|
เที่ยวเมืองพระร่วง ภาคที่ ๓ เชลียง ศรีสัชนาลัย สวรรคโลก
 อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
....................................................................................................................................................
ตอนที่ ๑ เดินทางไปสวรรคโลก
วันที่ ๓๑ มกราคม เวลาเช้า ๕ โมง ออกจากที่พักนอกเมืองสุโขทัยเก่า เข้าไปในเมืองทางประตูด้านตะวันออก บวงสรวงที่หลักเมืองและศาลเทพารักษ์(ศาลตาผ้าแดง) แล้วจึงขึ้นม้าออกเดินทางต่อไป ออกจากเมืองทางประตูด้านเหนือ เดินไปตามถนนโบราณที่ยังเรียกว่าถนนพระร่วงอีก ถนนแถบนี้ดูแน่นหนาดีกว่าทางที่มาจากเมืองกำแพงเพชร ที่ยังสูงเป็นค้นเห็นได้ถนัดอยู่ก็มี ที่ราบไปเสียยังคงเห็นแต่ทิวไม้ก็มี ที่ราบไปเสียนั้นสังเกตว่าเป็นที่ดอน เพราะฉะนั้นคงจะไม่ได้ตั้งใจถมให้สูงหรือให้แน่นหนาเหมือนในที่ลุ่ม ในแถบใกล้เมืองมีถนนตัดขวางข้ามไปหลายสาย ไปจากกำแพงเมืองประมาณ ๖๐ เส้น ข้ามลำแม่น้ำลำพันต้องทำสะพานข้าม เพราะลึกและกว้างพอประมาณ เวลาที่ข้ามไปนั้น น้ำแห้งหมด ตลิ่งชันมาก ทั้งสองฝั่งพื้นลำน้ำดูเป็นทราย ที่ตรงสะพานข้ามนั้นคะเนว่า ตั้งแต่พื้นลำน้ำขึ้นมาบนขอบตลิ่งประมาณ ๔ หรือ ๕ ศอก เพราะฉะนั้น ถ้าน้ำไม่เเห้งเสียแม่น้ำนี้ก็จะเป็นลำน้ำใหญ่อยู่ ถ้าทำทำนบกันลำน้ำนี้ และทำฝายมีเหมืองแบ่งน้ำเข้าไปตามทุ่ง บางทีตามแถบเมืองสุโขทัยเก่าจะบริบูรณ์ขึ้นอีกเหมือยอย่างเมื่อครั้งสมัย "พ่อขุนรามคำแหง" ยังเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยอยู่นั้น ตามที่เข้าใจก็ดูเหมือนว่าขัดข้องอยู่ในเรื่องเงิน เทศาภิบาลจึงคิดจัดการทำฝายไม่ได้ และถ้าได้มีเจ้าพนักงานในกรมคลองไปตรวจตามแถบนี้สักคราวหนึ่ง น่าจะเป็นประโยชน์ในการเพาะปลูกอยู่บ้าง
เดินทางไปจากเมืองสุโขทัยเก่าได้ ๒๐๐ เส้น ถึงตำบลวังยอ พักกินกลางวันที่นั้น
เวลาบ่าย ๒ โมงเศษ ขึ้นช้างจากตำบลคลองวังยอ เดินเลียบตามถนนพระร่วงไปโดยมาก ถนนตั้งแต่วังยอไปแลเห็นได้ถนัดเป็นคันสูงและกว้างมาก มีแห่งหนึ่งเมื่อจวนจะถึงตำบลคลองสระเกษ พรมแดนอำเภอเมืองกับอำเภอศรีสำโรงต่อกัน ถนนกว้าง ๖ วากว่า แต่พอข้ามคลองสระเกษไปแล้วหน่อยหนึ่ง ถนนออกจะไม่สู้เรียบร้อยเป็นก้อนๆไป แล้วก็เลยราบหายไปจนแลไม่เห็นเป็นคันเลย ถนนนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นถนนระหว่างเมืองสุโขทัยกับศรีสัชนาลัย ที่กล่าวถึงในหลักศิลาที่ ๒ ครั้นเวลาย่ำค่ำเศษถึงตำบลหนองยาวพักนอนคืนหนึ่ง
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ขี่ช้างออกจากตำบลหนองยาวเวลาประมาณ ๔ โมงเช้าเดินเข้าในป่าประมาณ ๖๘ เส้น ผ่านวัดร้างวัดหนึ่ง ราษฎรเรียกชื่อว่าวัดป่าแดงใต้ โบสถ์ตั้งอยู่ริมทางที่ไป เป็นโบสถ์ย่อมๆก่อด้วยอิฐมีเสาแลง แต่เห็นไม่เป็นที่สำคัญ จึงมิได้แวะเข้าไปดู ต่อไปเดินทางไปได้ประมาณ ๑๑๐ เส้น ข้ามเข้าแดนเมืองสวรรคโลก เวลาเที่ยงถึงวัดร้างเรียกตามคำชาวบ้านว่าวัดโบสถ์ ถนนพระร่วงจากหนองยาวมาจนถึงวัดโบสถ์นี้เกือบจะไม่แลเห็นเลย แต่ยังมีทิวไม้มาพอสันนิษฐานเป็นเค้าได้ และเขาว่าที่ถนนนั้นดินยังรู้สึกได้ว่าแน่นกว่าที่ข้างๆถนน
ตัววัดโบสถ์เองนั้นก็เป็นที่น่าดูอยู่ ยังมีสิ่งที่เป็นชิ้นควรดูเหลืออยู่ชิ้นหนึ่ง คือมณฑปมีกำแพงแก้วล้อมรอบ มณฑปนั้นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านละ ๕ วา ในนั้นพิจารณาก็เห็นท่าทางจะมีพระพุทธรูปนั่ง มีพระเจดีย์เล็กๆก่อไว้ในลานรอบมณฑป กำแพงแก้วที่ล้อมลานนั้นทำด้วยแลง เป็นก้อนกลมหรือแปดเหลี่ยมปักยึดกันทำนองรั้วเพนียด แล้วมีแลงแท่งยาวๆพาดเป็นพนัก พนักทำเป็นรูปหลังเจียดตัดยอด คะเนว่าสูงประมาณ ๒ ศอก แต่เดี๋ยวนี้ดินสูงขึ้นมาเสียมากแล้ว ที่สังเกตได้ว่ากำแพงแก้วเคยสูงกว่าเดี๋ยวนี้คือดูประตู ซึ่งมีอยู่สองประตู ทางด้านหน้าวิหารกับด้านหลัง ด้านหน้าพังเสียแล้ว แต่ด้านหลังศิลาทับกรอบบนประตูยังวางอยู่ตามที่ ประตูด้านหลังนี้เวลานี้คนธรรมดาจะลอดต้องก้ม จึงต้องเข้าใจว่าแต่เดิมต้องสูงกว่านี้ ศิลาแลงก้อนที่ทับบนกรอบประนั้นใหญ่พอใช้ เป็นรูปหลังเจียดตัดเหมือนที่พาดบนกำแพงแก้ว วัดดูได้ความว่าศิลาก้อนนั้นยาว ๖ ศอกคืบ ๑๐ นิ้ว กว้าง ๒ ศอก ๖ นิ้ว หนาแต่ล่างที่พาดอยู่กับเสาจนถึงยอดศอกคืบ หลังเจียดข้างๆกว้างข้างละ ๑ ศอก บนสันที่ตัดกว้าง ๑ ศอก เสาที่รับแท่งศิลาใหญ่นี้วัดโดยรอบ ๖ ศอก ทางสูงวัดไม่ได้แน่นอน เพราะไม่รู้ว่าดินพูนขึ้นมาเสียไหร่ ศิลาเสาทั้งสองคู้นั้นเป็นแลงทั้งแท่งไม่ใช่ตั้งต่อกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องนับว่าแท่งใหญ่อยู่ลานภายในร่วมกำแพงแก้วนั้นนั้นประมาณ ๑๓ วา สี่เหลี่ยมจตุรัสมณฑปตั้งอยู่ที่ตรงกลาง ข้างหน้ามณฑปนอกกำแพงแก้วออกไปมีสระลึกและเขื่อนอยู่มีน้ำขัง พิจารณาดูก็เห็นว่าวัดนี้ไม่ใช่วัดเล็ก จึงทำให้เป็นที่พิศวงว่าเหตุไฉนวัดที่ทำด้วยฝีมือดีและซึ่งเข้าใจว่าต้องใช้กำลังคนมากเช่นนี้ จึงมาตั้งอยู่ในกลางป่า สืบดูก็ได้ความว่าทางทิศตะวันออกของวัดนี้ ที่ริมลำน้ำฝากระดานมีตำบลหนึ่งเรียกว่าเมืองบางขัง ห่างจากวัดโบสถ์ระยะประมาณ ๗๐ เส้น แต่ไม่มีคูมีเทินอะไรเหลืออยู่เลย
จากที่วัดโบสถ์นี้ได้ขี่ม้าไปทางประมาณ ๑๐๐ เส้น ถึงวัดที่ราษฎรเรียกว่าวัดใหญ่ ที่นี้มีกำแพงแลงล้อมรอบ ทำเช่นเดียวกับกำแพงแก้วที่ล้อมรอบมณฑปวัดโบสถ์ในร่วมกำแพงเป็นลานกว้างยาวประมาณเส้น ๑๐ วา สี่เหลี่ยม กลางลานนั้นมีพระพระธาตุฐานสี่เหลี่ยม แต่ตัวพระธาตุพังลงมาเสียแล้ว รอบพระธาตุมีเจดีย์บริวารหลายองค์ การก่อสร้างใช้แลงก้อนน้อยกับอิฐแผ่นเขื่องๆ ดูเนื้อแน่นดีราวกับอิฐพิมพ์ในปัตยุบันนี้ ที่นี้ได้พบชิ้นเข้าที คือเป็นรูปดอกบัวตูมมีกลีบปั้นซับซ้อนกันงามดีมีเป็นรูปอยู่ที่โคน เข้าใจว่าคงจะเป็นยอดเจดีย์ บัวนั้นทำด้วยดินเผาอย่างหม้อ
วัดนี้ดูก็เป็นวัดใหญ่จริงอยู่ ทำให้เชื่อว่าต้องมีเมืองอยู่ตามแถบนี้ ภายหลังจึงได้ความจากพระยาอุทัยมนตรี ว่าในป่าระหว่างวัดโบสถ์กับวัดใหญ่นี้ มีบ่ออยู่หลายบ่อ ซึ่งเป็นพยานว่ามีบ้านเมืองอยู่ตามแถบนี้ แต่คงไม่ใช่เมืองด่านจึงไม่ได้มีคูหรือเทิน แม่น้ำเดิมมีเค้าอยู่ว่าได้เข้ามาจนเกือบถึงริมทางเดิน แต่เดี๋ยวนี้ลำน้ำฝากระดานออกไปอยู่ห่างมาก จึงพอสันนิษฐานได้ว่าเมืองที่แถบนี้ต้องย้ายไปเพราะลำน้ำเปลี่ยนร่อง ลำน้ำเก่าเขินแห้งไปไม่มีน้ำกินก็ต้องอพยพลงไปหาลำน้ำใหม่
