เที่ยวเมืองพระร่วง ภาคที่ ๑ ระยะทางเสด็จ และถนนพระร่วง
คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งที่ ๒
หนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ แล้วโปรดฯให้พิมพ์เป็นพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ในเวลานั้นยังเสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เสด็จขึ้นไปประพาสเมืองกำแพงเพชร เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองอุตรดิตถ์ และเมืองพิษณุโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ ทรงตรวจตราโบราณวัตถุสถานตามเมืองเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน และสอบสวนเรื่องตำนานของเมืองเหล่านั้นอันปรากฏอยู่ในหนังสือเก่า มาทรงพระราชวินิจฉัยชี้แจงดังปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ ก่อนนั้นผู้อื่นมีน้อยตัวที่ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯในทางโบราณคดี พอหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงพิมพ์ปรากฏ ก็เกิดความเห็นเป็นอันเดียวทั่วกันว่าทรงสามารถในการวินิจฉัยเรื่องโบราณคดีแต่นั้นมา และนับถือกันว่าหนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงนี้ควรใช้เป็นตำรานำทางเที่ยวตรวจตราโบราณวัตถุที่เมืองพระร่วงดีกว่าหนังสือเรื่องอื่นๆอันมีมาแต่ก่อน และยังนับถือมาจนทุกวันนี้ ถ้าจะนับเวลาแต่แรกพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ก็ได้ถึง ๒๐ ปี
บัดนี้พระยาอนุศาสน์จิตรกร(จันทร์ จิตรกร) จะปลงศพคุณหญิงชุ่ม อนุศาสน์จิตรกรผู้ภรรยา ปรารถนาใคร่จะพิมพ์พระราชนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง เป็นหนังสือแจกงานศพ ด้วยรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งยังเป็นหลวงบุรีนวราษฐ์ปลัดกรมข้าหลวงเดิม ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในครั้งนั้นปรากฏนามอยู่ในพระราชนิพนธ์ตอนคำนำ ว่าได้ช่วยสนองพระเดชพระคุณเป็นผู้เขียนถ่ายแบบลวดลายของโบราณในเมืองพระร่วง พระยาอนุศาสน์จิตรกรมาหารือข้าพเจ้าๆอนุโมทนาทั้งในความรู้ส่วนโบราณคดี และส่วนตัวพระยาอนุศาสน์จิตรกร เพราะหนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงยังใช้เป็นตำราของผู้ศึกษาโบราณคดีอยู่จนปัจจุบันนี้
แต่ว่าหนังสือนี้ได้พิมพ์มาช้านานถึง ๒๐ ปี ในระวางนั้นการตรวจตราโบราณคดีพบปะข้อความซึ่งควรจะเพิ่มเติม และควรจะอธิบายพระราชนิพนธ์ให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นได้มีอยู่หลายอย่าง ข้อนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้แสดงพระราชประสงค์ไว้ในคำนำหนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงว่า จะทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นโครงให้ผู้ตรวจตราภายหลังแก้ไขเพิ่มเติมตามความรู้ที่ได้พบเห็นขึ้นใหม่ให้เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าจึงรับธุระพระยาอนุศาสตร์จิตรกรที่จะตรวจและเพิ่มเติมความเรื่องนี้ตามพระราชประสงค์ ให้ใช้เป็นตำราต่อไปได้ดังที่เป็นมาแล้ว แต่ให้พระยาอนุศาสน์จิตรกรกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชานุญาติเสียก่อน พระยาอนุศาสน์ฯจึงได้นำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯตามประสงค์ ข้าพเจ้าจึงได้ตรวจตราทำอธิบาย แต่ลักษณะการตรวจข้าพเจ้าไม่อยากแก้ไขพระราชนิพนธ์โดยไม่จำเป็น จึงทำอธิบายหมายเลขเพิ่มเติมความไว้ข้างท้ายตอนดังปรากฏอยู่ในฉบับที่พิมพ์ใหม่
ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายผู้ได้รับหนังสือเรื่องนี้ไปอ่านคงจะรู้สึกขอบพระเดชพระคุณ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งได้ทรงพระราชอุตสาหะตรวจตราและทรงพระราชนิพนธ์ จึงได้เกิดมีหนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ทั้งเชื่อว่าคงจะขอบคุณพระยาอนุศาสน์จิตรกร ซึ่งได้พิมพ์หนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ และอนุโมทนากุศลบุญราศีทักษิณานุประทาน ซึ่งพระยาอนุศาสน์จิตรกรบำเพ็ญนี้ด้วยทั่วกัน
(เซ็นพระนาม) ดำรงราชานุภาพ นายกราชบัณฑิตยสภา วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑
....................................................................................................................................................
