กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เพชรพระมหามงกุฎ
แผ่นดินทอง
รัตนโกสินทร์ ๒๒๕ ยินดีต้อนรับ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระราชสกุล
เที่ยวเมืองพระร่วง
ตำนานวังหน้า
ความ-ทรงจำ ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
อธิบายเรื่องธงไทย
ตำนานภาษีอากร
บันทึกรับสั่งสมเด็จฯ
สารคดีที่น่ารู้ - ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล
พระจอมเกล้าพระจอมปราชญ์
เทศาภิบาล
สิมอีสาน
ว่าด้วยตำนานเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน
ตำนานการสอบพระปริยัติธรรม
ตำนานพระแก้วมรกต
เรื่องทรงเที่ยวกลางคืน พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรจนถึงสวรรคต
พระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสแหลมมลายูคราว ร.ศ. ๑๐๘
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนเสวยราชย์
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนเสวยราชย์
ว่าด้วยประเทศสยามในจดหมายเหตุจีน
ว่าด้วยหน้าที่และพระอัธยาศัยในกรมพระราชวังบวรฯ กรุงรัตนโกสินทร์
ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร
คำให้การหัวพันห้าทั้งหกในศึกฮ่อ
อำแดงเหมือน กับ นายริด
แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)
ว่าด้วยตำนานการเดินทางของฝรั่งมาสู่สยาม และมูลเหตุที่รับเป็นไมตรี
สำเภาเจดีย์ที่วัดยานนาวา
กรุงศรีอยุธยา ครั้งบ้านเมืองดี
ร.ศ. ๑๑๒
อธิบายเรื่องพระบาท
อธิบายตำนานรำโคม
วิจารณ์ว่าด้วยหนังสือ พราหมณศาสตร์ทวาทสพิธี
วินิจฉัยประเพณีแต่งงานอย่างโบราณ
พระราชหัตถเลขาอันเป็นมูลเหตุที่ตั้งหอพระสมุดวชิรญาณ
บรรดาศักดิ์ "เจ้าคุณ" ฝ่ายผู้หญิง
รับทูตฝรั่งครั้งกรุงรัตนโกสินทร์
ตำนานการที่ไทยเรียนภาษาอังกฤษ
ลักษณะการศึกษาของเจ้านายแต่โบราณ
คำให้การชาวอังวะ
แผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรฐมหาราช
"กรมสมเด็จ" กับ "สมเด็จกรม"
พระบรมราชาธิบายเรื่อง ตั้งกรมเจ้านาย
เปรียบนามสกุลกับชื่อแซ่
พระราชปุจฉาอันเป็นมูล "พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ"
คำให้การเฒ่าสา เรื่องหนังราชสีห์
ประกาศพระราชบัญญัติให้ใช้คำนำหน้าชื่อชนต่างๆ
ตำนานพระโกศ
ศึกเจ้าอนุเวียงจันทน์
ศึกถลาง
อธิบายเรื่องพระมหาอุปราช
เสด็จประพาสต้น ร.ศ. ๑๒๕
กำเนิดหัวเมืองในมณฑลอีสาน สรุป
กำเนิดหัวเมืองในมณฑลอีสาน ตอนที่ ๒
กำเนิดหัวเมืองในมณฑลอีสาน ตอนที่ ๑
อธิบายเรื่องวรรณยุกต์
ประกาศพระราชพิธีโสกันต์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
ประกาศขนานนามพระพุทธปฏิมากรประจำรัชกาล
ตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
ว่าด้วยมูลเหตุแห่งการสร้างวัดในประเทศสยาม
เหตุเกิดเมื่อศักราช ๙๐๗ พระเทียรราชาได้ราชสมบัติ
เสด็จตรวจราชการมณฑลอีสาน มณฑลอุดร ตอนที่ ๑
เสด็จตรวจราชการมณฑลอีสาน มณฑลอุดร ตอนที่ ๒
เมื่อแผ่นดินทรงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์
ว่าด้วยลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ
เสด็จประพาสต้น ร.ศ. ๑๒๓
พระราชมรดกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ตำหนักทองที่วัดไทร
ด่านพระเจดีย์สามองค์
๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ เมื่อแผ่นดินสยามร้องไห้
โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
สร้างพระบรมรูปทรงม้า
สมเด็จพระปิยมหาราช
อั้งยี่
ตำนานเงินตรา
ตำนานอากรบ่อนเบี้ยและหวย
แผ่นดินพระร่วง
จดหมายเหตุเสด็จหว้ากอ ปีมะโรงสัมฤทธิศก
แรกมีอนามัยในเมืองไทย
แรกมีโรงพยาบาลในเมืองไทย - ศิริราชพยาบาล
พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน
พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไชย
แผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา
ตำนานกรุงศรีอยุธยา
ศึกคราวตีเมืองพม่า
ศึกเมืองทวาย
ศึกพม่าที่นครลำปางและป่าซาง
ศึกพม่าที่ท่าดินแดง
ศึกหินดาดลาดหญ้า
ค้นเมืองโบราณ
ว่าด้วยตำนานสามก๊ก
ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม
พระราชกรัณยานุสรณ์
หนังสือหอหลวง
ว่าด้วยยศเจ้านาย
อธิบายเรื่องวรรณยุกต์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระบาดำรงราชานุภาพ
....................................................................................................................................................