การเดินทางตั้งแต่ออกจากวัดโบสถ์ไปสะดวก และโดยมากร่มสบายดี เพราะเดินไปในป่าเป็นพื้น ในป่าตามแถบนี้ได้เห็นต้นสักอยู่บ้าง แต่ต้นยางนั้นได้เห็นมากทางเดินเลียบถนนพระร่วงไปโดยมาก บางทีก็ได้เดินไปบนถนนนั้นทีเดียว ไปจากวัดโบสถ์ได้ประมาณ ๑๔๐ เส้น ข้ามลำน้ำฝากระดาน ลำน้ำนี้กว้างประมาณ ๔ วา ลึกประมาณ ๗ ศอก ต้นน้ำไหลมาจากเมืองเถินผ่านเมืองสวรรคโลก ไปตกแม่น้ำยมในเขตเมืองสุโขทัย มีน้ำไหลเสมอไม่ขาด เทศาภิบาลบอกว่าชาวบ้านแถบนั้นถือกันว่าความไข้ชุม จึงไม่ได้จัดไว้ให้พักที่นั้น
ต่อจากลำน้ำฝากระดานไป ทางเดินไปตามถนนพระร่วงหรือบนถนนนั้น ตลอดไปจนถึงหนองจิก ข้างถนนมีคลองหรือคูไปตลอด บางแห่งกว้างเกือบ ๘ ศอก เข้าใจว่าขุดดินในคลองนี้เองขึ้นไปถมที่ถนน เพราะฉะนั้นถนนก็กว้างและแน่หนาดี ถนนบางตอยกว้าง ๖ วา หรือว่าเป็นอย่างกว้างเสมอ ไปได้เป็นตอนยาวๆยิ่งกว่าที่ได้เคยเห็นมาแล้ว เดินทางไปได้ประมาณ ๒๗๐ เส้นถึงตำบลหนองจิกอยู่ริมถนนพระร่วง ได้พักนอนที่นั้นคืนหนึ่ง
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ เวลาเช้า ๔ โมงออกจากตำบลหนองจิกใช้พาหนะม้าตลอด เดินตามถนนพระร่วง โดยมากเดินไปบนหลังถนนทีเดียว ในวันนี้ได้เห็นคลองที่ขุดไว้ริมถนนนั้นถนัด เพราะบางแห่งเดินเลียบไปริมคลองทีเดียว คลองนั้นคะเนด้วยนัยน์ตาว่ากว้างประมาณ ๘ ศอก ลึกประมาณ ๔ ศอก ส่วนถนนนั้นในตอนนี้อยู้ข้างจะดีมาก ดินเป็นลูกๆไม่สู้จะเสมอกันเสียบ้างก็มีจริงอยู่ แต่ดูแน่นแฟ้นดี และถนนกว้างราว ๖ วา
เดินไปตามถนนนั้นแต่หนองจิกประมาณ ๑๐๐ เส้นถึงสระมโนรา ถนนข้ามสระนี้ไปเป็นคันสูงและแน่นดี กว้างประมาณ ๕ วา สระนั้นกำหนดไม่ได้แน่ว่าใหญ่เท่าใด เพราะขอบพังและเขินขึ้นเสียจึงบอกว่าหมดเขตสระเพียงใด แต่คงคะเนได้ว่าโดยรอบประมาณ ๑๐๐ เส้น เพราะฉะนั้นพึงเข้าใจว่าไม่ใช่สระที่คนขุด คือตามความจริงก็เป็นบึงนั้นเอง ในสระมโนรานี้มีลำน้ำผ่านไปลำหนึ่ง เรียกว่าลำแม่กายาง ต่อจากคลองแม่ท่าแค ลำน้ำทั้งสองนี้มีน้ำไหลอยู่เสมอ ราษฎรตามแถบนี้ได้อาศัยใช้น้ำอยู่ตลอด จึงเข้าใจว่าเดิมเมื่อสระมโนรายังไม่เขินขึ้นมานั้น คงจะได้รับน้ำจากลำแม่กายาง และแม่ท่าแคนี้เองมาขังอยู่ นึกออกเสียดายที่สระนี้เขินมาเสียมากแล้ว มีน้ำขังอยู่ได้ แต่เป็นห้วงเล็กห้วงน้อย และมีต้นไม้ขึ้นเป็นพงเสียเกือบทั่วไป คิดดูว่าถ้าเป็นสระโล่งๆมีน้ำขังอยู่เต็ม จะเป็นที่สำราญน่าเที่ยวหาน้อยไม่ ครั้นได้เดินข้ามสระมโนราไปแล้วก็ได้หยุดพักกินข้าวที่ริมขอบสระในป่าไผ่ริมลำแม่กายาง รวมทางที่มาจากหนองจิกเบ็กเสร็จได้ ๒๐๐ เส้น
กินข้าวแล้วออกเดินจากสระมโนรา ไปได้ประมาณ ๗๐ เส้น ถึงหน้าเขาพระศรี เมื่อไปทุ่งหน้าเขานี้ถนนแลเห็นไม่ใคร่ได้ถนัด เพราะฉะนั้น คงจะไม่ได้ถมขึ้นมากแต่ในชั้นเดิม เพราะฉะนั้นมาในเวลานี้จนเกือบจะราบหายไปกับพื้นข้างถนนทางตัดข้ามไหล่เขาไป พอถึงทางที่ลงจากไหล่เขาแลเห็นถนนได้ถนัดขึ้นอีก คือทางข้างซ้ายมือแลเห็นเป็นคูแคบๆแต่ลึก ซึ่งเข้าใจว่าคงจะตั้งใจให้เป็นท่อสำหรับจ้ำตกจากถนน ริมถนนทางขวามือคือทางยอดเขานั้น มีเป็นก้อนศิลาแลงเรียงรายเป็นขอบถนน เป็นเช่นนี้ลงไปจนถึงเชิงเขาถนนจึงเป็นคันดินถมไปอย่างเดิม
ลงจากไหล่เขาได้ไม่ช้านักผ่านวัดสระปทุม ซึ่งมีวิหารรูปเดียวกับที่วัดศรีชุมเมืองสุโขทัย แต่วัดนี้หาได้แวะไปดูไม่ เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงคูเมือง ถนนเลียบไปตามขอบคูด้านใต้ มีถนนแยกเลียบคูด้านตะวันตกเฉียงใต้ไปสายหนึ่ง คูเมืองนั้นสังเกตว่ากว้างและลึกอยู่ คะเนด้วยนัยน์ตาว่ากว้างกว่า ๑๐ วา ลึกหลายศอก แต่ในวันแรกที่เห็นนั้นมีต้นไม้ขึ้นรกเป็นพง เหลือที่จะทราบได้ว่าคูจะลึกเท่าใด เดินเข้าเมืองเก่าทางประตูด้านตะวันตกเฉียงใต้ เห็นกำแพงก่อด้วยแลงอย่างเช่นกำแพงเมืองกำแพงเพชร เดินผ่านไปในเมือง ผ่านวัดใหญ่ๆหลายแห่ง ไปจนถึงกำแพงด้านตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งพังลงมาเสียมากแล้ว เหลืออยู่แต่พอเป็นที่สังเกต มองแลเห็นแม่น้ำยม เดินเลียบตามแนวกำแพงด้านเหนือไปออกจากเมืองทางด้านตะวันออก เดินต่อไปอีกหน่อยถึงที่พักใกล้วัดน้อย คิดระยะทางจากสระมโนราได้ ๒๑๔ เส้น
คิดรวมระยะทางตั้งแต่ที่พักหน้าเมืองสุโขทัยเก่า จนถึงวัดน้อยเมืองสวรรคโลกเก่านี้เป็น ๑๓๐๕ เส้น ด็ก็ไม่ไกลนัก ถ้าจะขี่ม้าควบตะบึงมาตัวเปล่า ไม่มีเข้าของเป็นภาระ บางทีจะเดินทางจากสุโขทัยไปสวรรคโลกในวันเดียวได้ หรือถ้าจะให้สบายหน่อยก็นอนกลางทางคืนหนึ่ง ถนนพระร่วงนั้นที่จริงต้องนับว่ายังดีอยู่มาก ถ้าจะทำให้เป็นถนนดีขึ้นอีกก็ไม่ยากอันใด เพราะไม่ต้องการถม เป็นแต่เกลี่ยดินให้ราบตัดต้นไม้และถอนตอที่ขึ้นเกะกะอยู่บนนั้นเสีย กับทำสะพานข้ามลำน้ำลำห้วยเสียให้ดีแล้ว จะใช้เป็นถนนรถม้าหรือรถโมเตอร์ได้สบายอย่างเอก การที่จะทำถนนนี้เช่นกล่าวมาแล้ว ไม่เป็นการยากอันใดนัก แต่ถ้าทำขึ้นแล้วก็น่าจะเปลืองเงินเปลืองเวลาเปล่ากระมัง เพราะน่ากลัวจะไม่มีคนใช้ถนนนั้นเท่านั้น
อนึ่งที่พักที่วัดน้อยนั้น เทศาภิบาลเจ้าหน้าที่ในเมืองสวรรคโลกได้จัดเลือกที่ดีพอใช้ ได้ปลูกพลับพลาขึ้นที่ริมลำน้ำยมฝั่งใต้มองแลเห็นแก่งสัก ซึ่งอยู่เหนือน้ำขึ้นไปสักหน่อยหนึ่ง แม่น้ำตรงนี้ดูกว้างขวาง ตลิ่งสูงและชันน้ำไหลเชี่ยว ที่นี่ได้เปรียบสุโขทัยที่มีน้ำกินดีไม่อัตคัดเลย เพราะฉะนั้นจะอยู่กี่วันก็ได้
นึกๆก็ทำให้ประหลาดว่าเหตุใดจึงได้ทิ้งเมืองให้ร้าง ไม่ใช่เพราะกันดารน้ำเช่นสุโขทัย หรือเพราะเกิดห่าลงเช่นเมืองท้าวอู่ทองที่มีกล่าวถึงอยู่ในพงศาวดารเหนือนั้น เพราะว่าถ้าเป็นด้วยเหตุสองประการนี้แล้ว เมืองคงจะต้องอยู่ในป่าในดงห่างไกลบ้านคน แต่นี่ไม่เป็นเช่นนั้น ตำบลบ้านเมืองเก่ามีเรือนหลายสิบหลังคาเรือน มีผู้คนอยู่มาก แต่ไม่มีอยู่ในกำแพงเลย อยู่นอกกำแพงทั้งนั้น ข้อนี้จะเป็นด้วยเหตุใดก็เดายาก บางทีจะเป็นด้วยกล้วเจ้าปีศาจอะไรๆต่างๆเช่นนั้นกระมัง แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วก็ดูน่าเสียดายที่ไม่กลัวเสียให้มาก ถ้าความกลัวนั้นครอบงำเสียให้ได้จริงๆ แล้วโบราณสถานและวัตถุต่างๆก็จะไม่หักพังไปเช่นที่ได้เห็นนั้น
....................................................................................................................................................
