วังนาคินทร์



วังนาคินทร์

วังนาคินทร์คำชะโนด หรืออีกชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกคือ เมืองชะโนด อยู่ระหว่าง ต.วังทอง และ ต.บ้านม่วง และ ต.จันทร์ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี

ตามตำนานกล่าวว่า เมืองชะโนด มี เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ เป็นใหญ่ ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง มีบริวาร 5,000 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค และมีบริวาร 5,000 เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันด้วยความรัก สามัคคี มีอะไรก็แบ่งกันกินเป็นเช่นนี้ตลอดมา จนอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค พาบริวารออกไปล่าเนื้อหาอาหาร ได้ช้างมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้

สุทโธนาค ครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ต่างฝ่ายต่างก็อิ่มหนำสำราญ และอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค ก็ออกหาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้สุทโธนาคไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนไปให้เพื่อเป็นหลักฐานเช่นเคย เม่นตัวนิดเดียวแต่ขนใหญ่ เมื่อแบ่งให้ สุทโธนาค ก็ไม่พอใจ เพราะพิจารณาดูแล้ว ขนาดขนยังใหญ่ขนาดนี้ แล้วตัวคงใหญ่กว่านี้แน่นอน จึงไม่รับเนื้อเม่น พร้อมกับส่งคืน สุวรรณนาค เห็นดังนั้นจึงไปชี้แจงให้ทราบ ขอให้รับไว้เป็นอาหาร และผลสุดท้ายทั้งสองจึงประกาศสงครามกัน สาเหตุที่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งออกหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ต้องออกไป เพราะกลัวว่าบริวารจะปะทะกัน

เมื่อประกาศสงครามกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็ระดมไพร่พลบริวาร สงครามเกิดขึ้น ไม่มีฝ่ายไหนแพ้ ชนะ พญานาคทั้งสองรบกันอยู่เป็นเวลา 7 ปี ก็ไม่มีใครแพ้ ชนะ เพราะต่างฝ่ายต่างก็หวังครองหนองกระแสเพียงฝ่ายเดียว จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่รอบ ๆ หนองกระแสเกิดความเสียหาย เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหว เทวดาต่างก็เดือดร้อนกันไปด้วยสามภพ ความเดือดร้อนทราบไปถึงพระอินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ เทวดาทั้งหลายต่างก็พากันไปร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้พระอินทร์ได้ทราบ ดังนั้นจึงได้หาวิธีให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกัน เพื่อความสงบสุขของไตรภพ จึงได้เสด็จลงจากดาวดึงส์มายังเมืองมนุษย์โลก ที่หนองกระแส แล้วตรัสเป็นเทวราชโองการ ว่า "ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้" การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าเสมอกัน และให้หนองกระแสเป็นเขตปลอดสงคราม และให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำคนละสาย จากหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกไปไว้ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือเอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอให้ไฟจากภูเขาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุล

หลังจากพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการเช่นนั้น สุทโธนาค พร้อมไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแสสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนเป็นภูเขาก็คดโค้งไปตามภูเขา หรืออาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยกง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง ได้ถึงทะเลก่อนจจีงได้เป็นผู้ชนะปลาบึกจึงอยู่แม่น่ำโขง ส่วนฝั่งลาวเรียกว่า แม่น้ำของ

ส่วน สุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการก็พาบริวารไพร่พลออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาค เป็นคนตรงพิถีพิถันและยังเป็นผู้มีจิตใจเย็น การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำให้ตรง เ แม่น้ำนี้เรียกว่า แม่น้ำน่าน แม่น้ำแห่งนี้จึงเป็นแม่น้ำที่ตรงกว่าแม่น้ำทุกสานในประเทศไทย

การสร้างแม่น้ำแข่งขัน ปรากฏว่า สุทโธนาค สร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อนตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาค เป็นผู้ชนะ และปลาบึกจึงต้องไปอยู่แม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก

จากนั้น สุทโธนาค สร้างเสร็จ ปลาบึกขึ้นอยู่แม่น้ำโขงและเป็นผู้ชนะตามสัญญาแล้ว จึงได้แผลงฤทธิ์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า "ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาค จะอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้" จึงได้ขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ เอาไว้ 3 แห่ง พร้อมกับทูลถามว่า "จะให้ครอบครองอยู่ตรงไหนแน่นอน" พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ ที่หนองคันแท และที่พรหมประกายโลก

(คำชะโนด) ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ และหนองคันแท เป็นทางขึ้น-ลงของพญานาคเท่านั้น ส่วนพรหมประกายโลก คือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน เมื่อพรหม เทวดา ลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ แล้วให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น ซึ่งมีต้น

ชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ (ชะโนดมีลักษณะเหมือนต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาล ผสมกัน) และให้ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลให้สุทโธนาค มีลักษณะ 31 วัน ข้างขึ้น 15 วัน ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ" มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่น และอีก 15 วันข้างแรม ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นนาค และเรียกชื่อว่า "พญานาคราชศรีสุทโธ" ให้อาศัยอยู่เมืองบาดาล

ดังนั้นชาวบ้านม่วง บ้านเมืองไพร บ้านวังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี จึงพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญ

ประจำปี ทั้งผู้หญิงผู้ชายอยู่หลายครั้ง บางทีจะเห็นผู้หญิงไปยืมฟืม (เครื่องมือทอผ้า) ไปทอผ้าอยู่เป็นประจำ และเมื่อคุยกับชาวบ้านถูกคอกันก็ได้นอนพักที่บ้านชาวบ้าน แต่ขอให้จัดที่นอนให้เป็นใต้ถุนบ้านในพะเนียด (กระเฌอใหญ่) แต่เมื่อชาวบ้านตื่นขึ้นมาดูหญิงสองคนนั้นกลายเป็นงูใหญ่นอนขดอยู่หรือไม่บางครั้งชาวเมืองชะโนด ได้จัดงานบุญประจำปี มีการมาว่าจ้างเอาภาพยนตร์ไปฉายที่เมืองชะโนดก็เคยมี จนหน่วยฉายหนังเร่เมืองอุดรธานี กลัวไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้สามารถที่จะสอบถามชาวบ้านในระแวกนั้นได้ถึงเรื่องอัศจรรย์ต่าง ๆ หรือแม้เวลาที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่ที่คำชะโนดกลับยกตัวลอยขึ้นทั้งเกาะ น้ำจะไม่ท่วม เมื่อเวลาน้ำลดก็จะลดลงเหมือนเดิม

ผาแดง นางไอ่...เป็นตำนานรัก ระหว่างหญิงหนึ่ง-สองชาย เมื่อฝ่ายหนึ่งพลาดรักและเสียทีถูกทำร้ายตายไป ก็เกิดสงครามจนบ้านเมืองถล่มทลายกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ จุดกำเนิดตำนานรักอีสาน

ในเรื่องได้กล่าวถึง พระยาขอม ผู้ครอง เมืองเอกชะธีตา มีธิดาชื่อ นางไอ่คำ ที่อยู่ในวัยสาวอายุย่าง 15 ปี มีความงามเป็นที่เลื่องลือไปถึงเจ้าชายเมืองต่าง ๆ จนเป็นที่หมายปอง ใคร ๆ ก็อยากได้มาเป็นคู่ครอง และความงามที่เล่าลือนั้นก็ได้เข้าหูของ ผาแดง แห่ง เมืองผาโพง ด้วยความคิดถึง และอยากชมความงามของ นางไอ่คำ ผาแดง จึงได้แอบขี่ม้ามาหานางไอ่คำจนทั้งสองได้พบกันและเกิดความรัก สุดท้ายเมื่อทั้งสองได้เสียกันจึงสัญญากันว่าจะทำพิธีสู่ขอและแต่งงานตามประเพณีต่อไป

นอกจากนี้ยังมีเมืองหนึ่งชื่อ ศรีสัตตนาคนหุต มี สุทโธนาค ครองเมือง มีโอรสชื่อ พังคี สุทโธนาค ได้อพยพมาจากหนองแส เพราะผิดใจกับ สุวรรณนาค เพื่อนรัก เนื่องจากการแบ่งเนื้อเม่นได้น้อย เพราะคิดว่าสุวรรณนาคคิดไม่ซื่อ จึงทะเลาะกันจนเกิดสงคราม

ต่อมาเมื่อถึงเดือนหก พระยาขอม จะทำบุญบั้งไฟจึงได้จัดการแจ้งข่าวสารไปยังเมืองต่าง ๆ ให้ทำบั้งไฟมาร่วมงาน ส่วนผาแดงไม่ได้รับเชิญเพียงได้ทราบข่าวก็มา เนื่องเพราะมีสัญญารักกับนางไอ่คำอยู่แล้ว จึงได้ถือโอกาสนำบั้งไฟมาร่วม ก็ได้รับการต้อนรับจากพระยาขอมเป็นอย่างดี พระยาขอมได้ตั้งรางวัลเมื่อบั้งไฟของใครชนะ คือขึ้นสูงจะให้ทรัพย์สมบัติและนางสนมกำนัล ส่วน ผาแดง ถ้าชนะจะได้ยกนางไอ่คำให้ ในเวลาจุดบั้งไฟของเมืองต่าง ๆ ขึ้น ส่วนของพระยาขอมไม่ขึ้น ของ ผาแดง แตกกลางบั้ง พระยาขอมก็ไม่ทำตามสัญญา สุดท้ายเมืองอื่นก็กลับกันหมด ส่วน ผาแดง ก็กลับเมืองของตนพร้อมความทุกข์ เพราะรัก ประกอบกับบั้งไฟไม่ขึ้น ในการจุดบั้งไฟครั้งนี้ พังคี ลูกชาย สุทโธนาค ไม่ได้นำบั้งไฟมาร่วมเพราะเป็นนาค แต่ก็ได้แปลงกายเป็นกระรอกด่อน (เผือก) มาร่วมงานด้วย และได้หลงรักนางไอ่คำด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ตัวนางไอ่คำ เมื่อบุญบั้งไฟเลิกก็กลับบ้านพร้อมด้วยแบกเอาความรักกลับไปด้วย เมื่อถึงเมืองก็ไม่เป็นอันกินอันนอน จึงได้ลาพ่อมาหานางไอ่คำอีกครั้ง และแปลงกายเป็นกระรอกด่อนมาเหมือนเดิม ส่วนบริวารก็แปลงร่างเป็นสัตว์อื่น ๆ กระรอกด่อนพังคี แขวนกระดิ่งทองไว้ที่คอด้วย ได้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่ใกล้ปราสาทของนางไอ่คำ เมื่อนางไอ่คำเห็นกระรอกก็อยากได้ จึงให้นายพรานจับกระรอก นายพรานได้ยิงกระรอกด้วยธนู ก่อนตาย พังคี ได้อธิษฐานว่า "ขอให้เนื้อของข้าจงมีพอกินแก่คนทั้งเมือง และอร่อย" เมื่อกระรอกตายชาวเมืองก็แบ่งกันจนทั่ว ยกเว้นแม่หม้าย เพราะไม่้ได้ช่วยงาน ฝ่ายบริวารพังคี เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบกลับไปบอกสุทโธนาค ๆ โกรธมาก จึงได้เกณฑ์พลนับหมื่นเพื่อถล่มเมืองพระยาขอม ใครกินเนื้อพังคีต้องฆ่าให้หมด