อธิบายเรื่องวรรณยุกต์
อธิบายเรื่องวรรณยุกต์ เดิมนึกว่าจะไม่ยืดยาว แต่เมื่อคิดค้นหาหลักฐานไป เห็นความข้อซึ่งมิได้เคยวินิจฉัยให้ตลอดมาแต่ก่อนหลายข้อ จึงจะต้องกล่าวให้พิสดารสักหน่อย
ตามตำราสอนภาษาไทยที่ใช้ในปัจจุบันนี้ กำหนดเสียงพูดภาษาไทยสูงต่ำผิดกันเป็น ๕ เสียง จะสมมติเรียกเป็นชื่อของเสียงว่า
เสียงที่ ๑ เช่นว่า ออ
เสียงที่ ๒ เช่นว่า อ่อ
เสียงที่ ๓ เช่นว่า อ้อ
เสียงที่ ๔ เช่นว่า อ๊อ
เสียงที่ ๕ เช่นว่า อ๋อ
ตัวหนังสือไทยกำหนดพยัญชนะเป็น ๓ พวก พวก ๑ คือตัว ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห ๑๑ ตัวนี้เรียกว่าอักษรสูง อ่านโดยลำพังเป็นเสียงที่ ๕ อีกพวก ๑ คือตัว ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ ๙ ตัวนี้เรียกว่าอักษรกลาง อ่านโดยลำพังเป็นเสียงที่ ๑ อีกพวก ๑ คือตัว ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ ๒๔ ตัวนี้เรียกว่าอักษรต่ำ อ่านโดยลำพังเป็นเสียงที่ ๑ เหมือนกันกับอักษรกลาง
วิธีเขียนหนังสือซึ่งจะอ่านให้เป็นเสียงสูงต่ำอย่างไร มีเครื่องหมายเรียกว่าวรรณยุกต์ สำหรับเขียนประกอบให้รู้ว่าจะต้องอ่านเป็นเสียงไหน วิธีใช้วรรณยุกต์ผันเสียงอักษรสูง อักษรกลาง และอักษรต่ำผิดกัน
เสียงที่ ๑ เป็นเสียงปรกติของอักษากลางและอักษรต่ำ แต่อักษรสูงไม่มีวิธีผันเป็นเสียงที่ ๑ ต้องใช้อักษรต่ำแทน
เสียงที่ ๒ ใช้ไม้เอกผันอักษรสูงเช่นคำว่า ไข่ และอักษรกลางเช่นคำว่า ไก่ แต่อักษรต่ำนั้น โดยลำพังผันด้วยไม้เอกอ่านเป็นเสียงที่ ๓ เช่นคำว่า ไม่ ต้องเอาอักษรสูงหรืออักษรกลางนำ ผันด้วยไม้เอกจึงอ่านเป็นเสียงที่ ๒ เช่นคำว่า ใหม่ ไขว่ และคำว่า ไปล่ เป็นต้น
เสียงที่ ๓ ใช้ไม้โทผันอักษรสูง เช่นคำว่า ไข้ ผันอักษรกลาง เช่นคำว่า ไต้ ถ้าอักษรต่ำใช้ไม้เอกผันเป็นเสียงที่ ๓ เช่นคำว่า ไพ่
เสียงที่ ๔ ใช้ไม้ตรีผันอักษรกลางเป็นเสียงที่ ๔ เช่นคำว่า เก๊า อักษรต่ำใช้ไม้โทผันเป็นเสียงที่ ๔ เช่นคำว่า เค้า แต่อักษรสูงไม่มีวิธีผันเป็นเสียงที่ ๔ ต้องใช้อักษรต่ำแทน
เสียงที่ ๕ ใช้ไม้จัตวา แต่ว่าใช้ผันอักษรกลางพวกเดียว เช่นคำว่า ก๋า อักษรต่ำต้องเอาอักษรนำจึงอ่านเป็นเสียงที่ ๕ เช่นคำว่า หมา
