(เซ็นพระนาม) ดำรงราชานุภาพนายกราชบัณฑิตยสภาวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑
(เซ็นพระปรมาภิไธย) ราม วชิราวุธสวนจิตรลดากันยายน ร.ศ.๔๑ ๑๒๗
เมืองกำแพงเพชรเป็นเมืองที่ดูได้ง่าย แต่ที่จะสันนิษฐานเรื่องของเมืองนั้นยากกว่าดูหลายส่วน เพราะจะว่าไม่มีหลักฐานอะไรจะยึดเลยก็ว่าได้ เรื่องราวที่เป็นตำนานก็ไม่พบ ในพงศาวดารเหนือก็ไม่กล่าวถึง ในพงศาวดารกรุงทวาราวดีที่กล่าวถึงว่าเป็นเมืองประเทศราชฝ่ายเหนือทีเดียว ไม่ปรากฏว่าใครสร้าง ในตำนานพระเเก้วมรกตนั้นก็กล่าวถึงแต่ว่าเป็นที่ซึ่งพระแก้วเคยไปประดิษฐานไม่มีตำนานว่าใครสร้าง ที่สุดศิลาจารึกเมืองกำแพงเพชรนั้นก็ไม่เป็นหลักฐานที่จะชี้ทางให้สันนิษฐานได้ชัดเจน เพราะมีข้อความเฉพาะเรื่องสร้างพระมหาธาตุเท่านั้น แต่คงได้ได้ความจากหลักศิลานั้นอย่างหนึ่งว่า "สักราช ๑๒๓๗ ปีระกา เดือนแปด ออกห้าค่ำ วันศุกร์" เป็นวันที่จะนับ จำเดิมอายุแห่งพระมหาธาตุซึ่ง "พระญาฏไทยราชผู้เป็นลูกพระญาเลือไทยเป็นหลานแก่พระญารามราช" นั้นได้สถาปนาขึ้น "ในเมืองนครปุนี้ปีนั้น" จึงต้องพึงเข้าใจว่าเมืองนครปุหรือกำแพงเพชรมีอยู่แล้ว เมื่อศักราชได้ ๑๒๓๗ ปี คือ ๕๗๑ ปีล่วงมาแล้ว แต่จะได้สร้างขึ้นก่อนเพียงไรก็ไม่มีหลักอะไรที่จะกำหนดได้
เมื่อข้าพเจ้าไปเมืองกำแพงเพชรครั้งแรก คือแวะเมื่อล่องกลับจากเชียงใหม่ ร.ศ.๓๘ ๑๒๔ นั้น ได้พักอยู่ ๓ คืน ๒ วัน ได้เที่ยวดูในเมืองเก่าและตามวัดที่นอกเมืองบ้าง แต่ในเวลานั้นต้องนับว่ายังอ่อนอยู่มากในทางโบราณคดี คือยังไม่ใคร่ได้มีโอกาสตรวจค้นมาก ทั้งเวลาที่อยู่ก็น้อย และเป็นคนแรกที่ได้ไปดู จะอาศัยฟังความคิดความเห็นผู้ใดๆก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความเห็นในเวลานั้นจึงยังไม่กล้าแสดงให้แพร่หลายมากนัก เป็นแต่ได้ทำรายงานกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามที่ได้สังเกตเห็นด้วยตา และแสดงความเห็นส่วนตัวบ้างเล็กน้อย ภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปประพาสเมืองกำแพงเพชร ทอดพระเนตรสถานต่างๆแล้ว พระราชทานพระบรมราโชวาทเป็นอันมาก ครั้นเมื่อได้ทราบกระแสพระราชดำริแล้ว เมื่อปลาย ร.ศ.๔๐ ๑๒๖ ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปตรวจดูสถานที่ในเมืองกำแพงเพชรซ้ำอีก จึงเห็นทางแจ่มแจ้งดีกว่าครั้งแรกเป็นอันมาก