ในขณะเดียวกัน ผาแดง ที่รัก นางไอ่คำ อยู่แล้ว เมื่อถึงเมืองแล้วก็ไม่เป็นอันกินอันนอน จึงรีบขึ้นม้าบักสาม จากเมืองผาโพง สู่เมืองเอกชะธีตา เมื่อมาถึงนางไอ่คำก็ต้อนรับด้วยดี พร้อมจัดอาหารมาให้ ผาแดง รู้ว่าอาหารคือเนื้อกระรอกด่อนจึงไม่กิน และได้บอกแก่นางไอ่คำว่า หากใครกินเนื้อนี้แล้วบ้านเมืองจะถล่มถึงตาย พอตกกลางคืนกองทัพพญานาคก็มาถึงเมือง แผ่นปฐพีจึงถล่มเสียงดังสนั่นไปทั่ว ผาแดงจึงได้ให้ นางไอ่คำ เตรียมข้าวของพอที่จะเอาไปได เช่น แหวน ฆ้อง และกลองประจำเมือง แล้วรีบขึ้นม้าซ้อนท้ายผาแดงควบม้าออกจากเมืองทันที เมื่อพญานาครู้ว่านางไอ่คำหนี จึงได้ออกติดตามไปติด ๆ แผ่นดินถล่มไม่หยุด ถึงแม้ว่าจะควบม้าเร็วขนาดไหน พญานาคก็ยังไม่หยุดตาม จนในที่สุดม้าบักสามก็ค่อย ๆ หมดแรง พญานาคตามทันเอาหางตวัดเกี่ยวเอาตัวนางไอ่คำลงจากหลังม้า ส่วนผาแดงก็ควบม้าต่อไป พญานาคก็ตามไปอีก เพราะผาแดงมีแหวนของนางไอ่คำติดตัวไปด้วย และเมื่อเห็นพญานาคตามไปเช่นนั้น ผาแดงจึงทิ้งแหวนและก็ปลอดภัยในที่สุด ก่อนผาแดงจะพานางไอ่คำหนี...

ต่อมาเมื่อผาแดง ถึงเมืองผาโพง เสียใจที่สูญเสียคนรักไปต่อหน้าต่อตาม จึงได้อธิษฐานต่อเทพยดาว่า จะขอตายเพื่อไปต่อสู้กับพวกพญานาค กองทัพผีผาแดง กับ กองทัพพญานาคได้ต่อสู้กันอยู่นาน น้ำในบังในหนองขุ่นข้น ดินบนบกกลายเป็นฝุ่นตลบไปหมด ร้อนถึงพระอินทร์ ต้องลงมาระงับศึกให้ผาแดงกลับเมืองผี พญานาคกลับเมืองบาดาลตามเดิม ส่วนนางไอ่คำให้อยู่ที่เมืองบาดาลก่อน และขอให้พระศรีอาริย์ลงมาตัดสินก่อน ว่าใครคือสามีที่แท้จริง จึงจะให้นางไอ่คำไปอยู่กับคนนั้น

พญานาค กับ พระธาตุบังพวน

การที่คนเรานับถือสิ่งใด เรื่องใดนั้นย่อมรู้ในสิ่งนั้น ชื่อว่าเราได้นับถือกราบไหว้ด้วยความฉลาด และรู้แจ้งเรื่องนาคและเทวดา ที่ปรากฏในตำนานโบราณทุกแห่งนั้น มิใช่เรื่องเหลวไหลของผู้ศึกษาศาสตร์ และสร้างจิตให้มีอำนาจ แล้วย่อมสามารถมองเห็นเทวดา อมนุษย์ได้จริง ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นวิสัยของเทพจักษุ ไม่ใช่ของมังสจักษุ

ในสมัยพุทธกาล เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จที่พระเซตวันมหาวิหาร ใกล้กรุงสาวัตถี พระองค์ได้พิจารณาถึงพุทธโบราณ ประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีตที่เสด็จเข้านิพพานไปแล้ว สาวกทั้งหลายได้นำเอาพระสารีริกธาตุไปฐาปนาไว้ในที่เหมาะสม พอรุ่งเช้าหลังจากที่พระอานนท์ได้ถวายน้ำชำระำพระโอษฐ์ และไม้สีฟัน หลังเสร็จกิจจึงทรงผ้ากัมพลสีแดง แล้วผินพระพักตร์สู่ทิศตะวันออกเสด็จลีลามาทางอากาศ มีพระอานนท์เป็นปัจนาสมณะติดตาม เมื่อเสด็จลงประทับที่ ดอนกอนเนา (เวียงจันทน์) แล้วเสด็จมาที่หนองคันแทเสื้อน้ำ แล้วไปประทับที่โพนจิกเวียงงัว ใต้ปากห้วยคุคำ (บ้านปะโค เวียงคุก) ทอดพระเนตรเห็น แลนคำ แลบลิ้น จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ทูลถาม พระองค์พญา กรณ ว่า ต่อไปบ้านเมืองนี้จะเจริญ และแลนคำนั้นก็คือ ปัพพาละนาค ตัวที่อยู่ภูเขาลวงริมน้ำบังพวน ต่อมานาคนั้นได้กลายร่างเป็นมาณพน้อย นุ่งห่มขาว เข้ามารับบาตร ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปสู่ภูเขาลวง หลังจากที่ปัพพาละนาคถวายภัตตาหาร พระองค์กระทำภัตตกิจเสร็จแล้วประทานผ้ากัมพลผืนหนึ่งแก่ ปัพพาละนาค แล้วเสด็จไปฉันเพลที่ใกล้เวินหลอด ต่อมาเรียกว่า เวินเพล (บ้านโพนฉัน-โพนแพง) จากนั้น สุกขหัตถีนาค เนรมิตเป็นช้างถือดอกไม้มาขอเอารอยพระพุทธบาท พระองค์ได้ย่ำรอยพระบาทไว้ที่แผ่นหินใกล้ริมน้ำชั่วเสียงช้างร้องได้ยิน (ปัจจุบันเรียกว่า พระบาทโพนฉัน)

พญานาคสร้างเมือง

ณ ที่ตำบลหนองคันแทเสื้อน้ำ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีชายคนหนึ่งลักษณะดำพุงใหญ่ชื่อว่า "บุรีจันทร์ อ่วยล้วย" เป็นผู้มีใจบุญสุนทาน จิตใจเป็นกุศล โอบอ้อมอารีย์แก่คนและสัตว์ ทำบุญให้ทานอยู่เป็นนิตย์ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ ร่องสะแก ในเวียงจันทน์ทุกวันนี้ ครั้งนั้นมีพระอรหันต์ 2 องค์ มาจากราชคฤห์นคร อาศัยอยู่ที่นั่นองค์หนึ่งชื่อ มหาพุทธวงศา อยู่ริมน้ำบึง องค์หนึ่งชื่อ มหาสัชชะตี อยู่บ้านโพนเหนือ น้ำบึง บุณีจันทร์ อ่วยล้วย เป็นผู้อุปัฏฐากท่านทั้ง 2 ให้มีความสุขด้วยปัจจัยไม่ขาด

ด้วยอำนาจบุญกุศลช่วยชู ทำให้คนทั้งหลายมีความรักนับถือ บุรีจันทร์ อ่วยล้วย จึงได้พร้อมกันยกให้เป็นอาจารย์สั่งสอน ทั้งศีลธรรม และศิลปกรรม หัตถกรรม และการกสิกรรม จนในที่สุด บุรีจันทร์ อ่วยล้วย ก็เป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดา นาค จึงมีนาคมาคอยช่วยเหลือในกิจการต่าง ๆ มิขาด โดยมี สุวรรณนาค เป็นต้น ได้พิจารณาตั้งเมืองในที่เหมาะสม และเนรมิตบ้านเมืองให้แก่บุรีจันทร์ อ่วยล้วย

อยู่มาวันหนึ่ง ชาวบ้านทำนา เมื่อข้าวออกรวง น้ำก็มาท่วมเสีย สุวรรณนาค จึงให้ เศรษฐไชยนาค เนรมิตเป็นคันแทกั้นน้ำไว้ เพื่อไม่ให้น้ำท่วมข้าว ที่นั่น คนจึงเรียกว่า "หนองคันแทเสื้อน้ำ" ต่อมาอีก สุวรรณนาคจึงให้นาคบริวาร 2 ตัว คือ เอกจักขุนาค และ สุคันธนาค จำแลงเพศเป็นงูมาทำให้ข้าวล้มเสียหาย ชาวบ้านจึงกั้นรั้ว เปิดช่องกลาง ดักไซไว้ ต่อมางูน้อย 2 ตัว ที่มีเกล็ดเหมือนทองคำ มีหงอนแดงงาม เข้าไปติดอยู่ในไซ