ตอนที่ ๒ เรื่องเมืองสวรรคโลก ในพงศาวดารเหนือ
เมืองสวรรคโลกนี้ จะหาหลักฐานให้ดีเท่าที่เมืองสุโขทัยยาก เพราะไม่ได้อาศัยข้อความจารึกในหลักศิลาเช่นที่สุโขทัย พระเจ้ารามคำแหง หรือก็อยู่เสียที่เมืองสุโขทัย จึงไม่ใคร่ได้เล่าเรื่องเมืองสวรรคโลกหรือศรีสัชนาลัย ตามความที่สันนิษฐานประกอบจากข้อความในหลักศิลาเมืองสุโขทัยทั้งสองหลัก คงได้ความว่า ในสมัยที่ใกล้ๆกับอายุหลักศิลานั้น สุโขทัยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรไทย คือราชาผู้เป็นใหญ่ในรัฐจังหวัด ซึ่งเราเรียกกันว่าเมืองเหนือบัดนี้ ได้สถิตอยู่ ณ เมืองสุโขทัย ตามที่พอจะรู้ได้อยู่นั้น ๕ องค์ คือ
๑. พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ (พระราชบิดาพระเจ้ารามคำแหง ๒. พระเจ้าบานเมือง (พระเชษฐาพระเจ้ารามคำแหง) ๓. พระเจ้ารามคำแหง (ผู้สร้างศิลาจารึก) ๔. พระเจ้าลือไท หรือพระบาทสมเด็จพระกมรเตญอัตหฤทัยไชยเชฐสุริยวงศ์ (โอรสพระเจ้ารามคำแหง) ๕. พระเจ้าธรรมิกราช หรือพระบาทสมเด็จกมรเตญอัตศรีสุริยพงษ์รามมหาธรรมิกราชาธิราช (โอรสพระเจ้าลือไทย และผู้จารึกหลักศิลาที่ ๒ กับหลักศิลาเมืองกำแพงเพชร)(๑)
ส่วนเมืองสวรรคโลกในระหว่างนี้เข้าใจว่า มีเจ้าอยู่ครองเหมือนกัน แต่สุโขทัยเป็นเมืองใหญ่กว่าหรือจะเป็นเมืองลูกหลวงของสุโขทัย ในหลักศิลาที่ ๒ ปรากฏอยู่ว่า พระเจ้าธรรมิกราชได้ไปครองเมืองศรีสัชนาลัยอยู่ จนพระเจ้าลือไทประชวรหนัก ในเมืองสุโขทัยเกิดขบถขึ้น จึงได้ยกทัพไปสุโขทัยปราบพวกคิดมิชอบแล้วขึ้นครองราชสมบัติแทนพระราชบิดา แต่ถึงเมื่อพระเจ้าธรรมิกราชมาครองสุโขทัยอยู่แล้วเช่นนั้นก็ดี ต้องเข้าใจว่าศรีสัชนาลัยหาได้ว่างอยู่เปล่าไม่ เพราะมีปรากฏอยู่ในข้อความที่จารึกหลักศิลาที่ ๒ นั้นว่า พระเจ้าธรรมิกราชทรงรำลึกถึงพระเชษฐาที่ครองเมืองศรีสัชนาลัยอยู่ จึงเสด็จไปเยี่ยมดังนี้
จะต้องสันนิษฐานได้สองประการ ประการหนึ่งว่า พระเจ้าธรรมิกราชชิงเอาราชสมบัติในกรุงสุโขทัยแล้วไล่พระเชษฐาไปอยู่เมืองศรีสัชนาลัย หรืออีกประการหนึ่ง พระเจ้าธรรมิกราชตั้งแต่ยังเป็นมหาอุปราชกรุงสุโขทัยอยู่นั้น ได้ไปได้พระราชธิดาแห่งราชาเมืองศรีสัชนาลัยเป็นชายาจึงเลยไปอยู่ที่เมืองนั้น ครั้นเมื่อได้ราชสมบัติในกรุงสุโขทัยแล้ว พระราชโอรสแห่งพระราชาเมืองศรีสัชนาลัย ก็คงอยู่ครองเมืองสืบสันตติวงศ์ต่อไปตามประเพณี และโดยเหตุที่ท่านผู้นี้เป็นพระเชษฐาแห่งชายา พระเจ้าธรรมิกราชก็เลยเรียกเชษฐาด้วย ซึ่งไม่ประหลาดอะไร เพราะถูกต้องตามพระราชประเพณีโบราณ ที่พระราชานับเนื่องเป็นญาติวงศ์กันหมด
สุโขทัยในเวลานั้นคงจะเป็นเมืองหลวงแห่งคณะไทยฝ่ายเหนือ อย่างเช่นที่กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงแห่งคณะไทยฝ่ายใต้ และถ้าจะเปรียบเทียบกันต่อไปอีก ก็พึงจะกล่าวได้ว่า กรุงสุโขทัยกับเมืองศรีสัชนาลัยเกี่ยวข้องกันเท่าๆกับกรุงทวาราวดีกับเมืองสุพรรณเมื่อสมัยพระเจ้าอู่ทองฉะนั้น คือศรีสัชนาลัยก็ไม่ได้เป็นข้าสุโขทัย และสุพรรณก็ไม่ได้เป็นข้ากรุงทวาราวดี เป็นแต่ปรองดองเป็นพวกเดียวกันเพื่อประโยชน์แห่งกันและกัน แต่ธรรมดาเมือที่รวมกันเข้าเป็นก๊กเช่นนั้น จำจะต้องยกเมืองใดเมืองหนึ่งขึ้นเป็นหัวหน้าก๊ก เพื่อจะได้มีความคิดให้ตรงกันเช่นนั้น ถ้าจะเปรียบกับการในสมัยใหม่นี้ ก็ต้องเปรียบกับประเทศเยอรมนี ซึ่งมีนครรวมกันอยู่หลายนคร ต่างนครก็มีเจ้ามีขุนปกครองอยู่ แต่เพื่อหาประโยชน์ที่จะป้องกันตัวให้แข็งแรงขึ้น ได้พร้อมใจกันสมมุติเลือกราชาแห่งกรุงปรุสเซียให้เป็นหัวหน้าก๊ก เรียกตามภาษาเยอรมนีว่า "ไกเซอร์" (อังกฤษเรียก "เอมเปเรอ") ดังนี้ การที่ได้สมมุติเลือกให้เป็นหัวหน้าก๊กเช่นนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าพระราชาแห่งปรุสเซียนั้น จะยกพระองค์เป็นราชาธิราชเช่นพระเจ้าจักรพรรดิได้ ฉันใด เข้าใจว่าพระเจ้ากรุงสุโขทัยก็คงจะไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเช่นกัน
พงศาวดารเหนือดูมีกล่าวถึงเรื่องสร้างเมืองสวรรคโลกละเอียดลออมาก แต่ไม่ได้มีกล่าวถึงเรื่องเมืองสุโขทัยเลย ไปมีกล่าวต่อเมื่อเล่าเรื่องพระร่วงแผลงอิทธิฤทธิ์ ตักน้ำใส่ชะลอมเท่านั้น ส่วนสวรรคโลกซิกล่าวเสียยืดยาว ว่าฤๅษีสัชนาลัยกับฤๅษีสิทธิมงคลเป็นผู้มาชี้ให้พวกพราหมณ์บุตรหลานสร้าง มีบาธรรมราชเป็นประธาน บาธรรมราชนี้ พระฤๅษีตั้งแต่งไว้ให้ครองเมืองสวรรคโลก ให้นามเรียกว่าพระยาธรรมราชา นับว่าเป็นต้นวงส์กษัตริย์ในเมืองศรีสัชนาลัย ส่วนเมืองที่พระยาธรรมราชาสร้างขึ้นนั้น ว่ากว้าง ๕๐ เส้น ยาว ๑๐๐ เส้น กำแพงหนา ๘ ศอก สูง ๔ วา ภายหลังมีข่าวว่าพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเมืองเชียงแสน จะยกทัพลงมา พระเจ้าพสุจราชผู้ครองเมืองศรีสัชนาลัยในเวลานั้น ได้สั่งขุนไตรภพนาถจัดการเตรียมรับทัพเชียงราย ให้ย่อกำแพงเข้าไปเป็นป้อมให้รอบเมือง จึงเข้าใจว่าในสมัยนี้ได้แก้ไขเมืองแปลกไปกว่าที่เป็นอยู่เดิมไม่มากก็น้อย
แต่พงศาวดารเหนือนั้น ถ้าใครถือยึดมั่นเป็นตำราเป็นหลักคงต้องยุ่งเป็นแน่ ศักราชนั้นไม่ต้องป่วยกล่าว ถ้าจะไม่ลงไว้เสียเลยแทบจะดีกว่า ลงไว้ทำให้ยุ่งไม่เป็นท่า ถึงเรื่องราวต่างๆก็สับสน จับโน่นชนนี่ยุ่ง แต่จะปรับว่าเป็นเหลวไหลไปทั้งหมดนั้นไม่ได้ เพราะบางเรื่องก็มีมูล หากเล่ากันไปเล่ากันมาคลาดเคลื่อนเลอะเทอะไปเท่านั้น ลองจับตรวจดูแต่เรื่องพระร่วงเท่านั้น ก็จะพอเห็นเป็นตัวอย่างได้เก็บมาเป็นตอนๆ เฉพาะที่เกี่ยวแก่พระร่วงคงได้ความดังต่อไปนี้
๑. จุลศักราช ๘๖ ปีกุน พระยาอภัยคามมณี เจ้าเมืองหริภุญชัยนครออกไปจำศีลอยู่ในภูเขาใหญ่ ร้อนถึงอาสนนางนาคๆก็ขึ้นมาในภูเขาใหญ่ พบพระยาจำศีลอยู่ ก็มาเสพเมถุนด้วยกัน นางนาคอยู่ได้ ๗ วันก็ลากลับลงไป พระยาอภัยคามมณีจึงให้ผ้ารัตกัมพลและพระธำมรงค์ไปกับนางนาค อยู่มานางนาคมีครรภ์แก่ ขึ้นไปที่ภูเขาใหญ่ ประสูติกุมาร ผ้าและแหวนนั้นนางนาคก็ให้แก่ลูกตน แล้วก็หนีลงไปเมืองนาค มีพรานผู้หนึ่งมาพบกุมาร พรานก็เก็บเอาไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุณธรรม ต่อมาพระยาอภัยคามมณีใช้ให้เสนาอำมาตย์สร้างปราสาท พรานนั้นต้องเกณฑ์มาทำงานด้วย จึงเอากุมารบุตรบุญธรรมเข้าไปด้วย ก็ไปเกิดมหัศจรรย์ต่างๆขึ้นจนพระยาอภัยคามมณีทรงทราบว่า กุมารนั้นเป็นพระราชโอรสของพระองค์ เพราะจำผ้าแลพแหวนได้ จึงเลยรับกุมารนั้นไว้ในวัง ให้นามว่าเจ้าอรุณราชกุมาร เลี้ยงไว้ด้วยกันกับเจ้าฤทธิกุมาร ซึ่งเป็นโอรสเกิดด้วยพระมเหสีมนุษย์
๒. "พระยาอภัยคามมณีมาคิดแต่ในพระทัยว่า เมืองใดจะสมควรแก่ลูกแห่งกูนี้ จึงเห็นแต่เมืองศรีสัชนาลัยยังแต่พระราชธิดาและพระราชบุตรหามิได้ และพระยาอภัยคามมณีจึงเอาเจ้าอรุณราชกุมารเป็นพระยาในเมืองศรีสัชนาลัย ก็ได้นามชื่อพระยาร่วง" ตามความข้อนี้ ถ้าอ่านแปลความในเข้าไปอีก ต้องแปลว่าเจ้าอรุณราชมาอ๓เษกกับนางพระยาในเมืองศรีสัชนาลัย และวงศ์กษัตริย์เดิมไม่มีใครสืบสันตติวงศ์ เจ้าอรุณจึงได้ครองเมืองสัชนาลัยต่อมา ส่วนนามที่เรียกว่าพระยาร่วงหรือพระร่วงนั้น พระยาประชากิจกรจักรได้กล่าวเดาไว้ในหนังสือเรื่องพงศาวดารโยนกว่าน่าจะมาแต่คำว่า พระเจ้าหลวงหรือพระยาหลวงเมืองสุโขทัย แต่หากจะเขียนอักษรผิดตัวเขียนหลวงเป็นรวงไป คนจะชื่อตกชื่อร่วงไม่เห็นมี ความเห็นของข้าพเจ้าเองไม่ตรงกับพระยาประชากิจ ข้าพเจ้าเห็นว่าอาจจะชื่อร่วงได้ แต่ร่วงในที่นี้ไม่ใช่แปลว่าตก แปลว่าสว่าง คือคำเดียวกับรุ่งนั้นเอง ที่คิดเช่นนี้คือเห็นชื่อของพระร่วงนั้น ตามพงศาวดารเหนือก็ว่าชื่ออรุณราช แปลได้ว่ารุ่ง และในชินกาลมาลินีก็มีกล่าวนามราชาสุโขทัยไว้องค์หนึ่งว่าโรจนราช โรจน นี้ก็คือรุ่งอีก ภาษาเราเดี๋ยวนี้ยังมาใช้เป็นคำควบกันอยู่ว่ารุ่งโรจน์หรือรุ่งเรือง เพ่งเล็งความอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น การที่คนจะชื่อรุ่งนั้นดูไม่ขัดขวางอย่างไร ถ้าเป็นราชาเรียกว่าพระรุ่ง ดูจะออกดีๆเสียอีก
