|
ภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา
ครั้งหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ เสด็จลงเรือพระที่นั่งพายในสระบางปะอินจะไปเที่ยวประพาส ตรัสเรียกพระยาโบราณฯ ให้ตามเสด็จ ให้นั่งอยู่หลังที่ประทับ พอเรือพายผ่านพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพอาสน์ ซึ่งปลูกอยู่กลางสระ ตรัสถามพระยาโบราณฯว่า "ปราสาทครั้งกรุงเก่ายอดประดับกระจกหรือไม่"
พระยาโบราณฯกราบทูลสนองทันที่ว่า "ประดับพ่ะย่ะค่ะ"
รัชกาลที่ ๕ ตรัสย้อนถามว่า "ทำไมเจ้าจึงรู้ว่าประดับกระจก"
พระยาโบราณฯกราบทูลสนองว่า "ในหนังสือพระราชพงศาวดาร แผ่นดินพระเจ้าปราสาททองกล่าวว่า ครั้งหนึ่งพระนารายณ์ราชกุมารเล่นอยู่บนเกยปราสาท อสุนีบาตลงต้องยอดปราสาทจนกระจกปลิวลงมาต้องพระองค์ พระนารายณ์ก็หาเป็นอันตรายด้วยสายฟ้าไม่"
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสว่า "เออ จริงแล้ว" ฝ่ายบรรดาผู้คนที่ตามเสด็จทั้งหลายที่ไปในครั้งนั้น ต่างพากันชมความทรงจำของพระยาโบราณฯ กับชื่นชมที่ท่านสามารถตอบข้อทรงถามได้อย่างว่องไวด้วย ถ้าหากไม่เป็นคนรักรู้จริงๆแล้ว ก็คงไม่อาจกราบทูลได้โดยเร็วเช่นนั้นได้
(จากหนังสือ "เก็บตกกรุงสยาม" ของ เอนก นาวิกมูล)
จากเกร็ดต่างๆที่ปรากฏอยู่หนังสือต่างๆ เราได้ทราบถึงความรู้ ความรักรู้ในโบราณคดีของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเป็นผู้ขุดบูรณะกรุงศรีอยุธยา และเป็นผู้เปิดเผยประวัติศาสตร์ ในคราวนี้ขอเสนองานนิพนธ์ ของ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) จากหนังสือ "ตำนานกรุงเก่า"
....................................................................................................................................................
ตอนที่ ๒ ภูมิสถานพระนคร
กรุงศรีอยุธยา
กรุงศรีอยุธยานั้น ตั้งอยู่ข้างฟากตะวันออกของกรุงเทพทวาราวดี คงจะอยู่ทางสเตชั่นรถไฟเก่า ออกไปในแถวที่วัดสมณโกษ วัดกุฎีดาว และวัดศรีอโยธยา ซึ่งมาภายหลังเรียกกันว่าวัดเดิม เมืองคงจะหันหน้าไปทางตะวันออกลงแม่น้ำหันตรา แต่กำแพงป้อมปราการเห็นจะไม่ใช่ก่อด้วยอิฐ คงเป็นเชิงเทินดิน เมื่อเมืองร้างแล้วก็มีคนถากถางเกลี่ยทำเป็นไร่นา และทั้งปราสาทราชฐานก็คงจะเป็นเครื่องไม้ จึงมิได้มีสิ่งใดเหลือ
กรุงเทพทวาราวดี
กรุงเทพทวาราวดีซึ่งเป็นเมืองหลวงภายหลัง ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโสน ซึ่งเป็นที่แผ่นดินแหลมแม่น้ำลพบุรี ด้านเหนือด้านใต้ด้านตะวันตกจดแม่น้ำ แต่ด้านตะวันออกเป็นพื้นดินเดียวกันกับกรุงศรีอยุธยา เพราะฉะนั้นเมื่อสร้างกรุงแล้วจึงได้ปรากฏว่า ด้ารตะวันออกนี้มีแต่คู หาแม่น้ำมิได้ คูนี้เป็นคูแยกจากแม่น้ำลพบุรีแต่ตำบลหัวรอ ไปบรรจบแม่น้ำบางกะจะ ป้อมเพ็ชร์เรียกว่าคูขื่อหน้า แต่ชั้นเดิมคงจะแคบ มาในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชา เมื่อจุลศักราช ๙๒๔ ปี จึงโปรดให้ขุดขยายออกไปเป็นกว้าง ๑๐ วา ลึก ๓ วา เพราะเข็ดเมื่อครั้งในแผ่นดินสมเด็จพระมหินทราธิราช คูขื่อหน้าแคบ ทัพหงสาวดีจึงถมถนนข้ามเข้ามาตีกรุงได้
กำแพงเมือง
กำแพงพระนครในชั้นแรกสร้างกรุงเห็นจะยังไม่ได้ก่อด้วยอิฐ เข้าใจว่าจะเป็นแต่เชิงเทินดิน ใช้ขุดดินทางริมน้ำกับข้างใยขึ้นถม คูที่ขุดเอาดินขึ้นมาทางข้างในกำแพงเดี๋ยวนี้ยังปรากฏอยู่ กำแพงอิฐจะมาก่อขึ้นต่อหลัง เพราะรากกำแพงอิฐที่พบในเวลานี้อยู่บนเชิงเทินดิน สูงกว่าระดับดินธรรมดาตั้งแต่วาหนึ่งถึง ๖ ศอก ตัวเชิงเทินดินที่เป็นพื้น ตั้งกำแพงกว้างอย่างน้อยราว ๘ วา กำแพงหนา ๒ วาเศษ ก่ออิฐ ๒ ข้างไว้ช่องกลางถมดินกับอิฐหัก ส่วนสูงตั้งแต่เชิงกำแพงถึงปลายใบเสมา คะเนว่าบางแห่งถ้าในที่ต่ำคงจะราว ๓ วา ถ้าที่สูงคงจะราว ๑๐ ศอกเศษ เพราะพบเศษกำแพงที่เหลือจากรื้ออยู่ที่วัดท่าทรายแห่งหนึ่ง สูงจากพื้นดิน ๙ ศอกเศษเกือบคืบ กับที่ใต้วัดจีนเยื้องหน้าวัดสุวรรณมีประตูช่องกุฏอยู่ด้วยอีกแห่งหนึ่ง ตรงนั้นเป็นที่ดอนกำแพงสูง ๖ ศอกคืบมีเศษ ที่คิดว่ากำแพงตอนนั้นสูงเท่านี้ก็เพราะด้วยกำแพงที่เหลืออยู่นั้น สูงพ้นหลังประตูช่องกุฏขึ้นไปอีกศอกเศษ ซึ่งคะเนว่าเกือบจะถึงที่ตั้งใบเสมา เพราะธรรมดาประตูช่องกุฏก็อยู่ไล่เลี่ยหรือต่ำกว่าพื้นเชิงเทินำปเพียงนิดน้อย พ้นเชิงเทินขึ้นไปไม่กี่มากน้อยก็ถึงที่ตั้งเสมา กับได้ขุดพบเสมากำแพงเมืองยังเป็นรูปดีอยู่เสมาหนึ่ง กว้างศอกคืบ หนา ๒ ศอก สูง ๒ ศิกคืบ ถ้าเอาส่วนของใบเสมาบวกเข้ากับกำแพงตรงวัดท่าทราย ก็คงได้ราว ๓ วา กำแพงใต้วัดจีนราว ๑๐ ศอก ถึงจะยิ่งหย่อนกว่านี้ไปบ้างก็ไม่สู้มากนัก แต่ถ้าคิดเอาส่วนสูงของกำแพง ตั้งแต่ระดับดินไปจนขาดปลายเสมา คงจะสูงเสล ๔ วาทั้งหมด แนวกำแพงพระนครวัดได้ ๓๑๐ เส้น ในเมืองวัดตามกว้างในที่คอดได้ ๔๐ เส้น ตามยาวได้ ๙๘ เส้น
ขยายกำแพงเมืองด้านตะวันออก
กำแพงเดิมก่อนแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ด้านเหนือตั้งแต่หน้าพระราชวัง คงจะไปตามแนวถนนป่ามะพร้าวแล้วไปเลี้ยวมรามุมใต้ประตูหอรัตนชัย วกลงไปข้างในห่างจากถนนรอบกรุงเดี๋ยวนี้ถึงป้อมเพ็ชร แต่ป้อมเพ็ชรมาตามทางริมน้ำทิศใต้ทิศตะวันตกบรรจบ ทิศเหนือจดคลองท่อ ที่ซึ่งเป็นวังจันทรเกษมเดี๋ยวนี้อยู่นอกพระนคร จะได้กล่าวต่อไปในภายหลัง
และเหตุที่กำแพงเดิมอยู่หังวังจันทร์เกษมห่างจากแม่น้ำเดี๋ยวนี้เข้าไปมากนั้น ก็เห็นจะเป็นด้วยครั้งแรกสร้างกรุงที่แถวนั้นจะเป็นหาดทรายและลำลาบลุ่มมาก เพราะในเวลานี้เมื่อขุดดินลงไปลึกสักศอกเศษ ก็พบพื้นล่างเป็นทราย ครั้นมาภายหลังที่ดอนขึ้น ชานพระนครกว้างออกไป จึงได้สร้างพะเนียดที่จับช้างขึ้นระหว่างวังจันทร์เกษม กับที่ซึ่งเป็นวัดขุนแสนวัดซองเดี๋ยวนี้ และบางทีก็จะได้ใช้เป็นที่ทอดปล่อยเลี้ยงช้างหลวงด้วย
ครั้นมาในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เกิดศึกหงสาวดีติดพระนคร คงจะทรงเห็นว่า การที่ไว้ชานพระนครกว้าง ปล่อยให้กำแพงกับคูห่างกัน ย่อมเป็นทางให้ข้าศึกข้ามคูเข้ามาถึงกำแพงได้ง่าย เพราะไกลทางปืน จึงโปรดให้ขยายกำแพงพระนครออกไปตั้งถึงขอบริมน้ำ แต่ครั้งนั้นเห็นจะยังไม่แล้วเสร็จ
มาเมื่อจุลศักราช ๙๒๔ ปี ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชา จึงปรากฏว่าได้ทำกำแพงอีกคราวหนึ่ง ก็เห็นจะทำเพิ่มเติมกำแพงที่ค้างมาในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดินั้นเอง กำแพงใหม่ตอนที่ยกออกมานี้ แยกจากกำแพงเก่าที่ท่าสิบเบี้ย วงเอาวัดราชประดิษฐานและที่ซึ่งภายหลังเป็นวัดขุนแสน วังจันทร์เกษมไว้ข้างใน แล้ววกลงไปบรรจบป้อมเพ็ชร ซึ่งเป็นถนนรอบกรุงที่ใช้เดินกันไปมาอยู่ทุกวันนี้ ส่วนกำแพงเดิมที่อยู่ภายในหลังวังจันทร์เกษมเข้าไปคงจะรื้อปราบลงเป็นถนนในพระนคร คงเป็นถนนป่ามะพร้าวข้างวัดพลับพลาชัยแน่