ที่ว่ามานี้เป็นตำราของไทยเราที่ใช้กันในประเทศสยาม แต่ในอักขรวิธีของไทยพวกอื่นๆ ทั้งไทยใหญ่และไทยน้อยตลอดจนของพวกขอม และเขมรหามีเครื่องหมายให้อ่านเป็นเสียงสูงต่ำไม่ จะว่าเป็นเพราะคำพูดเสียงสูงต่ำแต่ภาษาไทยสยาม (อย่างฝรั่งมักเข้าใจ) ก็ไม่ถูก ด้วยธรรมดามนุษย์พูดย่อมมีเสียงสูงต่ำ ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน แม้ชนชาติเดียวกันภาษาเดียวกัน แต่ภูมิลำเนาอยู่ต่างเขตแคว้น คำพูดคำเดียวก็อาจจะพูดเป็นเสียงต่างกัน จะยกตัวอย่างที่พึงเห็นได้ในประเทศของเรานี้ สัตว์พาหนะอย่าง ๑ ชาวกรุงเทพฯเรียกกันว่า "ช้าง" ชาวนครราชสีมาเรียกว่า "ช่าง" ชาวนครศรีธรรมราชาเรียงว่า "ฉ่าง" แต่เมื่อเขียนหนังสือก็เขียน ช้าง อย่างเดียวกัน อันเสียงแปร่งนี้แม้แม้ในภาษาฝรั่งก็เป็น ข้าพเจ้าเคยสังเกตเมื่ออยู่ในประเทศอังกฤษ พวกอังกฤษเรียกเงินปลีกว่า shilling ว่า ชิลิ่ง ครั้นเมื่อขึ้นไปถึงสก๊อตแลนด์ ได้ยินพวกสก๊อตเรียงว่า ชิหลิง ดังนี้
จึงเห็นว่าเสียงสูงต่ำมีด้วยกันหมดทุกภาษา เป็นแต่ภาษาอื่นและไทยพวกอื่นใช้เสียงตามเคยปาก ฝ่ายไทยสยามมีเครื่องหมายบอกเสียงในอักขรวิธี ผิดกันเท่านี้ ต่างว่าเลิกวรรณยุกต์เสียมิให้มีในตำราหนังสือไทยต่อไป และเขียนชื่อสัตว์พาหนะที่กล่าวมาว่า "ชาง" ชาวกรุงเทพฯคงเรียกว่า "ช้าง" ชาวนครราชสีมาก็คงเรียก "ช่าง" ชาวนครศรีธรรมราชก็คงเรียกว่า "ฉ่าง" อยู่นั่นเอง เพราะเคยปากมาแต่เด็กแต่เล็ก แต่จะว่าวรรณยุกต์ไม่มีประโยชน์อันใด หรือจะเลิดเสียนั้นหาควรไม่ เพราะประโยชน์มีถึง ๒ สถาน คือหมายให้รู้ว่าควรอ่านเป็นเสียงอย่างไรสถาน ๑ เป็นเครื่องหมายให้รู้ความของคำนั้น จะยกตัวอย่างดังเขียนแต่เพียง "มา" ดังนี้ เมื่ออ่านพบจะต้องอาศัยสังเกตคำประกอบ จึงจะรู้ความว่าเป็นกิริยาที่เข้าใกล้หรือเป็นสัตว์สำหรับขับขี่ หรือเป็นสัตว์ที่เห่าหอน ถ้ามีวรรณยุกต์อาจรู้ความได้ทันที สะดวกกว่าไม่มีวรรณยุกต์สถาน ๑ วรรณยุกต์จึงมีประโยชน์และควรคงไว้ในอักขรวิธีของเราด้วยประการฉะนี้
ที่นี้จะว่าด้วยเรื่องตำนานของวรรณยุกต์ต่อไป เพราะวรรณยุกต์มีแต่ในอักขรวิธีของไทยสยาม ใครเป็นผู้คิดขึ้นและมีมาแต่เมื่อใด อธิบายตอนนี้ ส่วนเรื่องประวัติของอักษรไทย (ทุกจำพวก) ศาสตราจารย์ยอช เซเดส์ เมื่อยังรับราชการเป็นตำแหน่งบรรณารักษ์ใหญ่ในหอพระสมุดสำหรับพระนคร ได้พยายามค้นหาได้ความรู้มาแต่งหนังวสือเรื่อง "ตำนานอักษรไทย" ขึ้นไว้ในภาษาโดยพิสดาร ราชบัณฑิตยสภาได้พิมพ์แล้ว ๒ ครั้ง (ข้าพเจ้าขอแนะนำแก่บรรดาผู้เอาใจใส่ในหนังสือไทย ว่าหนังสือเรื่องนั้นน่าอ่านนัก อ่านแล้วได้ความรู้ดีด้วย)