ที่เรียกว่าเมืองเก่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เป็นเมืองเก่าที่สุด คือเมืองเรียกในศิลาจารึกว่าเมืองนครปุนั้น ไม่ได้ตั้งอยู่ที่เมืองเก่าตั้งอยู่เดี๋ยวนี้ เมืองนครปุนั้นสันนิษฐานว่าตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองเก่าออกไป ในเวลานี้หาคูหรือกำแพงนครปุมิได้เลย ซึ่งไม่เป็นของประหลาดอันใด เพราะอาจที่จะรื้อกำแพงเก่าเข้ามาทำกำแพงเมืองใหม่ที่ริมฝั่งแควน้อยนั้นได้ประการหนึ่ง หรืออีกประการหนึ่ง เมืองนครปุอาจที่จะเป็นเมืองไม่มีกำแพงซึ่งก่อด้วยอิฐหรือแลงอย่างถาวรก็ได้ เมืองโบราณที่ไม่มีกำแพงเช่นนี้ก็มีตัวอย่างอยู่มาก และยังอยากจะใคร่เดาต่อไปอีกว่า ชื่อเมืองกำแพงเพชรนั้นน่าจะให้ภายหลัง เมื่อได้ยกลงมาตั้งริมลำน้ำแควน้อยแล้ว และได้ก่อกำแพงขึ้นด้วยแลงเป็นที่มั่นคง จึงตื่นกำแพงใหม่นั้นนักหนาจนเปลี่ยนชื่อเมือง เรียกว่าเมืองกำแพงเพชร คือประสงค์จะอวดกำแพงนั้นเอง
คราวนี้มีปัญหาซึ่งจะต้องตอบอยู่ข้อหนึ่ง ว่าเหตุไรจึงต้องย้ายเมืองจากที่เดิม ตอบได้ตามความสันนิษฐานทันทีว่า เพราะลำน้ำเก่าแห้งเขินจึงต้องย้ายเมืองลงไปหาลำน้ำที่ยังมีบริบูรณ์ เมื่อได้ไปตรวจดูถึงที่แล้วก็แลเห็นพยานปรากฏอยู่ชัดเจน ว่าข้อสันนิษฐานไว้นั้นไม่ผิด คือได้พบลำน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งได้ความว่าในฤดูแล้งน้ำแห้ง แต่ในฤดูฝนมีน้ำไหล ลำน้ำนี้ปากไปออกแควน้อย ส่วนข้อที่ว่าเมืองเดิมจะตั้งอยู่แห่งใดนั้น ถ้าเมื่อได้ไปดูถึงที่แล้วก็คงจะตอบปัญหาได้โดยความเชื่อว่าจะไม่พลาดมากนัก คือตามที่ใกล้ๆลำน้ำที่กล่าวมาแล้วนั้น มีวัดร้างใหญ่ๆอยู่ติดๆกันเป็นหลายวัด ซึ่งพอเข้าใจอีกอย่างหนึ่งว่า ถึงแม้เมื่อได้ย้ายเมืองลงมาตั้งริมฝั่งแควน้อยแล้วก็ยังมีบ้านคนอยู่ในที่ตั้งนครปุเดิม เพราะยังมีถนนจากประตูสะพานโคมด้านตะวันออกแห่งเมืองกำแพงเพชร ออกไปจนถึงวัดต่างๆในนครปุ ถนนนี้ถมสูงพ้นจากพื้นดินบางแห่งถึง ๒ ศอกเศษ ในกาลบัดนี้ก็ใช้เป็นทางเดินไปได้ นี่เป็นพยานอยู่ว่า วัดเหล่านั้นเจ้าเมืองกำแพงเพชรคงจะยังทำนุบำรุงเป็นพระอารามหลวงอยู่ และถ้าเช่นนั้นแล้วก็ต้องสันนิษฐานได้ว่าบ้านคนคงจะต้องมีอยู่ด้วย มิฉะนั้นพระสงฆ์จะอยู่ในวัดนั้นๆไม่ได้เลย ถ้าแม้จะต้องเดินเข้ามาบิณฑบาตถึงในเมืองกำแพงเพชรทุกวัน ต้องแปลว่าเดินวันละ ๑๐๐ เส้นเศษเสมอ อยู่ข้างจะลำบากมากอยู่ แต่ยังมีพยานอื่นๆอีกว่า มีบ้านคนอยู่ตามแถบเมืองเดิมนั้น ซึ่งอาจจะสันนิษฐานได้เมื่อพบบ่อขุดแลงและสิ่งของอื่นๆ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป
กับยังมีพยานว่าเมืองเดิมอยู่ทางที่กล่าวแล้วนั้น คือข้างถนนที่เดินจากเมืองกำแพงเพชรนั้น มีสระอยู่ ๒ สระ ราษฎรตามแถบนั้นเรียกว่าสระแก้วกับสระคา (คือคงคา) สระทั้ง ๒ นี้คงจะเป็นที่ขังน้ำในเมืองเดิม เช่นสระอื่นๆและสระตระพังททองตระพังเงินเมืองสุโขทัยนั้นเป็นต้น แลเมื่อย้ายเมืองไปตั้งใหม่แล้ว ราษฎรที่ยังคงอยู่แถบเมืองเดิม ก็คงยังได้อาศัยน้ำในสระนั้นเอง จึงยังคงอยู่ได้ต่อไป(๑)
เมืองกำแพงเพชรนี้เป็นเมืองที่อยู่ริมทางที่คนขึ้นล่องก็จริงอยู่ แต่น่าประหลาดที่หาคนที่ได้เคยเที่ยวดูตลอดยากนัก การเที่ยวของไทยเราโดยมากมักนึกถึงแต่การเที่ยวตามตลาดและบ้านผู้คนอยู่เป็นหมู่ๆเท่านั้น เพราะฉะนั้นบางคนแทบจะไม่ทราบว่า ที่กำแพงเพชรมีเมืองเก่าที่จะเที่ยวดูเล่นได้ เมื่อผ่านไปแลเห็นกำแพงเมืองเก่าก็พอแต่ทราบว่ามีเมืองเก่าเท่านั้น ไม่ได้นึกอยากดูหรืออยากทราบอะไรอีกต่อไป บางคนถึงกับเปล่งอุทานวาจาว่าเมืองเก่านั้นจะไปดูอะไรป่านนี้ จนปรักหักพังเสียหมดแล้ว เพราะคนเรามีความคิดเช่นนี้ เรื่องราวของชาติเราจึงได้สูญเร็วนัก ชาวเราไม่รู้สึกละอายแก่ชาติอื่นๆเขาบ้างเลย น่าจะประสงค์ที่จะอวดว่าเราเป็นชาติที่แก่ กลับอยากจะลืมความแก่ของชาติเสีย อยากแต่จะตั้งหนึ่งใหม่ เริ่มด้วยสมัยเมื่อรู้สึกว่าเดินไปสู่ทางเจริญอย่างแบบยุโรปแล้วเท่านั้น ข้อที่ประสงค์เช่นนี้ก็เพราะประสงค์จะให้ชาวยุโรปนิยมว่า ชาติไทยไม่เคยเป็นชาติ "ป่า" เลย พอเกิดขึ้นก็จำเริญเทียมหน้าเพื่อนทีเดียว ข้อนี้เป็นข้อที่เข้าใจผิดโดยแท้ ชาวยุโรปไม่นับถือทั้งของใหม่ทั้งชาติใหม่ นิยมในของโบราณและชาติที่โบราณมากกว่าทั้งนั้น ในหมู่เมืองในประเทศยุโรปเองแข่งกันอยู่เสมอว่า ชาติไหนจะค้นเรื่องราวของชาติได้นานขึ้นไปกว่ากัน เพราะฉะนั้น ที่นิยมเห็นว่าการตัดอายุแห่งชาติตนเป็นของควรกระทำนั้น เป็นความนิยมผิด เท่ากับการหมิ่นประมาทผู้ใหญ่ว่างุ่มง่ามใช้ไม่ได้ ซึ่งเป็นความคิดของคนไทยสมัยใหม่บางจำพวกนั้นแล
ในชั้นต้นก่อนที่จะไปดูวัดใหญ่ๆซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ต้องไปเที่ยวดูภายในกำแพงเสียก่อน เมืองกำแพงเพชรนี้รูปชอบกลไม่ใช่รูปสี่เหลี่ยม กำแพงด้านตะวันออกตะวันตกยาวกว่าด้านเหนือด้านใต้หลายส่วน ด้านเหนือด้านใต้มีประตูด้านละช่องเดียวเท่านั้น แต่ด้านตะวันออกตะวันตกมีหลาช่อง ทั้งมีป้อมวางเป็นระยะไปด้วย รูปกำแพงทั้ง ๒ ด้านนั้นไม่เป็นบรรทัดตรง ตั้งโค้งๆ เพราะฉะนั้นถ้าจะเปรียบรูปเมืองกำแพงเพชร น่าจะเปรียบกับรูปเรือเป็ด กำแพงบนเชิงเทินทำแน่นหนาก่อด้วยแลง มีใบเสมาก่อเป็นแผ่นตรงขึ้นไปสักศอกหนึ่ง แล้วจึงก่อเป็นรูปหลังเจียดขึ้นไปอีกศอกหนึ่ง บนกำแพงมีทางเดินได้รอบ กว้างพอคนเดินหลีกกันได้สบาย นอกกำแพงมีคูลึก เดี๋ยวนี้น้ำยังขังอยู่บ้างเป็นแห่งๆ ทางน้ำไหลเข้ามาจากลำแควน้อยได้ สังเกตว่าเป็นเมืองที่แข็งแรงมั่นคง น่าจะรักษาไว้ให้มั่นคงได้นานๆ