๓. พระร่วงนั้นต้องพุทธทำนาย "อายุพระองค์เจ้าได้ ๕๐ ปี พอคำรบพระพุทธศักราชได้ ๑๐๐๐ ปี จุลศักราช ๑๑๙ ปีมะโรงนพศก" จุลศักราชในที่นี้ไม่ใช่ที่เราใช้กันอยู่ในกาลบัดนี้ ปีมะโรงจึงเป็นนพศกได้ แต่ถ้าจะยอมหลับตาไม่ดูศักราชเสียทีหนึ่ง ก็อ่านได้ความว่า "จึงคนอันเป็นใหญ่กว่าทั้งหลาย นำเอาช้างเผือกงาดำกับเขี้ยวงูมาถวายแก่พระองค์ ด้วยบุญที่พระองค์ทำหุ่นช้างใส่ดอกไม้ถวายแก่พระพุทธเจ้าแต่ชาติก่อน และเมื่อพระองค์จะลบศักราช พระพุทธเจ้าจึงนิมนต์ให้พระอชิตเถรและพระอุปคุตเถร และพระเถรไลยลายคือพราหมณ์ เป็นเชื้อมาแต่พระรามเทพ (พราหมณ์พฤติบาศกระมัง) และพระอรหันตเจ้าทั้ง ๕๐๐ พระองค์ ทั้งพระพุทธโฆษาจารย์วัดรังแร้ง และชุมนุมพระสงฆ์เจ้าทั้งหลาย ณ วัดโคกสิงคารามกลางเมืองศรีสัชนาลัย และท้าวพระยาในชมพูทวีป คือไทยและลาวมอญจีนพม่าลังกา พราหมณ์เทศเพศต่างพระองค์จ่าให้ทำหนังสือไทยเฉียงมอญพม่าไทย และขอมเฉียงขอมมีมาแต่นั้น" เรื่องทำหนังสือนี้คงมีมูลเหตุอยู่ที่พระเจ้ารามคำแหงคิดทำหนังสือ ดังปรากฏอยู่ในคำจารึกหลักศิลาที่ ๑ ว่า "เมื่อก่อนลายสืไทนี้บ่มี ๑๒๐๕ ศกปีมแม พ่ขุนรามคํแหงหาใคร่ใจในใจแลใส่ลายสืไทนี้ ลายสืไทนี้จึงมีเพื่อขนผู้น้นนใส่ไว้พ่อขุนรามคำแหงน้นน หาเปนท้าวเปนพรญาแก่ไททงงหลาย หาเปนครูอาจารย์ส่งงสอนไททงงหลาย ให้รู้บุญรู้ธรรมแท้แต่คนอนนมีในเมืองไทย" ข้าพเจ้าอยากเดาต่อไปว่าสุภาษิตพระร่วงนั้น ได้เริ่มเก็บรวบรวมขึ้นในสมัยพระเจ้ารามคำแหงนี้เหมือนกัน แต่คงจะไม่ใช่เป็นของคนๆเดียวแต่ง คงจะได้แต่งกันหลายคน และไม่ใช่แล้วเสร็จในคราวเดียว แต่งเพิ่มเติมต่อกันหลายยุค จึงมีข้อความซ้ำกันอยู่บ้าง หากสำนวนผิดกันเท่านั้น
๔. "พระยาร่วงมีพระราชโองการตรัสแก่เจ้าฤทธิกุมารว่า พระยากรุงจีนเหตุใดจึงมิมาช่วยลบศักราช มาเราพี่น้องจะไปเอาพระยากรุงจีนมาเป็นข้าเราให้ได้" ต่อนี้ไปก็เล่าถึงเรื่องพระยาร่วงกับอนุชาลงเรือไปเมืองจีน พระยากรุงจีนกลัวบารมีให้คนออกมารับขึ้นไปบนเรือนหลวงรับเสด็จอย่างอ่อนน้อม แล้วยกนางราชธิดาให้แก่พระยาร่วง ผ่าตรามังกรออกเป็นสองภาค ข้างหางให้พระราชธิดา พระร่วงพานางพสุจเทวีชายานั้นลงงเรือ พร้อมด้วยเจ้าฤทธิกุมารและฝูงจีนทั้งหลาย ๕๐๐ เป็นบริวาร ใช้สำเภาไปได้เดือนหนึ่งถึงเมืองสัชนาลัย มีจีนมาทำถ้วยชามแต่นั้น เรื่องพระร่วงไปเมืองจีนนี้หาหลักฐานอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าแม้จะไปจริงก็ดูเหมือนจะได้ ไม่ขัดขวางอันใด แต่ที่ว่าจะไปต่อว่าเรื่องไม่มาลบศักราชนั้นดูกระไรอยู่ น่าจะไปเพื่อประสงค์ประโยชน์อย่างอื่น คือเมืองจีนในสมัยนั้น ต้องเข้าใจว่าไทยเรานับถือเป็นเมืองที่จะเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง น่าจะไปดูความเจริญและวิธีปกครองหรือการอื่นเพื่อเก็บจดจำมาใช้ในเมืองไทยบ้าง
๕. "เมืองพิชัยเชียงใหม่มีแต่พระราชธิดา และหาพระราชบุตรมิได้ อำมาตย์เมืองพิชัยเชียงใหม่จึงกราบทูลขอพระราชทานเจ้าฤทธิกุมาร จะให้ไปเสวยราชสมบัติสืบตระกูลมิให้ขาดเสียได้ และสมเด็จพระเจ้าอรุณราชจึงทรงพระราชทานเจ้าฤทธิกุมารผู้เป็นน้องเสด็จขึ้นไปด้วยกัน และให้เจ้าพสุจกุมารอยู่รักษาเมืองกับนางพสุจเทวี" เจ้าพสุจกุมารนี้มาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้ยินชื่อเลย พึ่งมาโผล่ขึ้นเมื่อตอนต่อจากเรื่องกลับมาจากเมืองจีนแล้ว "จึงเอาพสุจกุมารผู้เป็นน้อง ตั้งพระราชวังอยู่นอกเมือง และเจ้าพสุจกุมาร เจ้าฤทมธิราชกุมาร เป็นอันรักใคร่กันเป็นหนักหนามิได้ฉันทาโทษาแก่กันไปมาด้วยกัน เข้าไปถวายบังคมด้วยกันมิได้ขาดในพระราชวัง" ดังนี้ จะพึงรู้ได้อย่างไร พสุจกุมารนี้เป็นน้องพระอรุณราชเอง หรือเป็นน้องพระมเหสีก็ดูไม่แจ่มแจ้งนัก แต่อย่างไรๆเห็นได้ว่าเป็นที่ไว้วางใจกันมาก จึงมอบให้รักษาพระนครเวลาเสด็จไม่อยู่ได้ ส่วนพระยาร่วงขึ้นไปส่งพระฤทธิกุมารน้องชายอภิเษกให้ครองเมือง เป็นพระยาลืออยู่กับนางมลิกาเทวี แล้วก็เสด็จกลับคืนมาเมืองพระองค์ดังเก่า
๖. "พระยาร่วงนั้นคะนองนัก มักเล่นเบี้ยและเล่นว่าว ไม่ถือตัวว่าเป็นท้าวเป็นพระยา เสด็จไปไหนก็ไปคนเดียว และพระองค์เจ้าก็รู้ทั้งบังเหลื่อมรู้จักเพททุกประการ ว่าให้ตายก็ตายเอง ว่าให้เป็นก็เป็นนเอง อันหนึ่งขอมผุดขึ้นมาแล้วก็กลายเป็นหินแลง และขอมก็ขึ้นไม่ได้ด้วยวาจาสัจแห่งพระองค์ พระองค์ได้ทำบุญแต่ชาติก่อนมา และเดชะแก้วอุทกปราสาทพระยากรุงจีนหากให้มาแก่พระองค์ๆจะไปได้ ๗ วัน น้ำมิเสวยก็ได้" ในตอนนี้เห็นได้ถนัดยิ่งกว่าตอนอื่น ว่าจับโน่นชนนี่คละกันไปจนเชื่อมหัวต่อไม่ติด คนๆเดียวมีนิสัยได้สองอย่างเกือบตรงกันข้าม อย่างหนึ่งเป็นนักเลงกักขฬะต่างๆ หรือเพราะความอยากจะเชื่อวิทยาอาคมนั้นเอง ทำให้เป็นคนเก่งกักขฬะไป เหมือนเช่นคนเก่งๆในชั้นเรานี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดูไม่ตรงกับที่กล่าวไว้ว่า "ตั้งแต่ทำบุญให้ทานรักษาศีล" เมื่อกลับมาจากเมืองจีนใหม่ๆ และก่อนหน้าที่จะขึ้นไปส่งพระฤทธิกุมารนั้น พระร่วงเป็นคนเรียบร้อยดี ครั้นกลับมาจากเมืองพิชัยเชียงใหม่แล้ว จึงมาเกิดเล่นเบี้ยเล่นว่าวและประพฤติตนกักขฬะขึ้น ถ้าเช่นนั้นมิต้องซัดหรือว่าใจไปแตกมาจากเหนือ ถ้าจะนึกดูตามเรื่องที่ได้กล่าวมาแล้วดูไม่น่าจะเป็นไปได้เลย เมื่อลบศักราชนั้นอายุพระร่วงก็ถึง ๕๐ ปีแล้ว คนที่อายุถึงเพียงนี้แล้วไม่น่าจะใจแตกไปได้ถึงเพียงนั้นเลย ส่วนเรื่องขอมกลายเป็นแลงที่แย้มขึ้นมานิดหนึ่งในที่นี้ ก็ซ้ำกับเรื่องพระร่วงที่ตักน้ำใส่ชะลอม ซึ่งตามพงศาวดารเองกล่าวว่าเป็นคนละคนกับท่านที่ลบศักราช ขอมจะดำดินมาให้ถูกสาปกลายเป็นหินไปถึง ๒ ครั้งทีเดียวหรือ
๗. ใช่ว่าจะหมดเรื่องราวอยู่เพียงเท่านั้น การเล่นว่าวของพระร่วงยังทำให้เกิดเหตุยุ่งใหญ่อีก คือว่าวขาดลอยไปตกที่เมืองตองอู ไปติดอยู่บนปราสาท พระร่วงตามว่าวไปถึงเมืองตองอู ครั้นเวลาค่ำก็ลอบเข้าไปทำชู้ด้วยธิดาพระยาตองอู เท่านี้ยังไม่พอ หนำซ้ำเมื่อจะขึ้นหยิบเอาว่าวนั้น ยังได้ให้พระยาตองอูยืนอยู่แล้วขึ้นเหยียบบ่า ครั้นเอื้อมไม่ถึงก็เหยียบขึ้นไปบนหัวอีกทีหนึ่ง ประพฤติเหมือนกับเด็กหนุ่มคะนองแท้ๆ เพราะฉะนั้น เมื่อภายหลังพระยาตองอูสาวไส้ใส่พานทองไว้แล้วส่งตัวคืนไปนั้นดูเป็นการควรอยู่บ้าง เรื่องนี้ต้องกล่าวท้วงอย่างเช่นในข้อ ๖ นั้นอีก คือว่าความประพฤติพระร่วงไม่สมกับคนอายุเกินกว่า ๕๐ ปีขึ้นไปแล้วเลย เรื่องพระร่วงไปทำวุ่นวายในเมืองตองอูนี้ อ่านดูคล้ายเรื่องพระร่วงไปผิดเมียพระยางำเมืองเจ้าเมืองพะเยา จนต้องไปเชิญพระยาเมงราชเมืองเชียงรายมาพิพากษา ซึ่งพระยาประชากิจกรจักรได้เล่าไว้ในหนังสือพงศาวดารโยนก (หน้า ๗๐) นั้น จึงน่าสงสัยว่าจะเป็นเรื่องเดียวกันนั้นเอง เลอะที่เวลาเท่านั้น
๘. "ครั้นพระร่วงเจ้ามาถึงเมืองสัชนาลัย และมายังพระอัครมเหสีและพระสนมทั้งหลายๆถวายบังคมแล้ว ก็เปลื้องอาภรณ์ออกจากพระองค์ไว้แล้ว และเจ้าพสุจกุมารก็เข้าไปถวายบังคม จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งเจ้าพสุจกุมารว่า กูจะไปอาบน้ำ มิเห็นกูมา เจ้าเป็นพระยาแทนที่เถิด และเจ้าพสุจกุมารก็ไม่รู้และสำคัญว่าว่าเล่น ครั้นพระองค์ลงไปอาบน้ำที่แก่งกลางเมือง ก็อันตรธานหายไปไม่ปรากฏ ในพุทธศักราช ๑๒๐๐ พระร่วงสิ้นทิวงคต" ข้อที่ว่าพระร่วงจมน้ำทิวงคตนี้ ข้าพเจ้าก็เชื่อว่ามีมูลอยู่บ้าง คือคงมีพระราชาเมืองสัชนาลัยองค์หนึ่งได้จมน้ำถึงทิวงคตจริง แต่ไม่ใช่องค์เดียวกับที่ลบศักราช ไม่ต้องไปหาข้อความที่อื่นมาเถียง เก็บข้อความในพงศาวดารเหนือนี้เองมาเถียงกันเองก็พอ คือพระร่วงเมื่อลบศักราชนั้นกล่าวว่าพระชนม์ได้ ๕๐ ปีแล้ว เวลานั้นพุทธศักราช ๑๐๐๐ ถ้วน เมื่อจมน้ำนั้นพุทธศักราช ๑๒๐๐ ถ้วน เพราะฉะนั้นอายุพระร่วงได้ ๒๕๐ ปีเป็นอย่างน้อย ซึ่งไม่จำเป็นจพต้องกวล่าวว่าเป็นไม่ได้เด็ดขาด แต่ที่กล่าวว่าอายุพระร่วงได้ ๕๐ ปีเมื่อลบศักราชนั้นก็ผิดเสียแล้ว เพราะตามคำทำนายของฤๅษีสัชนาลัยมีอยู่ว่า " ณ พฤหัสบดี เดือนอ้าย ขึ้น ๖ ค่ำ ปีมะโรงโทศก ภายหน้าจะได้ลูกนาคมาเป็นพระยา ตั้งแต่พระพุทธเจ้านิพพานได้ ๕๐๐ ปี" ต่อมาเรื่องราวก็กล่าวว่าสมกับสมกับทำนายของฤๅษี เพราะฉะนั้นเมื่อลบศักราชอายุพระร่วงไม่ใช่ ๕๐ ปี แต่ ๕๐๐ ปี (ที่ว่า ๕๐ นั้นบางทีจะผิดเมื่อคัด) และเพราะฉะนั้นเมื่อจมน้ำอายุพระร่วงได้ ๗๐๐ ปี กลับร้ายไปกว่าเก่าอีก กล่าวแต่เพียงเท่านี้ก็พอแลเห็นได้แล้วว่าเลอะ