ตามตำนานปรากฏว่าชนชาติไทยแทบทุกจำพวก ต่างมีแบบตัวอักษรสำหรับของพวกตนมาแล้วช้านาน แต่ว่าตัวอักษรของไทยแต่เดิมเหมาะเพียงสำหรับใช้เขียนคำในภาษาของตนเท่านั้น ครั้นไทยได้ปกครองประเทศสยามได้มาบังคับบัญชาและมีกิจการเกี่ยวเนื่องกับพวกเขมร มอญ ลาว(ละว้า) ทั้งในประเพณีและศาสตราคมตลอดจนภาษาที่ต้องใช้ในการปกครองประเทศสยาม พระเจ้ารามคำแหงมหาราชพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๓ ในราชวงศ์พระร่วงทรงพระราชดำริ ว่าอักขรวิธีของพวกไทยที่ใช้กันมาแต่ก่อนไม่พอจะเขียนภาษาสยาม จึงทรงประดิษฐ์หนังสือไทย อันเป็นต้นแบบหนังสือไทยสยามที่เราใช้กันมาทุกวันนี้ ขึ้นเมือง พ.ศ. ๑๘๒๖ วรรยุกต์เริ่มมีขึ้นในแบบหนังสือของพระเจ้ารามคำแหงฯ เป็นปฐม แต่ว่ามีไม้เอกกับไม้โท แต่ไม้โทเขียนเป็นรูปกากะบาท ดังนี้ + (เหตุที่เรียกไม้เอกและไม้โทนั้น เห็นจะเป็นเพราะเขียนขีดเดียวกับสองขีด มิใช่เป็นเครื่องหมายเสียงที่ ๑ และที่ ๒ เพราะอ่านได้หลายเสียงทั้งเอกและโท) วิธีเอาตัว ห นำอักษรต่ำก็ประดิษฐ์ขึ้นในครั้งนั้นเหมือนกัน จึงอาจกล่าวได้ว่าวิธีที่ใช้วรรณยุกต์เป็นเครื่องหมายเสียงในหนังสือไทย เป็นของพระเจ้ารามคำแหงมหาราชทรงพระราชดำริขึ้น เมื่อมีแบบหนังสือไทยของพระเจ้ารามคำแหงมหาราชเกิดขึ้นแล้ว ในไม่ช้าไทยพวกอื่นเห็นประโยชน์ ก็รับใช้แพร่หลายไปในอาณาเขตลานนา (มณฑลพายัพ) และลานช้าง (หลวงพระบาง) แต่พวกไทยลานนาและลานช้างหาใช้วรรณยุกต์ไม่ คงใช้วรรณยุกต์แต่ไทยพวกกรุงสุโขทัยและหัวเมืองข้างฝ่ายใต้ลงมา ตัววรรณยุกต์นั้นในปลายสมัยกรุงสุโขทัยเปลี่ยนรูปกากะบาท + เป็นรูปไม้โทอย่างที่เราใช้กันทุกวันนี้ (พิเคราะห์ดูว่าจะเกิดแต่เขียนกากะบาท + หวัด จะลากเส้นทีเดียวให้สำเร็จ จึงเลยเปลี่ยนรูปไม้โทไปอย่างนั้น)
ไม้ตรีกับไม้จัตวา (เอากากะบาทไม้โทเดิมมาใช้) เมื่อครั้งกรุงสุโขทัยยังหามีไม่ แม้ต่อมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อก่อนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ยังไม่มี ข้อนี้รู้ได้ด้วยมในหนังสือจินดามณี ตำราสอนหนังสือไทยที่พระโหราแต่ในรัชกาลนั้น มีโคลงบอกวรรณยุกต์ไว้บทหนึ่งว่า
สมุหเสมียนเรียนรอบรู้ วิสัญช์
พินเอกพินโททัณ ฑฆาฏคู้
ฝนทองอีกฟองมัน นฤคหิต นั้นนา
แปดสิ่งนี้ใครรู้ จึ่งให้เป็นเสมียน
ถ้าไม้ตรีไม้จัตวามีอยู่ในสมัยเมื่อแต่งโคลงบทนี้ ก็คงบอกไว้ในโคลงด้วย แต่โคลงบทนี้อาจจะมีผู้แต่งเพิ่มเข้าในหนังสือจินดามณีเมืองภายหลัง ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งแสดงว่าไม้ตรีไม้จัตวามีช้ามาอีก ได้ให้ตรวจดูหนังสือลายมือเขียนในสมัยกรุงศรีอยุธยาอันมีอยู่ในหอพระสมุดสำหรับพระนครหลายเรื่อง ก็ไม่เห็นใช้ไม้ตรีไม้จัตวา มาพบหนังสือที่มีไม้จัตวาในบทละครเขียนครั้งกรุงธนบุรี และทั่มีทั้งไม้ตรีและไม้จัตวาในหนังสือกฎหมายฉบับหลวงที่ประทับตรา ๓ ดวง เขียนในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์เป็นเก่าที่สุด นี่ว่าด้วยถือเอาลายมือเขียนเป็นหลักพิศูจน์
