังบวรฯ ทรุดหนักลง จึงเสด็จไปประทับแรมพยาบาลสมเด็จพระอนุชาธิราชอยู่ในพระราชวังบวรฯ ครั้งนั้นมีข้าราชการผู้ใหญ่ตามเสด็จไปจุกช่องตั้งกองรักษาการณ์หลายท่าน
สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ มีพระนามเดิมว่า จุ้ย เป็นพระองค์ที่ ๗ ตามลำดับเจ้าฟ้าสมเด็จพระราชโอรสธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีเป็นสมเด็จพระราชชนนี ประสูติก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จปราบดาภิเษก ซึ่งเรียกตามสำนวนอีกนัยหนึ่งว่า ประสูตินอกเศวตรฉัตร เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัตินั้น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุ้ยมีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา ต่อมาราวปีพุทธศักราช ๒๓๓๕ โปรดเกล้าฯ พระราชทานกรมเจ้าฟ้าลูกเธอหลานเธอ ๔ พระองค์ คือเจ้าฟ้าหญิง ๒ พระองค์ เจ้าฟ้าชาย ๒ พระองค์ เจ้าฟ้าชายทั้งสองพระองค์มีพระนามพ้องกันว่า จุ้ย พระองค์ ๑ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุ้ย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นกรมขุนเสนานุรักษ์ อีกพระองค์ ๑ คือ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าจุ้ย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นกรมขุนพิทักษ์มนตรี
ต่อมาถึงปีขาลอัฐศก พุทธศักราช ๒๓๔๙ ในรัชกาลที่ ๑ นั้น เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคต และกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรรับพระราชทานอุปราชาภิเษก ถึงปีเถาะนพศก พุทธศักราช ๒๓๔๐ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ขึ้นเป็นกรมหลวง และโปรดเกล้าฯ ให้รับพระบัณฑูรน้อยด้วย
ถึงรัชกาลที่ ๒ เมื่อเสร็จงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีอุปราชาภิเษก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ พระบัณฑูรน้อยขึ้นเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวร ที่พระมหาอุปราช
กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทรงเป็นกำลังหลักของแผ่นดินพระองค์หนึ่ง เสด็จราชการสงครามหลายครั้ง ในด้านพระราชอัธยาศัยก็ทรงสนิทชิดชอบในพระบาทสมเด็จพระเชษฐาธิราชมาแต่ยังทรงพระเยาว์มาด้วยกัน เมื่อทรงรับอุปราชาภิเษกแล้ว ก็ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงพระราชอัธยาศัย เสด็จลงไปรับราชการในพระราชวังหลวงมิขาด พระบาทสมเด็จพระเชษฐาธิราชก็ทรงพระเมตตาอยู่มิเสื่อมคลาย ไว้วางพระราชหฤทัยให้ทรงดูแลราชการต่างพระเนตรพระกรรณทั่วไป กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เสด็จลงไปพระราชวังหลวงตอนเช้า ประทับที่โรงละครข้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านตะวันตก ทรงตรวจตราบัญชาราชการต่างๆ แล้วจึงเสด็จขึ้นเฝ้าสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ทรงปฏิบัติเช่นนี้เป็นปรกติ
ครั้นถึง ณ วันพุธ เดือน ๘ อุตราสาธ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีฉลูนพศก จุลศักราช ๑๑๗๙ ตรงกับวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๖๐ เวลาเช้า ๕ โมงกับ ๗ บาท กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เสด็จสู่สวรรคต ณ พระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ พระชนมพรรษาได้ ๓๗ ปี เสด็จดำรงอยู่ในที่พระมหาอุปราชได้ ๗ ปีกับ ๑๑ เดือน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพร้อมด้วยวงศานุวงศ์ สรงน้ำพระศพแล้ว เจ้าพนักงานทรงเครื่องเชิญพระศพเข้าสู่พระโกศ เชิญพระโกศขึ้นพระเสลี่ยงแว่นฟ้าออกประตูพรหมภักตร์ ประตูวังหน้าชั้นในด้านหลังพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน เมื่อถึงข้างหน้าแล้ว เชิญขึ้นตั้งบนพระยานุมาศ ๓ ลำคาน ประกอบพระลองแล้วแห่พระศพมาประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์
ในเดือน ๕ ปีขาลสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๘๐ พุทธศักราช ๒๓๖๑ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๐ พระเมรุที่โปรดให้ปลูกที่ท้องสนามหลวง สำหรับพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สำเร็จแล้วตามแบบงานพระเมรุใหญ่ในครั้งรัชกาลที่ ๑ วันแรกเชิญพระบรมสารีริกธาตุแห่ไปประดิษฐานที่พระเมรุ มีงานมหรสพสมโภชหนึ่งวันหนึ่งคืนก่อน เชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับคืนเข้าพระบรมมหาราชวังแล้ว รุ่งขึ้น ณ วันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เชิญพระโกศพระศพกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ขึ้นพระยานุมาศ ๓ ลำคานแห่กระบวนน้อยออกประตูพรหมทวาร จนถึงวัดพระเชตุพน เชิญพระโกศพระศพขึ้นพระมหาพิชัยราชรถแห่กระบวนใหญ่ขึ้นสู่พระเมรุทางสนามชัย ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลและมีมหรสพสมโภช ๗ วัน ๗ คืน ถึงวันพฤหัสบดี เดือน ๕ แรม ๒ ค่ำ พระราชทานเพลิง แล้วมีงานสมโภชพระอัฐิอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน ถึงวันเสาร์ เดือน ๕ แรม ๔ ค่ำ จึงแห่พระอัฐิมาประดิษฐานไว้ในพระบรมมหาราชวัง