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จประพาสหัวเมือง ท่ามกลางเหล่าข้าราชบริพาร ใกล้ชิดพระองค์
คำนำ (พระราชนิพนธ์)
ความประสงค์ในการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น คือหวังจะให้เป็นหนทางที่ผู้ชำนาญในโบราณคดี จะได้มีโอกาสพิจารณาและสันนิษฐานข้อความเกี่ยวข้องด้วยเมืองสุโขทัย สวรรคโลก และกำแพงเพชร ต่อไป การสันนิษฐานโดยมิได้ตรวจพื้นที่หรือโบราณสถานนั้นย่อมเป็นการยากนัก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงหวังว่าหนังสือเล่มนี้อาจเป็นเครื่องช่วยในทางสันนิษฐานได้บ้างเล็กน้อย ข้าพเจ้าเองเคยรู้สึกอยู่ว่าที่แห่งใดไม่เคยไป ถ้าแม้ได้ฟังจากคืนอื่นซึ่งตังใจสังเกตมาเล่าให้ฟัง บางทีก็ทำให้เกิดความคิดขึ้นได้บ้าง ในหนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าได้พยายามโดยเต็มสติปัญญาที่จะเล่าถึงสถานที่ต่างๆให้ละเอียดตามที่ได้เห็น
แต่ต้องขอแก้ตัวไว้ในที่นี้ว่าบางทีจะมีบกพร่องอยู่มาก เพราะประการหนึ่งเวลามีน้อยอยู่สักหน่อย เพราะฉะนั้นบางทีมาได้ข่าวถึงสถานที่สำคัญๆเมื่อเดินพ้นมาเสียแล้ว จะย้อนกลับไปก็ไม่มีเวลาเช่น เมืองเชียงทองพึ่งมาได้ข่าวมีเมื่อมาอยู่ที่สวรรคโลกแล้ว และถ้ำพระรามใกล้สุโขทัยซึ่งกล่าวถึงอยู่ในศิลาจารึก และซึ่งข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าจะไปแต่หาไม่พบ จนเมื่อมาอยู่ที่พิษณุโลกแล้วจึงได้ข่าวว่ามีดังนี้เป็นตัวอย่าง อีกประการหนึ่ง ตามสถานที่เหล่านี้ไม่ใคร่มีใครไป จึงเป็นการลำบากในการค้นหาเป็นอันมาก บางแห่งต้องหักร้างถางพงเข้าไป ไปกว่าจะถึงก็ยากนัก ซึ่งทำให้สงสัยอยู่ว่าตามในที่รกๆซึ่งยังเข้าไปไม่ถึงนั้นน่าจะมีสิ่งที่ควรดูอยู่อีกบ้าง
อนึ่งเมื่อก่อนจะไปนั้น ก็ไม่ใคร่ได้มีเวลาค้นหาหนังสือต่างๆที่เกี่ยวข้องในเรื่องเมืองสุโขทัย สวรรคโลก และกำแพงเพชรนี้มากนัก หนังสือที่ได้ใช้พอเป็นหลักอยู่ก็คือหนังสือคำจารึกหลักศิลาเมืองสุโขทัยหลักที่ ๑ (ของพระเจ้ารามคำแหง) หลักที่ ๒ (ของพระเจ้ากมรเตญอัตศรีธรรมิกราชาธิราช) หลักศิลาจารึกเมืองกำแพงเพชร กับหนังสือพงศาวดารเหนือ และพระราชพงศาวดารกรุงเทพทวารวาดีศรีอยุธยา ในจำพวกคำจารึกหลักศิลานั้น ในหลักที่ ๑ ได้แก่นสารมากที่สุด พระราชพงศาวดารกรุงเทพทวารวดีก็ช่วยได้บ้าง แต่พงศาวดารเหนือนั้น มีความเสียงใจที่จะต้องกล่าวว่าเลอะเทอะมากจนแทบจะไม่เป็นเครื่องอะไรได้เลย และเชื่อนักก็ชวนจะพาให้หลวงเสียด้วย แต่จะว่าไม่เป็นประโยชน์เลยนั้นไม่ได้ เพราะได้ความคิดจากพงศาวดารเหนือก็มากอยู่ เป็นแต่ต้องระวังไม่หลงเชื่อถือเป็นของมั่นคงหรือถูกต้องนักเท่านั้น
ข้าพเจ้าต้องขอกล่าวด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์ที่จะยกหนังสือนี้เป็นตำรับตำราอย่างใดเลย ประสงค์แต่จะตั้งโครงพอเป็นรูปขึ้นไว้ทีหนึ่ง เพื่อผู้ที่มีความรู้และพอใจในการตรวจค้นโบราณคดีต่างๆจะได้ตกแต่งแต้มเติมให้เป็นรูปอันงดงามดีขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าแม้ผู้ที่อ่านจะมีความเห็นไม่ตรงกับข้าพเจ้า ๆ จะไม่รู้สึกเสียใจเลย แต่ตรงกันข้าม ถ้าแม้ท่านผู้ใดมีความเห็นไม่ตรงกับข้าพเจ้าในข้อใด บอกชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบจะยินดีขอบคุณเป็นอันมาก และข้าพเจ้าจะรู้สึกว่าได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีก
แต่นอกจากจะเล่าเรื่องไปดูโบราณสถานต่างๆให้นักเลงโบราณคดีฟังและออกความคิด หวังใจว่าหนังสือเล่มนี้จะมีผลอย่างอื่นบ้าง คือประการหนึ่งบางทีจะทำให้คนไทยรู้สึกขึ้นมาบ้างว่า ชาติไทยเราไม่ใช่ชาติใหม่ และไม่ใช่ชาติที่เป็นคนป่า หรือที่เรียกตามภาษาอังกฤษ "อันซิวิไลซ์" ชาติไทยเราได้เจริญรุ่งเรืองมามากแล้ว เพราะฉะนั้นควรที่จะรู้สึกอายแก่ใจว่า ในกาลปัตยุบันนี้อย่าว่าแต่จะสู้ผู้อื่น แม้แต่จะสู้คนที่เป็นต้นโคตรของเราเองก็ไม่ได้ ฝีมือช่างหรือความอุตสาหะของคนครั้งพระร่วงดีกว่าคนสมัยนี้ปานใด ถ้าอ่านหนังสือนี้แล้ว บางทีจะพอรู้สึกหรือเดาได้บ้างไม่มากก็น้อย ถ้าอ่านแล้วคงจะเห็นความเรียวของคนเราเพียงไร คนไทยโบราณมีแต่คิดและอุตสาหะทำสถานที่ใหญ่โตงดงามขึ้นไว้ให้มั่นคง คนไทยสมัยนี้มีแต่จะรื้อจะถอนของเก่าหรือทิ้งให้โทรม เพราะมัวหลงนิยมในของใหม่ไปตามแบบของชาวต่างประเทศ ไม่รู้จักเลือกสรรว่าสิ่งไรจะเหมาะจะควรใช้ในเมืองเรา สักแต่เขาใช้ก็ใช้บ้าง มีแต่ตามอย่างไปประดุจทารกฉะนั้น
อีกประการหนึ่งได้ยินอยู่มิได้หยุด ว่าคนไทยสมัยใหม่นี้พอมีเงินมีทองขึ้นสักหน่อยก็ต้องไปเที่ยว (เรียกว่าไปตากอากาศ) ในเมืองต่างประเทศ ถ้ายิ่งไปถึงยุโรปก็ยิ่งเป็นที่นิยมมาก แต่ถึงจะไปได้เพียงสิงคโปร์หรือปีนังหรือฮ่องกง ก็ดูออกจะพอๆคงมีเรื่องพูดอวดได้แล้ว ท่านเหล่านี้เห็นจะไม่ได้นึกเลยว่าในเมืองไทยของเราเองก็มีที่เที่ยวสนุกได้ เพราะฉะนั้นบางทีหนังสือนี้พอจะเป็นเครื่องเตือนได้บ้างกระมัง ว่าถ้าแม้อยากจะเที่ยวในเมืองไทยก็พอจะหาที่เที่ยวได้อยู่บ้าง
ยังในส่วนช่างของไทยเรา ซึ่งเวลานี้อยู่ข้างจะโทรมอยู่มากนั้น บางทีถ้าได้ดูรูปสถานที่และลวดลาย ซึ่งได้พยายามฉายรูปมาพิมพ์ไว้ในหนังสือนี้จะเกิดรู้สึกขึ้นได้บ้าง ว่าฝีมือช่างไทยเราได้เคยดีมาแต่โบราณแล้วหากมาทิ้งกันให้เลือนไปเองจึงได้โทรมหนัก และจึงได้พากันมัวหลงนึกไปเสียว่าวิชาช่างของเราเลวนัก ต้องใช้ตามแบบฝรั่งจึงจะงาม ที่จริงฝีมือและความคิดของเขากับของเราก็งามด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่งามไปคนละทาง ถ้าแม้จะใช้ของเขาก็ให้ใช้ทั้งหมด ใช้ของเราก็เป็นของเราทั้งหมด ที่น่ารำคาญนั้นคือใช้ปนกันเปรอะ เช่นมุงหลังคาโบสถ์ด้วยกระเบื้องสิเมนต์เป็นต้น ถ้านึกว่าฝรั่งเขาเห็นงามแล้วต้องแปลว่าเข้าใจผิดโดยแท้
ในที่สุดข้าพเจ้าขอขอบใจ ผู้ที่ได้ช่วยเหลือในส่วนตัวในระหว่างเวลาที่ตรวจค้นโบราณสถานต่างๆดังต่อไปนี้
พระยาอมรินทรฦๅไชย ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ พระยาอุทัยมนตรี ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก ท่านทั้งสองนี้ได้เอาใจใส่ช่วยตรวจค้นโบราณสถาน และวัตถุต่างๆ และได้สำแดงความเห็นหลายครั้ง พระวิเชียรปราการผู้ว่าราชการเมืองกำแพงเพชร ได้เป็นผู้ออกตรวจเป็นกองหน้า ซอกแซกค้นหาสถานต่างๆได้ดียิ่งกว่าผู้อื่น นับว่าเป็นกำลังมาก นายร้อยโทขุนวิจารณ์รัฐขันธ์ พนักงานแผนที่กรมเสนาธิการทหารบก ได้เป็นผู้ทำแผนที่ในเขตเมืองกำแพงเพชร สุโขทัย และสวรรคโลก กับถนนพระร่วงตลอด นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ขอขอบใจข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่ประจำอยู่ตามหัวเมืองในมณฑลนครสวรรค์ มณฑลพิษณุโลก กับหลวงภูวสถานพินิจ และพนักงานกองข้าหลวงเกษตรจัดการที่ดินมณฑลพิษณุโลก ในการที่ได้ช่วยเหลือในการตรวจค้นโบราณสถานและวัตถุต่างๆ และช่วยทำแผนที่สถานต่างๆที่ได้ไปดูครั้งนั้นด้วย
อนึ่งต้องต้องขอขอบใจพระศรีสุนทรโวหาร ในการที่จะได้ช่วยเป็นธุระในการพิมพ์แผนที่ต่างๆ ในสมุดนี้ และขอขอบใจนายจำนงราชกิจในการที่ได้เป็นผู้ช่วยจดข้อความต่างๆ และทั้งเป็นผู้อ่านตรวจที่พิมพ์ขึ้นนี้ ให้ถูกต้องตรงกับต้นร่างด้วย
ลายในที่ท้ายตอนในหนังสือเล่มนี้ หลวงบุรีนวราษฎร์ เป็นผู้เขียนถ่ายมาจากลวดลายต่างๆ ตามโบราณสถานที่ซึ่งยังมีเหลืออยู่แต่วัตถุต่างๆที่ได้ค้นหามาได้
(เซ็นพระปรมาภิไธย) ราม วชิราวุธ สวนจิตรลดา กันยายน ร.ศ.๔๑ ๑๒๗
..........................................................................