ในกำแพงเมืองนี้ ที่ซึ่งจำเป็นต้องไปก่อนก็คือหลักเมือง ซึ่งได้ไปบวงสรวงตามธรรมเนียม แต่ผู้ที่ไปดูอย่าได้หาหลักเลย เพราะไม่มีหลักศิลา และรูปยักษ์ที่ตั้งไว้เป็นเครื่องหมายเดี๋ยวนี้ เชื่อว่าไม่ใช่ของตั้งอยู่แต่เดิม ออกจากหลักเมืองก็ต้องเลยไปศาลพระอิศวร ที่นี้มีเป็นฐานอยู่ เข้าใจว่าเดิมคงจะทำเป็นรูปปรางค์คล้ายศาลเสื้อเมืองในกรุงเทพฯเป็นต้น แต่ทลายลงเสียสิ้นแล้วเหลือที่จะเดา ที่นั้นมีเทวรูปอยู่ ๒ องค์ หล่อด้วยทองเหลืององค์ใหญ่ ราษฎรนิยมเรียกกันว่าพระนารายณ์ แต่ข้าพเจ้าได้ปีนขึ้นไปตรวจจนถึงที่ประดิษฐานก็เห็นได้ว่าเป็นรูปพระอุมา เครื่องแต่งกายและอาภรณ์ก็เป็นอย่างเครื่องแต่งผู้หญิง และยังมีถันปรากฏอยู่อีกด้วย ตามคำราษฎรกล่าวกันว่าถ้าใครกล้าไปจับที่ทรวงเป็นต้องมีเหตุป่วยไข้ ทางที่เกิดกล่าวกันเป็นเรื่องเป็นราวเช่นนี้ คงเกิดขึ้นเพราะผู้ที่รักษาเทวสถานนั้น พูดขู่ไว้เพื่อจะมิให้ผู้ใดขึ้นไปคลำเทวรูปเล่นให้มัวหมอง เมื่อสังเกตดูถึงความพอใจของคนเรา ที่จะลูบคลำอกตุ๊กตาจนดำไปด้วยเหงื่อไคลที่ติดมือแล้ว ก็จะต้องชมว่าความคิดของผู้รักษาเทวสถานนั้นอยู่ข้างจะแยบคาย ถ้าจะห้ามเฉยๆคงไม่ฟัง จึงต้องขู่เสียให้กลัวเจ็บกลัวตาย
ส่วนรูปพระอิศวรเองนั้น ในเวลาที่ข้าพเจ้าไปดูหาได้ประดิษฐานอยู่ ณ ที่นั้นไม่ ได้คงวามว่า รูปที่เคยตั้งอยู่ที่นั้นลงมาอยู่เสียที่กรุงเทพฯ เหตุที่รูปพระอิศวรจะมาตกอยู่ในกรุงเทพฯนั้นคือ หลายปีมาแล้วมีชาวเยอรมันผู้หนึ่งไปเที่ยวในเมืองกำแพงเพชรได้ฉวยเทวรูปนั้นลงมาเสียด้วย เมืองกำแพงเพชรมีบอกลงมาที่กระทรวงมหาดไทย จึงได้ต่อว่าต่อขานกันขึ้นกับกงสุลเยอรมัน กงสุลเยอรมันจึงได้จัดการไปเรียกรูปนั้นคืนมา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ซึ่งในเวลานั้นได้ทรงกำกับราชการกระทรวงมหาดไทยได้ทรงรับไว้ เทวรูปนั้นจึงเลยตกอยู่ในกรุงเทพฯจนทุกวันนี้ ยังหาได้กลับไปอยู่ที่เทวสถานเดิมไม่
เทวสถานนั้นจะสร้างขึ้นแต่ครั้งใดก็บอกไม่ได้แน่ แต่น่าจะสร้างขึ้นพร้อมๆกับสร้างเมืองใหม่นี้ การก่อสร้างใช้แลงเหมือนกัน ชาวเมืองกำแพงเพชรเขามีเรื่องเล่าถึงการสร้างศาลพระอิศวร แต่เป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานอันใด และสงสัยว่าจะเป็นเรื่องที่เล่าประกอบขึ้นภายหลังตามแบบของเรื่องต่างๆ โดยมากที่เกี่ยวด้วยสถานที่อย่างเดียวกับเรื่องเกาะตาม่องลาย เขาสามร้อยยอด เกาะนมสาวเป็นต้น แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องที่ควรฟัง จึงได้เล่าไว้ในแห่งอื่นต่อไป
