แปลเป็นมูลคดี ๑๘ อย่าง สอบกับพระธรรมศาสตร์มัธยมประเทศของอาจารย์แมกสมุเลอ ได้คำแปลดังนี้ ๑. อิณํธนํ หนี้สิน Non payment of debts. ๒. สนฺนิธานํ ของฝาก Deposit and pledge. ๓. อสกํ มิใช่ของตน Sale without ownership. ๔. ปริกีณิตํ หุ้นส่วน Concerns among partner. ๕. อธมฺมธนวิภาคํ แบ่งสินมิเป็นธรรม Partition of inheritance. ๖. ธนํ ทตฺวา ปจฺฉา คณฺเห ให้สินแก่เขาแล้วเอาคืนเล่า Resumption of gife. ๗. ภติกสฺส ปลิโพโธ ไม่ให้เงินค่าจ้าง Non payment of wages. ๘. พหุมชฺเฌสุ สมฺมุเข ยํ วจนํ กเถตฺวาน ปจฺฉา ปุน กเถนฺติ ตํ ไม่ทำตามสัญญา Non performance of agreement. ๙. กีณิตฺวา ปุน อิจฺฉติ ซื้อแล้วคืนเล่า Recission of sale and purchase. ๑๐. วิกีณิตฺวา วิวตฺตติ ขายแล้วอยากได้คืน Recission of sale and purchase. ๑๑. ทฺวิปฺทา วา จตุปฺปทา สพฺเพ มนุสฺสภตฺติกา วิวาทเหตุวิญญาณกทรัพย์ Dispute between owner of cattle and his servants. ๑๒. ปฐวีวิภตฺติวาจา แบ่งที่ดินเรือกสวนไร่นา Dispute regarding boundaries. ๑๓. อญฺญํโทสปโรหิตํ ใส่ความท่าน Defamation. ๑๔. ปริฆาตํ ฆ่าฟันท่าน Assualt, robbery and violence. ๑๕. ฆรํคจฺเฉ ลักทำชู้ Theft and adultery. ๑๖. อิตฺถีปุริสวิกเต ลักษณะผัวเมีย Duties of man and wife. ๑๗. วิภตฺติธนเหตุ ลักษณะแบ่งสิน Partition of inheritance. ๑๘. อกฺขวตฺตปริภาโค ลักษณะเล่นการพนัน Gambling and detting.
หนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวอีข้อหนึ่งว่า สมเด็จพระเอกาทศรถโปรดให้ตั้ง ส่วยสัดพัฒนากรขนอนตลาด ว่าเพียงเท่านี้ ยากที่จะเข้าใจได้ว่าจัดการที่ว่านั้นอย่างไรๆ บ้าง แต่เชื่อได้ว่าไม่ใช่ว่าพึ่งตั้งภาษีอากรขึ้นคราวนั้นเหมือนกัน ภาษีอากรคู่กับรัฐบาล เหมือนกับกฎหมายคู่กับประชุมชน มีรัฐบาลเมื่อใดภาษีอากรก็มีมาแต่เมื่อนั้น ผิดกันต่างกันแต่วิธีเก็บภาษี ภาษีอากรที่เรียกรวมในชื่อว่า ส่วยสัดพัฒนากรขนอนตลาด นี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าจำแนกเป็น ๓ อย่างคือ ส่วยอย่าง ๑ อากรขนอนอย่าง ๑ อากรตลาดอย่าง ๑ วิธีเก็บ ถ้าหมายความว่า ๓ อย่างนี้ ได้ความตามหนังสือของมองสิเออร์ลาลูแบร์ประกอบกับที่เข้าใจความตามที่กล่าวในกฎหมายเป็นดังนี้
ส่วยนั้น ตามความเข้าใจกันทุกวันนี้ หมายความว่ายอมให้ไพร่พลส่งสิ่งของได้แทนแรงที่ต้องมาเข้าเวรรับราชการ เป็นต้นว่า ไพร่พลพวกใดตั้งอยู่ภูมิลำเนาในที่มีป่าไม้ ยอมให้ไพร่พลพวกนั้นตัดไม้ที่ต้องการใช้ในราชการส่งมาโดยกำหนดคนละเท่านั้นๆ ไม้นั้นเรียกว่าไม้ส่วย เมื่อผู้ใดได้ส่งส่วยแล้ว ก็ไม่ต้องรับราชการประจำในที่นั้น รัฐบาลเอาของส่วยมาใช้ในราชการ ดังเช่นไม้ก็เอามาใช้ในการปลูกสร้างสถานที่ต่างๆ เป็นต้น ลักษณะของการส่วยเป็นดังว่ามานี้มาแต่ประเพณีโบราณ ซึ่งเป็นข้อกำหนดให้เมืองขึ้นหรือให้หมู่บ้านที่ขึ้นต้องจัดสิ่งดีซึ่งมีในเมืองและบ้านนั้นๆ ส่งแก่ผู้ซึ่งเป็นเจ้าเป็นใหญ่เป็นพยานในการที่เป็นข้าขอบขัณฑเสมา ยกตัวอย่างดังในพงศาวดารเหนือ ที่พระร่วงเมืองละโว้ต้องเป็นส่วยส่งน้ำทะเลชุบศรไปถวายพระเจ้ากรุงขอมทุกๆ ปี ไม่ใช่ว่าเพราะเมืองขอมกันดารน้ำ หรือมีความจำเป็นโดยแท้จริงอันใดที่จะต้องได้น้ำทะเลชุบศรไปใช้ในเมืองขอม การที่บังคับให้เมืองละโว้ส่งน้ำทะเลชุบศร ก็เพื่อจะให้ชาวละโว้รู้สึกทั่วกันอยู่เสมอว่า เป็นข้าของพระเจ้าแผ่นดินขอมเท่านั้นเอง ประเพณีอันนี้