ในคืนนั้น บุรีจันทร์ อ่วยล้วย ฝันว่ามีใส้ออกมามีลึงค์ยาวพันเอวถึง 7 รอบ เมื่อตื่นขึ้นมีความกลัว ไปใส่บาตรพระอรหันต์ ท่านแนะนำให้เอาดอกไม้ขาวใส่พานบูชาไว้ที่หัวนอน แล้วอุทิศกุศลถึงพญานาค ตอนสายมีคนนำงูน้อย 2 ตัวมาให้จึงขังเอาไว้ เพื่อที่จะนำไปให้พ่อท้าวคำบางผู้เป็นใหญ่ แต่ยังไม่ได้นำไป พอตกกลางคืน สุวรรณนาค แปลงเป็นตาผ้าขาวมีศีรษะหงอก บอกว่างู 2 ตัวนั้นเป็นลูกจะมาขอคืน เมื่อ บุรีจันทร์ อ่วยล้วย เห็นดังนั้นจึงถามว่า ท่านเป็นคนศีลธรรมหรือ จึงนุ่งห่มขาว แต่ทำไมจึงบอกว่าเป็นลูกท่าน ข้าตั้งใจจะนำไปถวายพ่อท้าวคำบาง เพราะเห็นว่างูเป็นเกล็ดทองคำ

ตาผ้าขาวจึงบอกว่า ข้าเป็นพญานาค ท่านอย่าเอางูนี้ไปถวายท่านเลย สิ่งนี้ไม่เหมาะที่จะนำไปให้ท่านพ่อคำบาง ควรจะนำสิ่งอื่นไป หากท่านต้องการเราจะให้ตามใจท่าน บุรีจันทร์ อ่วยล้วย คิดว่าคงจะเป็นตามที่เราฝัน และการอุทิศบุญถึงพญานาค จึงบอกว่า เมื่อข้าต้องการเมื่อใด ท่านจงให้เมื่อนั้นเถิด แล้วมอบงูน้อย 2 ตัวไป ต่อมางู 2 ตัว ก็กลายเป็นมาณพน้อย 2 คน นุ่งขาวล้วน แล้วเดินจากไป ทันใดตาผ้าขาวจึงบอกกับบุรีจันทร์ อ่วยล้วย ว่า ให้ท่านขุดบ่อน้ำไว้ที่ริมบึงนอกบ้าน ถึงวันพระจะให้นาค 2 ตัวขึ้นมา ท่านประสงค์สิ่งใดจงเรียกจากนาคทั้งสองนั้น จากนั้นตาผ้าขาวก็จากไปอีก

ครั้งนั้นพญานาคเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย จึงไปดลพระทัยพ่อท้าวคำบางและมเหสี ให้นำนางอินทสว่างลงรอด ให้เป็นบาทบริจาดแห่งพระยาสุมิตรธรรมวงศา เมืองมรุกขนคร และเมื่อนางอินทสว่างลงรอดทราบก็เกิดความโศกเศร้า บิดาเห็นว่าพระธิดาไม่พอใจจึงพูดเพื่อให้พระธิดากลัวว่า ถ้าเช่านั้นจะนำเจ้าไปเป็นธิดาของบุรีจันทร์ อ่วยล้วย ที่เขาเล่าลือกันว่าพุงใหญ่มาก กินข้าวเข้าไปทั้งกะบุุง ธิดาได้ยินแทนที่จะกลัว กับมีความพอใจและหายโศกเศร้า

จึงได้ให้ปลูกเรือนหลวงขึ้น 2 หลัง ๆ ละ 5 ห้อง ไว้ระหว่างหาดทราย กับบ่อน้ำของบุรีจันทร์ อ่วยล้วย แล้วให้พระธิดาไปอยู่ที่นั่น แล้วตรัสสั่งให้บุรีจันทร์ อ่วยล้วยเข้าเฝ้า เพื่อให้พระธิดาเห็นจะได้เกลียด

ฝ่ายบุรีจันทร์ อ่วยล้วย เมื่อทราบดังนั้นจึงไปที่บ่อน้ำ ซึ่งพญานาคสั่งให้ขุด แล้วร้องเรียกนาคทั้ง 2 ให้มา นาคทั้ง 2 ก็มาตามประสงค์ บุรีจันทร์ อ่วยล้วย จึงบอกว่า บัดนี้เราอยากได้นางอินทสว่างลงรอดมาเป็นภรรยา ท่านทั้งสองจงกรุณาให้นางได้กับข้าพเจ้าด้วยเทอญ



พญานาคผู้สร้างเมือง

ขณะนั้น สุคันธนาค นำขวดไม้จันทร์มาให้ และเนรมิตอ่างน้ำสำหรับสรงน้ำอ่างหนึ่ง พร้อมทั้งกระบวยสำหรับตักน้ำอาบ เอกจักขุนาค ให้ผ้าเช็ดตัว กายโลหนาค ให้ผ้านุ่ง แล้วก็บอกต่อไป ส่วน อินทจักขุนาค ให้เสื้อรูปท้าวพันตา สิทธิโภคนาค ให้มงกุฏทองคำประดับแก้ว คันธัพพนาค ให้สังวาลย์คำ ศิริวัฒนนาค ให้รองเท้าทองคำ

อินทสิริเทวดา ให้แว่นกรองทองคำ เทวดาผยอง ให้ต่างหูทองคำ เครื่องทั้งหลายเหล่านี้ประดับด้วยแก้ว เทวดาวาสนิท ให้ผ้าเช็ดหน้า ประสิทธิสักกเทวดา ให้ขวดน้ำมันแก้วผลึก

เมื่อ นาค เทวดา ให้เครื่องเหล่านี้แล้ว ก็พากันมาชุมนุมอยู่ที่หาดทราย อันเป็นที่อยู่ของ สุคันธนาค ส่วน สุวรรณนาค หัตถีนาค ปัพพาละนาค ได้มาพร้อมกับ พญาสุวรรณนาค และ พุทโธปาปนาค แล้ว พญาสุวรรณนาค ก็เนรมิตปราสาทสำเร็จด้วยไม้จันทน์ พร้อมอาสนะ เครื่องปูลาด เพดานให้พร้อมเสร็จ แล้วจึงพากันไปรับเอา นางอินทสว่างลงรอด มาไว้ในปรางค์นั้น พญาสุวรรณนาค ยังเนรมิตท้องพระโรงหลวง 19 ห้อง ที่ทำด้วยแก่นจันทน์-แดง

ปัพพาละนาค เนรมิตปราสาทไม้มะเดื่อพอกทองคำภายนอก พุทโธปาปนาค เนรมิตสระพังสำหรับสรง สุคันธนาค และ หัตถีนาค เนรมิตโรงช้างไว้ซ้าย-ขวา ในคุ้มวังนั้นให้มีทุกประการ เมื่อคนทั้งหลายไปจับต้องสิ่งที่พญานาคเนรมิตไว้ก็จะเกิดมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา เทวดา อินทศิริ เจียมปาง รับอาสากับ พญานาค เข้าคุ้มครองรักษาวัตถุข้าวของในปราสาทโรงหลวงทั้งสิ้น แล้วให้ เทวดามัจฉนารี นำพานดอกไม้ไปเชิญ บุรีจันทร์ อ่วยล้วย เข้ามาอยู่ หลังจากที่ บุรีจันทร์ อ่วยล้วย ชำระร่างกาย แล้วประดับด้วยเครื่องทั้งหลายที่เหล่า พญานาค และ เทวดาเนรมิต ให้ เมื่อแต่งเสร็จปรากฏว่า ร่างกายที่อ้วนใหญ่ ดำ ก็กลายเป็นหนุ่มรูปงาม เนื้อตัวหอมด้วยกลิ่นจันทน์ เทวดามัจฉนารี จึงได้อุ้มไปนอนไว้กับนางอินทสว่างลงรอด ทันใดนางก็ตื่นขึ้น และก็หลับต่อไปอีก หลังตื่นมาทั้งคู่ก็เกิดความรักใคร่และได้เป็นสามี ภรรยากันต่อมา

บุรีจันทร์ อ่วยล้วย เป็นเจ้าเมือง

เมื่อบริวารทั้งหลายตื่นขึ้นมาเห็นความยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงนำความไปแจ้งแก่พ่อท้าวคำบางและพระมเหสี ทั้งสองมีความยินดี จึงให้เสนาอำมาตย์จัดการพิธีสมโภช ยกบุรีจันทร์ อ่วยล้วย เป็น "เจ้าบุรีจันทร์" พร้อมทั้งมอบบ้านเมืองให้ครอง โดยมี เทวดามัจฉนารี รักษาเจ้าบุรีจันทร์ และข้าทาสบริวาร แล้วให้บอกกล่าวแก่ เงือก งู ที่เป็นบริวาร ไม่ให้ทำร้ายแก่ผู้ใด ให้พากันรักษาพระพุทธศาสนา บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ รักษากงจิตแก้วของพระพุทธเจ้าไว้

สุวรรณนาค ได้รับคำสั่งดังนั้นจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงแต่งให้นาค 4 ตัว คอยดูแลเมือง ราษฎรควรทำโทษจึงทำ โดยมี กายโลหนาค เอกจักขุนาค สุคันธนาค และ อินทจักขุนาค โดยมี เทวดาอินผยอง และ เทวดาสวาสนิท เป็นผู้เที่ยวตรวจดูตามตำบลต่าง ๆ เมื่อเห็นคนกระทำให้บอกแก่นาคทั้ง 4 เป็นผู้ตัดสินลงโทษ

ครองเมืองอย่างเป็นธรรม

เมื่อเจ้าบุรีจันทร์ อ่วยล้วย ได้ครองเมือง ก็ให้กรุบ่อน้ำด้วยไม้ประดู่ แล้วสร้างมณฑลครอบไว้ สร้างสะพานจากพระนคร ข้ามบึงไปถึงบ้านเดิมที่ร่องสะแกริมหนองคันแทเสื้อน้ำ แล้วสร้างวัดขึ้นชื่อ วัดสวนอ่วยล้วย สร้างวิหารอีก 2 หลังถวายพระอรหันต์ป่าใต้ และป่าเหนือ

ต่อมาวัดแห่งนี้ท่านมหาพุทธวงศา ได้นำพระธาตุอรหันต์มาบรรจุไว้ ปัจจุบันชื่อว่า วัดโศกป่าหลวง ในเวียงจันทน์