ในที่เกือบจะกลางเมือง ไม่ห่างจากหลักเมืองนัก มีที่วังอยู่แห่งหนึ่ง เป็นเกาะย่อมๆมีคูรอบและมีสระเล็กๆ ๒ สระ แต่เชิงเทินหรือกำแพงไม่มี จึงสันนิษฐานว่าคงจะใช้กำแพงอย่างระเนียด คือเป็นรั้วไม้ปักกับดินพอเป็นเครื่องกั้น ให้เป็นฝารอบขอบชิดเท่านั้น ส่วนปราสาทราชฐานไม่มีเหลืออยู่เลย และที่จริงก็ไม่ได้คาดว่าจะเหลือ เพราะเชื่ออยู่ว่าคงทำด้วยไม้ทั้งสิ้น อย่างเช่นวังเก่าๆในที่อื่นๆ
ที่ข้างวังทางด้านตะวันตก มีวัดใหญ่อยู่วัดหนึ่ง มีถนนคั่นห่างจากวังอยู่ชั่วทางกว้างของถนนประมาณ ๔ วา เท่านั้น ที่ทางวังตรงวัดมีเกยอยู่อันหนึ่ง และมีเกยอยู่ตรงข้ามฟากถนนอีกอันหนึ่ง มีรากเป็นเรือนยาวๆอยู่หลังหนึ่ง ที่ยังเหลืออยู่มีเป็นฐานแลงรูปสี่เหลี่ยมรี มีเสาไม้ยังฝังอยู่บ้าง ซึ่งทำให้เข้าใจว่าคงจะมีฐานแลงและปลูกเรือนไม้ขึ้นบนฐานนั้น ถ้าจะคิดดูตามที่ตั้งอยู่น่าจะเดาว่าเป็นพลับพลาเปลื้องเครื่อง ส่วนวัดนั้นคงเป็นอย่างวัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงทวาราวดี มีเจดีย์โบสถ์วิหารใหญ่ๆงามๆอยู่มาก การก่อสร้างใช้แลงเป็นพื้น มีที่ก่อซ่อมแซมด้วยอิฐภายหลังก็มาก มีกำแพงแก้วสูงประมาณ ๓ ศอก ล้อมรอบลานต่อลงไปทางด้านใต้มีลานอีกลานหนึ่ง มีกำแพงแก้วล้อมเหมือนกัน ในที่กลางมีพระธาตุใหญ่ตั้งบนลานสูง พระวิเชียรปราการตั้งชื่อไว้ว่าวัดมหาธาตุ แต่ดูเหมือนที่จริงจะเป็นวัดเดียวกันกับวัดริมวังนั้นเอง วัดริมวังนั้นเดิมข้าพเจ้าเดาว่าจะเป็นวัดพระแก้ว คือวัดที่ได้ประดิษฐานพระมณีรัตนปฏิมากร เมื่อได้ไปอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชร ตามที่กล่าวไว้ในตำนานพระแก้วมรกต แต่ก็ไม่มีหลักฐานอย่างไร
ต่อมาเมื่อได้ทราบกระแสพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องเมืองเก่า จึงได้กลับความคิดเห็นว่าพระแก้วมรกตคงจะได้มาประดิษฐานไว้ที่ในวัดหนึ่งในเมืองนครปุ คือเมื่อพระแก้วมรกตมาอยู่กำแพงเพชรนั้น เมืองกำแพงเพชรใหม่ยังไม่ได้สร้างขึ้น ครั้นได้ตรวจหนังสือในหลักศิลาจารึกว่าด้วยสุโขทัยมีปรากฏอยู่ว่า เมืองกำแพงเพชรเวลานั้นยังเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างลำน้ำแควน้อยจึงได้ไปขึ้นเรือที่เชียงทอง ซึ่งเข้าใจอยู่ว่าอยู่เหนือกำแพงเพชรขึ้นไป