รวบรวมใจความว่าพงศาวดารเหนือนั้น ไม่เป็นตำนานอันควรยึดถือเป็นหลักฐานให้มั่นนัก ผู้แต่งคงจะได้เก็บเรื่องนิทานต่างๆมาผสมกันเข้าตามบุญตามกรรม เชื่อมหัวต่อกันเข้าก็ไม่ใคร่จะติด แต่ข้อที่เกณฑ์ให้พระร่วงเป็นลูกนาคนั้น ก็ไม่เป็นของประหลาด เพราะเป็นธรรมดาของผู้แต่งเรื่องราวพงศาวดารของผู้เป็นใหญ่ ต้องไม่อยากยอมว่าผู้เป็นใหญ่นั้นได้มีวงศ์สกุลอันต่ำมาก่อน จึงต้องคิดให้เป็นลูกนาคหรือมาจากสวรรค์ แต่พระเจ้าอู่ทองต้องให้เป็นลูกตาแสนปม หรือถ้าจะหาตัวอย่างให้ใกล้สมัยเราลงมาอีก คือขุนหลวงเสือยังต้องไปยกให้เป็นพระโอรสสมเด็จพระนารายณ์ เพราะฉะนั้น จึงเข้าใจได้อย่างหนึ่งว่า ถ้าใครมีชาติกำเนิดแปลกกว่ามนุษย์ธรรมดา แปลว่าผู้นั้นได้ตั้งวงศ์ขึ้นใหม่ เพราะฉะนั้นก็พึงเข้าใจได้ว่าพระร่วงนั้นเป็นผู้ตั้งตระกูลใหม่เหมือนกัน แต่ตามความจริงจะได้มาเป็นเจ้าขึ้นในเมืองสัชนาลัยเมื่อไรแน่ และจะมีอายุเท่าไรแน่ ตายเมื่อไรแน่ ล้วนเป็นสิ่งต้องงดไว้ เหลือที่จะเดาได้
ส่วนเรื่องพระร่วงบุตรนายคงเครานายส่วยน้ำ ที่ตักน้ำใส่ชะลอม และถายหลังได้เป็นขุนในเมืองสุโขทัย เมื่อพุทธศักราช ๑๕๐๒ ปีนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวถึงมาเลย เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องนิทานเกร็ดเป็นพื้น ไม่น่าจะนับถือเป็นเรื่องพงศาวดารเลย
ตามที่ข้าพเจ้าได้เก็บเรื่อง พระเจ้าอรุณราชหรือพระร่วงจากพงศาวดารเหนือมาลงไว้แล้วนี้ ก็พอจะเห็นได้ว่าพงศาวดารเหนือมีราคาเพียงไร ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าใครที่เริ่มจับเล่นในทางโบราณคดี ถ้ายึดพงศาวดารเหนือเป็นหลักแล้วจะไปไหนไม่รอด เปรียบเหมือนเรือที่ผูกแน่นไว้กับหลักเสียแล้ว จะแจวไปเท่าใดก็คงไม่แล่น แต่ที่จะทิ้งพงศาวดารเหนือเสียทีเดียวก็ไม่ควร เพราะบางทีก็มีข้อความที่ชักนำให้ความคิดแตกออกไปได้บ้าง คือเมื่อได้อ่านข้อความอะไรในหนังสือนั้น ที่เหลือเกินที่จะเชื่อได้ต่างๆ บางทีทำให้คิดไปว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาจะคิดแต่งขึ้นเล่นเฉยๆได้อย่างนั้น จะไม่มีมูลอะไรบ้างเลยหรือ เมื่อมีความคิดเช่นนี้ขึ้นแล่วก็ทำให้พยายามพิจารณา และตรวจค้นเพื่อจะหาสิ่งไรมายืนยันว่าข้อนั้นผิดอย่างนั้น หรืออาจที่จะเป็นเช่นนั้นๆ บางทีไปถูกเหมาะเข้าก็ได้อะไรดีๆบ้าง ข้อนี้ได้เป็นมาแล้วแก่ตัวข้าพเจ้าเอง ดังจะเห็นปรากฏได้ในรายงานการตรวจค้นโบราณสถานและวัตถุต่างๆในเมืองสวรรคโลกซึ่งมีอยู่ต่อไปนี้
อนึ่ง ก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะไปเมืองสวรรคโลก พระยาอุทัยมนตรีได้บอกว่า พระยาอุทัยมนตรีได้ข่าวจากนายเทียนชาวเมืองสวรรคโลก ว่านายเทียนได้เคยเห็นหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดดำตัวชุบรง เป็นเรื่องราวตำนานเมืองสวรรคโลกและเมืองสุโขทัย ครั้นสอบสวนดูได้ความว่าพระภิกษุรูปหนึ่งได้ยืมสมุดนั้นไปอ่าน เผอิญไฟไหม้กุฎีพระรูปนั้น หนังสือก็อันตรธานไป ข้าพเจ้าออกเสียดาย แต่ที่จริงก็ไม่สู้เชื่อนักว่าจะมีเรื่องราวอะไรที่ดีไปกว่าที่มีอยู่ในพงศาวดารเหนือ บางทีจะพิสดารออกไปอีกหน่อยเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ดี ถ้าได้เห็นหนังสือนั้นก็พอจะเดาถูกว่าเป็นหนังสือเก่าจริงหรือไม่ แต่เมื่อเขาจำหน่ายสูญเสียเช่นนั้นแล้วก็จนใจ
..........................................................................
อธิบายความเพิ่มเติมในตอนที่ ๒
(๑) ลำดับกษัตริย์ซึ่งครองกรุงสุโขทัย ต่อมาศาสตราจารย์ยอช เซเดส์ ได้ไปสอบศิลาจารึก และในบรรดาที่ปรากฏในหนังสือเก่าได้ความว่า
พระองค์ที่ ๑ พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ผู้เป็นต้นวงศ์ เดิมปรากฏนามว่าพ่อขุนบางกลางทาว เป็นเจ้าเมืองราด แล้วได้เป็นเจ้าเมือง (เชลียง) ศรีสัชนาลัย รบพุ่งเมืองสุโขทัยได้จากพวกขอม จึงราชาภิเษกทรงพระนามว่าพระเจ้าศรีอินทราทิตย์ (ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า คำที่เรียกกันว่า "พระร่วง" อันหมายความว่ารุ่งเรือง เห็นจะแปลคำไทยจากศรีอินทราทิตย์นั้นเอง) หนังสือเก่าซึ่งแต่งในภาษาบาลี เอาคำว่าพระร่วงไปแปลเป็นภาษาบาลีเรียกกันว่า โรจนราชบ้าง อรุณราชบ้าง หาคำบาลีซึ่งเสียงคล้ายกับพระร่วง เรียกว่ารังคราช สุรังคราช ไสยรังคราช บ้าง
พระองค์ที่ ๒ ปรากฏนามว่า พระยาบานเมือง เป็นราชโอรสขององค์ที่ ๑ (ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า พระบานเมือง นั้น เห็นจะมีมาแต่ยังเป็นลูกหลวง พระนามถวายเมื่อราชาภิเษกหาปรากฏไม่) หนังสือภาษาบาลีเรียกว่า "ปาลราช"
พระองค์ที่ ๓ เป็นพระราชอนุชาของพระองค์ที่ ๒ มีความชอบชนช้างชนะขุนสามชนที่เมืองตาก พระราชบิดาประทานนามว่า "พระรามคำแหง" คงใช้พระนามนี้ต่อมาในเวลาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน หนังสือภาษาบาลีเรียกว่า "รามราช" นับเป็นมหาราชพระองค์ ๑ ในพงศาวดารสยาม
พระองค์ที่ ๔ ใช้พระนามในศิลาจารึกภาษาไทยว่า พญาเลอไทย ในจารึกภาษาเขมรเห็นจะใช้พระนามถวายเมื่อราชาภิเษกว่า หฤทัยชัยเชฐสุริวงศ์ ในหนังสือชินกาลมาลินีแต่ในภาษาบาลีใช้พระนามว่า อุทกโชตราช (แปลว่าพระยาจมน้ำ) เป็นราชโอรสของพระเจ้ารามคำแหงมหาราช
พระองค์ที่ ๕ ทรงพระนามว่าพญาลิไทย หรือ ฤทัย เป็นราชโอรสของพระองค์ที่ ๔ เมื่อราชาภิเษกถวายพระนามว่า สุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช มักเรียกกันว่าพระเจ้าธรรมิกราชหรือพระมหาธรรมราชา นับเป็นองค์ที่ ๑ ในรัชกาลของพระองค์นี้ พระเจ้าอู่ทองตั้งเป็นอิสระขึ้น ณ กรุงศรีอยุธยา แล้วเป็นไมตรีกับกรุงสุโขทัยอย่างประเทศศักดิ์เสมอกัน
พระองค์ที่ ๖ ปรากฏพระนามว่าพระมหาธรรมราชาธิราช นับเป็นที่ ๒ เป็นราชโอรสพระองค์ที่ ๕ ทำสงครามแพ้สมเด็จพระบรมราชาธิราช(พงัว) ต้องยอมเป็นประเทศราชขึ้นกรุงศรีอยุธยา แล้วย้ายมาครองเมืองพิษณุโลกเป็นราชธานี
พระองค์ที่ ๗ ปรากฏพระนามว่า พระมหาธรรมราชา นับเป็นองค์ที่ ๓ เป็นราชโอรสพระองค์ที่ ๖ (สันนิษฐานว่าเสวยราชย์อยู่ไม่ช้า) เมื่อสิ้นพระชนม์เมืองเหนือเป็นจลาจลในรัชกาชสมเด็จพระนครินทราชา
พระองค์ที่ ๘ ปรากฏพระนามว่า พระมหาธรรมราชา นับเป็นพระองค์ที่ ๔ ในหนังสือพระราชพงศาวดารเรียกว่า พระยาบานเมือง เห็นจะเป็นราชอนุชาพระองค์ที่ ๗ สมเด็จพระนครินทราชาทรงตั้งให้ครองเมืองเหนือ มีพระนามว่า ศรีสุริยพงศ์บรมบาลมหาธรรมราชาธิราช
ต่อนี้ถึงรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (สามพระยา) ก็ทรงตั้งพระราเมศวรราชโอรส (ซึ่งพระมารดาเห็นจะเป็นเชื้อราชวงศ์สุโขทัย) ขึ้นไปครองหัวเมืองเหนืออยู่ ณ เมืองพิษณุโลก ต่อมาได้เสวยราชย์ทรงพระนาม สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
....................................................................................................................................................