แต่ยังมีหลักอย่างอื่นปรากฏอยู่ในกฏหมาย "ศักดินาพลเรือน" (ฉบับพิมพ์) ตอนทำเนียบพวกนายสำเภาในกรมท่า มีชื่อเรียกตามภาษาจีน และผันด้วยไม้ตรีและไม้จัตวาหลายชื่อ เช่น จุ้นจู๊ นายสำเภา และ บั๋นจู๊ พนักงานซ่อมแปลงสำเภาเป็นต้น ส่อให้เห็นว่าไม้ตรีไม้จัตวาเกิดขึ้นแต่ก่อนสมัยกรุงธนบุรี น่าจะมีเมื่อตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา คิดขึ้นสำหรับเขียนคำภาษาจีนเป็นมูลเหตุ
วินิจฉัยในเรื่องวรรณยุกต์ยังมีความควรกล่าวอีกข้อหนึ่ง เมื่อได้แสดงแล้วว่าพระเจ้ารามคำแหงมหาราชเป็นผู้ทรงพระราชดำริแบบหนังสือไทยสยามที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ คือผลของพระราชดำริเป็นการสำเร็จประโยชน์ใหญ่หลวง แม้จะยืนยันว่าสำเร็จประโยชน์ยิ่งกว่าที่พระเจ้ารามคำแหงฯเองได้ทรงคาดหมายก็ว่าได้ ด้วยไม่มีหนังสือไทยพวกอื่นที่ใช้แพร่หลายเหมือนหนังสือ "ไทยสยาม" และเป็นหนังสือไทยแบบเดียวที่สามารถทำพิมพ์ดีด (Type-writer) ได้
แต่ว่าเฉพาะวรรณยุกต์เครื่องหมายเสียงสูงต่ำซึ่งพระเจ้ารามคำแหงฯทรงประดิษฐ์ขึ้นนั้น จะว่าสำเร็จประโยชน์บริบูรณ์ทีเดียวยังไม่ได้ เพราะไทยพวกอื่นแม้ที่รับแบบหนังสือไทยสยามไปใช้ก็ไม่ใช้วรรณยุกต์เครื่องหมายเสียง ไทยสยามเองแม้รับใช้ก็ยังอ่านไม่ตรงเสียงกันได้หมดจนทุกวันนี้ เช่นชาวนครราชสีมาและชาวนครศรีธรรมราชเป็นต้น ข้าพเจ้าได้เคยถามพวกชาวนครศรีธรรมราชว่า ที่เขาเขียนหนังสือใช้เอกโทนั้นเอาอะไรเป็นที่สังเกต เขาตอบว่าอาศัยแต่ด้วยจำไว้ว่าคำนั้นใช้ไม้อย่างนั้นเท่านั้น มิได้ใช้เสียงเป็นที่สังเกต พวกชาวนครราชสีมาก็คงเป็นอย่างเดียวกัน
แต่ทุกวันนี้มีโรงเรียนหลวงตั้งแพร่หลายออกไปทุกที โรงเรียนไปถึงไหนสำเนียงพูดอย่างในกรุงเทพฯก็แพร่หลายไปถึงนั่น ราษฎรรุ่นใหม่จะใช้สำเนียงพูดอย่างกรุงเทพฯมากขึ้นทุกที สำเนียงเช่นเคยพูดกันตามท้องที่คงจะเสื่อมไปโดยลำดับ อีกสัก ๕๐ ปีก็คงใช้วรรณยุกต์ด้วยสังเกตเสียงเหมือนกันหมด ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นเวลาเกือบถึง ๗๐๐ ปี นับตั้งแต่พระเจ้ารามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์วรรณยุกต์เครื่องหมายเสียงนั้น ไทยจึงสามารถใช้วรรณยุกต์ได้สมบูรณ์ทั่วทั้งประเทศสยาม
.....................................................................................................................................................................
ชุมนุมพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เรื่อง อธิบายเรื่องวรรณยุกต์
Create Date : 23 มีนาคม 2550
Last Update : 23 มีนาคม 2550 15:20:42 น.
2 comments
Counter : 4048 Pageviews.
Share
Tweet
โอ้วว ความรู้ล้นทะลักขอบคุณครับ
โดย:
CDCR265
วันที่: 23 มีนาคม 2550 เวลา:20:33:10 น.
สวัสดีครับ คุณ CDCR265
ยังมีเรื่องน่าสนใจอีกหลายเรื่องครับ เช่น
เรื่องโสกันต์ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ สิครับ
เป็นธรรมนียมราชตระกูล พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๔
เรื่องขนานนามพระปฏิมากร
จะได้ทราบว่ามี พระบาทสมเด็จพระพุทธรังสฤษดิ์ ในกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย
เรื่องเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ กับเจ้าจอมมารดาทับทิม
มีเรื่องแฟชั่นในพระบรมมหาราชวังฝ่ายใน
เรื่องเจ้าพระยายมราช มีเรื่องแก้ไขปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
และอื่นๆ อีกมากมายครับ
โดย:
กัมม์
วันที่: 28 มีนาคม 2550 เวลา:14:44:41 น.
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
กัมม์
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [
?
]
วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
Bigmommy
NickyNick
เพ็ญชมพู
kenzen
สาวใหม
กระจ้อน
คนรักน้ำมัน
Why England
naragorn
biebie999
วรณัย
เซียงยอด
แม่สลิ่ม
รอยคำ
สุธน หิญ
นอกราชการ
BFBMOM
มณีไตรรงค์
karmapolice
เมื่อไรจะหายเหงา
เจ้าชายเล็ก
รักดี
ลุงนายช่าง
nidyada
mr.cozy
กวินทรากร
Mutation
พลังชีวิต
หนุ่มรัตนะ
Webmaster - BlogGang
[Add กัมม์'s blog to your web]
เครือข่ายกาญจนาภิเษก
หอมรดกไทย
เวียงวัง
มอญ
กฎหมายไทย
ประตูสู่อีสาน
พจนานุกรมไทย-อังกฤษ
พจนานุกรมไทย-บาลี
คำไท - คำถิ่น
คนโคราช
หนังสือหายาก E - Book
ลิลิตตะเลงพ่าย
สามก๊ก
บ้านมหา (หมอลำออนไลน์)
หมากรุกไทย และหมากกระดาน
ราชกิจจานุเบกษา
สมุดภาพเมืองไทยในอดีต
พระราชวังพญาไท
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
ฐานข้อมูลภาพถ่าย กรมศิลปากร
ปากเซ ดอท คอม
ศิลปวัฒนธรรมภาคใต้
มวยไชยา
ดำรงราชานุภาพ
พิพิธภัณฑ์ธงสยาม
ห้องสมุดพันทิป
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า
จิตรกรรมฝาผนังวัดบุปผาราม
พิพิธภัณฑ์ศาลไทย
จิตรธานี
Wikimapia
ราชบัณฑิตยสถาน
Bloggang.com
MY VIP Friend