นอกจากวัดใหญ่ข้างวังที่กล่าวแล้วนั้น ยังมีวัดอยู่อีกบ้างสักสามสี่แห่งในเมือง แต่ทราบว่าเป็นวัดเล็กและรกเต็มที ไม่มีเวลาที่จะถางเข้าไปดูได้(๒) ใช่ว่าจะย่อท้อในการถาง ถ้าแม้ได้ทราบว่าแห่งใดมีที่ควรดู ได้เคยพยายามถางเข้าไปจนได้โดยมาก (ที่สุโขทัยและสวรรคโลกต้องไปลงมือถางเข้าไปเองหลายแห่ง) บางทีเมื่อเข้าไปถึงที่แล้วยังดูไม่ได้ เพราะต้นไม้ขึ้นเกาะเสียรุงรังต้องถางและถอนลงเสียก่อนจึงดูได้ แต่ที่ในกำแพงเพชรนี้ไม่ได้นึกเชื่อว่าจะมีอะไรที่สลักสำคัญพอที่จะยอมเสียเวลาถางจึงเลยงดไว้ ไปดูนอกเมือง
ที่นอกเมืองไปทางด้านตะวันออก เดินไปตามถนนโบราณผ่านสระแก้ว สระคา ทางไปจากเมืองราว ๑๐๐ เส้น ถึงหมู่วัดใหญ่ๆน่าดูมีอยู่หลายวัด ที่แถบนี้เป็นที่ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งนครปุโบราณ(๑) วัดต่างๆในแถบนี้เหลือที่จะดูให้ทั่ว และที่จริงก็ไม่สู้จำเป็นที่จะดูให้ทุกวัด เลือกดูแต่ที่วัดใหญ่ๆก็พอ วัดที่สำคัญที่สุดในแถวนี้ก็คือวัดที่เรียกตามชื่อราษฎรว่า อาวาสใหญ่ ชิ้นสำคัญในวัดชิ้นนี้ คือ พระธาตุใหญ่ อยู่กลางลาน รอบลานมีกำแพงสูงประมาณ ๕ ศอก บนกำแพงมีเจดีย์ย่อมๆ ก่อเป็นระยะไว้รอบ เป็นบริวารพระธาตุ ตัวพระมหาธาตุเองตั้งบนฐานทักษิณ มีบันไดขึ้นสี่ด้าน มีกำแพงล้อมรอบทักษิณ ทั้งที่กำแพงและที่ประตูมีรูปสลักงามๆ เป็นยักษ์บ้างเทวดาบ้าง ฝีมือสลักแลงงามน่าดูนัก น่าจะสันนิษฐานว่า พระธาตุองค์นี้เป็นองค์ที่กล่าวถึงในศิลาจารึกเมืองกำแพงเพชร อันมีความปรากฏอยู่ว่า
"ศักราช ๑๒๓๙ ปีระกา เดือนแปด ออกห้าค่ำ วันศุกร์ หนไท ถัดเราปู ฯลฯ สกุณินักสัตว์ เมื่อยามอนนสถาปนาน้นนเป็นหกค่ำแล้ พรญาฏไทยราชผูเปนลูกพญาเลือไทยเปนหลานแก่พระญารามราช เมื่อได้เสวยราชในเมืองศรีสัชนาลัย ศุโขทัย ได้ราชาภิเษกอนนฝูงท้าวพรญาท้งงหลายอนนมิศหาย อนนมีในสี่ทิศนี้แต่งกรยาตงวายของฝาง หมากมาลามาไหว้ บนยดดยญอภิเษกเปนท้าวเปนพรญา จึงขึ้นชื่อศรีสุริยพรหมาธรมมราชาธิราช หากเอาพรศรีรัตนมหาธาตุอนนนี้มาสถาปนาในเมืองนครปุนี้ปีน้นน พรมหาธาตุอนนนี้ใช่ธาตุอนนสามาน คือธาตุแท้จริงแล้ เอาลุกแต่ลังกาทวีปพู้นมาดาย เอาท้งงพืชพรศรีมหาโพธิอนนพรพุทธเจ้าเราเสด็จอยู่ใต้ต้นแล ฯลฯ หลขุนมาราชาธิราชได้ปราบแก่สรรเพชญเดญญานเปนพระพุทธ มาปลูกเบื้องหลังพรมหาธาตุนี้ ฯลฯ"(๓)