อธิบายความเพิ่มเติมในคำนำ
ตัวบุคคลที่ปรากฏนามในคำนำมีชื่อตัว และภายหลังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์มีนามอื่นดังนี้
๑. พระยาอมรินทรฦๅไชย (จำรัส รัตนกุล) ภายหลังเลื่อนเป็น พระยารัตนกุลอดุลยภักดี ๒. พระยาอุทัยมนตรี (พร จารุจินดา) ภายหลังเลื่อนเป็น เจ้าพระยาสุรบดินทรฯ ๓. พระวิเชียรปราการ (ฉาย) ภายหลังเลื่อเป็นพระยาชันนฤนาท ๔. นายร้อยโทขุนวิจารณ์รัฐขันธ์ (นาค) ภายหลังเป็นหลวง ๕. หลวงภูวสถานพินิจ (ม.ร.ว. สนั่น) ๖. พระยาศรีสุนทรโวหาร (กมล สาลักษณ์) ปลัดทูลฉลองกระทรวงเกษตราธิการ (ซึ่งบัญชาการกรมทำแผนที่อยู่ในสมัยนั้น) ภายหลังเลื่อนเป็นพระยาศรีภูริปรีชา ๗. นายจำนงราชกิจ (บุญชู บุนนาค) ภายหลังเป็นพระยาอมรฤทธิธำรง ๘. หลวงบุรีนวราษฐ์ (จันทร์ จิตรกร) ภายหลังเป็นพระยาอนุศาสน์จิตรกร
....................................................................................................................................................
ตอนที่ ๑ ที่ควรไปดูตามทางไปกำแพงเพชร
หนังสือนี้กล่าวถึงเรื่องไปเที่ยวเมืองพระร่วงก็จริง แต่ตามหนทางไปมามีที่ซึ่งควรดูหลายแห่ง ที่เหล่านี้ถึงแม้จะมิได้เป็นที่เกี่ยวข้องกับพระร่วงก็จริง แต่เป็นที่ควรดู เพราะมีเรื่องนับเนื่องเกี่ยวกันอยู่ในเรื่องของชาติไทย จึงเห็นว่าแม้จะกล่าวถึงบ้างก็ไม่สู้เสียเวลาอ่านมากนัก
ข้าพเจ้าออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ร.ศ.๔๐๑๒๖ โดยสารรถไฟไปจนถึงปากน้ำโพมิได้แวะแห่งใด ที่เมืองนครสวรรค์เองมีของโบราณที่ปรากฏอยู่คือค่ายสันคู ซึ่งมีแต่เทินดินและคูเหลือเป็นแนว ได้ทราบว่ายังพอเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ แต่หาเวลาตรวจตรานานไม่ได้ ทั้งไม่เชื่อว่าจะค้นพบอะไรที่เป็นหลักฐานหรือที่น่าดู จึงเลยไม่ได้พยายามต่อไป วันที่ ๖ มกราคม ออกจากนครสวรรค์ขึ้นทางแควน้อยโดยเรือแม่ปะ การเดินทางย่อมจะต้องช้าอยู่ เพราะจะต้องใช้ถ่อขึ้นไปตลอดทาง วันที่ ๘ จึงถึงที่ซึ่งมีของควรดู คือถึงบ้านหูกวาง จอดเรือที่ฝั่งตะวันตก
ของควรดูที่บ้านหูกวางนี้ ก็คือถนนที่ถมข้ามบึงหูกวาง เมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือเสด็จจับช้างที่นี้ ผู้ที่แม่นอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงทวาราวดีก็คงจะจำได้ว่า เมื่อปีมะเมียจัตวาศก จุลศักราช ๑๐๖๔ พระพุทธเจ้าเสือได้เสด็จโดยขบวนเรือขึ้นไปที่นครสวรรค์ ขึ้นตั้งตำหนักพลับพลาอยู่ตำบลบ้านหูกวาง แล้วทรงพระกรุณาให้ตั้งค่ายปีกกาล้อมฝูงช้างเถื่อน ณ ป่ายางกองทอง และให้ตั้งค่ายมั่นสำหรับจะกันช้างเถื่อนเข้าจับนั้น ต่อนั้นมามีข้อความกล่าวไว้ว่า ในระหว่างค่ายหลวงที่ประทับ และค่ายล้อมช้างต่อกันนั้น มีบึงใหญ่หลวงขวางอยู่หว่างกลาง และทางเดินลัดตัดตรงไปค่ายล้อมนั้นต้องผ่าบึงใหญ่ไปจึงใกล้ ถ้าและจะเดินหลีกไปให้พ้นบึงนั้นจะมีระยะอ้อมวงไปไกลนัก จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสองพระองค์ให้เป็นแม่กอง เกณฑ์คนถมถนนหลวงเป็นทางสถลมารคข้ามบึงใหญ่นั้นไปให้สำเร็จแต่ในเพลากลางคืน รุ่งสางขึ้นจะเสด็จพระราชดำเนินช้างพระที่นั่งข้ามไป ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้นนั้น คือ ช้างพระที่นั่งไปตกหล่มกลางบึง และทรงพระพิโรธสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธออย่างไรบ้างนั้น เป็นเรื่องราวที่คนโดยมากย่อมจำได้โดยแม่นยำ ไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำในที่นี้