ในครั้งพุทธกาล ได้มีพระมหากัสสปะเถระ ได้เข้ามาประกาศศาสนาในแคว้นนี้ แล้วนำเอาพระพุทธอุรังคธาตุมาบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า คือ พระธาตุพนม ไว้กลับสู่เมืองราชคฤห์ ต่อมาได้พิจารณาเห็นสามเณร 3 องค์ ตั้งอยู่ในคำสอน มีความเพียรในการทำสมถะวิปัสสนา เมื่อสามเณรทั้ง 3 ได้อุปสมบทแล้ว ก็ไก้สำเร็จพระอรหันต์ คือ พุทธรักขิต ธรรมรักขิต สังฏรักขิต ทั้ง 3 ได้ออกเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแคว้นนี้ จนมีลูกศิษย์เกิดขึ้น 5 องค์ คือ พระมหารัตนะเถระ มหาสุวรรณปราสาท จุลสุวรรณปราสาท สังขวิชเถระ เมื่อลูกศิษย์ตามไปเมืองราชคฤห์ ก็นำเอา พระบรมธาตุหัวเหน่าของพระพุทธเจ้า 29 องค์ พระธาตุเขี้ยวฝาง 7 องค์ พระธาตุฝ่าพระบาทขวา 9 องค์ กลับคือมาประดิษฐานไว้ที่เขาลวง (พระธาตุบังพวน) พระธาตุฝ่าพระบาทขวาประดิษฐานไว้ที่เมืองล่าหนองคาย (พระธาตุกลางน้ำ) พระธาตุเขี้ยวฝาง ประดิษฐานไว้ที่ เวียงงัว 3 องค์ (พระธาตุบุ บ้านโคกป่าฝาง) และประดิษฐานไว้ที่หอแพ (เวียงจันทน์) ก่อนที่พระอรหันต์ทั้ง 5 จะนำพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานได้ อธิฐานว่า "หากพระบรมธาตุ จะสถิตย์อยู่ที่ภูเขาลวงนี้ตลอด 5,000 พระวรรษา ขอแผ่นดินจงแยกออกเป็นหลุมให้ลึก 8 วา กว้างด้านละ 10 วา ทั้ง 4 ด้านเทอญ" ทันใดนั้นแผ่นดินก็แยกออกตามคำอธิฐาน

พระยาบุรีจันทร์ ทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสสั่งให้เสนาอำมาตย์ก่ออุโมงค์หินเรียงกันขึ้น และหินที่ก่อขึ้นนั้นกลับหมด เมื่อเสนาอำมาตย์เที่ยวหาหิน แต่ก็ไม่พอ

สร้างพระธาตุบังพวน

ทันใดนั้น ปัพพาละนาค จำแลงเป็นตาผ้าขาว ถือไม้เท้าเดินมา แล้วบอกแก่คนทั้งหลายว่า หินของเรากองอยู่ทางทิศตะวันตกมากมาย จงเอามาเถิด เมื่อเสนาอำมาตย์ถามว่า อยู่ไกลแค่ไหน ตาผ้าขาวบอกว่า อยู่ห่างจากนี้ 1,000 เท่าของไม้เท้านี้ เมื่อเสนาบอกว่า ยาวเกินไปเราไม่ไปหรอก ตาผ้าขาวจึงทำให้ไม้สั้นลงเหลือ 2 วา เมื่อเสนาเห็นดังนั้นก็เกิดอัศจรรย์ยิ่ง เพราะหินกองเต็มไปหมด จึงไปไหว้พระอรหันต์ และกราบทูลพระยาจันทบุรี ว่า "ตาผ้าขาวทิ้งไม้เท้านั้นไว้ แล้วก็หนีไป"

พระอรหันต์จึงบอกแก่เสนาอำมาตย์ว่า นั่นคือ ปัพพาละนาค ที่อาศัยอยู่ใกล้ภูเขานี้มาช่วย ต่อไปการหาหินก็จะไม่ยากอีกแล้ว เมื่อเสนาอำมาตย์ทราบดังนั้น จึงได้นำไม้เท้านั้นไปวัดระยะแล้วหาหิน วัดไปได้ 1,000 ชั่วไม้ ก็พบหิน 3 ก้อนงามนัก เมื่อมีคนพูดไม่เอา ควรจะวัดให้แน่นอนก่อน พญานาคบอกว่ามีหินมาก แต่นี่เห็นมีเพียง 3 ก้อน อีกคนพูดขึ้นว่ามีเท่าไหร่ก็เอาไปก่อน จากนั้นจึงได้นำเอาหิน 3 ก้อนไป เมื่อนำเอาไป 3 ก้อน กลับมีเพิ่มอีก 6 ก้อน และหินนั้นก็เกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเห็นว่า การสร้างสุดท้าย เมื่อขนหินออกไป ขนอย่างไรก้อนหินก็เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้จักหมด ต่อมาพวกเขาเหล่านั้นจึงได้สร้างรอยเท้าพระอรหันต์เพื่อให้เป็นเครื่องหมายเอาไว้ พร้อมจารึกไว้ว่า "บาทลักษณะพระอรหันต์พันคำ" (เป็นรอยเท้าพระอรหันต์ เวลานี้อยู่ริมห้วยบังพวนระหว่างบ้านวังเทียม กับบ้านหนองนาง)

หลังจากที่สร้างอุโมงค์เสร็จสิ้น พระอรหันต์จึงได้นำเอา พระบรมธาตุหัวเหน่า 29 องค์ ถวายพระยาจันทรบุรี แล้วบรรจุเข้าในขวดไม้จันทร์ ที่สุคันธนาคให้ 10 องค์ บรรจุในขวดแก้วผลึกที่ประสิทธิสักการะเทวดาให้ 10 องค์ และนางทั้งามรับเอาพระบรมธาตุที่เหลือ 9 องค์ บรรจุเข้าในผอบทองคำนางละ 3 องค์ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ทองคำ ที่ตั้งอยู่บนหลังสิงห์ทองคำ แล้วยันต์ง้าวไว้ทั้ง 4 ด้าน หลังจากที่บรรจุเสร็จแล้วพระอรหันต์ก็เสด็จกลับสู่พระนคร



บึงโขงหลง (มนุษย์ได้นาคเป็นเมีย)

เป็นบึงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของเมืองหนองคาย มีพื้นที่ประมาณ 11 ตารางกิโลเมตร ชาวบึงโขงหลงใช้บึงนี้เพื่อประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม ประมง กสิกรรม

บริเวณแห่งนี้เดิมเป็นที่ตั้งเมือง ๆ เมืองชื่อ รัตพานคร มี พระอือลือราชา เป็นผู้ครองนคร มเหสีชื่อ นางแก้วกัลยา มีพระธิดาชื่อ พระนางเขียวคำ ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสามพันตา มีพระโอรสชื่อ เจ้าชายฟ้ารุ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด มีความรอบรู้ และมีรูปงามด้วย ขณะประสูตมีท้องฟ้าสว่างไสว ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับ นาครินทรานี ซึ่งเป็นพระธิดาของพญานาคราชแห่งเมืองบาดาล ที่แปลงกายเป็นมนุษย์ การอภิเษกสมรสจัดกันอย่างมโหฬาร ทั้งเมืองบาดาล และเมืองมนุษย์ (รัตพานคร) ทำอยู่ 7 วัน 7 คืน เพื่อเป็นการสัมพันธไมตรีระหว่างพญานาคราช กับ พระเจ้าอือลือราชา ในโอกาสนี้ด้วย

ทั้งสองอยู่กินกันมาเป็นเวลา 3 ปี ก็ไม่สามารถจะมีผู้สืบสายสกุลได้ (เพราะธาตุมนุษย์กับนาค) จึงทำให้เกิดความเศร้าโศกใจกับคนทั้งสอง ต่อมาทำให้เจ้าหญิงนาครินทรานี ล้มป่วยลง ทำให้ร่างกายของนางที่เป็นมนุษย์กลายเป็นนาคตามเดิม เมื่อข่าวนี้ได้แพร่สะบัดออกไปทั่วกรุงรัตพานคร และถึงแม้นางจะร่ายมนต์กลับเป็นมนุษย์ประชาชนและพระเจ้าอือลือก็ไม่พอใจ จึงได้ขับไล่นางนาครินทรานีกลับสู่เมืองบาดาลดังเดิม โดยได้แจ้งให้พญานาคราชมารับตัวกลับ ก่อนกลับพญานาคราช ได้ขอเครื่องกฎภัณฑ์ของตระกูลคืน แต่พระเจ้าอือลือราชาไม่สามารถคืนให้ได้ เนื่องจากนำไปแปรสภาพเป็นอย่างอื่น ทำให้พญานาคราชกริ้วมาก และประกาศว่าจะทำลายเมืองรัตพานคร และจะเหลือเอาไว้เพียง 3 วัดเท่านั้น

หลังจากพญานาคกลับไป ในตอนกลางคืน พญานาคราชได้ยกพลไพร่มาถล่มเมืองรัตพานคร และประชาชนก็ไม่มีใครรอดพ้นจากฤทธิ์นาคได้ พอนางนาครินทรานีทราบข่าว ก็ขึ้นมาตามหาเจ้าชายฟ้ารุ่ง จนถึงแม่น้ำสงครามก็ไม่พบ จึงกลับเมืองบาดาล เมืองรัตพานครได้ถล่มเป็น "บึงหลงของ" ต่อมานานเข้าคำพูดก็กลายเป็นของหลง และวัดที่เหลือ 3 วัด ก็คือ วัดดอนแก้ว (วัดแก้วฟ้า) วันดอนโพธิ์ (วัดโพธิ์สัตว์) และ วัดดอนสวรรค์ (วัดแดนสวรรค์) ทางที่นางนาครินทรานีตามหาเจ้าชายฟ้ารุ่ง คือ ห้วยน้ำเมา (เมารัก)