ศักราช ๑๒๓๙ ที่กล่าวในที่นี้คือมหาสักราช คิดแต่นั้นมาจนกาลบัดนี้ (ซึ่งเป็นปีมหาศักราช ๑๘๓๐) ได้ ๕๙๑ ปี พรญาฏไทยราชนั้น คือพระเจ้าแผ่นดินกรุงสุโขทัยที่กล่าวถึงในศิลาจารึกเมืองสุโขทัยที่ ๒ มีนามปรากฏในนั้นว่า พระบาทสมเด็จพระกมรเตญอัตศรีสุริยพงษ์ราม มหาธรรมมิกราชาธิราช พรญาเลือไทยนั้นตรงกับพระบาทสมเด็จพระกมรเตญอัตหฤทัยไชยเชฐ พรญารามชารนั้นก็ตรงกับพระเจ้ารามกำแหง ในหลักศิลาจารึกเมืองสุโขทัยที่ ๑ แต่ศักราชสองแห่งไม่ตรงกัน ในหลักศิลาสุโขทัยมีปรากฏอยู่ว่า เมื่อมหาศักราช ๑๒๖๙ พระเจ้าธรรมราช ซึ่งเป็นอุปราชอยู่ในเมืองศรีสัชนาลัย ได้ยกทัพเข้าไปในเมืองสุโขทัย ปราบปรามพวกศัตรูหมู่ร้ายแล้วจึงได้ขึ้นครองราชสมบัติแทนพระราชบิดาที่สวรรคต ดังนี้ ศักราชผิดกันอยู่ถึง ๓๐ ปี จะเป็นด้วยในเวลานั้นศักราชคิดกันเป็นหลายวิธีจึงได้เลอะเทอะเช่นนั้น(๔)
ที่อาวาสใหญ่นั้นนอกจากองค์พระธาตุและพระเจดีย์บริวาร ยังมีสิ่งน่าดูอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือที่นอกกำแพงแก้วออกไป มีบ่อน้ำใหญ่อยู่บ่อหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่แรกดูไม่ทราบว่าก่อด้วยอะไร ครั้นพิจารณาดูแล้วจึงได้ความว่า บ่อนั้นหาได้มีสิ่งอะไรก่อเป็นผนังไม่ ที่แผ่นดินตรงนั้นเป็นแลง ขุดบ่อลงไปในแลง ข้างๆบ่อนั้นพอถูกอากาศก็แข็งเป็นศิลา จึงดูเหมือนก่อเรียบร้อย เพราะฉะนั้นเป็นของควรดูอย่างหนึ่ง และเมื่อดูแล้วจะต้องออกรู้สึกอิจฉาว่าเข้าทำบ่อได้ดีและถาวร โดยไม่ต้องเปลืองโสหุ้ยค่าก่อข้างบ่อด้วยศิลาหรืออิฐปูนอะไรเลย บ่อนี้เป็นพยานให้เห็นได้ว่าน่าจะเป็นวัดใหญ่มีพระสงฆ์อยู่มาก คงจะเป็นวัดสำคัญในนครปุโบราณนั้นเป็นแน่ โดยเหตุนี้และสันนิษฐานตามรูปพระเจดีย์ จึงเห็นว่าน่าจะเป็นที่นี้เองซึ่งเป็นที่บรรจุพระศรีรัตนมหาธาตุ อันกล่าวถึงในศิลาจารึกนั้น
ยังมีที่วัดใหญ่ และที่มีพระเจดีย์เป็นชิ้นสำคัญอยู่อีกวัดหนึ่ง คือวัดที่ราษฎรเรียกกันว่า วัดช้างรอบ พระเจดีย์ในวัดนี้ตั้งอยู่กลางลาน มีกำแพงแก้วล้อมรอบสูงประมาณ ๓ ศอก ที่ฐานทักษิณมีสลักเป็นรูปช้างครึ่งตัวยืนอยู่รอบ หันศีรษะออกมาจากฐาน จึงได้เรียกนามปรากฏอยู่ว่า วัดช้างรอบ ส่วนองค์พระธาตุนั้นเข้าใจว่าคงจะเป็นรูประฆังอย่างทรงสูง แต่ก็ได้แต่เดา เพราะทลายลงมาเสียแล้ว ทางขึ้นไปชั้นทักษิณมีสี่ด้าน ลวดลายมีบ้าง แต่สู้ที่อาวาสใหญ่ไม่ได้ มีวิหารอยู่ติดพระเจดีย์ทางด้านตะวันออก วิหารนั้นก็ยกพื้นขึ้นบนฐานสูงประมาณ ๔ ศอก ที่วัดนี้ก็เป็นวัดใหญ่น่าจะมีพระสงฆ์ประจำอยู่ พระศรีรัตนมหาธาตุนั้นนอกจากที่อาวาสใหญ่ จะมีที่สมควรจะบรรจุได้อีกแห่งหนึ่งก็ที่วัดนี้เท่านั้น