ถึง ณ เดือน ๓ ปีมะเส็งตรีศก จุลศักราช ๑๑๘๓ พุทธศักราช ๒๓๖๔ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีประชวรเป็นพระยอดในพระศอ ถึง ณ วันจันทร์ เดือน ๗ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีมะเมียจัตวาศก จุลศักราช ๑๑๘๔ เวลาเช้า ๕ โมง ๔ บาท ก็สิ้นพระชนม์ พระชันษาได้ ๕๐ ปี งานพระศพเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี โปรดฯ ให้ทำพระเมรุที่ท้องสนามหลวง พระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อ ณ เดือน ๓ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๓๖๕
เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี เป็นพระโอรสสมเด็จกรมพระศรีสุดารักษ์ และเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี สมเด็จพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ นี้ ทรงเป็นเจ้านายผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำหรับสำหรับแผ่นดินพระองค์ ๑ ในรัชกาลที่ ๒ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยทรงปรึกษาข้อราชการทั่วไปทุกอย่าง เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีทรงชำนาญในศาสตร์หลายด้าน เป็นต้นว่า เป็นจิตกวี และชำนาญในการนาฏศาสตร์ มีเรื่องเล่ากันว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์บทละคร เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีทรงเป็นผู้คิดท่ารำให้ถูกกับบท แม้ในรัชกาลต่อๆ มา เวลาไหว้ครู พวกครูละครยังไหว้นบเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีด้วยพระองค์ ๑ ตลอดจนการช่างต่างๆ ก็ทรงชำนาญอย่างยิ่ง จะขอยกตัวอย่างแสดงให้เห็น
ในงานพระบรมศพ พระศพแต่โบราณมา หาได้มีเกรินบันไดนาคไม่ ใช้เป็นไม้ล้มลุกและต้องเปลื้องเครื่องประกอบพระโกศ การใช้เกรินเกิดขึ้นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๒ นี้ ในงานพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าหลวง (คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) เมื่ออัญเชิญพระบรมโกศลงจากพระมหาพิไชยราชรถทรงยานุมาศเข้าสู่พระเมรุด้านบูรพาทิศ แห่เวียนพระเมรุโดยอุตราวัฏ ๓ รอบ จึงเชิญพระบรมโกศขึ้นบนเกรินบันไดนาค ซึ่งเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีทรงคิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เมื่อพระบรมโกศตั้งบนเกริ่นแล้วจึงขันช่อกว้านเกรินเลื่อนขึ้นไปตามบันไดนากจนสุด จึงเจ้าพนักงานกรมภูษามาลาเลื่อนพระบรมโกศไปประดิษฐานเหนือพระเบญจาทองภายใต้พระมหาเศวตฉัตรในพระเมรุมาศ โดยไม่ต้องเปลื้องเครื่องประกอบพระบรมโกศแต่อย่างใด แต่นั้นมาในการพระศพ พระบรมศพ ก็ใช้เกรินบันไดนากสืบต่อมา
ในรัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายมีหน้าที่กำกับราชการกระทรวงต่างๆ หลายพระองค์ สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงกำกับราชการสงคราม และช่วยดูแลราชการต่างพระเนตรพระกรรณ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีพระราชทานพระวังเดิมฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นที่ประทับ และเป็นผู้กำกับราชการมหาดไทย และกรมวัง เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จสู่สวรรคต จึงได้เป็นผู้สำเร็จราชการต่างพระเนตรพระกรรณสืบต่อมา ให้พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นผู้สำเร็จราชการกรมท่า เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์จึงได้สำเร็จราชการต่างพระเนตรพระกรรณแทน ส่วนหน้าที่กำกับราชการมหาดไทยโปรดให้เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์เป็นผู้สำเร็จราชการ ควบกับทรงกำกับราชการกลาโหมด้วย ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพก็โปรดให้ช่วยเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์กำกับราชการกลาโหมอีกพระองค์ ๑ ด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏว่า กรมหมื่นเทพพลภักดิกับกรมหมื่นรักรณเรศ แต่ยังไม่ได้รับกรม ได้ทรงกำกับกรมคชบาลด้วยกันทั้ง ๒ พระองค์ และกรมหมื่นพิพิธภูเบนทรได้ทรงกำกับกรมเมือง
เหตุที่กล่าวถึงต้องกล่าวถึงประวัติเจ้านายทั้งสองพระองค์ คือ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ กับเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีนี้ และเรื่องเจ้านายทรงสำเร็จราชการกระทรวงต่างๆ นี้ ก็เพราะเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องการเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติในรัชกาลต่อไป ภายหลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป การที่โปรดให้เจ้านายทรงกำกับราชการกระทรวงต่างๆ นี้ ก็เพิ่งเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๒ รัชกาลก่อนหน้านี้หาปรากฏไม่