สวนวัฒนธรรมที่ลาว

ที่บ้านดงโพสี เมืองหาดทรายฟอง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ( สปป.ลาว) สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่งของลาว ที่เป็นสถานที่รวบรวมเอาวัฒนธรรม การเป็นอยู่ของชาวลาวเผ่าต่าง ๆ มารวมไว้ที่นี่ ที่มีการจำลองบ้านพักของลาวเผ่าต่าง ๆ เช่น ลาวสูง ลาวเทิง ลาวลุ่ม มาไว้ที่สวนวัฒนธรรมแห่งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า การดำรงชีวิตของชาวลาวเผ่าต่าง ๆ นั้นมีลักษณะการทำที่พักอาศัยแตกต่างกันตามสภาพท้องที่ อากาศ และที่สำคัญหอแสดงกลางแจ้ง ได้จำลองเอาวัดภู แขวงจำปาสัก มาไว้ และทำได้อย่างสวยงามปราณีต ตลอดจนมีการแสดงรูปปั้นของไดโนเสาร์พันธุ์ต่าง ๆ เอาไว้ พร้อมกับจัดอีกส่วนหนึ่งเป็นสวนสัตว์เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ดูก่อนที่จะสูญพันธุ์ไปก่อนในเวลาอันสมควร และที่สำคัญสวนวัฒนธรรมแห่งนี้ยังเป็นสถานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ด้านหน้าศาลาด้านริมฝั่งแม่น้ำโขงจะมีรูพญานาค และต่อมาทางการลาวได้ทำรูปจำลองของพญานาคเอาไว้ เพื่อให้คนรุ่งหลังได้รับทราบว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นรูพญานาคที่ออกมาจากธาตุหลวง ในเวียงจันทน์ เพื่อไปนมัสการพระบาทบัวบก ที่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี แล้วโผล่ขึ้นหายใจก่อนที่จะไปถึงพระบาทบัวบก ที่แห่งนี้มี รูพญานาค ปรากฏให้เห็น

สมัยก่อนที่ยังไม่เจริญ ชาวบ้านแห่งนี้เมื่อกลับจากไปธุระมา พอตกค่ำก่อนจะมืด ก็จะพบเห็น งูใหญ่สองตัว นอนขวางถนนเอาไว้เป็นประจำ แต่หากชาวบ้านที่รู้แล้วก็จะบอกกล่าวให้ งูใหญ่ "พญานาค" ว่า ลูกกลับจากไปทำนา ทำไร่ ไม่ได้ไปทำอะไรผิด หรือทำบาปมา สุดท้ายงูใหญ่ 2 ตัวนั้นก็จะค่อย ๆ หายไป เป็นอยู่อย่างนี้ประจำ จนชาวบ้านเกิดความเคยชิน ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเจริญ มีคนมากขึ้น ก็ทำให้สถานที่ เหตุการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป รูพญานาค ที่สวนวัฒนธรรม ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่า เมื่อก่อนนั้น เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ บริเวณปากรูจะมีสีเขียวเรือง และมีลูกไฟ 2 ดวงลอยไป มา เหนือบริเวณนั้น มองเห็นแต่ไกล เชื่อว่าน่าจะเป็น พญานาค ขึ้น ล้อมปากรู ที่ริมฝั่งโขงเอาไว้ สามารถไปดูได้และบางคนบอกว่า รูพญานาคนี้ยังสามารถทะลุถึงรูที่หน้าโรงแรมแม่โขงรอยัล จ. หนองคาย บริเวณหน้าโรงแรม โดยคุณจำรัส ชูกลิ่น ประธานกรรมการ บริษัท แม่โขงรอยัล จำกัด ได้สงวนที่เอาไว้เพื่อทำเป็นศาลา ให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และทำเป็นหอไว้เพื่อให้พญานาคพักเมื่อเวลาขึ้น-ลงจากสวนวัฒนธรรม ฝั่งลาว ก่อนจะไปที่พระบาทบัวบก บริเวณนี้ คุณจำรัส บอกว่าสมัยก่อนเป็นวัดร้าง เมื่อขึ้น 15 ค่ำ ชาวบ้านก็จะมาคอยดูดวงไฟขนาดเท่าลูกมะพร้าวลอยไป มา ในบริเวณนี้เป็นประจำ บางครั้งก่อนค่ำก็จะเห็นงูใหญ่ 2 ตัว นอนขดอยู่ที่บริเวณนี้บ่อยครั้ง

เมืองเปงจาน ต.โพนพแพง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เมื่อก่อนเคยเป็นที่ พญานาคขึ้นมาพ่นพิษ (คายพิษ) อยู่เป็นประจำ โดยมีเรื่องเล่าว่า สมัยนั้นเคยมีนาคราชตนหนึ่งได้อาศัยอยู่ใต้บาดาล และได้ทำรูขึ้นมา เรียกว่า "ปล่องฟ้า" เมื่อถึงวันพระ (ครบ 15 วัน) นาคราชนี้ก็จะโผล่ขึ้นมาพ่นพิษ (คายพิษ) และแต่ละครั้งที่นาคราชคายพิษก็จะทำให้ประชาชนชาวเมืองเปงจานเจ็บป่วย นอกจากนั้นบางครั้งก็ไก้เกิดพายุใหญ่พัดบ้านเมือง ผู้คนล้มตาย บ้านเรือนเสียหาย พลเมืองต้องย้ายหนี อพยพแยกย้ายกันไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ โดยไปทางหนองบ้าง เวียงจันทน์บ้าง ทิ้งให้เมืองเปงจานกลายเป็นเมืองร้าง

ในที่สุดเจ้าเมืองก็ประกาศหาคนที่จะปราบนาคราชตนนี้ และมีชายหนุ่มรูปงามที่ประกอบด้วยวิชา คาถา อาคมวิเศษ ที่มีความสามารถปราบนาคราชได้ โดยใช้ฆ้องคำปิดรูพญานาคเอาไว้จนสำเร็จ แต่นั้นมาบ้านเมืองก็เกิดความสงบสุข ร่มเย็นตลอดมา

บ่อน้ำแห่งนี้เรียกว่า "ปล่องฟ้า" ยังปรากฏอยู่ที่วัดเปงจานใต้ ปัจจุบันหน้าแล้งน้ำแห้งขอด น้ำจะมีสีเหลือง คล้ายสีทองคำ หน้างานสงกรานต์เคยมีผู้นำน้ำนี้ไปอธิษฐานรักษาโรคได้ ตลอดจนมีคนคิดที่ลงไปนำเอาฆ้องทองคำไปขาย เมื่อลงไปก็พบว่าเป็นฆ้องทองคำจริง แต่เอาขึ้นมาไม่ได้ เมื่อขึ้นมาจากบ่อก็จะมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา และทุกวันนี้จึงไม่มีใครคิดที่จะลงไปเอาฆ้องทองคำขึ้นมา และทางบ้านเปงจานได้อนุรักษ์ให้เป็นโบราณสถาน ปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอต่อไป

บวงสรวงพ่อพญานาค

ในวันออกพรรษาของทุกปี พอตกกลางวันที่บริเวณ หอเจ้าแม่สองนาง ปากห้วยหลวง อ.โพนพิสัย จะมีคนเฒ่า คนแก่

ผู้หญิงจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำขึ้นแบบง่าย ๆ ไม่ต้องพิถีพิถันอะไร แต่จะต้องมีเครื่องครบ ที่ทำขึ้นจากใบตอง ที่ประกอบไปด้วย ของคาว หวาน ผลไม้ เพื่อใส่ในกระทง เพื่อนำไปลอยบวงสรวงพ่อพญานาค

"พ่อพญานาค ที่ปกปักษ์รักษาคุ้งน้ำแห่งนี้ ลูกได้นำเครื่องเซ่น มาบอกกล่าวเช่นทุกปี และปีนี้มีคนเดินทางมามากกว่าทุกปี เพื่อมาดูอภินิหารบั้งไฟ พ่อพญานาคคงจะแสดงให้ประจักษ์ ขอให้ขึ้นให้เห็นมาก ๆ ชัด ๆ ขอให้พ่อพญานาคปกปักษ์รักษาให้ความปลอดภัยแก่ผู้คนที่เดินทางมาด้วย อย่าให้มีอุบัติเหตุเช่นทุกปีที่ผ่านมา ลูกที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด"

เสียงนี้เป็นคำอธิษฐานของหญิงชราคนหนึ่งที่พูดด้วยภาษาพื้นบ้าน คือ ยายดวงจันทร์ ณ อุบล อายุ 66 ปี บ้านอยู่คุ้มวัดศรีเกิด อ.โพนพิสัย (ปี 40) ได้กล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ หลังทำพิธีเสร็จแล้ว (เมื่อปี 2537) ว่า...ชาวลุ่มน้ำโขงให้ความเคารพพญานาคที่ปกปักษ์รักษาแม่น้ำโขง ให้ความสงบร่มเย็นตลอดมา ท่านอยู่คนละภพกับเรา แม้จะไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ แต่ด้วยปาฏิหาริย์ บั้งไฟที่เกิดขึ้นทุกปีที่นับว่าเป็นการสร้างความเชื่อมั่นขึ้นทุกปี เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้จะมีคนจำนวนมากที่ไม่เชื่อ ว่าสิ่งนี้เป็นจริงหรือไม่ แต่ก็จะไม่โต้เถียง เพราะเป็นความเชื่อของเรา

บั้งไฟพญานาค

บั้งไฟพญานาค ได้นำมาผูกเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับ เร้าใจหลายชั่วอายุคน จนมีอยู่เกือบทุกท้องถิ่นและเรื่องพญานาคนี้ก็มีคนรู้จัก ดังจะเห็นจากเรื่องที่ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาโปรดสัตว์ตามหลักฐานก็คือ เป็นรอยที่เรียกกันว่า พระพุทธบาท พญานาคที่ชื่อว่า มะรินทนานาค ที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง มีความโหดร้ายมาก เมื่อพระพุทธเจ้าลงมาโปรด ก็เกิดความเสื่อมใสในพระพุทธศาสนา คิดจะออกบวช แต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากเป็นสัตว์ จึงปวารณาตนเองเป็นพุทธศาสนิกชนตลอดมา และวันออกพรรษาจะถือว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ พุทธศาสนิกชนต่างเฉลิมฉลอง พญานาคก็เช่นกัน จึงจุดบั้งๆฟขึ้นจากแม่น้ำโขงเพื่อฉลองด้วย

เราจึงเห็นบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น ทั้งนี้ถ้าในปีใดถ้าประเทศไทยมีเดือนแปดสองหน วันออกพรรษาจะไม่ตรงกับประเทศลาว บั้งไฟพญานาคจะขึ้นเฉพาะตรงกับลาวเท่านั้นเพียงวันเดียว

คำถามส่วนมากที่จะได้รับคือ ทำไมดวงไฟไม่มีหาง เหมือนบั้งไฟทั่วไป ทำไมไม่มีควันสีขาว ทำไมไม่พุ่งขึ้นมา แต่พุ่งขึ้นไปแล้วหายไปในอากาศ เกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนทำ และทำทำไม จะได้อะไรจากการกระทำนี้ ทั้งหมดเป็นคำถามที่หาคำตอบมาอธิบายไม่ได้ และยังมีคำถามอีกมากมายที่ถูกตั้งขึ้น เพื่อให้คนนำไปคิดเป็นปริศนาและพิสูจน์ต่อไป



พระยาสุนทรธรรมธาดา (คำสิงห์ สิงหศิริ)


Create Date : 17 ตุลาคม 2548
Last Update : 17 ตุลาคม 2548 22:41:47 น. 10 comments
Counter : 5415 Pageviews.  
 