แม้อย่างต่ำแต่เมืองต้องส่งต้นไม้เงินทองถวายแทนของส่วย ทุนที่จะใช้ทำต้นไม้เงินทองนั้น ยังใช้เก็บเฉลี่ยเรียกจากราษฎร เพื่อให้ความรู้สึกมีอยู่แก่ราษฎรทั่วกันว่า เป็นข้าขอบขัณฑเสมาตามธรรมเนียมเดิม ยังใช้เป็นประเพณีในหัวเมืองมลายูมาจนเลิกประเพณีถวายต้นไม้เงินทอง ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วิธีเก็บส่วยจากราษฎรเห็นว่าจะเอามาจากประเพณีโบราณนี้เอง เปลี่ยนเป็นการเฉพาะตัวไพร่พลในชาติเดียวกัน และกำหนดให้ส่งแต่ของที่จะเป็นประโยชน์แก่ราชการ ยกหน้าที่ๆจะรับราชการประจำให้เป็นการตอบแทน ซึ่งต้องเป็นความยินดีพอใจของพวกไพร่พลที่อยู่ใกล้อยู่เป็นธรรมดา วิธีเก็บส่วยจากไพร่พล ถ้าตั้งขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ จริงดังกล่าวในพระราชพงศาวดาร ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเกิดแต่จะบำรุงการทำมาหากิน ด้วยไพร่พลต้องทำศึกสงครามบอบช้ำมาช้านาน และเข้าใจว่าวิธีที่ยอมให้ส่งส่วยนี้เอง ในรัชกาลอื่นภายหลังมาขยายต่อออกไปจนให้ส่งเงินแทนรับราชการได้ จึงเกิดประเพณีเสียเงินข้าราชการสืบมา ของส่วยที่เรียกในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถทราบไม่ได้ว่าอะไรบ้าง มาทราบในชั้นหลัง ซึ่งข้าพเจ้าจะเอาไว้อธิบายในรัชกาลอื่นต่อไป
ที่เรียกว่าอากรขนอนนั้น ตามเนื้อความเท่าที่จะทราบได้ เป็นภาษีเก็บในจังหวัดราชธานี คือตั้งด่านขึ้นตามทางน้ำทางบก ที่มหาชนไปมาค้าขายต้องผ่าน ครั้งกรุงเก่าเรียกด่านภาษีว่า ขนอน จะเป็นเรือก็ตามเกวียนก็ตาม เมื่อพาสินค้าผ่านขนอน เก็บสินค้านั้นเป็นภาคหลวงโดยอัตรา ๑๐ ชัก ๑ ซึ่งเราเรียกกันทุกวันนี้ว่า ภาษีภายใน หรือ ภาษีผ่านด่าน มาจากอากรขนอนนี้เอง ถ้าเชื่อตามหนังสือพระราชพงศาวดารว่า ก็ตั้งขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นปฐมเหมือนกัน
อากรตลาดนั้น เข้าใจว่าอย่างเดียวกับที่เรียกว่า เก็บจังกอบ แต่ในจังหวัดราชธานีเหมือนกัน คือที่ใดราษฎรประชุมกันตั้งตลาดค้าขาย ที่นั่นก็ตั้งให้เก็บภาษีจากร้านและผู้ซึ่งมาขายของ อัตราที่เก็บเท่าใดในครั้งกรุงเก่า ข้าพเจ้ายังค้นไม่พบ
ที่กัปนา
ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า สมเด็จพระเอกาทศรถพระราชทานที่กัลปนาเป็นนิตยภัตพระสงฆ์ ที่เรียกว่า พระราชทานที่กัลปนานั้น หมายความว่าพระราชทานผลประโยชน์ซึ่งได้ในภาษีที่ดินเป็นนิตยภัตเลี้ยงพระสงฆ์ ไม่ได้พระราชทานตัวที่ดิน ประเพณีพระราชทานที่กัลปนา เป็นพระราชประเพณีมีมาแต่ครั้งสุโขทัย ไม่ใช่ตั้งขึ้นใหม่ในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นแน่ ที่หนังสือพระราชพงศาวดารกล่าว เห็นจะหมายความว่าพระราชทานเพิ่มเติมที่กัลปนาขึ้นอีก คือวัดหลวงวัดใดที่ยังไม่มีกัลปนามาแต่ก่อน ก็จัดให้มีขึ้นให้เหมือนกับวัดที่มีแล้วให้บริบูรณ์เท่านั้นเอง