เมื่อเสร็จงานพระราชทานเพลิงพระศพเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ เสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม ขณะนั้นพระชันษาได้ ๑๘ ปี ทรงครอบครองพระราชวังเดิมได้ไม่ถึง ๓ ปี พอปีวอกฉศก จุลศักราช ๑๑๘๖ พุทธศักราช ๒๓๖๗ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ มีพระชันษา ๒๑ ปี ถึงเกณฑ์เสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุตามราชประเพณี แต่เป็นเวลาพระเคราะห์ร้าย พระยาเศวตไอยราล้มเมื่อเดือน ๗ ขึ้น ๗ ค่ำ ถึงแรม ๘ ค่ำ พระยาเศวตคชลักษณ์ล้มอีกช้าง ๑ ช้างเผือกอันเป็นศรีนคร และเป็นคู่พระบารมีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยล้มคราวเดียวกันถึง ๒ ช้าง เป็นเหตุให้เกิดรู้สึกกันทั่วไปว่าเป็นอุปัทวเหตุสำคัญ จนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงสบายพระราชหฤทัย ถึงเดือน ๘ เป็นกำหนดทรงผนวชสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ จึงโปรดให้ทำพอสังเขป ไม่ต้องแห่แหนเป็นการใหญ่ตามประเพณีทรงผนวชสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ซึ่งเคยทำมาแต่ก่อน
วันอังคาร เดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๖๗ โปรดให้มีงานเวียนเทียนสมโภชสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน รุ่งขึ้นทรงพระเสลี่ยง มีกระบวนช้าง ม้า และพลเดินเท้า เครื่องสูง กลองชนะ แห่พอสมควร ออกประตูวิเศษไชยศรีเข้าประตูสวัสดิโสภา ประทับเกยพลับพลาเปลื้องเครื่องหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงโปรยทานแล้วเปลื้องเครื่องเข้าสู่ที่สรง แล้วทรงพระภูษาจีบเขียนทอง ทรงฉลองพระองค์ครุยเสด็จเข้าสู่พระอุโบสถ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระฉายาในพุทธศาสนาว่า วชิรญาณ ทรงผนวชในที่ประชุมสงฆ์ บ่ายวันนั้นมีการสวดมนต์ฉลอง ผนวชแล้วประทับอยู่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามคืน ๑ รุ่งขึ้นเลี้ยงพระแล้วจึงเสด็จไปประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุ
เพียง ๗ วันหลังจากสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชพระภิกษุ ถึงวันพุธ เดือน ๘ แรม ๔ ค่ำ ปีวอกฉศก จุลศักราช ๑๑๘๖ ตรงกับวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระประชวร มีพระอาการให้มึนและเหมื่อยพระองค์ จึงเรียกพระโอสถข้างที่ชื่อ จรไนเพ็ชร ซึ่งเคยเสวยมาแต่ก่อนนั้นมาเสวย ครั้นเสวยพระโอสถจรไนเพ็ชรแล้วเกิดพระอาการให้ร้อนเหลือกำลัง จึงรับสั่งเรียกพระโอสถชื่อว่า ทิพโอสถ มาเสวยอีกขนาน ๑ พระอาการก็ไม่คลาย กลับเชื่อมซึมไปและมิได้ตรัสสิ่งใด แพทย์หลวงปรึกษากันประกอบพระโอสถถวาย ก็เสวยไม่ได้อีกต่อไป ประชวรอยู่เพียง ๘ วัน ครั้นถึง ณ วันพุธ เดือน ๘ แรม ๑๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๘๖ ตรงกับวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๖๗ เวลาย่ำค่ำแล้ว ๕ บาท ก็เสด็จสู่สวรรคตโดยมิได้มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งราชการบ้านเมืองแต่อย่างใด สิริพระชนมายุได้ ๕๘ พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติอยู่ ๑๖ พรรษา สิ้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถเพียงเท่านี้
....................................................................................................................................................
อ้างอิง
๑. พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว - สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ๒. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ - เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ๓. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ - เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ และฉบับทรงชำระ ๔. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ - เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ๕. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ - เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ๕. พระราชพงศษวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕ - สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ๖. ชุมนุมพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๗. ชุมนุมประกาศในรัชกาลที่ ๔ ๘. พระธรรมเทศนาเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว - พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๙. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑๓ ตำนานวังหน้า - สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ๑๐. พระบวรราชประวัติ - สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ๑๑. จดหมายเหตุความทรงจำ ของ กรมหลวงนรินทรเทวี ๑๒. ประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีป - สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ๑๓. ราชินิกุลรัชกาลที่ ๓ - สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุขฯ ๑๔. และพระนิพนธ์เรื่องย่อยต่างๆ ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
Create Date : 08 เมษายน 2551 |
| |
|
Last Update : 8 เมษายน 2551 8:40:51 น. |
| |
Counter : 2447 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
กัมม์ |
|
|
|
|