ขุนหลวงหาวัดก่อกำแพงหน้าวัด
อนึ่งกำแพงเมืองข้างวัดหลวงด้านริมน้ำ เดิมมีชั้นเดียว และตอนนี้ก่อผิดกว่าที่อื่น เชิงกำแพงมีลายบัวคว่ำด้วย ครั้งศึกพระเจ้าอลองพราญีติดพระนคร ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ ข้าราชการไปเชิญเสด็จขุนหลวงหาวัดลาพระผนวช ออกช่วยทรงจัดการป้องกันรนักษากรุง ขุนหลวงหาวัดโปรดให้ก่อกำแพงที่ข้างวังลงในที่ริมแม่น้ำ ต่ำกว่าที่กำแพงเดิมอีกชั้นหนึ่ง กำแพงสายนี้ก็ตรวจพบแล้ว แต่อยู่ในที่น้ำท่วมต่ำมาก ครั้นขุดวังคราวนี้ตั้งใจจะถมชายตลิ่งหน้ากำแพงเก่า ให้เท่ากับระดับถนนหน้าจวนมหารใน จะเอากำแพงสายนี้ไว้ ก็จะต้องแหวกดินเป็นคูจึงจะเห็น แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าดูแลอย่างไร จึงได้ถมเสีย
ป้อมตามกำแพงเมือง
ตามแนวกำแพงมีป้อมเป็นระยะรอบพระนคร ตามที่ตรวจพบแล้วในเวลานี้มี ๑๖ ป้อม เข้าใจว่าจะมีมากกว่านี้ แต่ไม่มีเวลาพอที่จะขุดค้นได้ตลอด ภายหลังเมื่อตรวจตราได้ความอย่างไร จะได้เพิ่มเติมต่อไป ป้อมรนั้นถ้าอยู่ในที่สำคัญ เช่นตรงแม่น้ำหรือทางร่วม ก็เป็นป้อมใหญ่ก่ออย่างแข็งแรง แต่ป้อมเดหล่านี้ยังเหลือพอที่จะเห็นซวดทรงสัณฐานได้ ๒ แห้งคือ ป้อมเพ็ชรแห่งหนึ่ง เป็นป้อมใหญ่ก่อสำหรับป้องกันข้าศึกที่จะมาทางน้ำตรงมุมพระนครด้านใต้ ป้อมนี้ก่อยื่นออกไปจากแนวกำแพงหนา ๓ วามีเศษ กลางป้อมเป็นพื้นดินว่าง มีบันไดอิฐขึ้นเทิงเชินในป้อม ตามเหลี่ยมป้อมที่พื้นดินมีประตูคูหาก่อเป็นรูปโค้ง มีรอยติดบานที่จะใช้เปิดปิดเข้าออกได้ คูหากว้าง ๔ ศอก สูง ๕ ศอก บนหลังคูหามีช่องกลวงตลอดขึ้นไปถึงเชิงเทิน
กับป้อมริมประตูข้าวเปลือกอีกแห่งหนึ่ง เป็นป้อมคู่ตั้งอยู่ ๒ ฟากคลอง แต่เล็กกว่าป้อมเพ็ชร ก่อย่อเหลี่ยมเข้าเป็นท่าบรรจบกัน บนป้อมเป็นพื้นอิฐ ตลอดตามเหลี่ยมป้อมมีประตูคูหาโค้งเหมือนป้อมเพ็ชร เข้าใจว่าเมื่อมีข้าศึกมาติดพระนคร คงจะลากปืนใหญ่ออกตั้งยิงป้องกันตามช่องคูหา แต่ถ้าเมื่อเห็นจะเสียท่วงที ก็คงลากถอยปืนใหญ่ไปในป้อมเอาไม้แก่นปักลงในช่องว่างเป็นระเนียดปิดช่องคูหากันหน้าบานประตู ส่วนบนป้อมก็คงจะตั้งปืนใหญ่ได้ ด้วยมีที่กว้าง
ชื่อป้อม
ป้อมตามกำแพงเมืองซึ่งมีชื่อในพระราชพงศาวดาร ก็มีแต่ป้อมมหาไชย ป้อมเพ็ชร หอราชคฤห์ ป้อมนายการ(เห็นจะเป็นป้อมในไก่) ป้อมซัดกบหรือป้อมท้ายกบ กับป้อมจำปาพลอีกป้อมหนึ่ง พงศาวดารไม่ได้กล่าวให้เป็นเข้าใจว่าอยู่ที่ใด แต่ป้อมมหาไชยนั้นได้ความแน่นอนแล้วว่า เป็นป้อมอยู่มุมวังจันทร์เกษม อยู่ในที่ซึ่งเป็นตลาดหัวรอ ป้อมนี้ก็ทีจะเป็นป้อมใหญ่อย่างแข็งแรงเหมือนกัน เพราะตั้งอยู่ในที่เลี้ยว จากแม่น้ำหน้าวัดสามพิหาร ซึ่งจะเป็นทางเข้าไปถึงข้างพระราชวังหลวง
เมื่อครั้งพระเจ้าตะเบงซวยตี้กษัตริย์กรุงหงสาวดียกทัพเข้ามาติดพระนคร ครั้งทรงช้างที่นั่งมายืนอยู่ที่วัดสามพิหาร เร่งให้แม่ทัพนายกองต้อนพลเข้าหักพระนคร พระยารามเอาปืนนารายณ์สังหารลงสำเภาไม้รักแม่นาง ยิงขึ้นไปถูกกิ่งโพธิใหญ่ ๓ กำ หักลงมาใกล้ข้างช้างที่นั่งพระเจ้าตะเบงซวยตี้ ขณะนั้นชาวป้อมมหาไชยก็ยิงปืนใหญ่น้อยสาดเข้าไปถูกรี้พลมอญพะม่าตายมาก ทัพหงสาวดีต้องถอย
อนึ่งเมื่อแรกพระเพทราชาขึ้นเสวยราชสมบัติ กบฏธรรมเสถียรขี่ช้างพาพวกเข้ายืนอยู่ที่ตรงรอทำนบฟากตะวันออก พระพุทธเจ้าเสือเมื่อยังเป็นกรมพระราชวังบวร เสด็จขึ้นไปบนป้อมมหาไชย ทรงจุดปืนใหญ่ยิงไปถูกช้างซึ่งขบถธรรมเสถียรขี่มาล้มลงตายในที่นั้น แต่ขบถธรรมเสถียรกับอ้ายกุลาทาษผู้เป็นควาญหาถูกปืนไม่ เป็นแต่ตกช้างลงมาก็เจ็บป่วยสาหัส จึงตามจับตัวได้
และป้อมเพ็ชรนั้น เป็นป้อมตั้งตรงมุมพระนครด้านใต้ตรงแม่น้ำบางกะจะ เป็นป้อมสำหรับต่อสู้ข้าศึกที่จะมาทางเรือจากข้างใต้ ต่อป้อมเพ็ชรขึ้นไปทางขื่อหน้าก็มีป้อมใหญ่รายเรียงขึ้นไปอีก ๒ ป้อมในระยะที่ใกล้กัน ป้อมกลางจะมีชื่อเสียงอย่างไรไม่ได้ความ แต่ป้อมเหนือที่ตั้งอยู่ข้างวัดจีนหน้าวัดสุวรรณตรงมุมเกาะแก้วนั้น คงเป็นชื่อหอราชคฤห์ ซึ่งพระมหาธรรมราชาเสด็จไปประทับทรงบัญชาการศึกป้องกันทัพพระยาละแวก ที่ยกเข้ามาปล้นกรุงคราวมาตั้งอยู่ที่ขนอนบางตะนาวศรี
ครั้งนั้นป้อมนายการ(ในไก่)ก็ได้ยิงต่อสู้ข้าศึกด้วย ป้อมในไก่นี้ทีจะอยู่เหนือและใกล้ๆกับป้อมเพ็ชรทางลำน้ำสำเถาล่ม คือกันไม่ให้ทัพเรือขึ้นไปทางเหนือได้
ป้อมซัดกบหรือท้ายกบ เป็นป้อมอยู่มุมพระนครตรงลำน้ำหัวแหลม คืออยู่ในแถวที่ข้างเหนือโรงทหารทุกวันนี้ ที่คิดว่าป้อมนี้เป็นป้อมซัดกบ ก็เพราะมีความในพระราชพงศาวดารว่า เมื่อพะม่ายกมาตีกรุงในครั้งหลัง พระศรีสุริยภาค(น่าจะเป็นพระศรีสุริยพาห)นายป้อมซัดกบประจุปืนมหากาฬมฤตยูราช ๒ สัด ๒ นัด ยิงค่ายพม่าวัดภูเขาทอง เพราะหน้าป้อมนี้ก็ตรงไปทางลำน้ำภูเขาทองด้วย
ป้อมจำปาพลนั้น กรมขุนราชสีห์ลงไว้ในแผนที่ของท่านว่า ป้อมที่ออกชื่อมาว่าเป็นป้อมซัดกบนั้นเป็นป้อมจำปาพล แต่ในจดหมายเหตุอีกฉะบับหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นคำให้การขุนหลวงหาวัดว่า ป้อมจำปาพลอยู่ถัดประตูเข้าเปลือกเหนือวัดท่าทราย แต่เห็นว่าป้อมจำปาพลนี้หาใช่ป้อมตามกำแพงไม่ เป็นป้อมชั้นนอก
ข้อที่จะเห็นว่าป้อมนี้อยู่นอกพระนครนั้น คือมีความในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า เมื่อครั้งพระเจ้ากรุงหงสาวดีตะเบงซวยตี้)ยกทัพเข้ามาติดพระนครในศักราช ๙๐๕ ปี ครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้เจ้าพระยาจักรีออกไปตั้งค่ายตำบลลุมพลี เจ้าพระยามหาเสนาออกตั้งค่ายบ้านดอกไม้ป้อมท้องนาหันตรา พระยาพระคลังตั้งป้อมท้ายคู พระสุนทรสงครามตั้งค่ายป้อมจำปาพล ในการสงครามคราวนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิพร้อมด้วยพระสุริโยทัย ซึ่งเป็นสมเด็จพระอัครมเหสี และพระราเมศวร พระมหินทราธิราชราชโอรส ทรงช้างพระที่นั่งยกพลออกไปต่อยุทธกับพระเจ้าหงสาวดีที่ทุ่งภูเขาทอง ช้างพระที่นั่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียทีเบนให้หลังแก่ข้าศึก พระสุริโยทัยก็ขับช้างพระที่นั่งสอึกเข้ารับไว้ ช้างพระเจ้าแปรรับได้ล่างถนัด ช้างพระสุริโยทัยแหงนหงายเสียที พระเจ้าแปรจ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว ต้องพระอังษาพระสุริโยทัยตะพายแล่งมาถึงราวพระถันสิ้นพระชนม์บนคอช้าง พระราเมศวร พระมหินทราธิราชก็ขับช้างพระที่นั่งเข้ากันพระศพพระราชมารดาเข้าพระนครได้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงโปรดให้เชิญพระศพพระสุริโยทัยมาไว้ที่สวนหลวง ครั้นรุ่งขึ้นพระมหาอุปราชาแต่งพลเข้าตีค่ายพระสุนทรสงครามแตก เสียค่ายและป้อมจำปาพล ครั้นเลิกการสงครามแล้ว จึงโปรดให้แต่งการพระราชทานเพลิงพระศพพระสุริโยทัย และที่ซึ่งพระราชทานเพลิงนั้น โปรดให้สถาปนาเป็นพระอารามชื่อวัดสบสวรรค์ มีความดังนี้