 
 
 
เหอ ๆ ๆ ไม่เคยสนใจบั้งไฟพญานาคมาก่อนเลยในชีวิต ตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกสนใจอยู่ดี

บั้งไฟพญานาคไม่สนใจ แต่สนใจประวัติที่เอามาให้อ่านอ่ะ น่าสนใจเอามาก ๆ
 
 

โดย: blueblood@มาทุกวัน!!!! ^o^ วันที่: 2 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:25:18 น.  

 
 
 

 
 

โดย: zMee วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:16:12:32 น.  

 
 
 
เข้ามาอ่านตำนานพญานาค น่าสนใจดีค่ะ

 
 

โดย: PANDIN วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:12:42:10 น.  

 
 
 
เคยมีเด็กถูกฆ่าตายที่ห้องน้ำของภารโรง
>>แต่ไม่สามารถหาต้นเหตุของคดีนี้ได้
>>จึงได้ปล่อยร่างไร้วิญญาณของเด็กน้อยทิ้งไว้ ณ ที่แห่งเดิม
>>ไม่มีการทำพิธีอะไรทั้งสิ้น วิญญาณของเด็กจึงล่องลอยวนเวียนอยู่ที่รร.
>>เป็นเวลาหลาย 10 ปี
>>จนวันหนึ่งได้มีกลุ่มนร.หญิงเข้าไปในห้องน้ำนั ้นเพื่อหวังจะแกล้งภารโรง
>>จึงได้พบกับวิญญาณของเด็กน้อย กำลังไต่ไปตามเพดาน พร้อมแสยะยิ้มให้
>>พวกเทอกลัวมากรีบวิ่งออกจากห้องน้ำ
>>แต่เพื่อนคนหนึ่งพลันไปเหยียบแอ่งน้ำที่พื่นเข ้า
>>จึงได้ล้มและไปสะดุดขาของเพื่อนอีกคนหนึ่งเข้า
>>เพื่อนคนนั้นได้จับแขนของอีกคนไว้จึงล้มกันมาเ ป็นทอดๆและหัวฟาดพื้นตายหมด
>>วิญญาณของพวกเขาจึงวนเวียน ณ ที่แห่งนั้นตลอดไป
>>ได้รับข้อความนี้แล้วต้องโพสซ้ำ 20 กระทู้ ไม่ใช่ 20
>>copyถ้าไม่ทำตามจะเกิดอุบัติเหตุ อีก 7 ชม.นับถอยหลัง
>>ขอโทษนะที่หลอกนี่เป็นกระทู้ที่ 20 แล้ว ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อ
>>เพื่อนเราในกลู่ม 5 คน เกิดอุบัติเหตุภายใน 7 ชม.ตั้งแต่อ่านจม.นี่
 
 

โดย: lll IP: 125.24.147.126 วันที่: 16 สิงหาคม 2549 เวลา:15:19:49 น.  

 
 
 
HELLO BuY
 
 

โดย: you IP: 203.113.57.71 วันที่: 7 มกราคม 2550 เวลา:8:41:10 น.  

 
 
 
อยากทราบว่าพญานาคศรีสุทโธมีลูกกี่คน ใครบ้าง พอมีประวัติ หรือเรื่องเล่าไหม ช่วยโพสต์ด้วย
 
 

โดย: นางฟ้า IP: 203.151.42.157 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:32:19 น.  

 
 
 
เรางงมากเลย แต่ว่าเรานามสกุล สุวรรณนาค จริงๆนะ แปลกใจมาก เพราะเราแค่เข้าใน google แล้วก็ search ชื่อตัวเอง แล้วก็เจอเว็ปนี้อ่ะ
 
 

โดย: เจ้าของนามสกุล IP: 202.44.7.67 วันที่: 30 เมษายน 2550 เวลา:16:57:50 น.  

 
 
 
"พระยาสุนทรธรรมธาดา (คำสิงห์ สิงหศิริ) เป็นชาวเมืองหนองคายแต่กำเนิด เป็นบุตรของพระยาพระพฤกษ์มนตรี และนางทองสี เกิดที่บ้านจอมนาง อำเภอโพนพิสัย เมื่อปี พ.ศ.2575" ช่วยแก้ไขพ.ศ. ด้วยครับ
 
 

โดย: pps16 IP: 203.170.231.232 วันที่: 23 กันยายน 2550 เวลา:13:52:52 น.  

 
 
 
พญานาค กับ เกจิอาจารย์

พญานาค...การเกิดบั้งไฟพญานาค จะเกิดด้วยประการใด อย่างไรนั้น เก็บเอาไปคิดเอง ไม่มีผู้ใดยืนยัน ในตำราหลายแห่งบอกว่า พญานาคตัวยาวใหญ่มีหงอน หรือบางแห่งก็บอกว่าหน้าเป็นคน หางเป็นงู เป็นพวกกึ่งเทวดา อยู่ในเมืองบาดาล ใต้แผ่นดินมีชื่อต่าง ๆ กัน

ทางคนไทยเชื้อสายอ้ายลาว มีความเชื่อว่า ในอดีตที่แคว้นยูนนาน มีพญานาค 2 ตัว เกิดวิวาทกัน ตัวหนึ่งหนีจากถิ่นคือหนองแส (หนองกระแส) เอาอกไถลงมาทางตะวันออกเฉียงใต้ เลยเกิดเป็นเแม่น้ำโขงขึ้น... ก็เลยมาตรงกับเรื่องบั้งไฟพญานาคที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย

ส่วนทางอินเดีย "นาค" ในบาลีลิปิกรรม แปลว่าประเสริฐ ดีเยี่ยม มีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ตามที่กล่าวมาแล้ว

นาค หรือ พญานาค เป็นเรื่องความเชื่อหรือว่ามีจริงหรือไม่ แต่มีคนบอกว่า หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านเคยสัมผัสมาแล้วกับท่านเอง หรือ พระอาจารย์มั่น ภูริทัติตเถระ ก็เคยสัมผัสมาแล้วเช่นกัน คือเมื่อวันที่ขึ้น 15 ค่ำ มีชาวบ้านเห็นพระอาจารย์มั่น ภูริทัติตเถระ นั่งอยู่กลางลานวัด นั่งเทศน์อยู่คนเดียว ชาวบ้านก็คิดว่าท่านเป็นอะไรถึงได้มานั่งเทศน์อยู่คนเดียว ท่าจะสติไม่ดี แต่พอตอนเช้าชาวบ้านมาที่วัดเหมือนปกติ กลับพบว่าลานวัดมีแต่รอยงูใหญ่เต็มวัดไปหมด ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร เพราะเห็นแต่รอย ไม่เห็นตัว ชาวบ้านจึงพูดกันว่า ท่าจะเป็นเมื่อคืนนี้ ท่านนั่งเทศน์ให้พญานาคฟังแน่

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม อดีตเจ้าอากาศวัดป่าโคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย เป็นพระปฏิบัติกรรมฐาน สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัติตเถระ ท่านมีจริยปฏิปทาสูง เริ่มเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตั้งแต่วัยเด็กเป็นสามเณร ท่านชอบธุดงค์แต่ในป่า ห่างไกลจากผู้คน มุ่งปฏิบัติ

จนเทพยดา และ พญานาค อดที่จะชื่นชมและอนุโมทนาด้วยไม่ได้ ครั้งหนึ่งเมื่อท่านธุดงค์ไปจำพรรษาที่วัดน้ำริน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ร่วมกับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วันหนึ่งซึ่งเป็นวันพระ มีทายกทายิกามาฟังเทศน์มากมาย ในจำนวนนั้นมีชายคนหนึ่งนำอาหารมาถวายด้วย หลวงปู่จึงถามชายคนนั้นว่า อยู่ไหน เขาตอบว่าอยู่ใกล้นี่เอง แต่ทายกทายิกาที่มาทำบุญที่วัดไม่มีใครรู้จักเลย ท่านก็ให้ศีลให้พรพอจะกลับชายคนนั้นเก็บของเสร็จ ก็มากราบท่าน แล้วเดินลงจากศาลาไป ท่านก็คอยสังเกตว่าไปทางไหน ปรากฏว่าชายคนนั้นเดินลงไปในสระน้ำหน้าวัด ท่านจึงรู้ว่าชายคนนั้นคือ นาคมาณพ...