ยังมีวัดที่น่าดูอยู่อีกสองแห่ง คือแห่งหนึ่งเรียกว่าวัดพระนอน แห่งหนึ่งเรียกว่างวัดพระสี่อิริยาบถ ที่วัดพระนอนนั้นยังมีชิ้นสำคัญอยู่ คือวิหารพระนอน ซึ่งทำด้วยฝีมือดี การก่อสร้างใช้แลงทั้งนั้น เสาเป็นเสากลมก่อด้วยแลงก้อนใหญ่ๆรูปอย่างศิลาโม่ ก้อนใหญ่ๆและหนาๆมาก ผนังวิหารมีเป็นช่องลูกกรง ลูกกรงทำด้วยแลงแท่งสี่เหลี่ยม สูงราว ๓ ศอก ดูทางข้างนอกงามดีมาก แต่มีความเสียใจที่องค์พระนอนนั้นไม่เป็นรูปเสียแล้ว เพราะมีนักเลงขุดหาทรัพย์ไปทำลายเสียเมื่อเร็วๆนี้เอง ได้ความจากพระวิเชียรปราการว่าจับผู้ที่ทำลายได้ ได้ฟ้องในศาล ๆ ได้ตัดสินจำคุกแล้ว ส่วนที่วัดพระสี่อิริยาบถนั้น มีชิ้นสำคัญอยู่ คือ วิหารสี่คูหา มีพระยืนด้านหนึ่ง พระนั่งด้านหนึ่ง พระลีลาด้านหนึ่ง พระไสยาสน์ด้านหนึ่ง พระยืน พระนั่ง พระลีลายังอยู่พอเป็นรูปร่างเห็นได้ถนัด แต่พระนอนนั้นชำรุดจนไม่เป็นรูป รอบวิหารมีผนังลูกกรงโปร่ง มองเข้าไปข้างในได้ทั้งสี่ด้าน แต่วัดนี้เหมือนวัดเชตุพนที่สุโขทัยเกือบจะไม่มีผิด แต่เล็กกว่าและฝีมือทำเลวกว่า เพราะฉะนั้นจึงจะไม่กล่าวถึงให้ยืดยาวนักในที่นี้ รอไว้ไปกล่าวให้ละเอียดเมื่อเล่าถึงวัดเชตุพนเมืองสุโขทัยทีเดียว
นอกจากวัดใหญ่ๆที่กล่าวมาแล้วนี้ ยังได้ไปดูวัดเล็กอีกแห่งหนึ่งราษฎรเรียกกันว่า วัดตึกพราหมณ์ อยู่ไม่ห่างอาวาสใหญ่นัก และใกล้ลำน้ำเก่าที่ได้กล่าวถึงมาแล้สนั้น ที่วัดตึกพราหมณ์นั้นเหลืออยู่แต่พระเจดีย์กับบริวาร ซึ่งตั้งรวมอยู่บนลานสูงมีบันไดขึ้นไป ๔ หรือ ๕ ขั้น ทั้งพระเจดีย์และวิหารไม่สู้ใหญ่โตนัก ในพระเจดีย์นั้นได้บรรจุตุ่มเคลือบขนาดใหญ่ ชนิดที่เรียกว่าตุ่มนครสวรรค์นั้นไว้ ๓ ตุ่ม ถูกต่อยทะลวงเสียแล้วทั้ง ๓ ตุ่ม เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่ในนั้นเลย ตุ่มนั้นใหญ่มาก คนผู้ใหญ่เข้าไปนั่งในนั้นได้คนหนึ่ง วิธีบรรจุตุ่มนั้นตุ่ม ๑ อยู่ตรงตัวระฆังพระเจดีย์ อีกสองตุ่มอยู่ในฐาน องค์พระเจดีย์ที่ตรงระฆังก็เท่าตุ่มนั้นเอง คือตั้งตุ่มลงก่อนแล้วก่อแลงทับชั้นเดียว ปากตุ่มบนกับคอระฆังตรงกัน และก่อยอดซ้อนขึ้นไปบนนั้น ในตุ่มทั้ง ๓ นั้นจะมีอะไรอยู่ก็ไม่ได้ความ แต่น่าจะเป็นพระพิมพ์ เพราะพระพิมพ์กำแพงเพชรเช่นชนิดที่เรียกว่า พระกำแพงเขย่งนั้นก็ขุดได้จากเจดีย์สถานในเมืองโบราณนี้เอง เพราะเหตุนี้พระเจดีย์วัดตึกพราหมณ์จึงถูกทะลวงเสียป่น พื้นวิหารก็ขุดเสียหลายบ่อ จนชั้นพระประธานแลงในวิหารก็ถูกเจาะที่พระทรวงจนเป็นรู น่าสังเวชจริงๆ
....................................................................................................................................................