ถ้าจะคิดว่าป้อมที่มุมพระนครตรงแม่น้ำหัวเเหลมเป็นป้อมจำปาพล ป้อมนั้นก็อยู่ข้างสวนหลวง ถ้าทัพหงสาวดีตีป้อมนี้ได้ก็คงเมืองแตก พระศพพระศรีสุริโยทัยก็คงจะไม่อยู่มาจนถึงเวลาพระราชทานเพลิง หรือจะคิดว่าป้อมเหนือวัดท่าทรายเป็นป้อมจำปาพล ตามที่จดหมายเหตุขุนหลวงหาวัดกล่าว ก็ถ้าข้าศึกตีได้เมืองก็ต้องแตกอีก และทัพหงสาวดีคราวนี้ก็ตีพระนครไม่ได้ จึงเห็นว่าป้อมจำปาพลไม่ใช่ป้อมตามกำแพงเมือง เป็นป้อมนอกพระนคร คงจะเป็นป้อมที่อยู่ฟากตะวันตก เหนือวัดท่าวัดการ้องขึ้นไป ที่ตรงปากคลองภูเขาทองข้าม ซึ่งในเวลานี้ก็ยังมีซากป้อม และวัดที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ยังเรียกชื่อว่าวัดป้อมอยู่
ที่พระสุนทรสงครามออกไปตั้งอยู่ที่ป้อมนี้ ก็สำหรับจะป้องกันข้าศึกที่จะมาทางขนอนปากคู เป็นป้อมชั้นนอกพระนครด้านตะวันตก และที่เจ้าพระยาจักรีไปตั้งค่ายเป็นทางป้องกันทางฝ่ายเหนือ เจ้าพระยามหาเสนาตั้งที่ป้อมท้องนาหันตรา ก็คือไปตั้งสกัดต่อสู้ข้าศึกที่จะมาทางลำน้ำสักด้านตะวันออก พระยาพระคลังตั้งป้อมท้ายคู ก็คือตั้งที่ริมแม่น้ำตรงตำบลบางกะจะ เป็นกองป้องกันข้าศึกซึ่งจะขึ้นมาจากทางใต้ เป็นป้อมค่ายชั้นนอก ๔ ทิศพระนคร คล้ายกับป้อมป้องปัจจามิตร์ ป้อมปิดปัจจนึก ป้อมผลาญสัตรูราบ ป้อมปราบสัตรูพ่าย ป้อมทำลายแรงปรปักษ์ ป้อมหักกำลังดัษกร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ทรงสร้างขึ้นเป็นป้อมรายชั้นนอกที่กรุงเทพมหานครนั้น
ประตูเมือง
ประตูเมืองที่เป็นประตูใหญ่ทำลายหมด พอจะเห็นได้แต่ช่องข้างล่าง กว่างราว ๖ ศอกเศษ ในหนังสือโบราณกล่าวว่าประตูใหญ่เป็นประตูยอด รูปทรงมณฑปทาแดง และได้พบรูปภาพที่พนังอุโบสถวัดยม ซึ่งนักปราชญ์ในทางวิชาช่างรับรองว่าเป็นฝีมือที่เขียนไว้แต่ครั้งกรุงเก่านั้น ประตูเมืองก็เป็นรูปยอดมณฑปทาแดง เห็นจะพอเอาเป็นที่เชื่อได้ว่า ยอดประตูเมืองกรุงเก่าไม่ได้เป็นอย่างอื่น แต่ประตูช่องกุดระหว่างประตูใหญ่นั้น ยังเหลือเป็นรูปร่างชัดเจนอยู่ที่แนวกำแพงใต้วัดจีน ก่อเป็นรูปโค้งคูหากว้าง ๔ ศอกคืบ สูง ๕ ศอกเศษ เข้าใจว่าคงจะเป็นรูปดังนี้ทั่วทุกประตู
ถนนในเมือง
อนึ่งในพระนครนั้น มีถนนรีถนนขวางและถนนซอยมากมายหลายสาย ถนนเหล่านี้ต้องพูนดินสูงกว่าระดับดินเดิมตั้งแต่ ๒ ศอกถึง ๔ ศอก เพราะพื้นดินในพระนครเป็นที่ลุ่ม ถึงฤดูน้ำๆคงท่วมทุกปีเหมือนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องถมดินเสียชั้นหนึ่งแล้วปูอิฐตะแคง บางสายกว้าง ๖ วาบ้าง ๓ วาบ้าง ๑๐ ศอกบ้าง และที่เป็นแต่ถนนดินเปล่าไม่ได้ปูอิฐก็มี
จะออกชื่อฉะเพาะแต่ที่เป็นถนนอิฐสายใหญ่ คือถนนหน้าวัง เป็นถนนขวางไปหน้าศาลพระกาฬและป่าตอง ออกประตูชัยที่กำแพงพระนครด้านใต้ยาว ๕๐ เส้น ถนนสายนี้เป็นทางที่พระเจ้าปราสาททองครั้งยังเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ยกพลไปจับพระเชฏฐาธิราช และเป็นทางราชทูตฝรั่งเศสเข้าเฝ้าถวายพระราชศาสน์ในวัง พระราชศาสน์คงจะแห่ด้วยกระบวนเรือ แต่เกาะเรียนหรือขนอนหลวงมาขึ้นบกที่ท่าประตูชัย เข้าวังที่ประตูข้างหน้าวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ และที่พักราชทูตก็ให้อยู่ในย่านประตูเทพหมีใต้ประตูชัย ด้วยถนนรีคือถนนหน้าบางตรา ริมท่าสิบเบี้ยไปป่ามะพร้าวออกที่ประตูพระนครด้านตะวันออกใต้ประตูหอรัตนชัยยาว ๕๐ เส้น ถนนหน้าบางตรานี้เป็นที่ซึ่งเจ้าพระยามหาเสนาขี่ช้างเผือกเข้ารบกับพระศรีศิลป์ขบถในแผ่นดินพระมหาจักรพรรดิ ที่ข้างถนนแต่ท่าสิบเบี้ย ไปจนตรงข้างวัดพลับพลาชัย ข้างซ้ายมีแนวเนินโรงช้างยาวเรียงจตามถนนไป เห็นจะเป็นโรงช้างที่อยู่สุดหัวถนนป่ามะพร้าว ถัดเชิงสะพานช้างเข้ามาที่หมื่นราชสิทธิกรรม์บุตรปะขาวจันเพ็ชร์เจาะจั่ว เอาปืนใหญ่ตั้งยิงเข้าไปในวังจันทร์ถูกกิ่งสนหัก ในครั้งพระบรมโกศรบกับเจ้าฟ้าอภัยเจ้าฟ้าบรเมศร์ และที่พลับพลาชัยข้างถนนนั้นเป็นที่เจ้าอ้ายพระยามาตั้งทัพคราวจะชิงราชสมบัติกับเจ้าญี่พระยา กับในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์เมื่อครั้งรบกับพระศรีสุธรรมราชา และส่งพระเป็นเจ้าถึงเทวสถานก็เสด็จทางนี้ แต่หัวถนนมาวัดพลับพลาชัยแล้วเลี้ยวซ้ายไปทางชีกุน แต่พระเพทราชาเมื่อตกพระทัยที่ได้ข่าวขบถธรรมเสถียร ก็ทรงช้างพระที่นั่งพลายมงคลจักรพาฬเสด็จมาตามทาง ภายหลังทรงนึกถึงพระแสงขอเจ้าพระยาแสนพลพ่ายของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ชนช้างชะนะมหาอุปราชาหงสาวดี จึงรับสั่งให้มหาดเล็กไปเชิญมาถวายทันที่สะพานช้าง คงจะเสด็จเกือบตลอดถนน
ถนนตลาดเจ้าพรหมที่เจ้าอ้ายพระยาเจ้าญี่พระยาชิงกันจะเข้าวัง จนเกิดรบกันถึงสิ้นพระชนม์ลงทั้ง ๒ พระองค์ที่เชิงสะพานป่าถ่านนั้น หัวถนนอยู่ต่อกำแพงพระราชวัง ตรงหน้าพระที่นั่งจัรกวรรดิตรงไปป่าถ่าน ออกประตูพระนครด้านตะวันออกที่เหนือบางเอียนตรงวัดจันทร์ ซึ่งเป็นท่าสะเตชั่นรถไฟกรุงเก่ายาว ๕๐ เส้น ที่วัดจันทร์นี้แผ่นดินพระมหินทราชาธิราช ทัพหงสาวดีถมถนนข้ามคูมาเข้าพระนครได้ แต่เวลานั้นคูคงแคบ ถ้ากว้างลึกเหมือนอย่างทุกวันนี้ เห็นทีจะไม่สำเร็จ เว้นแต่จะมีอินยิเนียวิลันดามาด้วย
ถนนนอกเมืองและลำคลอง