วิสัย พญานาค นั้นมีความเคารพผู้ทรงศีล ผู้ทรงคุณธรรม มนุษย์ก็เป็นกัลยาณชน ปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นไร พญานาค ก็ปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นกัน

พญานาค...มีการเนรมิตกายได้ง่ายมาก เพียงแต่คิดก็เปลี่ยนไปตามต้องการ จะเป็นมนุษย์ สัตว์ ก็เปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว ต่อมา...ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ธุดงค์เดี่ยวไปที่ อ.ท่าลี่ จ.เลย ได้ปักกลดอยู่ริมน้ำโขง ในใจคิดว่าอยากข้ามไปฝั่งลาวบ้าง พอตกตอนกลางคืน ขณะที่กำลังภาวนาอยู่นั้น เกิดนิมิตเห็นมาณพน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาหาท่าน แล้วก็นั่ง

ลงกราบอย่างนอบน้อม แล้วพูดว่า...ทราบว่าพระคุณเจ้าปรารถนาจะไปวิเวกทางฝั่งลาว ปวงข้าน้อยรู้สึกดีใจยิ่ง จึงขอนิมนต์ท่านไปโปรดบรรดาสัตว์ที่ฝั่งนู้นด้วยเถิด ในนิมิตนั้นท่านก็รับนิมนต์

พอรุ่งเช้าหลังจากฉันจังหันแล้ว ท่านก็ธุดงค์ต่อลงไปยังฝั่งโขง มองไปเห็นเรือลำน้อยลำหนึ่งพายเข้ามาหาท่าน คนในเรือตะโกนมาที่ท่าน "จะไปฝั่งลาวไหม นิมนต์ลงเรือ" แล้วท่านก็ลงเรือจนขึ้นไปบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง พอขึ้นฝั่งแล้วก็หันมาจะบอกขอบใจ ปรากฏว่าเรือน้อยลำนั้นหายไปแล้ว เห็นแต่จระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งขวางอยู่กลางลำน้ำโขง เมื่อท่านกำหนดจิตพิจารณา จึงทราบว่านั้นคือ พญานาค..มานิมนต์ท่านในนิมิต และแปลงกายเป็นคนพายเรือมารับส่งเรียบร้อยแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นจระเข้มาขวางไว้ กลัวท่านจะธุดงค์กลับไทย

ในช่วงที่อยู่ฝั่งลาวนั้น หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านได้เห็นพญานาคในแม่น้ำโขงโผล่ขึ้นมาจากน้ำ มาแสดงคาราวะต่อท่านในรูปของพญานาค ที่ไม่ได้แปลงกายแต่อย่างใด ตัวใหญ่โตมาก เอาส่วนหัวขึ้นมาหาท่านที่ถ้ำ ส่วนหางอยู่ฝั่งแม่น้ำโขง เรื่องนี้ท่านยืนยันกับใครต่อใครว่าจริง...ไม่เชื่ออย่าลบหลู่สิ่งลึกลับ เรายังไม่รู้ไม่เห็นอีกมาก

มีอีกครั้งที่ฝั่งลาว ช่วงที่ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ฉันอาหาร และญาติโยมกินอาหารเสร็จ ก็ได้ช่วยกันเอาบาตรพระไปเทล้าง เทอาหารลงไปในแม่น้ำโขง ทันใดนั้นก็เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ น้ำในแม่น้ำโขงที่ใสสะอาดเต็มไปด้วยตะกอนขุ่นมัว และมีเสียงสั่นสะเทือน น้ำทั้งวังเกิดหันตาไก่ (คือหมุนวน) พวกที่เทอาหารก็ไปรายงานให้หลวงปู่ทราบ และขอบารมีให้ช่วยเหลือ ท่านทำจิตพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จึงอธิบายว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เพราะว่า พญานาค โกรธที่พวกโยมทั้งหลายได้เทน้ำพริกน้ำเกลือ สิ่งสกปรกลงในน้ำไปถูกเขา ๆ จึงแสดงฤทธิ์เดชให้ดู เป็นการเตือนไม่ให้ทำเช่นนั้นอีก

แรก ๆ ก็มีผู้เชื่อฟัง แต่มีพระภิกษุหนุ่มรุ่นใหม่รูปหนึ่งไม่เชื่อ ได้เทอาหารลงไปอีกเป็นการลองของก็เกิดปรากฏการณ์อาเพศขึ้นอีกครั้ง น้ำขุ่นหมุนวน ครั้งนี้แรงกว่าเดิมจนตลิ่งพัง พระภิกษุรูปนั้นตกใจกระโดดขึ้นฝั่งเกือบไม่ทัน (ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)

หลวงปู่เทสก์ กับ พญานาค

ที่วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย หลายคนมีความสงสัย และไม่รู้ว่าบริเวณนั้นเป็นสถานที่ที่ พญานาค อาศัยเฝ้ารักษาวัดหินหมากเป้งอยู่เหมือนกัน คือ

บริเวณสระน้ำด้านหน้าวัด แรก ๆ เมื่อทางชลประทานทำนบกั้นน้ำ เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ในวัด ปรากฏว่าทำนบเกิดรั่วอยู่บ่อย ๆ ไม่สามารถที่จะเก็บน้ำไว้ได้ เมื่อสอบถามจากหลวงปู่เทสก์ท่านบอกว่า บริเวณสระนั้นจะมีถ้ำลงไปเมืองพญานาค การทำทำนบจึงไม่อยู่ จะมีน้ำไหลออกอยู่เรื่อย และท่านยังบอกว่าเคยลงไปพบพญานาค อยู่หลายครั้งและเคยมีพญานาคมาฟังเทศน์ด้วย

แม้ก่อนที่จะมีการพระราชทานเพลิงศพท่าน ก็ปรากฏว่ามีงูใหญ่ (งูเหลือม 3 ตัว) ได้มาจากประเทศลาว ซึ่งคนทรงบอกว่า งูเหล่านี้ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพท่าน ถึงแม้ว่าจะมีคนเอาไปปล่อยไว้ที่อื่น งู 3 ตัว ตัวนั้นก็กลับมาเหมือนเดิม จนทางวัดได้สร้างศาลให้อยู่ 3 หลัง ไว้ที่หน้าถ้ำในสระน้ำ ทำให้มีประชาชนมาดูกันมาก

และใกล้จะถึงวันพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ก็ปรากฏว่ามีงูจงอางตัวหนึ่งขึ้นมาจากท่าน้ำหลังวัด และก็ไม่ได้ทำร้ายคน งูจงอางได้เลื้อยไปใกล้ ๆ ศาลาที่ตั้งศพหลวงปู่เทสก์ มีคนนำเอาไปปล่อยลงท่าน้ำเหมือนเดิม เพราะกลัวว่าจะทำร้ายคน แต่งูตัวนั้นก็กลับมาอีก จนมีทหารที่มาช่วยงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่เทสก์ นำไปใส่ไว้ในกรง เพราะกลัวจะทำร้ายคน

ต่อมาลูกศิษย์หลวงปู่ ได้สร้างพญานาคขนาดใหญ่ไว้ในสระข้าง ๆ เมรุพระราชทานเพลิงศพไว้กลางสระ พร้อมกับพ่นน้ำออก เมื่อถึงตอนกลางคืนก็จะเปิดไฟประดับสวยงามมาก พร้อมกับมีเสียงกล่าวถึงมาณพน้อยที่เข้ามาฟังเทศน์หลวงปู่ พญานาคที่ทำขึ้นไว้กลางสระนั้นสร้างความสนใจให้กับผู้ที่ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่มาก

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ว่าจะมีงูที่ปรากฏให้เห็น แล้วยังมีฝูงลิง กระรอก กระแต และนก ส่งเสียงอยู่ในวัด ผิดปกติ ด้วยความอาลัยในหลวงปู่ จึงทำให้มีสัตว์ต่าง ๆ ที่เคยอาศัยในใบบุญหลวงปู่มาแสดงความอาลัย โศกเศร้า ก่อนที่สังขารหลวงปู่จะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน

เหตุการณ์มหัศจรรย์ ในหนองคาย คนนับแสน แห่ชมพญานาคโผล่กลางแม่น้ำโขง

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2539 ก็ได้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในจังหวัดหนองคายที่ทำประชาชนต้องแตกตื่น และร้านค้าอาหารอยู่ริมน้ำโขงที่ซบเซามานานกลับคึกคักขึ้นอีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือ อยู่ ก็มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงที่บริเวณพระธาตุกลางน้ำ ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200 ปี สิ่งที่เห็นได้สร้างความแปลกใจ ประหลาดแก่คนนับหมื่น ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงมีลักษณะเหมือนงูขนาดใหญ่เท่าลำตาล ในลักษณะเล่นน้ำ ชาวบ้านที่ไปดูต่างก็เชื่อว่าเป็นพญานาค ที่อารักษ์องค์พระธาตุจำนวน 3 ตัว

คนแรกที่เห็นคือ นางสุรีย์ สุนรัตน์ อายุ 48 ปี อยู่บ้านวัดธาตุ ต.หาดคำ อ.เมือง ซึ่งขายส้มตำอยู่ร้านริมโขง บริเวณเขื่อนป้องกันตลิ่งพัง บอกว่าขณะที่กำลังขายส้มตำอยู่ ชาวบ้านที่มาเดินเล่นที่เขื่อนกั้นตลิ่งพังก็เล่าให้ฟังว่า เห็นสิ่งประหลาดเกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงตรงบริเวณองค์พระธาตุใต้น้ำ เมื่อหันออกไปดูพบว่าจริงอย่างที่เขาพูด คือ มีลักษณะเหมือนงูใหญ่ ลำตัวสีเขียวออกดำ ความยาวที่มองเห็นจากฝั่งประมาณ 20 เมตร กำลังว่ายทวนน้ำหยอกล้อกันอยู่ เมื่อชาวบ้านรู้ก็ออกมาดูกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละคนมองเห็นเหมือนกัน และวันนั้นเป็นวันพระ วันแห่เทียนเข้าพรรษาพอดี คนเฒ่า คนแก่บอกว่ามีคนเคยเห็นพญานาคเหมือนกัน