เรื่องตั้งพระมหาอุปราช
ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวว่า สมเด็จพระเอกาทศรถมีราชโอรส ๒ พระองค์ พระองค์ใหญ่ทรงพระนาม เจ้าฟ้าสุทัศน์ พระองค์น้อยทรงพระนาม เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ ทรงตั้งเจ้าฟ้าสุทัศน์เป็นพระมหาอุปราช อยู่มาพระมหาอุปราชทรงกราบทูลว่า จะขอพิจารณาคนออก เห็นจะหมายความว่าคนที่เข้ามารับราชการประจำซองอยู่ มีคนแก่ชราทุพพลภาพอยู่มาก จะขอให้ปลดคนเหล่านั้นออกเสียจากราชการ ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อพระมหาอุปราชกราบทูลดังนั้น สมเด็จพระเอกาทศรถทรงขัดเคือง รับสั่งถามพระมหาอุปราชว่าจะเป็นกบฏหรือ พระมหาอุปราชตกพระทัย เกรงพระราชอาญาเป็นกำลัง เวลาค่ำเสวยยาพิษทิวงคต สมเด็จพระเอกาทศรถทรงอาลัยถึงพระราชโอรสเป็นอันมาก ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งพระมหาอุปราชอีกก็เสด็จสวรรคต ได้ความตามหนังสือพระราชพงศาวดารดังนี้
เรื่องนี้มีในจดหมายเหตุของฝรั่ง ซึ่งแต่งในสมัยนั้น กล่าวว่า ในเวลาเมื่อจวนจะสิ้นรัชกาล สมเด็จพระเอกาทศรถพระอารมณ์ไม่เป็นปรกติ มีขุนนางคนหนึ่งกราบทูลยุยงว่าพระมหาอุปราชจะเป็นกบฏ สมเด็จพระเอกาทศรถหลงเชื่อขุนนางคนนั้น ให้สำเร็จโทษพระมหาอุปราชเสีย ข้อที่ว่าสมเด็จพระเอกาทศรถมีพระอารมณ์ไม่ปรกติ ในเวลาเมื่อจวนสิ้นรัชกาลนั้น ในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงไว้อย่างนั้น น่าจะเป็นความจริง แต่เรื่องที่พระมหาอุปราชทิวงคตนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเนื้อความจะจริงอย่างว่าในพระราชพงศาวดาร
คือในเวลาเมื่อจวนจะสิ้นรัชกาล สมเด็จพระเอกาทศรถจะฟั่นเฟือนและดุร้าย จะมีความเดือดร้อนอย่างไรแพร่หลายอยู่ในกรุงฯ พระมหาอุปราชเห็นจำเป็นจะต้องแก้ไขผ่อนผันบรรเทาความเดือดร้อนที่มีอยู่ในเวลานั้น จึงกราบทูล ฝ่ายสมเด็จพระเอกาทศรถจะเข้าพระทัยไปว่า พระมหาอุปราชเป็นหัวหน้า ตั้งพวกที่จะฝ่าฝืนพระราชอำนาจ คงจะทรงพระพิโรธเพียงตรัสบริภาษพ้อพระมหาอุปราชด้วยประการต่างๆ ทำนองที่กล่าวในหนังสือพระราชพงศาวดาร พระมหาอุปราชไม่รู้ที่จะทำอย่างไร ด้วยฝ่ายหนึ่งก็มีผู้คนเดือดร้อนแพร่หลาย เห็นท่าจะเกิดจลาจล ครั้นไปกำราบทูลขอระงับแก้ไข ก็ถูกสงสัยว่าจะเป็นกบฏต่อพระราชบิดา จึงเสวยยาพิษทิวงคต พวกฝรั่งรู้แต่เหตุที่เกิดกริ้วกราดกัน และรู้ว่าพระมหาอุปราชทิวงคตด้วยมีเหตุมิได้ประชวรโดยสามัญโรค จึงลงเนื้อเห็นว่าถูกสำเร็จโทษ
ในปลายรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถคงจะมีเหตุการณ์ไม่เรียบร้อยดังกล่าวมา พอสมเด็จพระเอกาทศรถสวรรคต พระศรีศิลป์ซึ่งบวชเป็นพระราชาคณะอยู่ จึงชิงราชสมบัติได้ ซึ่งเป็นข้อประหลาดใจของผู้ศึกษาโบราณคดีอยู่จนทุกวันนี้ว่า ทำไมจึงเป็นได้อย่างนั้น ถ้าเจ้าฟ้าสุทัศน์ไม่ทำลายพระชนม์เสีย พระราชวงศ์ของสมเด็จพระเอกาทศรถเห็นจะยังได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อมาอีกช้านาน.
คัดจาก
พระอธิบายท้ายพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา
พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