ถนนนอกกำแพงพระนคร ที่ปูอิฐพบสายเดียวแต่ถนนหน้าจวนทหารในริมกำแพงด้านริมน้ำ ซึ่งเป็นส่วนข้างพระราชวัง นอกจากนี้ก็เห็นจะเป็นแต่ทางหลวง เป็นตรอกซอกพอเดินไปมาตามละแวกหมู่บ้านเท่านั้น คลองในเมืองและมีคลองเล็กใหญ่ในพระนครก็หลายคลอง คลองใหญ่คือคลองท่ออยู่ท้ายวัง ไปออกทางแม่น้ำด้านใต้ตรงหน้าวัดพุทไธสวรรย์ ปากคลองทางโน้นเรียกว่าคลองฉะไกรใหญ่ คลองประตูข้าวเปลือกที่ตำบลท่าทรายตรงไปออกแม่น้ำด้านใต้ ปากคลองทางโน้นเรียกว่าคลองประตูจีน คลองนี้เมื่อปลายแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ในเวลาทรงพระประชวร พระบรมโกศกับเจ้าฟ้าอภัย เจ้าฟ้าบรเมศร์ทำศึกชิงราชสมบัติกัน พระบรมโกศตั้งค่ายรายริมคลองฟากตะวันออก เจ้าฟ้าอภัย เจ้าฟ้าบรเมศร์ตั้งค่ายรายริมคลองตะวันตก เอาคลองเป็นเขตกั้น คลองประตูหอรัตนชัยอยู่ใต้วังจันทร์เกษมด้านตะวันออกไปออกแม่น้ำริมป้อมเพ็ชร ปากคลองทางโน้นเรียกว่าคลองในไก่ และที่ใต้สะพานช้างมีคลองแยกจากคลองประตูข้าวเปลือกไปทะลุคลองหลังวังจันทร์ จะไปออกคลองหอรัตนชัยหรือคลองในไก่ก็ได้ ด้านใต้เหนือคลองในไก่ขึ้นไปถึงคลองประตูจีน พ้นคลองประตูจีนก็ถึงคลองประตูเทพหมี ตอนปากึคลองเลี้ยวหัวหน่อยหนึ่ง แล้วตรงไปในบึงชีขัน คลองประตูเทพหมีนี้ ว่าเรียกตามชื่อหลวงเทพอรชุณ(หมี)ผู้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่นั้น เหนือคลองประตูเทพหมีก็มีคลองฉะไกรน้อย ไปทางข้างวัดบรมพุทธารามถึงวัดป่าใน แล้วเลี้ยวผ่านคลองประตูเทพหมีคลองประตูจีนไปบรรจบคลองประตูในไก่ ทางด้านตะวันตกมีคลองประตูท่าพระตรงมาทางตะวันออก ผ่านคลองฉะไกรใหญ่มาบรรจบคลองฉะไกรน้อย และยังมีคลองซอยคลองแยก ตามระหว่างคลองใหญ่เป็นหลายสาย
บรรดาคลองใหญ่ซึ่งออกแม่น้ำนั้นเห็นว่า ตามปากคลองคงจะมีทำนบกั้นน้ำไว้สำหรับราษฎร ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ในพระนครใช้สรอย เพราะว่ากรุงเก่าถึงจะเป็นเมืองลุ่มหน้าน้ำๆท่วมก็จริง แต่ถึงฤดูแล้งน้ำก็ลดต่ำกว่าตลิ่งลงไปเกือบ ๓ วา คลองในพระนครอย่างลึกก็คงจะ ๓ วาหรือไม่ถึง เมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงหน้าแล้งน้ำในคลองในพระนครก็คงแห้งหมด จะมีน้ำใช้ก็แต่บึงชีขันแห่งเดียว
ข้อที่เห็นว่าจะมีทำนบกั้นน้ำตามปากคลองนั้น ก็ด้วยเมื่อครั้งหนึ่งมีผู้ขุดซ่อมคลองในไก่กับคลองหอรัตนชัย ได้พบไม้เต็งรังบ้าง ไม้ตะเคียนบ้าง หน้ากว้างราวคืบ ๔ เหลี่ยม ยาว ๖ ศอกบ้าง เกิน ๖ ศอกบ้าง จมขวางตามปากคลองเรียงไปตามแนวกำแพงอยู่เป็นอันมาก และทั้งมีเสาสั้นๆปักอยู่ด้วย จึงคิดว่าเสานั้นคงจะปักรายเต็มปากคลอง แล้วเอาไม้เหลี่ยมวางเรียงเป็นตับขึ้นไปทั้ง ๒ ข้าง ถมดินกลางให้แน่นเป็นทำนบ สูงเพียงสักครึ่งคลองถ้าถึงฤดูน้ำๆขึ้นมาท่วมเลยหลังทำนบ ก็ใช้เรือไปมาในพระนครได้ แต่เมื่อใดน้ำลดลงมาถึงทำนบก็เลิกใช้เรือ ขังน้ำไว้สำหรับราษฎรที่อยู่ในพระนครได้บริโภค
สะพานในเมือง
ตามข้างคลองเหล่านี้ ในที่ใดถ้ามีถนนผ่านมา ก็มีสะพานข้ามคลองทุกสาย ถ้าเป็นถนนใหญ่ก็เป็นสะพานเชิง ๒ ข้างก่ออิฐ กลางเห็นจะปูกระดาน เช่น สะพานป่าถ่าน สะพานชีกุน สะพานข้ามคลองในไก่ สะพานหน้าวัดบรมพุทธาราม สะพานรำเพย(เห็นจะเป็นสะพานหน้าหับเผย เพราะถนนนั้นมาหน้าคุก) แต่บางสะพาน เช่น สะพานประตูจีน สะพานประตูเทพหมีนั้น ก่ออิฐตลอด กลางคลองเจาะเป็นช่องโค้งคูหา กลางใหญ่ ๒ ข้างเล็ก เป็น ๓ ช่อง สำหรับให้เรือลอดไปมาได้
และยังมีอีกสะพานหนึ่งซึ่งว่าเป็นสะพานใหญ่ในพระนคร คือสะพานช้างต่อถนนป่ามะพร้าวข้ามคลองประตูข้าวเปลือก ตรงหน้าวัดพลับพลาชัย สะพานนี้เชิงก่อด้วยแลง และเมื่อครั้งพระนารายณ์เสด็จส่งพระเป็นเจ้า ว่าพวกวังหลังแอบซุ่มจะคอยทำร้ายในที่นี้ กับคราวเมื่อพระบรมโกศรบกับเจ้าฟ้าอภัย เจ้าฟ้าบรเมศร์ ขุนศรีคงยศ พวกเจ้าฟ้าอภัยตั้งค่ายปิดเชิงสะพานฝั่งตะวันตกไว้ จะไม่ให้พวกวังหน้าข้ามไปได้
กับอีกสะพานหนึ่งซึ่งมีชื่อมีชื่อแปลกกว่าสะพานเหล่านี้ เป็นสะพานข้ามคลองท่อเข้ามาในวังตอนข้างพระที่นั่งบรรยงก์รัตยาสน์ แต่เยื้องออกไปข้างเหนือ เรียกว่า สะพานสายโซ่ เชิง ๒ ข้างก่ออิฐ ตัวสะพานจะเป็นอย่างไรตำราไม่ได้กล่าวไปถึง แต่ลองคิดดูน่าจะเป็นสะพานหกได้ดอกกระมัง เพราะสะพานหกก็ใช้สายโซ่ และเห็นเข้าทีที่ว่าเป็นสะพานเข้าใกล้วัง ถ้าทำเป็นสะพานช้างตายตัวและมีเหตุการณ์ขึ้น สัตรูจะข้ามเข้าประชิดวังได้ง่าย ถ้าเป็นสะพานหกเปิดได้แล้ว ถึงจะเกิดสัตรูและถ้ารู้ล่วงหน้าก็จะชักสะพานนั้นออกเสีย ไม่ให้เป็นทางเดินเข้ามาประชิดวังได้ แต่สะพานข้ามคลองอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมานี้ เห็นจะเป็นสะพานไม้ เพราะไม่ได้พบรากอิฐที่เชิงสองข้างนั้น
บึงชีขัน
ภายในพระนครตอนหน้าพระราชวังด้านใต้มีบึงใหญ่ บึงตอนเหนือเรียกว่า บึงญี่ขัน ตอนใต้เรียกว่า บึงพระราม เห็นว่าชื่อทั้ง ๒ นี้คงจะเป็นชื่อเพี้ยนชื่อหนึ่ง ชื่อใหม่ชื่อหนึ่ง ที่เรียกว่า บึงญี่ขัน นั้นคงจะเป็น ชีขัน ซึ่งมีชื่อมาในกฎมณเฑียรบาลอีกชื่อหนึ่ง ที่เรียกว่า บึงพระราม นั้นก็คือเป็นบึงในบริเวณชีขันนั้นเอง แต่อยู่ตรงหน้าวัดพระราม แต่เดิมมาบางทีจะเรียกตอนนั้นว่า บึงหน้าวัดพระราม เพราะประสงค์จะให้เข้าใจที่ให้ง่ายขึ้น ภายหลังมาก็เรียกห้วนเข้าแต่ว่าบึงพระราม ทิ้งคำว่า หน้าวัด เสีย จึงเลยเป็นชื่อของบึงนั้นว่า บึงพระราม ต่อมา
บึงชีขันนี้พิเคราะห์ดูเห็นว่าเดิมจะเป็นหนองเป็นที่มีน้ำขังอยู่แล้ว หรือจะคิดให้สูงขึ้นไปจะว่าเป็นตัว "หนองโสน" ตามที่มีชื่อมาในพระราชพงศาวดารจะได้ดอกกระมัง แต่ไม่มีพะยานหลักฐานอะไรนอกจากลองนึกเดา บึงนี้เดิมทีก็จะเล็ก ต่อมาเมื่อสร้างกรุง คงจะขุดเอาดินในที่แถวนี้ขึ้นถมเป็นพื้นวังและพื้นวัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ วัดพระราม จึงกลายเป็นใหญ่โตไป ดินที่เว้นไว้เป็นทางคนขนมูลดินเดิน ก็เลยทำเป็นถนนรีถนนขวางข้ามบึงปูอิฐตะแคงเสียทั้ง ๓ สาย เจาะช่องสำหรับให้เรือเดินไปมาได้ถึงกันตลอดบึง ตามหลังช่องนั้นคิดดูเห็นจะมีสะพานไม้ สำหรับให้คนเดินไปมาตามถนนได้ตลอด และมีทางน้ำที่จะเอาเรือนอกพระนครเข้าไปในบึงได้ ๒ ทาง ด้านใต้คลองประตูจีน คลองประตูเทพหมี คลองฉะไกรน้อย มารวมกันเข้าที่ข้างวัดสะพานนาคทางหนึ่ง ด้านตะวันออกเข้าช่องแยกจากคลองประตูข้าวเปลือก ข้างวัดมหาธาตุทางหนึ่งในบึงมีวัดอยู่ตามเกาะหลายวัด และตึกดินก็อยู่บนเกาะในบึงนี้ด้วย
ที่ขอบบึงตรงหน้าวัดพระรามออกไปมีตึกหลังหนึ่งเป็นตึกสองชั้น ตามช่องประตูหน้าต่างก่อเป็นโค้งคูหา มีทางขึ้นข้างหน้าและข้างๆตึก ตึกนี้ชาวบ้านบางคนว่าเป็นตึกพระราชาคณะผู้ครองอาวาสวัดพระราม แต่พิเคราะห์ดูเห็นจะไม่ใช่ของสำหรับวัด เพราะอยู่นอกกำแพงวัดเเละเป็นตึกสูง น่าจะเป็นพระที่นั่งสำหรับเสด็จขึ้นไปประทับทอดพระเนตรเรือ ซึ่งจะโปรดให้มีประชุมเล่นเพลงสักวาในคราวนักขัตฤกษ์ฤดูน้ำบ้างในบางปี
Create Date : 16 มีนาคม 2550 |
Last Update : 16 มีนาคม 2550 15:37:53 น. |
|
6 comments
|
Counter : 3592 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: กัมม์ วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:15:41:09 น. |
|
โดย: กัมม์ วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:15:46:54 น. |