บ้านหูกวางนั้น ข้าพเจ้าทราบแล้วว่ายังมีอยู่ แต่ไม่เชื่อถนนข้ามบึงนั้นจะยังแลเห็นเป็นขอบคันอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ทราบข่าวจากพระยาอมรินทรฦๅไชยว่าได้ไปพบถนนนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ตั้งใจที่จะไปดูให้จงได้ เพราะฉะนั้นพอมีโอกาสๆได้ขึ้นไปเที่ยวทางเมืองเหนือ จึงได้แวะที่ตำบลบ้านหูกวาง ขึ้นเดินจากฝั่งแม่น้ำไปประมาณ ๘ เส้นก็ถึงขอบบึงหูกวาง ถึงปลายถนนด้านตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วเดินไปตามถนนเบ็ดเสร็จยาวประมาณ ๑๐ เส้น ยังพอเห็นเป็นคันได้ถนัด คะเนว่าถนนกว้างประมาณ ๑๐ วา ส่วนบึงนั้น ในเวลาที่ไปดูสังเกตยากว่าจะหมดเขตเพียงใดแน่เพราะเป็นเวลาน้ำแห้ง ในบึงเป็นดงแขมรกทั่วไป ทางด้านเหนือลุ่มมีน้ำขังอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ด้านใต้ดอนเสียหมด มีสิ่งที่พอจะเป็นเครื่องสังเกตได้ว่าแห่งใดเป็นบึง แห่งใดเป็นดอนนั้น คือในที่บึงมีแต่ต้นไม้ย่อมๆ ที่ดอนมีไม้เขื่องๆ คะเนว่าบึงนั้นทางยาวประมาณ ๑๐๐ เส้น กว้างประมาณ ๑๐ เส้น ตามขอบบึงด้านตะวันตกเฉียงใต้มีป่ายางสูง แลเห็นเป็นทิวไม้ตลอดไปจนต่อกับเนินทางทิศเหนือของบึง ซึ่งราษฎรเรียกชื่อว่า "เนินทอง" นี่คือกองทองที่กล่าวถึงในพงศาวดาร
ส่วนค่ายปีกกาซึ่งตั้งล้อมฝูงช้างเถื่อนครั้งนั้น น่าจะเดาว่าตั้งยาวไปตามขอบบึงทางตะวันตกเฉียงใต้ไปเนินกองทองทางด้านเหนือ ส่วนค่ายหลวงนั้นน่าจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของขอบบึง เพราะฉะนั้นจึงต้องทำถนนเป็นทางข้ามบึงลัดไปป่ายาง ถ้าค่ายตั้งทางตะวันออกเฉียงเหนือ หรือเหนือของบึงคงจะไม่ต้องทำถนนลัด เพราะที่นั้นใกล้กองทอง เดินไปกองทองไม่ต้องอ้อมมากมายอะไร แต่ที่จะชี้ลงไปให้แน่นั้นย่อมเป็นการยากอยู่เอง เพราะค่ายคงจะทำด้วยไม้สำหรับใช้ชั่วคราวทั้งสิ้น
แต่ส่วนถนนนั้นถ้าจะพิจารณาดูก็เห็นว่า น่าจะสรรเสริญความอุตส่าห์ของผู้ทำ การที่ทำถนนกว้าง ๑๐ วา ยาว ๑๐ เส้นกว่า ให้แล้วเสร็จภายในคืนเดียวนั้น ถึงแม้ทำไปในที่ดอนและในฤดูแล้วก็ไม่ใช่การเล็กน้อยอยู่แล้ว นี่ยังต้องทำข้ามบึงและทำในฤดูฝน น้ำท่วมนองไปใช่แต่ในบึงทั้งในป่าด้วยฉะนั้น ทำให้เป็นงานหนักขึ้นอีกหลายเท่า นึกดูก็น่าประหลาดที่ช้างพระที่นั่งไปตกหล่มลง ในพงศาวดารกล่าวว่าช้างพระที่นั่งไปตกหล่มที่กลางบึง ซึ่งเป็นที่ลุ่ม แต่เมื่อได้ไปดูถึงที่แล้ว จึงสังเกตได้ว่า ที่ตรงกลางบึงไม่ใช่เป็นลุ่มที่สุด ยังมีที่ลุ่มกว่านั้นอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่าที่น้ำไหล เพราะในฤดูน้ำมีสายน้ำไหลข้ามที่ตรงนี้ ถึงในฤดูแล้วก็ยังเห็นว่าเป็นหล่มอยู่มากกว่าแห่งอื่น จึงทำให้คิดไปว่าบางทีจะเป็นแถบนี้เองกระมังที่ช้างพระที่นั่งมาตกหล่ม แต่ที่น้ำไหลนั้นไม่อยู่ที่ตรงกลางบึง อยู่ค่อนไปทางป่ายางทางปลายถนนด้านตะวันตกเฉียงใต้ ห่างจากขอบบึงทางประมาณ ๒ หรือ ๓ เส้น ตรวจค้นได้เท่านี้