ตอนที่ ๓ เมืองสวรรคโลก - ในพงศาวดารกรุงเก่า
เมื่อได้ครวจเรื่องเมืองสวรรคโลกในพงศาวดารเหนือแล้ว ก็ควรต้องตรวจดูเรื่องราวของเมืองนั้น ที่มีอยู่ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาสืบไป
จำเดิมที่จะกล่าวถึงเมืองสวรรคโลกในพงศาวดารกรุงเก่า ก็มีอยู่ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ปรากฏอยู่ว่าในสมัยนั้นมีพระยาประเทศราชขึ้น ๑๖ เมือง และเมืองสวรรคโลกเป็นเมืองประเทศราชเมืองหนึ่ง ต่อมานามเมืองสวรรคโลกก็หายไปนั้น แต่ใช่ว่าตัวเมืองนั้นจะวิบัติสูญไป เป็นแต่เรียกชื่อแปลกไปจนจำไม่ได้เท่านั้น คือ ข้าพเจ้าเชื่อตามความเห็นของท่านนักเลงโบราณคดีบางท่าน ว่าเมืองชากังราวที่กล่าวถึงในพงศาวดารกรุงเก่าเป็นหลายครั้งนั้นไม่ใช่อื่นไกล คือเมืองสวรรคโลกนั้นเอง(๑) ซึ่งมีอยู่ว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราช(ขุนหลวงพงัว)ได้เสด็จขึ้นไปเอาเมืองชากังราวถึง ๓ ครั้ง คือจุลศักราช ๗๓๕ ปีฉลูเบญจศก เสด็จขึ้นไปเมืองชากังราว พระยาชัยแก้ว พระยากำแหง เจ้าเมืองออกต่อรบ พระยาชัยแก้วตาย แต่พระยากำแหงและไพร่พลหนีเข้าเมืองได้ ทัพหลวงก็ยกกลับคืนพระนครนี่เป็นครั้งที่ ๑ จุลศักราช ๗๓๘ ปีมะโรงอัฐศก เสด็จขึ้นไปเอาเมืองชากังราวได้ พระยากำแหงกับท้าวผากองคิดกันว่าจะยกตีทัพหลวงไม่สำเร็จเลิกหนีไป ทัพหลวงตีทัพผากองแตก ได้พระยาเสนาขุนหมื่นครั้งนั้นมาก แล้วก้เลิกทัพหลวงกลับคืนพระนคร นี่เป็นครั้งที่ ๒ จุลศักราช ๗๔๐ ปีมะเมียสัมฤทธิศก ไปเอาเมืองชากังราวอีกเป็นครั้งที่ ๓ ครั้งนั้นพระมหาธรรมราชาออกมาถวายบังคม ตรวจดูกับพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ ได้ความงอกออกไปอีกว่าขุนหลบวงพงัวได้เสด็จไปเอาเมืองชากังราวอีกครั้ง ๑ เป็นครั้งที่ ๔ เมื่อจุลศักราช ๗๕๐ ปีมะโรงสัมฤทธิศก ครั้งนี้สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพงัว) ทรงพระประชวรหนักต้องเสด็จกลับ ตามข้อความเหล่านี้ พึงเข้าใจได้อยู่แล้วว่าเมืองชากังราวมิใช่เมืองเล็กน้อย เป็นเมืองสำคัญอันหนึ่ง
แต่เมื่อก่อนได้พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐมานั้น ไม่มีผู้ใดเดาได้เลยว่าเมืองชากังราวคือเมืองใดอยู่แห่งหนตำบลใด มาได้หนทางเดาในพงศาวดารฉบับที่กล่าวแล้วนั้น คือ แห่งหนึ่งมีข้อความกล่าวไว้ว่า "ศักราช ๘๑๓ มะแมศก ครั้งนั้นมหาราชมาเอาเมืองชากังราวได้แล้วจึงมาเอาเมืองเมืองสุโขทัย เข้าปล้นเมืองมิได้ก็เลยยกทัพกลับคืน" ดังนี้ จึงเป็นเครื่งนำให้สันนิษฐานว่าเมืองชากังราวนั้น คือเมืองสวรรคโลก เพราะปรากฏอยู่ว่ามหาราช(เมืองเชียงใหม่) ได้ชากังราวแล้วเลยไปเอาเมืองสุโขทัย ต้องเข้าใจว่าเป็นเมืองอยู่ใกล้เคียงกัน ถ้าจะนึกถึงทางที่เดินก็ดูถูกต้องดี แต่เหตุไฉนจึงเรียกชื่อเมืองสวรรคโลกว่าชากังราว ข้อนี้ยังแปลไม่ออก
เมืองสวรรคโลกนี้ ถึงเเม้เมื่อกรุงศรีอยุธยามีอำนาจขึ้นแล้ว ใช่ว่าจะเสียอิสรภาพ ยังคงเป็นเมืองมีกษัตริย์ครองเรื่อยมา แม้พระมหาธรรมราชาได้ออกมาถวายบังคมขุนหลวงพงัวแล้ว เมืองก็ยังคงเป็นเมืองมีอิสรภาพอยู่ เพราะในสมัยนั้นไม่สู้จะฝักใฝ่ในเรื่องอาณาเขตนัก ต้องการแต่เรื่องคนเท่านั้น แต่วงศ์กษัตริย์ครองสวรรคโลกจะได้สูญไปเมื่อใดแน่ก็ไม่ปรากฏ
มาจับกล่าวนามสวรรคโลกอีกครั้ง ๑ ก็คือเมื่อแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเป็นทุรยุค ขุนวรวงษาธิราชครองราชสมบัติ ขุนพิเรนทรเทพคิดกำจัดขุนวรวงษาธิราช คิดการเสร็จแล้วพอพระยาพิชัย พระยาสวรรคโลกลงมาจึงชวนเข้าด้วย ครั้นกำจัดขุนวรวงษาธิราชเสร็จแล้ว พระยาพิชัย พระยาสวรรคโลกได้รับบำเหน็จเป็นเจ้าพระยา ข้อความเหล่านี้ทำให้เห็นได้ว่าสมัยนี้ที่สวรรคโลกหมดวงศ์กษัตริย์แล้ว
ต่อนั้นมาอีกก็มามีกล่าวถึงเมืองสวรรคโลกอีก คือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเมื่อเสด็จไปถึงเมืองลแวก (จุลศักราช ๘๙๔ ปีมะโรงจัตวาศก) พระยาลแวกออกมาถวายบังคม ได้ตรัสขอนักพระสุโทนักพระสุทันบุตรพระยาลแวกมาเลี้ยงเป็นราชบุตรบุญธรรม ครั้นกลับถึงพระนครแล้วทรงพระกรุณาให้นักพระสุทันขึ้นไปครองเมืองสวรรคโลก ข้อนี้เป็นพยานว่าในสมัยนั้นยังนิยมว่าเมืองสวรรคโลกเป็นเมืองสำคัญสมควรมีเจ้าครองได้ แต่พระองค์สวรรคโลกนั้นไม่ได้ครองเมืองอยู่นาน เมื่อจุลศักราช ๘๙๘ ปีวอกอัฐศก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิมีพระราชกำหนดให้พระองค์สวรรคโลกเป็นแม่ทัพ ยกไปรบนักพระสัทธา ซึ่งได้ชิงงสมบัติจากบิดาพระองค์สวรรคโลกนั้น ชนม์พรรษาพระองค์สวรรคโลกถึงฆาต พอเข้ารบทัพญวนก็ตายกับคอช้าง
พอสิ้นพระองค์สวรรคโลก(นักพระสุทัน)แล้ว เมืองสวรรคโลกก็กลับเป็นเมืองขึ้นพิษณุโลกไปตามเดิม มีกล่าวว่าพระมหาธรรมราชาได้เกณฑ์กองทัพเมืองสวรรคโลก เข้าประจบกับกองทัพเมืองเหนือไปงานสงครามหลายครั้ง แต่ไม่มีเรื่องอะไรสลักสำคัญอีกต่อไป จนถึงเรื่องพระยาพิชัยข้าหลวงเดิมเป็นขบถ ยกครอบครัวไปเมืองสวรรคโลก ซึ่ฝงข้าพเจ้าได้เริ่มกล่าวถึงไว้ในตอนที่กล่าวถึงเรื่อวัดศรีชุมเมืองสุโขทัยนั้นแล้ว และในที่นี้จะได้จับกล่าวเรื่องนั้นต่อไป
สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ครั้นได้ทรงจัดกระทำพิธีถือน้ำสัตยานุสัตย์ ณ ค่ายหลวงตำบลวัดฤๅษีชุมเมืองสุโขทัยแล้ว รุ่งขึ้นทัพหลวงก็เสด็จขึ้นไปทางเขาคับเมืองสวรรคโลก ณ วันศุกร์ เดือน ๘ ขึ้น ๕ ค่ำ (ปีฉลูสัปตศก จุลศักราช ๙๒๗) ตั้งทัพหลวงตั้งตำบลวัดไม้งาม สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าทรงพระกรุณาแก่พระยาพิชัย พระยาสวรรคโลก ตรัสให้ข้าหลวงขึ้นไปประกาศว่า ให้พระยาทั้งสองออกมาถวายบังคม จะทรงพระกรุณามิเอาโทษ พระยาทั้งสองกลับสั่งคนขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินป้องกันเมืองไว้ และให้ตัดศีรษะหลวงปลัด ขุนยกกระบัตร ขุนนรนายกซึ่งไม่ยอมเข้าด้วยนั้น เอาศีรษะซัดออกมาให้ข้าหลวง
สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงพระพิโรธ ครั้นเพลาค่ำตรัสให้ยกพลทหารเข้าปล้นเมืองตำบลประตูสามเกิดแห่งหนึ่ง ประตูหม้อแห่งหนึ่ง ประตูสะพานจันแห่งหนึ่ง ปล้นแต่ค่ำจนเที่ยงคืน และเผาป้อมชั้นนอกประตูสามเกิด ก็เข้ามิได้ ตรัสปรึกษาโหราจารย์ ทูลว่าจะปล้นประตูสามเกิดนี้จะได้ด้วยยาก ถ้าปล้นทางประตูดอนแหลมเห็นจะได้โดยง่าย เพราะทิศนั้นเป็นอริแก่เมือง ก็ตรัสสั่งตามโหร แต่ในวันนั้นก็ยังมิได้เมือง วันอาทิตย์ เดือนแปด แรมสองค่ำ ยกทัพหลวงไปตั้งที่ประตูดอนแหลม ยกเข้าปล้นเมืองอีกครั้งหนึ่งยังไม่ได้
รุ่งขึ้น ณ วันจันทร์ เดือน ๘ แรม ๓ ค่ำ เพลาชายแล้วสองนาฬิกาห้าบาท ยกพลเข้าเผาประตูดอนแหลมทำลายลง พลทหาตรูเข้าเมืองได้ พระยาสวรรคโลกหนีไปซ่อนอยู่ในกุฎีพระวัดไผ่จับตัวได้นำมาถวาย แต่พระยาพิชัยหนีได้จากเมืองเมืองสวรรคโลก คิดจะไปเชียงใหม่ ไปถึงแดนเกาะจุล ชาวด่านก็คุมเอาตัวพระยาพิชัยมาถวาย สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าดำรัสให้มัดพระยาพิชัยพระยาสวรรคโลก ตระเวณรอบทัพแล้วฆ่าเสีย จึงตรัสให้เทครัวอพยพทั้งปวงมายังเมืองพระพิษณุโลก และเชิญรูปพระยาร่วง พระยาลือ อันรจนาด้วยงาช้างเผือกนั้นมาด้วย รูปพระยาร่วงอันนี้คือตรงกับที่กล่าวไว้ในพงศาวดารเหนือ ว่าแกะด้วยงาช้างเผือกคู่บารมีของพระร่วง(อรุณราช) งาช้างนั้นว่าเป็นสีดำ
นอกจากที่ได้เก็บมาลงไว้ในที่นี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องราวอะไรเกี่ยวข้องกับเมืองสวรรคโลก ที่สลักสำคัญต่อไปอีก เมื่อได้ค้นดูหนังสือ พอมีหนทางเป็นลาดเลาแล้วดังนี้ ก็จะได้จับกล่าวถึงการตรวจค้นสถานและวัตถุต่อไป
..........................................................................