|
โดย: กัมม์ วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:15:47:52 น. |
|
โดย: กัมม์ วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:15:48:48 น. |
|
โดย: กัมม์ วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:15:49:52 น. |
|
โดย: กัมม์ วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:15:50:39 น. |
|
|
|
|
กัมม์ |
 |
|
 |
|
พระราชวังหลวง ตั้งอยู่ในที่ต่อกำแพงพระนครด้านเหนือริมน้ำ หันหน้าวังไปทางทิศตะวันออก แต่ไม่ใช่อยู่ตรงกลาง ตั้งค่อนไปข้างตะวันตกหน่อยหนึ่งและสร้างเป็น ๒ คราว เมื่อครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีพระองค์ที่ ๑ (อู่ทอง) เสด็จมาสร้างกรุงเทพทวาราวดี เมื่อจุลศักราช ๗๑๒ ปีนั้น ทรงสร้างพระราชวังในที่ซึ่งเป็นวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์เดี๋ยวนี้ มีปรากฏว่าได้สร้างปราสาท ๓ องค์ คือ พระที่นั่งไพฑูรย์มหาปราสาท พระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท พระที่นั่งไอสวรรย์มหาปราสาท คิดว่าคงจะเป็นปราสาทไม้ ภายหลังมาในแผ่นดินสมเด็จพระราเมศวรกล่าวว่า เสด็จออกทรงศีล ณ พระที่นั่งมังคลาภิเษก ทอดพระเนตรพระสารีริกธาตุเสด็จปาฏิหารย์ข้างทิศบูรพ์ จึงสร้างพระมหาธาตุลงในที่ตรงนั้น พระที่นั่งมังคลาภิเษกองค์นี้ไม่ใช่ปราสาท และไม่ใช่เป็นพระที่นั่งมังคลาภิเษกองค์ที่พระเจ้าปราสาทองเปลี่ยนชื่อเป็นพระวิหารสมเด็จ ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชพระองค์ที่ ๑ มีความว่า เพลิงไหม้พระที่นั่งตรีมุข ได้ชื่อพระที่นั่งในพระราชวังเดิมแต่เท่านี้ และในพระราชนิพนธ์กระแสพระราชดำริ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานข้าพเจ้าไว้มีว่า
"คะเนดูพระราชวังครั้งนั้น ปราสาท ๓ องค์ คือ พระที่นั่งไพฑูรย์มหาปราสาท พระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท พระที่นั่งไอสวรรย์มหาปราสาท คงจะเป็นวิหารยอดซึ่งตั้งอยู่ในระหว่างพระเจดีย์ ๓ องค์ ที่เห็นปรากฏอยู่จนบัดนี้ คงจะเป็นปราสาท ๔ เหลี่ยม ไม่ใช่ย่อเก็บอย่างย่อมๆเท่าที่เห็นอยู่นี้ ไม่สู้จะเป็นที่ประทับสบายนัก จึงได้มีพระที่นั่งตรีมุขพระราชมนเทียรและพระที่นั่งมังคลาภิเษก
ถ้าจะคะเนดูพระที่นั่งตรีมุขนั้น คงจะเป็นที่เสด็จออกมุขหน้าอีก ๒ มุขเป็นที่ประทับ พระราชมนเทียรอยู่หลังเข้าไป ลักษณะอย่างพระราชวังเดิมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพระราชวังกรุงธนบุรี หรือในพระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระที่นั่งไพศาลทักษิณเป็นตรีมุข พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเป็นพระราชมนเทียร แต่ขนาดใหญ่เล็กเทียบดูปราสาท คงจะไม่ใหญ่เช่นหมู่จักรพรรดิพิมานเป็นแน่ น่าจะเท่าๆกับพระราชวังเดิม และที่ซึ่งตั้งนั้นที่ไหนไม่เหมาะเท่าที่พระวิหารใหญ่ด้านตะวันออก
พระที่นั่งมังคลาภิเษกในพระราชวังเก่านี้ เป็นที่ทรงศีลหรือเป็นที่ประทับสำราญ ไม่ใช่ประทับอยู่เป็นนิตย์ ที่ซึ่งควรจะตั้งมีอยู่ ๒ แห่ง คืออยู่แนวกำแพงแก้วพระที่นั่งตรีมุข เช่นหอพระปริตรศาสตราคม หรือพระที่นั่งเอกอลงกฏในพระราชวังบวรอย่างหนึ่ง หรือไม่เช่นนั้นก็อยู่ตรงมุขเหนือมุขใต้ของพระที่นั่งตรีมุข เช่น หอพระเจ้าพระอัฐิ ซึ่งต่อกับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ จะออกไปตั้งอยู่ข้างหน้าที่เดียวไม่ได้ เพราะถ้าตั้งอยู่ข้างหน้าทีเดียว สมเด็จพระราเมศวรที่ไหนจะไปเห็นท้าวมนเทียรนั่งขวางทาง เพราะผิดตำแหน่งเป็นข้างหน้า แต่ถ้าหากว่าจะเป็นพระที่นั่งข้างในทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะพระราชวังหันหน้าตะวันออกที่ไหนจะทอดพระเนตรเห็นสารีริกธาตุลงในที่ซึ่งสร้างวัดมหาธาตุได้ จึงสันนิษฐานว่าจะตั้งอยู่เหมือนหอพระเจ้าพระอัฐิ ในพระบรมมหาราชวัง
เมื่อได้ความสันนิษฐานเช่นนี้ จึงเห็นเหมาะว่าพระที่นั่งตรีมุขและพระราชมณเทียร ตั้งอยู่ในที่พระวิหารหลวงด้านตะวันออก พระที่นั่งมังคลาภิเษกคงจะตั้งอยู่ที่พระวิหารหลังพระอุโบสถ เป็นตรงปลายตรีมุขข้างหนึ่ง และข้างเหนือคงมีอีกองค์หนึ่ง ซึ่งไม่มีเหตุจะกล่าวถึง
ถึงพระที่นั่งจอมทอง ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงธรรมบอกหนังสือพระ ก็คงจะเป็นชื่อเก่า ไม่ใช่ตั้งใหม่ เป็นชื่อของพระที่นั่งเย็น เช่น สุดาภิรมย์อยู่มุมกำแพงท้องพระโรง แต่วิหารสามหลังเดี๋ยวนี้จะคลาดเคลื่อนจากที่เดิมก็เป็นได้ ด้วยพระวิหารใหญ่นั้นโตมาก คงจะต้องขยายที่ออกไป
ต่อพระราชมนเทียรไปตามแนวพระระเบียงวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์เดี๋ยวนี้ คงเป็นเรือนจันทร์ แล้วจึงมีกำแพงอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งกันเป็นข้างหน้าข้างใน"
พระราชวังใหม่
ลุศักราช ๗๙๖ ปี สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงพระราชอุทิศยกวังเป็นวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ เสด็จลงไปตั้งพระราชนิเวศน์ปีทับอยู่ริมน้ำ สร้างพระที่นั่งเบ็ญจรัตนมหาปราสาทองค์หนึ่ง พระที่นั่งสรรเพช็ญ์ปราสาทองค์หนึ่ง คือองค์ที่ปลูกขึ้นเป็นปราสาท สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระเจ้าแผ่นดินกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ในงานพระราชพิธีรัชมงคล ซึ่งเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกมาได้ ๔๐ ปี เท่ารัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีพระองค์ที่ ๒ นั้น แต่พระที่นั่งเบ็ญจรัตน์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จะได้กล่าวต่อไปภายหลัง ต่อมาในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏว่าได้มีพระที่นั่งมังคลาภิเษกในพระราชวังใหม่นี้อีกองค์หนึ่ง ซึ่งกล่าวในครั้งแรกเมื่อคราวเสด็จออกรับแขกเมืองเชียงใหม่ พระที่นั่งองค์นี้ภายหลังเมื่อศักราช ๑๐๐๕ ปีในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ต้องอสนีบาตเป็นไฟไหม้ โปรดให้ทำใหม่ให้ชื่อ พระวิหารสมเด็จ
พระวิหารสมเด็จ กับพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์มหาปราสาท ๒ องค์นี้มีกำแพงแก้ว และในกำแพงแก้วพื้นลานหน้าพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ปูอิฐเกรียงปูน ข้างขวาพบแนวทิมดาบยังพอเห็นรูปดีอยู่ แต่ข้างซ้ายขุดกันเสียจนย่อยยับไม่เป็นรูปร่าง ในคราวที่ขุดวังทำปราสาทเป็นที่บำเพ็ญพระราชกุศลคครั้งนี้ เห็นว่าพื้นอิฐลานหน้าพระที่นั่ง มีเป็นหย่อมเป็นตอนลุ่มๆดอนๆไม่เสมอกัน ครั้งจะเอาพื้นเดิมไว้ก็ไม่น่าดูแลอะไร จึงได้ถมดินเกลี่ยให้เรียบแล้วปลูกหญ้าเป็นสนาม เพราะฉะนั้นขอให้ท่านผู้อ่านพึงสังเกตว่าสนามหญ้านั้นเป็นของที่ทำในครั้งนี้ จะได้เคยมีมาแต่ครั้งกรุงเก่ายังเป็นเมืองหลวงหามิได้