เดินทางตั้งแต่บ้านหูกวางต่อขึ้นไป ก็ไม่มีอะไรที่จะพึงดูจนกระทั่งบ้านโคน ซึ่งได้ไปถึงเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม เวลาบ่าย ต่อเมื่อวันรุ่งขึ้น วันที่ ๑๔ มกราคม เวลาเช้าจึงได้ขึ้นบก ที่นี้มีปัญหาอยู่ว่า จะเป็นที่ตั้งเมืองเทพนครของพระเจ้าศิริไชยเชียงแสนหรือมิใช่ เพราะฉะนั้นจึงเห็นเป็นที่ควรขึ้นดูสักคราวหนึ่ง จากที่เรือจอดต้องเดินข้ามหาดทรายไปหน่อยหนึ่งก่อน แล้วจึงถึงที่ตลิ่งแท้ๆ บนตลิ่งมีหมู่บ้าน ดูแน่นหนาตา แต่ในชั้นต้นยังไม่ได้ดูหมู่บ้าน แต่ได้เดินเลยออกไปในป่า ซึ่งมิใช่ป่าสูง ต้นไม้ก็ไม่สู้ใหญ่นักพอเดินไปได้ร่มสบาย เดินไปได้ประมาณ ๒๐ เส้นก็ไปถึงลำน้ำแห่งหนึ่ง มีน้ำขังอยู่เป็นห้วงๆ เมื่อแรกเข้าใจว่าจะเป็นคูเมือง แต่ถ้าเช่นนั้นแล้วหลังลำน้ำเข้าไปควรจะมีเทิน แต่เมื่อได้ข้ามคลองนั้นไปแล้วค้นดูไม่พบเทินหรือเนิน ที่รูปร่างพอจะเหยียดเป็นเทินได้เลย พระวิเชียรปราการชี้แจงว่าคลองนี้ออกไปต่อกับลำน้ำแควน้อย เพราะฉะนั้นเข้าใจว่าเป็นลำน้ำเก่า ก็ดูชอบกลอยู่ เลยยอมเห็นตามด้วย
เดินต่อไปอีกถึงวัดซึ่งราษฎรเรียกว่า วัดกาทิ้ง ไม่ปรากฏว่าเหตุใดจึงเรียกชื่อเช่นนั้น ทางตั้งแต่ท่าเรือมาประมาณ ๔๐ เส้น สังเกตว่าวัดนี้เป็นวัดเก่าจริงและได้ซ่อมแซมหลายครั้ง มีอุโบสถย่อมก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่ๆถูกขุดเสียป่นปี้แล้ว ที่พื้นอุโบสถซึ่งยกพื้นสูงเหนือพื้นดินราว ๒ ศอกนั้น ตรงกลางถูกขุดเสียจนเป็นบ่อลึกถนัด พระประธานก็พระเศียรหาย คงจะถูกทำลายเสียด้วยเหมือนกัน เสมาชัยหน้าโบสถ์ถูกถอนขึ้นมาล้มนอนอยู่ และที่ตรงที่ตั้งเสมานั้นเป็นหลุมลึก คงจะเป็นนักเลงเล่นพระพิมพ์ทำเสียเป็นแน่ ต่อโบสถ์ออกไปทางทิศตะวันออกมีวิหารกว้างขวางกว่าโบสถ์ตามแบบวัดโบราณ เสาระเบียงมีเหลืออยู่บ้าง และรักแร้ผนังยังอยู่มุมหนึ่ง วิหารนี้ในชั้นแรกใช้ก่ออิฐแผ่นใหญ่ กว้างยาวขนาดที่ก่อกำแพงกรุงทวาราวดี แต่จะบางกว่าสักหน่อยหนึ่ง แต่อิฐที่ใช้ซ่อมแซมในชั้นหลังนั้นเล็กเพียงขนาดที่ใช้ก่อตึกกันในบัดนี้ ส่วนเสาระเบียงนั้นใช้ก่อด้วยแลง พระประธานที่วิหารยังอยู่พอเห็นได้ พระพักตร์ยาวๆเช่นอย่างพวกพระกำแพงเพชร ไม่ห่างจากวิหารนักมีสระเล็กๆอยู่สระหนึ่งยังมีเสาปักอยู่ ๔ ต้น ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นเสาหอไตร เสานั้นยังบริบูรณ์ดีอยู่ ซึ่งทำให้เข้าใจว่าที่วัดนี้น่าจะพึ่งร้างไปในไม่สู้ช้านัก คงจะพึ่งทิ้งเมื่อลำน้ำเก่าซึ่งผ่านไปริมวัดนี้เขินแห้งขึ้นมานั้นเอง