อธิบายความเพิ่มเติมในตอนที่ ๓
(๑) เรื่องตำนานเมืองสวรรคโลกแจ้งอยู่ในอธิบายเลข (๒) ข้างท้ายตอนที่ ๑๐ แล้ว (คือตอนสุดท้ายในตอนที่ว่าด้วยเมืองสุโขทัย) หนังสือพระราชพงศาวดารแต่งตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงเรียกเมืองสวรรคโลกตามนามขนานชั้นหลัง เมืองชากังราวนั้นตรวจต่อมาได้ความว่าอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร ทางฟากตะวันตกแม่น้ำพิง
....................................................................................................................................................
Create Date : 26 มีนาคม 2550 |
Last Update : 26 มีนาคม 2550 14:07:27 น. |
|
5 comments
|
Counter : 3942 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: กัมม์ วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:13:56:17 น. |
|
โดย: กัมม์ วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:13:58:34 น. |
|
โดย: กัมม์ วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:14:01:10 น. |
|
โดย: กัมม์ วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:14:02:37 น. |
|
โดย: กัมม์ วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:14:04:54 น. |
|
|
|
|
กัมม์ |
 |
|
 |
|
เมืองสวรรคโลกนี้ กำเเพงเมืองตามที่กล่าวไว้ในพงศาวดารเหนือว่า กว้าง ๕๐ เส้น ยาว ๑๐๐ เส้น ซึ่งเหลือที่จะเป็นไปได้ เมืองใหญ่ถึงเพียงนี้จะรักษาที่ไหนไหว แต่นอกจากในพงศาวดารเหนือนี้ก็เป็นอันไม่ได้ความจากที่แห่งใดอีก ว่าตามความจริงเมืองนี้ใหญ่เท่าใดแน่ แม้ในพงศาวดารเหนือนั้นเองก็มีข้อความปรากฏอยู่ว่า เมืองไม่ได้คงอยู่อย่างเดิม ได้จัดการย่อกำแพงแก้ไขตกแต่งใหม่เมืองครั้งเตรียมการจะรับศึกพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเมืองเชียงแสน การย่อกำแพงนั้น ถ้าจะอ่านตรงๆไปตามพงศาวดารเหนือ ต้องเข้าใจว่าการย่อกำแพง น่าจะแปลว่ายกกำแพงร่นเข้ามา คือทำเมืองให้แคบเข้ากว่าของเก่า ที่นึกเช่นนี้เพราะเมื่อไปดูวัดมหาธาตุ ซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางทิศตะวันออก ได้เห็นกำแพงอันหนึ่งริมฝั่งใต้ลำน้ำยมในเวลานี้ มีเป็นเทินดินยาวเป็นเทือกไปซึ่งไม่ใช่ถนน เพราะแคบและชันมาก กำแพงดินอันนี้เป็นแนวเดียวกับกำแพงเมืองด้านริมฝั่งน้ำที่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ออกมาตั้งลอยอยู่เฉยๆ ด้านสกัดก็ไม่มี
มีปัญหาอยู่ว่า นี่คือกำแพงอะไรทำไมมาตั้งอยู่ทางนั้น จะมีทางตอบได้ทางหนึ่งว่า เดิมเมืองออกมาถึงวัดมหาธาตุ และวัดมหาธาตุอยู่ภายในกำแพงเมือง ที่ตรงนั้นเป็นแหลมถูกน้ำเซาะอยู่เสมอ จะอยู่ไม่ได้ต่อไป จึงได้ขยับเมืองหนีให้ห่างออกไปจากปลายแหลมนั้นอีก กำแพงด้านตะวันออกเวลานี้อยู่ห่างจากวัดมหาธาตุประมาณ ๒๐ เส้น(๑) ลองพลิกพงศาวดารเหนือดูในเรื่องย่อกำแพงเมืองนั้นอีกทีหนึ่ง ได้ความว่า เมื่อพุทธศักราช ๑๒๐๑ ปี พระเจ้าอรุณราช (คือพระร่วง) ได้อันตรธานหายไปในแก่งกลางเมือง และพสุจกุมารได้เป็นใหญ่ในกรุงศรีสัชนาลัยต่อไปแล้ว ขุนไตรภพนาถเสนาผู้ชำนาญในการสงครามได้ทูลพระเจ้าพสุจราชว่า "เมืองเรานี้พระเจ้าข้า หาปผู้มีบุญมิได้แล้ว และอันตรายจะบังเกิดมีไปเมื่อภายหน้า ขอพระองค์ให้แต่งกำแพงและหอรบไว้ให้มั่น" พระเจ้าพสุจราชทรงพระดำริเห็นชอบด้วยจึงดำรัสสั่งให้ขุนไตรภพนาถเป็นแม้กองจัดการแบ่งปันหน้าที่ "ให้ย่อกำแพงงเข้าไปเป็นป้อมให้รอบเมือง" ดังนี้
เรื่องราวในตอนนี้ยกเสียในส่วนศักราชซึ่งจะเอาเป็นหลักมิได้นั้น ก็ดูน่าจะเชื่อว่าอาจจะมีความจริงเป็นมูลอยู่บ้าง ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเข้าใจว่ากษัตริย์กรุงศรีสัชนาลัยวงศ์พระร่วงนั้น ในสมัยนี้อำนาจถอยลงแล้ว เพราะกษัตริย์เองเรียวลง ไม่เหมือนท่านที่เป็นต้นวงศ์ กล่าวคือพระร่วงที่ลบศักราชนั้น ถ้อยคำที่ขุนไตรภพนาถกล่าวว่า ในเมืองหาผู้มีบุญมิได้แล้วนั้น คงจะไม่ใช่เป็นคำที่ได้กล่าวทูล คงจะเป็นความเห็นของผู้แต่งเรื่องจับมาใส่ปากขุนไตรภพนาถ โดยความตั้งใจจะสำแดงว่าเมืองศรีสัชนาลัยเวลานั้นโทรมปานใด ส่วนกษัตริย์เองก็คงรู้สึกว่าอำนาจของตนถอยลงเหมือนกัน ส่วนการที่จะซ่อมแซมเมืองขึ้นใหม่นั้นเป็นการจำเป็นเพื่อจะได้ต่อสู้ศัตรูได้ แต่ครั้นจะทำขึ้นตามแนวกำแพงเก่าก็คงจะเห็นใหญ่โตนัก ไม่มีกำลังจะรักษาจึงร่นกำแพงเข้าไปตีวงให้แคบเข้า การที่ทำเช่นนี้เองข้าพเจ้าเข้าใจว่าตรงกับที่กล่าวว่าสั่งให้ย่อกำแพงให้รอบเมือง แต่อาศัยที่ท่านผู้แต่งพงศาวดารเหนือไท่ได้ไปดูถึงพื้นที่ จึงอธิบายเอาตามความเข้าใจของตนเองว่าย่อเข้าไปเป็นแห่งๆ เฉพาะตรงที่ต้องการจะทำป้อม
มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งว่า เมื่อเห็นเมืองเก่าไม่เหมาะแล้วทำไมไม่ยกย้ายไปตั้งเสียที่อื่นทีเดียว ทำไมจึงได้ตีวงเข้าไปให้แคบอยู่กับที่เดิมนั้นเอง ปัญหานี้จะตอบได้ ๓ ประการ คือประการที่ ๑ ที่นี้เป็นที่ผู้คนได้ฝังรกรากมาหลายชั่วคนแล้ว จะอพยพย้ายไปประชาชนก็จะได้ความเดือดร้อนมาก ประการที่ ๒ ทั้งกำลังและอำนาจถอยน้อยลงไปกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก การที่จะไปสร้างเมืองขึ้นใหม่ต้องอาศัยทั้งกำลังทั้งอำนาจบริบูรณ์ ถ้าแม้จะไปสร้างเมืองใหม่ไหนจะต้องอพยพครอบครัวไป ไหนจะต้องคิดถึงการที่จะทำสงครามต่อสู้กับผู้ที่อาจเกะกะขัดขวาง ไหนจะต้องเที่ยวหาวัตถุที่จะต้องใช้ในการก่อสร้างนั้นใหม่ ถ้าเพียงตีวงให้แคบเข้าในที่เดิมตัดความลำบากลงได้มาก วัตถุที่จะใช้ก่อสร้างก็มีอยู่แล้ว คือรื้อเอาแลงในกำแพงเก่ามาทำกำแพงใหม่ก็ได้ และมีสิ่งที่เป็นพยานปรากฏอยู่ว่าได้รื้อของเก่ามาทำของใหม่ คือกำแพงที่ริมน้ำทางข้างวัดมหาธาตุนั้น ยังมีเหลืออยู่เเต่เทินดินเท่านั้น
แต่ยังมีข้อสำคัญกว่าทั้ง ๒ ข้อที่กล่าวมาแล้ว คือความจำเป็นที่จะต้องรีบจัดการแต่งกำแพงและหอรบไว้ให้มั่น เพราะในสมัยนี้ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเมืองเชียงแสนมีอำนาจขึ้นแล้ว ขุนพลผู้หนึ่ง (จะชื่อไตรภพนาถหรืออะไรก็ตาม) คงจะได้ทราบระแคะระคายอยู่แล้วว่าพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกคิดจะลงมาทางใต้ จึงได้ทูลแนะนำพระเจ้ากรุงศรีสัชนาลัยให้เตรียมการไว้ท่า แต่ต้องเข้าใจว่ามีเวลาเตรียมน้อยเต็มที เพราะว่าพอทัพเชียงแสนยกลงมาจริงก็สู้เขาไม่ได้ พระเจ้าพสุจราชต้องออกไปถวายบังคมและยกพระราชธิดาให้ เมื่อการเป็นเช่นนี้แล้ว ไฉนเล่าจะมีเวลาเที่ยวหาชัยภูมิตั้งเมืองใหม่ได้ เมื่อย่อกำแพงเข้าไปนั้น จะได้ย่นกี่ด้านไม่มีสิ่งไรเป็นหลักจะเดา รู้ได้แน่อยู่ด้านเดียว คือว่ากำแพงด้านริมฝั่งน้ำยมนั้น เคยมียาวไปอีกราว ๒๐ เส้น เพราะตัวกำแพงเก่ายังมีเหลืออยู่(๒)
จังหวัดเมืองสวรรคโลกเมื่อก่อนย่อกำแพง จะใหญ่กว้างเพียงไรเหลือที่จะเดา แต่เนื้อที่เพียงกำแพงล้อมอยู่ ในกาลบัดนี้ก็ไม่ใช่เล็ก ได้ให้ขุนวิจารณ์รัฐขันธ์ทำแผนที่เมืองนี้ แล้วมาวัดดูตามแนวกำแพงได้ความว่า ด้ายตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ที่ริมฝั่งน้ำยม ๒๒ เส้น ๑๐ วา ด้านตะวันออกเฉียงใต้ ๒๒ เส้น ๕ วา ด้านตะวันตกเฉียงใต้ ๒๙ เส้น ๑๕ วา ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ๒๐ เส้น ๑๐ วา รวมโดยรอบเป็น ๙๕ เส้น เล็กกว่าเมืองสวรรคโลกที่พงศาวดารเหนือกล่าวว่าบาธรรมราชสร้างนั้นเป็นอันมาก และเล็กกว่าเมืองสุโขทัย ซึ่งวัดโดยรอบได้ถึง ๑๖๔ เส้น