และพระที่นั่งทั้ง ๒ องค์นี้เห็นกันว่าเดิมจะมีมุขยาวแต่มุขหน้าด้านเดียว มุขหลังมุขข้างสั้น ภายหลังมาก่อเพิ่มเติมต่อมุขหลังให้ยาวออกไป รอยที่ก่อต่อก็ยังเห็นปรากฏอยู่ ถัดมุขมุขกลางออกมา มีโรงช้างเผือกข้างละโรง คงจะเป็นโรงที่เรียกโรงยอด หลังโรงช้างเผือกมีกำแพงสะกัดต่อจากกำแพงแก้วพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ ไปชนกำแพงเเก้วพระวิหารสมเด็จ ในกำแพงแก้วสะกัดเข้าไปตอนที่ใกล้ข้างพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ มีที่น้ำขังก่ออิฐถือปูนกว้าง ๖ ศอก ๔ เหลี่ยม มุมข้างล่างมีท่อทองแดงที่สำหรับจะไขเปิดปิดน้ำได้ ต่อไปข้างพระวิหารสมเด็จข้างซ้ายมีพระที่นั่งอีกองค์หนึ่งยาวเกือบครึ่งพระวิหารสมเด็จ ก่อเป็นห้องหับชอบกล และมีบ่อน้ำกลมอยู่ที่ข้างผนังด้านเหนือด้วยบางทีก็จะสำหรับขังน้ำฝน ข้างขวาตอนถัดมุมมุขพระที่นั่งออกไปก็มีพระที่นั่งอีกองค์หนึ่ง แต่ย่อมกว่าองค์ข้างซ้ายตรงระหว่างด้านหลังพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ กับพระวิหารสมเด็จไปทางตะวันออก ขุดพบรากพระที่นั่งหมู่หนึ่งก่อฐานอิฐพื้นปูอิฐหน้าวัวลดหลั่นหลายชั้น มีเสาไม้เเก่นรายเรียงเป็นระยะกันไป เข้าใจว่าจะเป็นพระราชมนเทียรสถาน
มาในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมื่อศักราช ๙๙๔ ปีนั้น โปรดให้สร้างพระที่นั่งอีกองค์หนึ่งให้ชื่อพระที่นั่งศรียศโสธรมหาพิมานบรรยงก์ ภายหลังเปลี่ยนเป็นจักรวรรดิ์ไพชยนต์มหาปราสาท พระที่นั่งองค์นี้อยู่บนกำแพงชั้นในด้านหน้าพระราชวังทิศตะวันออกห่างจากมุมวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ๗ วา ห่างกำแพงชั้นนอก ๒ เส้น เป็นปราสาทตรีมุข ด้านหลังมีตำหนักใหญ่องค์หนึ่ง เล็ก ต่อไปข้างซ้ายอีก ๒ มีชาลาถมพื้นสูงเดินได้รอบตำหนักทั้ง ๓ องค์ บนชานพระมหาปราสาทด้านตะวันตกมีทิมดาบ ๒ หลัง เป็นพระที่นั่งสำหรับประทับทอดพระเนตรกระบวนแห่
หน้าพระที่นั่งออกไปเป็นท้องสนามหลวงกว้าง ๒ เส้น ยาว ๗ เส้น ขุดลงไปพบแต่ทรายลึกลงไปจึงพบดิน เข้าใจว่าพื้นสนามคงโรยทราย ไม่ได้ปลูกหญ้าเหมือนทุกวันนี้ เมื่อคราวทำพิธีลบศักราช ก็โปรดให้ทำเขาพระสุเมรุราชขึ้นในที่แถวนี้ ครั้งเมื่อจุลศักราช ๑๐๐๒ ปี พระเจ้ากรุงอังวะแต่งทูตจำทูลพระราชสาส์น คัดค้านไม่ยอมใช้ศักราชที่ลบใหม่ คราวนั้นเสด็จออกรับแขกเมืองที่มุขพระที่นั่งจักรวรรดิ ครั้งสมเด็จพระนารายณ์รบกับพระศรีสุธรรมราชา ก็เสด็จทรงช้างพระที่นั่งมายืนในสนาม รับสั่งให้เอาปืนใหญ่ตั้งยิงเข้าไปในพระราชวังชั้นใน เมื่อแผ่นดินพระเพทราชา เจ้าพระขวัญโสกันต์แล้ว ก็เสด็จออกมาทรงหัดม้าอยู่ทุกวัน
หลังพระที่นั่งเข้าไปคงจะมีกำแพงคั่น และคงจะมีฉนวนออกไปบรรจบฉนวนวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ทางสระแก้วฟากตะวันตกของฉนวนคงจะเป็นตำหนักและคลังต่างๆ ข้างฟากตะวันออกจะเป็นโรงพระแสง และห้องภูษามาลา โรงแสงที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็คงจะอยู่ในที่นี้
พระที่นั่งจักวรรดินั้น ถ้าจะเทียบกับแผ่นที่พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังกรุงเทพฯ ก็ทำนองพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ แปลกกันแต่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์อยู่บนกำแพงพระบรมมหาราชวังชั้นนอก และอยู่ด้านข้าง แต่พระที่นั่งจักรวรรดิอยู่บนกำแพงชั้นใน และอยู่ด้านหน้าวัง
พระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ ในพระราชพงศาวดารพึ่งออกชื่อในแผ่นดินพระเพทราชา เมื่อเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาจากเมืองลพบุรี ว่าเชิญขึ้นประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งองค์นี้ แต่ครั้งนั้นยังเรียกว่าพระที่นั่งสุริยามรินทร์ตามนามเดิม แต่ไม่กล่าวว่าสร้างในแผ่นดินใด เมื่อศักราชเท่าใด แต่ได้พบในคำโคลงยอพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งพระมหาราชครูเป็นผู้แต่งในแผ่นดินนั้น ก็ออกชื่อพระที่นั่งสุริยามรินทร์มาแล้ว มาในแผ่นดินพระบรมโกศแปลงมาเป็นพระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์ ก็คือจะให้คล้องต่อพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์มหาปราสาท พระที่นั่งองค์นี้อยู่ริมกำแพงด้านริมน้ำ ทางทิศเหนือพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ แต่เห็นจะไม่สู้ใหญ่โตนัก และจะเป็นพระที่นั่งมีพื้นสูงกว่าพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ ฐานพระที่นั่งตั้งสูงจากพื้น ๕ ศอกคืบ บนฐานยังมีผนังรักแร้ร่วมปราสาททั้ง ๔ ด้าน แต่รักแร้ด้านเหนือยังอยู่สูง ที่ผนังรักแร้พ้นจากพื้นล่างขึ้นไปอีก ๖ ศอกมีรูรอด ซึ่งคิดว่าจะมีพื้นบนอีกชั้นหนึ่ง คงจะเป็นที่ประทับสำหรับทอดพระเนตรข้ามกำแพงออกไปเห็นทางแม่น้ำข้างวังได้ ถ้าจะเทียบกับแผ่นที่กรุงเทพมหานครก็ทำนองกับป้อมทัศนานิกร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นบนกำแพงด้านตะวันตกริมน้ำ ใต้ป้อมอินทรรังสรรค์ลงไปไม่สู้มากนัก เป็นแต่ป้อมทัศนานิกรอยู่บนกำแพง และเหนือพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้นไปมาก แต่พระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์อยู่ในกำแพง และอยู่ตรงพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ออกมา
ความเห็นว่าพระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์องค์นี้ จะสร้างทีหลังแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ แต่คงไม่เกินแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองขึ้นไป และไม่ใช่แผ่นดินพระเพทราชา ข้อที่เห็นว่าจะสร้างทีหลังแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถและก่อนแผ่นดินพระเพทราชานั้น คะเนว่าเวลาที่ควรจะสร้างมีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งกำลังทรงโปรดสร้างพระที่นั่งหลายแห่งและทั้งพงศาวดารในรัชกาลนั้น ก็กล่าวใกล้เคียงเข้ามาหรือมิฉะนั้นก็เป็นในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งทรงโปรดในวิชาช่างอย่างใหม่ จะทำไว้สำหรับประทับในเวลาเสด็จเข้ามาพระราชวังหลวง ให้เป็นที่ทรงสบาย พระเพทราชาเห็นว่าพระที่นั่งองค์นี้เป็นของสมเด็จพระนารายณ์จึงเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานไว้เพื่อให้เป็นพระเกียรติยศด้วยพระองค์เป็นเจ้าของผู้สร้าง หรือเพื่อจะให้เหมาะกับที่ซึ่งเป็นที่พอพระราชหฤทัยมาแต่ยังดำรงพระชนม์อยู่