ออกจากวัดเดินต่อไป ข้ามลำน้ำเก่าบ่ายหน้าลงไปทางลำน้ำใหม่ มีหมู่บ้านซึ่งเรียกว่าบ้านโคนนั้น ตั้งแต่ริมน้ำเก่าตลอดลงไปจนถึงฝั่งน้ำแควน้อย สังเกตว่าบ้านเรือนตามแถบนี้แน่นหนา และปลูกไว้เป็นแถวสองข้างถนน ดูท่วงทีเป็นบ้านเป็นเมือง ทางที่ลึกเข้ามาจากลำน้ำแควน้อยมีบ้านเรือนห่างๆกัน แต่ยิ่งใกล้ลำน้ำลงไปบ้านเรือนยิ่งหนาเข้า มีสวนมีไร่ติดอยู่กับเรือนดูท่าทางมั่นคง ทั้งราษฎรในบ้านโคนนี้ก็ดูกิริยาเป็นชาวเมือง จะเปรียบกับกำแพงเพชรก็คล้ายกัน แลเห็นผิดกับราษฎรที่ได้พบแล้วตามทางที่ไปมาก ด้วยเหตุเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า ที่บ้านโคนนี้คงจะเป็นเมืองมาแต่โบราณกาล แต่หาคูหรือเทินและกำแพงไม่ได้เลย จึงเข้าใจว่าคงจะเป็นเมืองชั่วคราว ซึ่งเจ้าแผ่นดินได้มาตั้งพักอยู่ในระหว่างที่จะเที่ยวหาชัยภูมิสร้างเมืองใหม่ จึงทำแต่ค่ายระเนียดขึ้นไว้เป็นขอบเขต เมื่อสร้างเมืองใหม่แล้วยกราชสำนักไป ค่ายตรงนั้นก็รื้อหรือทิ้งให้โทรมไปเองโดยมิได้ซ่อมแซมอีก เพราะมิได้ตั้งใจให้เป็นที่ตั้งรับศัตรูต่อไป
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะกินกับข้อความที่กล่าวในเรื่องต้นแห่งพระราชพงศาวดารกรุงทวาราวดี ว่าพระเจ้าศิริไชยเชียงแสนได้สร้างเมืองเทพนครขึ้น ส่วนพระเจ้าศิริไชยเชียงแสนซึ่งพงศาวดารกล่าวว่าเสวยราชย์อยู่ ณ เมืองเทพนคร ๒๕ พรรษานั้น เข้าใจว่าคงจะคลาดเคลื่อน ถ้าแม้จะเดาแล้วข้าพเจ้าคงจะเดาว่า ข้อที่พระเจ้าศิริไชยเชียงแสนเสวยราชย์อยู่ได้ ๒๕ พรรษานั้น ถ้าจริงเช่นนั้นคงต้องนับรวมทั้งที่อื่นด้วย คือไม่ใช่สร้างเทพนครแล้วจึงเป็นเจ้า คงเป็นเจ้าอยู่แต่ก่อนแล้ว และที่มาพักอยู่ที่เมืองเทพนครนั้นคงจะไม่สู้นานนักก่อนสิ้นพระชนม์
ส่วนข้อที่ว่าท้าวอู่ทองมาจากไหนแน่ นั้นมีกล่าวกันอยู่สองทาง ทางหนึ่งว่าลงมาจากเมืองเชียงรายจึงเรียกราชวงศ์นั้นในพงศาวดารว่าวงศ์เชียงราย แต่อีกทางหนึ่งว่ามาจากเมืองสุพรรณหรือสุวรรณภูมิ และว่าพระนามพระเจ้าอู่ทองนั้นเองเป็นพยานอยู่ว่า เดิมเป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิหรือท้าวอู่ทอง และเมืองท้าวอู่ทองเก่าเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ที่ใกล้เมืองสุพรรณบุรี การที่ท้าวอู่ทองต้องทิ้งเมืองสุวรรณภูมิ มาสร้างกรุงทวาราวดีขึ้นใหม่นั้น เพราะว่าเกิดห่าขึ้นในเมืองสุวรรณภูมิ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเหตุไฉนจึงยังมีกษัตริย์ครองเมืองสุพรรณอยู่ กล่าวคือขุนหลวงพงัว ซึ่งเป็นพระเชษฐาแห่งพระอัครมเหสีพระเจ้าอู่ทองนั้นเล่า ข้อนี้ชักให้ข้าพเจ้านึกสันนิษฐานเองว่า พระรามาธิบดีซึ่งเรียกว่าพระเจ้าอู่ทองนั้น ตามความจริงหาได้เป็นกษัตริย์วงศ์พระพรรษาเมืองสุวรรณภูมิไม่ เป็นแต่ได้ราชธิดาพระพรรษาเป็นมเหสีเท่านั้น และบางทีเวลาที่ไปเป็นเขยอยู่นั้นจะได้เป็นอุปราชครองกึ่งพระนครตามแบบโบราณก็ได้ ครั้นเมื่อพระพรรษาสิ้นพระชนม์แล้ว ขุนหลวงพงัวผู้เป็นราชโอรสจึงได้ครองราชสมบัติสืบพระวงศ์มา ส่วนเรื่องราวที่มีปรากฏอยู่ว่าท้าวอู่ทองได้อพยพหนีห่านั้น อาจจะเป็นขุนหลวงพงัวหรือพระราชบิดาขุนหลวงพงัวก็ได้ ไม่จำจะต้องเจาะจงลงไปว่าเป็นองค์เดียวกับท่านที่ไปสร้างกรุงทวาราวดีภายหลัง ถ้าแม้ว่าท้าวอู่ทองที่หนีที่หนีจากสุวรรณภูมิเก่านั้น คือ พระรามาธิบดีที่ ๑ กรุงทวาราวดีแล้ว ก็น่าจะถามว่า ถ้าเช่นนั้นขุนหลวงพงัวได้คนที่ไหนมาสร้างสุพรรณใหม่ และต้องเข้าใจว่าพวกพ้องขุนหลวงพงัวไม่มีน้อยๆ ต้องมีมากจึงได้เข้ามาแย่งราชสมบัติพระราเมศวรได้