พงศาวดารเหนืออยู่ข้างจะเข่นอะไรๆให้ใหญ่เกินจริงเป็นเสียแทบทุกสิ่ง กำแพงเมืองสวรรคโลกนั้น ใช่จะเข่นให้มากไว้แต่ในทางยาว ทางหนาทางสูงก็เข่นให้หนักเหมือนกัน คือกล่าวไว้ว่ากำแพงสูง ๔ วา หนา ๘ ศอก ตั้งแต่พอได้เห็นเมื่อวันแรกไปถึงก็นึกในใจแล้วว่าคงไม่จริงเช่นนั้น แต่ในเวลานั้นต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นอยู่รกรุงรัง ทั้งที่ในกำแพงทั้งที่ในคู จึงไม่สามารถจะคะเนได้เป็นแน่นัก ข้าพเจ้าจึงขอคนไปถางดูตอนหนึ่ง ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้มีโอกาสตรวจสอบบและวัดดูทั้งคูและกำแพงคูกว้าง ๑๓ วา ๒ ศอก ลึกประมาณ ๕ ศอก กำแพงก่อด้วยศิลาแลงตัดเป็นแผ่นอย่างหนาเช่นอิฐ และสูง ๓ วา ที่เชิงหนา ๔ ศอก ยอดหนา ๓ ศอก มีเชิงเทินสำหรับทหารขึ้นรักษาหน้าที่ มีที่เดินประมาณศอกคืบ ผิดกับในพงศาวดารเหนือมากอยู่
คราวนี้พิจารณาตามข้อความในพงศาวดารกรุงเก่าต่อไปก่อนที่จะเริ่มเดา เมื่อพระนเรศวรเป็นเจ้าทรงตีเมืองสวรรคโลก จะได้ตีทางไหนบ้าง ก็ต้องตรวจค้นหาประตูว่าจะมีอยู่ทางใดบ้าง การค้นประตูในเมืองที่ทิ้งร้างไว้นานๆแล้วนั้น ไม่ใช่ของง่ายเพราะบางทีที่เป็นช่องอยู่จะไม่ใช่ประตู เป็นแต่กำแพงทลายก็ได้ หรือที่มีประตูแต่ต้นไม้ขึ้นรกบังเสียหมดจนเลยไม่เห็นก็ได้ เพราะฉะนั้น จำเป็นจะต้องหาคนนำทาง พระยาอุทัยมนตรีไปได้ตัวมาคนหนึ่ง ชื่อนายเทียน ชาวเมืองสวรรคโลก เรียกกันว่าอาจารย์เทียน เพราะถือกันว่าเป็นคนมีวิชาความรู้มาก และได้บวชอยู่นาน เป็นสมภารอยู่ที่วัดมหาธาตุ นายเทียนผู้นี้ได้ใช้ประโยชน์มาก คือใช้เป็นคนนำไปดูที่ต่างๆ หรือให้ไปล่วงหน้าไปค้นหาสถานที่ไว้ให้ดู ที่จริงนายเทียนอยู่ข้างจะรู้จักสถานที่ต่างๆมาก และมีเรื่องราวเล่าได้เป็นอันมาก แต่ฟังนายเทียนเหมือนอ่านพงศาวดารเหนือ คือต้องฟังแต่พอให้มีทางพิจารณาต่อไป ไม่ใช่ถือเอาเป็นแน่นอน
นายเทียนผู้นี้ ข้าพเจ้าได้ไล่เลียงเรื่องประตูเมือง คงจำหน่ายได้ ๔ ประตู คือประตูใหญ่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้เรียกว่าประตูรามณรงค์ ประตูด้านตะวันตกเฉียงใต้มี ๒ ประตูคือประตูผี ๑ ประตูชนะสงคราม ๑ ด้านตะวันตกเฉียงเหนือมีประตูใหญ่ชื่อประตูชัยพฤกษ์ ชื่อประตูเหล่านี้เป็นนายเทียน ไม่ปรากฏว่าได้มาจากแห่งใด ที่ข้าพเจ้ายอมเรียกตามชื่อเหล่านี้ก้เพราะเห็นว่า เรียกชื่ออะไรไว้อย่างหกนึ่งดีกว่าจะต้องอธิบายให้ยืดยาวทุกๆคราวที่จะกล่าวถึงประตูใดประตูหนึ่ง และในแผนที่ ข้าพเจ้าก็ปล่อยไว้เช่นนั้นด้วยเหตุเดียวกัน
บัดนี้จะลองจับชนกับข้อความในพงศาวดารกรุงเก่าดูทีหนึ่ง อ่านดูตามความเข้าใจว่าประตูสามเกิดเป็นประตูที่มีป้อมค่ายรักษามั่นคง จนถึงยกเข้าเผาและหักเอาเป็นหลายครั้งยังไม่สำเร็จได้ ประตูที่มีป้อมค่ายป้องกันแข็งแรงมีอยู่ประตูเดียวคือประตูชนะสงครามทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ หน้าประตูมีคูสองชั้นและเทินดินสูงหนา ทำเป็นเหมือนป้อมปีกกา ดูมั่นคงน่าจะตีหักเอาได้โดยยาก ถึงแม้จะพิตารณาดูตามแบบวิธีทำป้อมค่ายอย่างปัตยุบันสมัยนี้ ก็ต้องนับว่าไม่เลวนัก ถ้าลำพังแต่ทหารราบต่อราบสู้กัน ดูเหมือนผู้ที่ตั้งมั่นรักษาที่นั้นจะได้เปรียบมาก เพราะเหตุฉะนี้ดูประตูนี้น่าจะเป็นประตูสามเกิด
ประตูสะพานจันนั้น ข้าพเจ้าเดาว่าน่าจะเป็นประตูรามณรงค์ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ คือช่องทางที่ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในเมืองเมื่อแรกไปจากสุโขทัยนั้นเอง ที่ข้าพเจ้าเดาเช่นนี้ เพราะว่าที่ริมถนนที่เดินไป เมื่อจวนจะถึงประตูนั้นเห็นเป็นสระอันหนึ่งรูปยาวขวางไปจนตรงหน้าประตูมีร่องน้ำเดินไปประจบกับคูเมือง จึงเดาว่าน่าจะมีสะพานข้ามคลองที่เชื่อมสระกับคูนั้นสักอันหนึ่ง แต่หลักฐานไม่สู้มั่นคงนัก ส่วนประตูหม้อนั้นเหลือสติกำลังที่จะเดา เว้นเสียจะชี้สุ่มลงไปว่าประตูผีนั้นเองเท่านั้น(๓)
เมื่อได้ตรวจลาดเลาดูเช่นนี้แล้ว อยากจะใคร่เดาต่อไปว่าทัพสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า เมื่อยกมาจากเมืองสุโขทัยนั้น ได้มาตามทางที่ข้าพเจ้าเดิน คือตามถนนพระร่วงนั้นเอง เพราะดูเป็นทางสะดวกกว่าทางอื่น ถ้าเช่นนั้นแล้วก็แปลว่ายกขึ้นมาแต่ตะวันตกเฉียงใต้ เพราะฉะนั้น ที่จะเข้าหักเอาเมืองก็คงจะเข้าทางด้านที่มาถึงเข้าก่อน คือด้านตะวันตกเฉียงใต้กับตะวันออกเฉียงใต้ (เมืองนี้ไม่ได้ตั้งตรงทิศ หน้ากำแพงจึงเฉียงอยู่เช่นนี้ทั้งหมด) แต่ด้านนี้ชาวเมืองคงจะได้จัดการเตรียมป้องกันไว้แข็งแรง เพราะคงจะรู้อยู่แล้วว่าทัพสมเด็จพระนเรศวรจะยกมาทางนั้น การที่จะปล้นเอาเมืองในครั้งแรกจึงไม่สำเร็จ
จนภายหลังต้องย้ายไปทำการหักหาญทางดอนแหลมหรืออุดรแหลม ซึ่งโหราจารย์ทูลว่าเป็นอริแก่เมือง ข้าพเจ้าเข้าใจว่าดอนแหลมจะเป็นถูก อุดรแหลมดูแปลไม่ได้ความว่ากระไร แต่ดอนแหลมแปลได้ตามภูมิที่ คือทางตะวันออกของเมืองเป็นที่ดอนเป็นแหลมยื่นออกไป ลำน้ำยมหักศอกเลี้ยวเป็นข้อศอก ที่แผ่นดินจึงเป็นแหลม มีวัดมหาธาตุอยู่ที่ปลายแหลมนี้ อีกประการหนึ่งพิจารณาดูท่าทางกำแพงด้านนี้จะโลเลยิ่งกว่าด้านอื่น คูหน้ากำแพงก็ไม่มี ดูเป็นที่ควรจะหักเอาได้ง่ายกว่าด้านอื่น กำแพงด้านนี้ก็ชำรุดหักพังมากกว่าด้านอื่น เพราะคงจะถูกทำลายลงเสียครั้งนั้น คูที่สูญก็บางทีจะสูญมาแต่ครั้งนั้นเอง คือถูกถมแล้วภายหลังเลยไม่มีใครขุดขึ้นใหม่อีก ส่วนประตูดอนแหลมที่ทหารเข้าเผาหักเอาได้นั้น ก็คงทลายเสียหมดในครั้งนั้น จึงค้นไม่พบประตูเลยจนช่องเดียวทางแถบนี้
ส่วนวัดไม้งามที่ตั้งทัพหลวงของสมเด็จพระนเรศวรในครั้งนั้นก็ดี วัดไผ่ที่พระยาสวรรคโลกหนีเข้าไปซ่อนอยู่ก็ดี ไม่มีสิ่งไรเป็นหลักฐานที่จะเดาได้ จึงไม่ได้คิดค้นหาเลย(๔)
อธิบายความในตอนที่ ๔
(๑) เมื่อทรงพระราชนิพนธ์หนังสือนี้ เป็นเวลาก่อนค้นพบเมืองเชลียง ซึ่งกล่าวไว้ในอธิบายเลย (๒) ข้างท้ายตอนที่ ๑๐ ความที่ทรงพรรณนาตอนนี้ก็ประกอบหลักฐานว่าเมืองเชลียงตั้งอยู่ที่วัดมหาธาตุ (ที่ชาวเมืองเรียกกันว่าวัดน้อย) และพระปรางค์วัดมหาธาตุนี้เองที่ในจารึกพ่อขุนรามคำแหงกล่าวถึงเมืองเชลียงว่า เอาศิลาจารึกอันหนึ่ง "สถาปกไว้ด้วยพระศรีมหาธาตุ"
(๒) หนังสือพงศาวดารเหนือ พระวิเชียรปรีชาเจ้ากรมราชบัณฑิตยฝ่ายพระราชวังบวรฯเป็นผู้แต่งเมื่อรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ สังเกตเห็นได้ในหนังสือนั้น ว่าเป็นแต่รวบรวมเรื่องเกร็ดต่างๆ (ทั้งทีมีผู้เขียนไว้และที่มีผู้จำไว้ได้) เอามาเรียบเรียง ความเรื่องเดียวกันแยกออกเป็น ๒ เรื่องเล่าซ้ำกันก็มีหลายแห่ง อันเรื่องแก้ไขกำแพงเมืองสวรรคโลกและสุโขทัย มีหลักสำหรับวินิจฉันในทางโบราณคดีอยู่อย่างหนึ่ง คือในสมัยเมื่อราชวงศ์พระร่วงครองกรุงสุโขทัยนั้น ปืนใหญ่ยังไม่มี เชิงเทินคินรอบนอกกำแพงเมืองสวรรคโลกและสุโขทัยสร้างสำหรับกันปืนใหญ่ ต้องเป็นของสร้างต่อเมื่อใช้ปืนใหญ่ในการรบพุ่งคือในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ผู้แต่งหนังสือพงศาวดารเหนือมิได้คำนึงถึงความข้อนี้ ฝ่ายพวกชาวเมืองนั้น เห็นสิ่งใดปรากฏอยู่คิดว่าเป็นของครั้งพระร่วงทั้งนั้น บางทีก็เกิดเป็นเรื่องสาขาออกไป ดังเรื่องพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ดังจะแสดงในตอนว่าด้วยเมืองพิษณุโลกต่อไปข้างหน้า
(๓) ที่เรียกว่าประตูหม้อ สันนิษฐานว่าประตูหม้อเป็นทางเดินไปตำบลที่ตั้งเตาหม้อ คือทำเครื่องสังกโลก ถ้าเช่นนั้นก็อยู่ตอนริมน้ำทางด้านเหนือ
(๔) ข้าพเจ้าไปตรวจครั้งหลัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ พบวัดใหญ่ๆอยู่ในป่าระหว่างเขาใหญ่ไปทางเขารังแร้งหลายวัด สมเด็จพระนเรศวรเห็นจะตั้งค่ายหลวงในที่ตำบลนั้น ตรงกับทางที่พรรณนาในพระราชนิพนธ์
....................................................................................................................................................