ข้อที่เห็นว่าน่าจะสร้างในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททองนั้น ก็ด้วยพงศาวดารกล่าวว่า ลุศักราช ๙๙๘ ปีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้รื้อเทวสถานพระอิศวร พระนารายณ์ขึ้นมาตั้งยังชีกุน ในปีนั้นให้ยกกำแพงพระราชวังออกไป ให้สร้างพระมหาปราสาทพระวิหารสมเด็จ มีความดังนี้ เห็นว่าคำที่ว่าสร้างพระวิหารสมเด็จนั้นเป็นคำเรียกก่อนมีชื่อพระวิหารสมเด็จ องค์ที่ยังเห็นฐานอยู่ทุกวันนี้ เพราะพระวิหารสมเด็จนี้ ในพงศาวดารกล่าวความชัดเจนว่า เมื่อศักราช ๑๐๐๕ ปีอสนีบาตตกลงเป็นเพลิงไหม้พระที่นั่งมังคลาภิเษกที่ชื่อปราสาททอง ทรงโปรดให้ช่างจัดการก่อใหม่ปีหนึ่งสำเร็จให้ชื่อพระวิหารสมเด็จ ศักราชผิดกันถึง ๗ ปี และพระที่นั่งวิหารสมเด็จองค์ที่แปลงชื่อมาจากมังคลาภิเษกหรือปราสาททองนั้น ก็เป็นพระที่นั่งอยู่ในกำแพงชั้นใน เป็นแต่ทำใหม่ให้ดีขึ้นเท่านั้น หาต้องถึงขยายกำแพงวังไม่ หรือจะคิดว่าพงศาวดารตอนนั้นกล่าวคำฟั่นเฝือ คราวที่ขยายกำแพงวังเป็นคราวสร้างพระที่นั่งจักรวรรดิ แจ่พระที่นั่งจักรวรรดิก็สร้างเสียแล้วเมื่อศักราช ๙๙๔ ก่อนปราสาทที่กล่าวชื่อมาเมื่อศักราช ๙๙๘ ขึ้นไปอีก ๓ ปี และพระที่นั่งจักรวรรดินั้นก็หาต้องขยายกำแพงวังไม่ ด้วยตั้งอยู่บนกำแพงชั้นใน และอยู่ภายในกำแพงชั้นนอก ทั้งกำแพงข้างก็มีแล้ว จึงเห็นว่าตามพงศาวดารที่กล่าวว่า ปราสาทซึ่งสร้างเมื่อ ศักราช ๙๙๘ ปีที่ต้องยกกำแพงวังออกไปนั้น น่าจะเป็นพระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์นี้เอง ด้วยมีรอยขยายกำแพงออกไปถึงสองหยัก แต่เมื่อเรียบเรียงพระราชพงศาวดารเป็นเวลาภายหลังมา จะเขียนชื่อคลาดเคลื่อนไว้ก็จะเป็นได้
พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาศน์ สร้างในแผ่นดินพระเพทราชาเมื่อศักราช ๑๐๔๙ ปี พงศาวดารกล่าวความละเอียดว่า ได้ขุดสระเป็นคู่อยู่ซ้ายขวาแล้วก่ออ่างแก้วและภูเขา มีท่อน้ำไหลลงในสระแก้วและทำระหัดน้ำฝังท่อ ให้น้ำเดินเข้าไปผุดในอ่างแก้ว แล้วให้ทำพระที่นั่งทรงปืนที่ท้ายสระ เป็นที่เสด็จออก กลับเอาที่ท้ายสนมเป็นที่ข้างหน้า และทำศาลาลูกขุนในซ้ายขวา โปรดให้ขุนนางเข้าเฝ้า ณ พระที่นั่งทรงปืน และเข้าทางประตูมหาโภคราช
พระที่นั่งองค์นี้ ตั้งอยู่ในวังด้านหลังทางตะวันตก เป็นปราสาทจตุรมุขอยู่บนเกาะ มีสระน้ำล้อมรอบ อิฐที่ก่อใช้ขนาดเดียวและก่อลักษณะอย่างเดียวกันกับพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ คือก่อมีแลงสลับเป็นชั้น คงจะทรงโปรดพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ว่าก่อแข็งแรงมั่นคงดี จึงโปรดให้เลียนอย่างมาทำบ้าง เป็นแต่เปลี่ยรูปและลวดลายให้ผิดกันไปเท่านั้น ที่ตรงมุขด้านหลังพระมหาปราสาทก่อเป็นแท่นอิฐมีชั้นลด เชิงแท่นมีลายบัวคว่ำทั้ง ๒ ข้าง ที่ข้างแท่นด้านในฝังท่อดิน ต่อแท่นเข้ามาข้างในก่อเป็นช่องเป็นตอนลึก เป็นที่ขังน้ำ เมื่อขุดลงไปในที่แถวนี้พบหินก่อเข้าหลายสิบก้อน คิดว่าในที่นี้เองจะเป็นอ่างแก้ว ที่จะก่อเขามอมีน้ำพุเป็นที่เลี้ยงปลาเงินปลาทอง แท่นสูงนั้นจะเป็นที่เสด็จขึ้นไปประทับทอดพระเนตรปลา ถ้าทอดพระเนตรไปทางตะวันตก ก็จะทรงเห็นปลาใหญ่ในสระ ถ้าทอดพระเนตรมาทางข้างใน ก็จะทรงเห็นอ่างแก้วปลาเงินปลาทอง และบนแท่นนี้จะเรียกพระที่นั่งโปรยข้าวตอกก็จะได้กระมัง ที่มุมสระด้านเหนือก็มีแท่นใหญ่อีกแท่นหนึ่ง กว้าง ๙ วา ๒ ศอก ยาว ๑๐ วาศอก สูง ๗ ศอก ข้างบนคะเนว่าจะมีผนังเป็นคันรอบ แต่เห็นจะถูกรื้อเสียแล้ว ที่ริมผนังข้างใน มีท่อดินเผาฝังลงมาที่พื้นดิน ห่างจากฐานอิฐใหญ่มาทางตะวันออก ๗ วา มีน้ำขังก่ออิฐเกรียงปูนกว้าง ๖ ศอก ยาว ๑๑ ศอกคืบ ลึก ๑ ศอก แท่นอิฐสูงนั้นคงจะเป็นที่ขังน้ำหรับไขไปพุในที่ต่างๆ แต่มีวิธีที่จะเอาน้ำขึ้นไปข้างบนได้อย่างไร ยังมองไม่เห็น ที่ท้านสระด้านตะวันตกมีสะพานข้ามไปพระที่นั่งทรงปืนกว้าง ๒ วา ปักเสาเรียง ๓ แถว เสานั้นทุกวันนี้ในระดูแล้ง น้ำในสระงวดก็ยังเห็นได้ และสะพานใหม่ซึ่งทำข้ามสระในครามนี้ ก็ทำตามแนวเดิมปักเสาริมเสาเก่า แต่ด้านตะวันออกที่จะข้ามจากพระที่นั่งบรรยงค์ มาหมู่พระที่นั่งสรรเพ็ชญ์มหาปราสาทพระวิหารสมเด็จนั้น ก็คงต้องมีสะพานอีกสะพานหนึ่งเป็นแน่ แต่จะอยู่ตรงที่ใดหายังไม่พบ สะพานที่ทำขึ้นใหม่ในด้านนี้เห็นจะไม่ตรงของเดิม แต่ถ้าต่อไปตรวจพบที่เดิมเมื่อใด ก็จะย้ายไปปลูกให้ตรงกัน
ที่ริมขอบสระด้านใต้นอกเกาะพระมหาปราสาทออกไปมีรากตึกเป็นหลังเรียงไปตามรูปสระ เห็นจะเป็นตำหนักตึกเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพ เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ พ้นบริเวณตำหนักตึกลงไปด้านใต้มีกำแพงกั้น แบ่งเขตข้างหน้าข้างใน ต่อจากกำแพงหลังวังด้านตะวันตก ตรงไปจนจดฉนวนวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ กันเอาสระแก้วไว้ข้างนอก ที่ริมขอบสระแก้วตอนด้านตะวันตกมีรากตึก คงเป็นตำหนักสระแก้ว และตำหนักศาลาลวดก็จะอยู่ในแถวนั้น เป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกเธอในพระบรมโกศ พระตำหนักสวนกระต่ายที่ขุนหลวงหาวัดประทับมาแต่เดิม จนเป็นกรมพระราชวังบวรก็คงจะอยู่ต่อลงไปที่มุมพระราชวังตอนตะวันตก ด้านใต้วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ จะทำนองพระตำหนักสวนกุหลาบ แต่ยังไม่ได้ขุดยังบอก ยังบอกรูปไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร
เหตุซึ่งพระเพทราชามาประทับอยู่ด้านหลังวังนั้น ก็จะเป็นด้วยวังตอนหน้าของเดิมทรุดโทรม และต่อมาจนถึงแผ่นดินพระบรมโกศก็ประทับอยู่ที่พระที่นั่งบรรยงก์ ด้านหน้าวังเก่าก็คงจะร่วงโรยมาก