ข้าพเจ้าจึงค่อนข้างจะเชื่อว่าพระรามาธิบดีที่ ๑ นั้นเป็นวงศ์เชียงรายจริง ตามที่พงศาวดารกล่าวและเชื่อว่าพระเจ้าศิริไชยเชียงแสนได้ลงมาจากเชียงรายมาตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งทางแควน้อย ความประสงค์ของพวกเชียงรายก็คงจะอยากตั้งตัวขึ้นในทิศใต้ แต่พระเจ้าศิริไชยเชียงแสนเองยังมิทันจะเลือกชัยภูมิได้เหมาะก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน จึงได้ตกมาเป็นหน้าที่ของพระเจ้าอู่ทองผู้เป็นราชโอรส เป็นผู้เลือกหาชัยภูมิสร้างกรุงทวาราวดีได้สำเร็จ ส่วนข้อที่ว่าชาวเชียงรายจะสามารถเดินลงมาถึงแควน้อยได้ โดยไม่ถูกสุโขทัยและกำแพงเพชรกีดกั้นขัดขวางนั้น ถ้าคิดดูถึงเรื่องพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเมืองเชียงแสนลงมาสร้างเมืองพิษณุโลกได้แล้ว เหตุไฉนพระเจ้าศิริไชยเชียงแสนจะลงมาสร้างเทพนครทางแควน้อยไม่ได้ ต้องเข้าใจว่าตามความจริงพวกเชียงแสน เชียงราย กับพวกสุโขทัย กำแพงเพชรก็เป็นไทยด้วยกัน และมีเกี่ยวดองกันอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นคงจะไม่สู้เกียดกันอะไรกันนัก(๑)
ในวันที่ ๑๔ มกราคม นั้น พอได้เดินดูที่บ้านโคนทั่วแล้วกลับลงไปกินข้าวที่เรือ แล้วก็ออกเรือ เดินทางสัก ๒ ชั่วโมงก็ถึงที่ตำบลวังพระธาตุ ที่นี้มีที่ซึ่งราษฎรตามแถบนี้เรียกว่าเมืองตาขี้ปม เมื่อไปครั้งหลังข้าพเจ้าหาได้ขึ้นไปดูไม่ เพราะได้ขึ้นไปดูแต่เมื่อครั้งเดินทางกลับมาจากเมืองมณฑลพายัพเมื่อ ร.ศ.๓๘ ๑๒๔ นั้นแล้ว ที่เรียกเมืองนั้น มีคูและเทินดินอย่างแบ่งออกเป็น ๓ ตอน มีเจดีย์ร้างอยู่ในที่นั้นแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ตรวจดูตลอดแล้วสันนิษฐานว่าเป็นค่ายเก่า แต่จะเป็นค่ายครั้งใดก็เหลือที่จะกำหนดลงมาเป็นแน่นอนได้ แต่เห็นว่าภูมิฐานไม่เป็นเมือง การที่เรียกกันว่าเมืองตาขี้ปมนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่คิดผสมเข้าภายหลัง
วันที่ ๑๕ มกราคม เวลาเช้า ๒ โมง ออกเรือจากวังพระธาตุพอบ่ายประมาณ ๒ โมง ก็ถึงเมืองกำแพงเพชร
..........................................................................
อธิบายความเพิ่มเติมในตอนที่ ๑
(๑) เรื่องเมืองโบราณที่บ้านโคนนี้ ต่อมาสอบได้ความว่าตรงกับเมือง "คณฑี" ที่ปรากฏในจารึกพ่อขุนรามคำแหง และในหนังสือจามเทวีวงศ์ เพราะฉะนั้นมิใช่เมืองเทพนคร ดังกล่าวในเรื่องเกร็ดข้างต้นหนังสือพระราชพงศาวดาร อนึ่งเมื่อถึงรัชกาลที่ ๖ ได้เสด็จประพาสถึงเมืองท้าวอู่ทอง ทรงพระราชวินิจฉัยเรื่องพระเจ้าอู่ทองว่าเห็นจะเป็นแต่เชื้อสายราชวงศ์เชียงราย มาได้เป็นราชบุตรเขยเลยได้ครองกรุงอู่ทอง แล้วหนีห่าไปตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ส่วนขุนหลวงพงัวนั้น ได้ครองเมืองสุพรรณอย่างเมืองลูกหลวงอยู่อีกเมืองหนึ่งต่างหาก เมื่อพระเจ้าอู่ทองย้ายไปตั้งกรุงศรีอยุธยาแล้ว จึงได้เป็นใหญ่อยู่ทางเมืองเดิม
....................................................................................................................................................
Create Date : 25 มีนาคม 2550 |
| |
|
Last Update : 25 มีนาคม 2550 16:42:27 น. |
| |
Counter : 4486 Pageviews. |
| |
|
|