ในพระราชวังชั้นใน มีฉนวนอยู่ที่หลังพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ตรงไปพระวิหารสมเด็จ แล้วเลี้ยวซ้ายไปนอกกำแพงแก้ว เกือบจะตรงที่มุขกลางพระวิหารสมเด็จ จึงเลี้ยวขวาไปเข้าวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ในระยะนั้นถ้าเลี้ยวซ้ายก็เป็นฉนวนทางไปหลังพระที่นั่งจักรวรรดิ เรียกว่าฉนวนวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ แต่ถ้าจะออกมาทางกำแพงด้านริมน้ำลงที่ขนานน้ำประจำท่า เรียกว่าพระฉนวนน้ำประท่าวาสุกรี เป็นท่าเสด็จลงเรือพระที่นั่ง ตัวสะพานท่าพระฉนวนน้ำนั้นเป็นรูปตรีมุขหลังคาซ้อน มุงกระเบื้องละบูรูปลูกฟูกถือปูนตามปั้นลม มีลายปั้นเป็นนาคราชศีรษะเลี้ยว เลิกพังพานลงมาจดเชิงกลอนแทนหางหงส์ ใบระกาปั้นเป็นกระจังรูปเทพพนมถวายกร บนหลังคาหน้าบันที่อกไก่ปั้นเป็นพรหมสี่หน้าแทนช่อฟ้า ลายหน้าบันด้านข้างเหนือที่เรือประทับปั้นเป็นรูปนารายณ์สี่กรทรงครุฑ หน้าบันด้านข้างปั้นเป็นรูปเทพสุริยมณฑลสถิตในบุษบกมหาพิชัยราชรถเทียมด้วยม้าอาชาไนย
ต่อหลังศาลาท่าฉนวนมีกำแพงฉนวน ๒ แถว เนื่องขึ้นไปจดประตูใหญ่ที่กำแพงพระนคร ราษฎรเรียกว่าประตูฉนวนชั้นนอก แต่ชื่อหลวงปรากฏว่า พระตูมหาไตรภพชลทวารอุทก ถัดประตูนั้นเข้าไปในพระนครก็เป็นกำแพงฉนวน ๒ แถว ไปจดประตูคูหาที่กำแพงเขื่อนเพ็ชรพระราชวังชั้นใน ชื่อประตูคูหาภพชล ที่คนเรียกว่า ประตูฉนวนใน ย่ายจ่าแว่นรักษาอยู่ที่ศาลาดินภายในประตู และที่กำแพงฉนวนทั้ง ๒ ข้างนั้น มีประตูหูช้างข้างละประตู สำหรับปิดกั้นกันคนไว้ ที่ๆปลูกสะพานพระฉวนในคราวนี้ ก็ปลูกออกตรงออกมาจากแนวท่าเก่า แต่ไม่ได้ตรงที่เดิมทีเดียว เพราะถมดินทำถนนใหม่ออกมาริมน้ำ ในที่นี้เดิมคงจะเป็นในแม่น้ำ สะพานใหม่นี้คงจะเกินที่สะพานฉนวนเก่าออกมามาก ที่เก่าคงจะราวมุมกำแพงวัดใหม่ ซึ่งพระยาไชยวิชิตสร้างไว้แต่รัชกาลที่ ๓ นั้น ต่อขนานน้ำประจำท่าลงไปทางท้ายสนมที่ริมน้ำ มีฐานอิฐก่อยื่นออกไป เข้าใจว่าเป็นที่ตั้งระหัด
อนึ่งในกฎมณเทียรบาลออกชื่อพระที่นั่งสนามไชย สนามจันทร์ และพิมานรัถยา ในพงศาวดารตอนแผ่นดินสมเด็จพระยอดฟ้ากล่าวว่า พระที่นั่งพิมานรัถยาเป็นหอพระข้างหน้า ท้าวศรีสุดาจันทร์ออกไปเที่ยวเล่นพบกับพันบุตรศรีเทพก็เกิดรักใคร่กันแต่นั้นมา จนถึงเลื่อนให้เป็นขุนวรวงษาธิราช และคิดอ่านกำจัดพระยอดฟ้า ยกราชสมบัติให้เป็นเจ้าแผ่นดิน
อนึ่งพระที่นั่ง ที่มีชื่อในบานแผนกกฎหมาย นอกจากพระที่นั่งมังคลาภิเษก หรือพระวิหารสมเด็จ กับพระที่นั่งเบ็ญจรัตน์แล้ว ยังทีชื่อพระที่นั่งมงกุฎพิมาน พระที่นั่งบุษบกมาลามหาปราสาท พระที่นั่งดิลกมาลามหาไพชยนต์มหาปราสวาท พระที่นั่งจัตุรมุขมหาปราสาท พระที่นั่งสุวรรณมหาปราสาท พระที่นั่งท้องพระโรงตรีมุขปังตรา พระเสาวคนธกุฎี แต่ชื่อพระที่นั่งที่ว่ามานี้บางชื่อจะเรียกเป็นพิเศษ ในส่วนพระมหาปราสาท บางชื่อก็จะเป็นชื่อเฉพาะพระที่นั่งย่อมๆก็จะมีแต่องค์ใดจะอยู่ที่ใด เหลือนิสัยที่จะเดาชี้
ตำหนักหนองหวาย
ตำหนักหนองหวาย ที่พระพุทธเจ้าเสือครั้งยังเป็นกรมพระราชวังบวร ลวงเจ้าพระขวัญไปสำเร็จโทษนั้น คงจะอยู่ริมสระหนองหวาย เห็นจะไม่สู้ห่างไกลกันนัก
ตำหนักน้อยใหญ่เรือโรงห้วยคลังต่างๆ คิดว่าจะเป็นเครื่องไม้เสียมากกว่าก่ออิฐ เมื่อขุดลงไปถึงระดับพื้นเดิม โดยมากพบแต่กระเบื้องมุงหลังคา กับมูลเถ้าและโคนเสาไม้แก่น ซึ่งเข้าใจว่าจะเป็นเครื่องเรือนไม้
ศาลาลูกขุนใน
ศาลาลูกขุนใน ชั้นแรกคงจะอยู่ตอนหน้าวังด้านตะวันออก เพราะปรากฏว่า เมื่อวันที่สมเด็จพระนารายณ์ยกไปจับพระศรีสุธรรมราชา สมเด็จพระนารายณ์ทรงช้างพระที่นั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าพระที่นั่งจักวรรดิ พระศรีสุธรรมราชาทรงช้างออกมายืนอยู่หลังศาลาลูกขุน สมเด็จพระนารายณ์ขับช้างพระที่นั่งเข้าไปถึงนอกกำแพงหน้าศาลาลูกขุน ไพร่พลทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งกัน พระศรีสุธรนรมราชาต้องปืนที่พระพาหุ สมเด็จพระนารายณ์ต้องปืนที่หลังพระบาทซ้าย พระศรีสุธรรมราชากลับช้างพระที่นั่งหนีไปวังหลัง สมเด็จพระนารายณ์ก็เข้าพระราชวังได้ ตอนนี้คิดว่า ศาลาลูกขุนจะอยู่ในที่หน้ากำแพงชั้นใน แถวประตูมงคลสุนทร
ตั้งแต่แผ่นดินพระเพทราชาเสด็จลงไปประทับอยู่ท้ายวัง คราวเมื่อสร้างพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาศน์ ได้โปรดให้สร้างศาลาลูกขุนในซ้ายขวาขึ้นที่ท้ายสระ คงจะอยู่ในที่นอกสระออกมาด้านเหนือ เพราะมีความในแผ่นดินพระบรมโกศว่า เมื่อคราวจะชำระกรมพระราชวังบวรเสนาพิทักษ์ ซึ่งเป็นชู้กับเจ้าฟ้านิ่มเจ้าฟ้าสังวาลย์ รับสั่งให้หากรมพระราชวังๆ ทรงเรือพระที่นั่งเสด็จมาจะขึ้นฉนวนวังหน้า มหาดเล็กที่ล่วงหน้ามารับเสด็จกราบทูลว่า ประตูเสาธงไชยปิด จึงล่องเรือไปประทับอยู่ที่ฉนวนน้ำประจำท่า ประตูฉนวนก็ปิด เรือพระที่นั่งล่องลงมาเสด็จขึ้นสะพานใต้ระหัดน้ำ ทรงเสลี่ยงมาถึงศรีสำราญ ทอดพระเนตรเห็นคนนั่งอยู่ที่ศาลาลูกขุนท้ายสระเป็นอันมาก จึงให้กลับพระเสลี่ยง หลวงศรีพวังกราบทูลว่า ขอเชิญเสด็จเข้าไปเฝ้าจึงจะชอบ จึงเสด็จไปเฝ้าที่ทิมดาบ ในจดหมายเหตุซึ่งอ้างว่า เป็นคำให้การของขุนหลวงหาวัดว่า ศาลาลูกขุนในใหญ่ ๓ หลังแฝด มีช่อฟ้าหางหงส์ หน้ามุขชะโงกมีสระน้ำอยู่หน้าศาลาลูกขุน สำหรับพิสูจน์ลูกความให้ดำน้ำในสระนั้น แต่พื้นที่ในพระราชวังชั้นนอกก็หามีสระที่ควรจะดำน้ำได้ไม่ มีสระเดียวแต่สระหนองหวาย ก็เป็นสระอยู่ในกำแพงชั้นใน และเห็นว่าจะเป็นที่พิสูจน์ลูกความไม่ได้ เพราะพื้นในพระราชวังสูงกว่าระดับน้ำในระดูแล้ง ถ้าจะให้สระหนองหวายมีน้ำถึงแก่พอที่คนจะได้ ก็จะต้องลึกไม่ต่ำกว่า ๕ วา แต่พิเคราะห์ดูสระนั้นเห็นจะไม่สู้ลึกนัก จะเป็นแต่สระสำหรับขังน้ำไว้ใช้ในพระราชวัง การพิสูจน์ดำน้ำนี้ เข้าใจว่าพิสูจน์กันในแม่น้ำใหญ่ เพราะในคำโองการที่อาลักษณ์อ่าน ก็มีแต่แช่งให้ผีสางจระเข้เงือกงูเข้าทำอันตรายผู้กล่าวเท็จ ซึ่งเห็นว่าเป็นของที่มีประจำท้องที่
และมีเค้ามูลที่จะประกอบเหตุผลได้อีกอย่างหนึ่ง คือในเรื่องขุนช้างขุนแผน ถึงแม้ว่าท้องเรื่องจะเป็นนิทาน ไม่ใช่จดหมายเหตุที่เป็นหลักฐานก็จริง แต่หนังสือเรื่องนี้นักปราชญ์ทั้งหลายได้ยอมรับรองว่าเป็นสำนวนที่แต่งไว้แต่ครั้งกรุงเก่า กิริยาอาการของคนที่ออกชื่อมาในนิทาน หรือภูมิลำเนาซึ่งว่ามาในหนังสือเรื่องนั้น ผู้แต่งคงจะแต่งเทียบเอาตามที่ได้เห็นการเป็นอย่างไรในเวลานั้น ในตอนที่ว่าด้วยขุนช้างกับพระไวยพิสูจน์ตัว กล่าวว่าพิสูจน์ดำน้ำที่หน้าท่าฉนวน จึงเห็นว่าการพิสูจน์ดำน้ำไม่ได้ดำในวัง ถึงจะมีสระที่ใกล้ศาลลูกขุน ก็คงเป็นสระขังน้ำสำหรังใช้การอื่น
ศาลหลวง
ศาลาลูกขุนนอก คือศาลหลวง คงจะอยู่ภายในกำแพงชั้นนอกไม่สู่ห่างนัก คงจะอยู่มาทางตอนใกล้กำแพงด้านริมน้ำ ด้วยในที่นี้เมื่อขุดวังได้พบดินประจำผูกสำนวน มีตราเป็นรูปต่างๆ และบางก้อนก็มีรอยหยิกเล็บมือ ศาลหลวงคงจะถูกไฟไหม้เมื่อเสียกรุง ดินประจำผูกสำนวนจึงสุกเหมือนดินเผา