นางพร ขันแก้ว อายุ 38 ปี ที่มีบ้านอยู่ริมน้ำโขงก็บอกว่า เช้าวันนั้นได้มี นางสวาท บัวผัน ชาวคุ้มได้ลงไปที่แม่น้ำโขงเพื่อช้อนกุ้ง ขณะที่ช้อนกุ้งอยู่ ได้ยินเสียงน้ำแตกฟองดังผิดปกติ แรก ๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร พอดังขึ้นหลายครั้งจึงได้หันไปมองดูกลับพบเห็นสิ่งประหลาดขนาดใหญ่คล้ายครีบหางปลาช่อนขนาดใหญ่โผล่ขึ้นพันน้ำสูงประมาณ 2 วา สะบัดไปมา เท้าไวกว่าที่คิด ติดเกียร์วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตรีบขึ้นฝั่ง แล้วบอกคนออกมาดู เมื่อคนที่ถูกเรียกออกไปดูก็เห็นเหมือนกัน คือมีงูขนาดใหญ่ว่ายน้ำ หยอกล้อกันเล่นอยู่กลางโขง ต่อมา นางแถว ศรีพล อายุ 75 ปี อยู่คุ้มป่าพร้าว ซึ่งเป็นร่างทรงองค์พระธาตุบอกว่า สิ่งที่ประชาชนเห็นอยู่นั้นเป็นพญานาค ที่มานมัสการองค์พระธาตุกลางน้ำ และปีนี้จะอยู่รักษาศีลตลอดพรรษา เมื่ออกพรรษาแล้วจึงจะกลับเมืองบาดาล

จากปากต่อปากทำให้ประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดมาดูกัน ประกอบกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้ตีพิมพ์ติดต่อกันหลายวัน ยิ่งทำให้ประชาชนมาดูกันขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ตามมาคือบรรดาแม่ค้า แม่ขายทั้งหลายต่างก็ขายอาหารการกินมากขึ้น เมื่อคนจำนวนมากก็เพิ่มรายได้ สิ่งที่เห็นก็ปรากฏให้เป็นจริง เมื่อคนมาดูกันก็บอกว่าเห็นเหมือนกัน ยิ่งวันแรก ๆ (29 ก.ค.39) พอตกกลางคืนมองจากฝั่งออกไปจะเห็นลำแสงเรือง ๆ เห็นได้ชัดเจนว่าเหมือนงูขนาดใหญ่เท่าต้นตาลว่ายทวนน้ำเล่นกันอยู่ วันแรกมี 3 ตัว พอหลายวันเข้าก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนถึง 6 ตัว

ตั้งแต่วันนั้น เรือที่ผ่านไปผ่านมา กลับไม่ออกไปและไม่ผ่าน ชาวบ้านก็ไม่กล้าที่จะลงไปเล่นน้ำเหมือนเช่นเคย ทุกวันชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นคนในจังหวัด ต่างอำเภอ ตลอดจนต่างจังหวัด ก็พากันเหมารถมาดูกัน วัน ๆ เนืองแน่นไปด้วยคน แม้งานประเพณีแข่งเรือที่ว่ามีคนมาก ก็ยังไม่มากขนาดมาดู พญานาค เล่นน้ำ

ต่างคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่าง ๆ นานา ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หลายคนบอกว่า เป็นท่อนไม้ขนาดใหญ่ไหลมาติดอยู่ที่องค์พระธาตุ บ้างก็บอกว่าเป็นคลื่นน้ำที่กระทบกับองค์พระธาตุ

ยิ่งมีการพูดกันเรื่องพญานาค นับวันก็ยิ่งมากด้วยฝูงชน เมื่อมาดูเห็นแล้วก็ยกมือสาธุตามความเชื่อของตนเอง เมื่อคนเพิ่มจำนวนมากขึ้น พญานาคก็แสดงตัวให้เห็นมากขึ้นโดยเหนือองค์พระธาตุ ก็เริ่มมีกระแสน้ำเป็นคลื่นยาวคล้ายงูใหญ่เท่ากับต้นตาลยาวกว่า 20 วา ได้ยกส่วนหางขึ้นเหนือน้ำตีน้ำเป็นคลื่นเหมือนงูพาดหาง แล้วต่อมาก็ยกส่วนที่เป็นลำตัวขึ้น เหมือนนาคสะดุ้ง จนเห็นท้องสีขาวเหลืองเหมือนท้องงู ทุกคนที่อยู่ฝั่งต่างมองเห็นเช่นกัน แต่ไม่เห็นส่วนตัว

บรรดาร่างทรงของเจ้าแม่ เจ้าพ่อทั้งหลายต่างก็ออกมาทรง โดยเฉพาะ นางหนูนิ่ม สีหไตร อายุ 42 ปี บ้านอยู่คุ้มป่าหลวง ซึ่งเป็นร่างทรงของเจ้าแม่กระดิ่งทอง บอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เมื่อกลางเดือนที่แล้ว ได้มีเจ้าพ่อพันพร้าว ได้มาเข้าร่างบอกว่า (มะพร้าวพันลูก) ก่อนวันเข้าพรรษาจะมีสิ่งประหลาดจากเมืองบาดาลมาปรากฏให้เห็น แต่ไม่ได้บอกว่าอะไร และจะมี พญานาค จากเมือง สันสัตตนาคนหุต (ประเทศลาว) มาประชุมกันที่องค์พระธาตุ ทั้งหมด 6 ท่าน และการมาครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำร้ายแก่ใคร เพียงนัดกันมาเพื่อกระทำกิจบางอย่าง และ พญานาค ที่มาก็เป็นพญานาคที่อารักษ์ลำน้ำโขง

ทางเจ้าอาวาสวัดสิริมหากัจยน์ (วัดธาตุ) บอกว่า องค์พระธาตุกลางน้ำ เป็นพระธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระอรหันต์ 5 องค์ มาสร้างไว้โดยบรรจุพระธาตุพระบาทเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าไว้ และพังทลายลงไปอยู่กลางแม่น้ำโขงเมื่อ 300 ปีมาแล้ว ปัจจุบันอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 200 เมตร ซึ่งแต่ก่อนก็อยู่บนฝั่ง และเป็นธรรมดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพาอารักษ์ และเมื่อสมัยสงครามฝรั่งเศลเรือกำปันล่องไปมา เมื่อผ่านหากมีใครลบหลู่ด้วยวาจาก็จะมีอันเป็นไป และวันหนึ่งมีคนในเรือเยี่ยวลงไปในน้ำตรงพระธาตุ อยู่ ๆ เรือกลับจมลงไปเฉย ๆ มีผู้เสียชีวิตจำนวน 36 คน และทุกวันนี้ก็เหมือนกันหากนั่งเรือผ่านไปมาเยี่ยวลงไป เรือที่ลอยลำอยู่ดี ๆ ก็จะจมลง จึงไม่มีใครลบหลู่

จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่มีพญานาคเล่นน้ำนี้ เมื่อมาดูหลายคน เมื่อกลับบ้านแล้วฝันเห็นพญานาคบริเวณที่เกิดเหตุการณ์นี้ปกติพื้นน้ำก็เรียบปกติไม่มีอะไรปรากฏให้เห็น แต่มาครั้งนี้กลับมีสิ่งประหลาดให้เห็น

ชุมนุมพญานาค

การปรากฏ พญานาค ครั้งนี้ นางหนูนิ่ม สีหไตร ร่างทรงเจ้าแม่กระดิ่งทอง บอกว่า เนื่องจากพญานาคไม่ได้พบกันนาน จึงหาโอกาสพบกัน ( 7 ปีเมืองมนุษย์เท่ากับ 1 วันของเมืองบาดาล) ที่ขึ้นมาปรากฏกายครั้งนี้ก็เพื่อที่จะมาหารือกัน เพื่อจะสร้างพระธาตุกลางน้ำให้สง่างาม แต่ไม่บอกว่าจะสร้างด้วยวิธีใด จึงได้นัดกันมาจากเมืองบาดาล โดย พญานาค ที่มาล้วนแต่เป็นถึง เจ้าเมืองบาดาล ที่รักษาคุ้มครองบริเวณลุ่มน้ำโขง

ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2539 วันเดียวกันกับที่เกิดเหตุการณ์ พญานาคเล่นน้ำที่เหนือองค์พระธาตุกลางน้ำที่หนองคาย ที่บ้านเลขที่ 212/10 บ้านทุ่งธาตุ ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ซึ่ง นายสมศักดิ์ ศรีหาบุตร เจ้าของบ้านบอกว่า หลังจากที่ตนได้ถ่ายภาพบ้านเอาไว้หลังจากฟิล์มเหลือ เมื่อนำฟิล์มไปล้างอัดรูปออกมากลับปรากฏว่า ที่รูปแผ่นนั้นก็ไม่มีอะไร เมื่ออัดออกมาก็เหมือนพญานาค

นายสมศักดิ์ ศรีหาบุตร ยังกล่าวว่าที่บริเวณบ้านที่ตนปลูกอยู่นี้ตั้งอยู่ริมห้วยหลวง ข้าง ๆ บ้านจะเป็นสระน้ำลึกมาก น้ำใสตลอดปี มีคนทรงบอกว่า เป็นทางขึ้นของ พญานาค ตนกับภรรยาจะฝันเหมือนกันหลายครั้ง คือ ฝันเห็นแม่ชี และพระสงฆ์เดินขึ้นลง บริเวณหน้าบ้านเป็นประจำ และบอกว่าอยู่บริเวณนี้ และก่อนที่จะถ่ายรูปนี้ ออกมาเวลาประมาณ 22.00 นง ของวันเดียวกัน (29 ก.ค.39) นายศราวุธ ศรีหาบุตร ลูกชายได้นำขยะไปเทลงในแม่น้ำห้วยหลวง แล้วเกิดพลัดตกลงไปโดยไม่ทราบสาเหตุและคืนต่อมาก็ฝันเห็น พญานาค ว่ายไปมาเต็มห้วยหลวง พร้อมเห็นคนหาปลานั่งอยู่ในเรือเมื่อ พญานาค ว่ายผ่านที่เรือที่เห็นอยู่ก็จมลงในน้ำ พร้อมกับได้ยินเสียงคนบอกว่า ห้ามเทขยะลงในน้ำเด็ดขาด บางวันกลางคืนขึ้น 15 ค่ำ จะเห็นชีปะขาว เดินอยู่รอบ ๆ บ้าน แล้วหายไป เมื่อมีคนมาพักที่บ้านก็จะเห็นชีปะขาวเดินไปมา ๆ บ้าน จนนอนไม่หลับ

มะพร้าวพันลูก

ที่หน้าบ้านของ คุณยายเบ้า แก้วมงคล อายุ 66 ปี คุ้มวัดธาตุ ซอย 2 ได้เกิดมีมะพร้าวที่ออกลูกที่มีลักษณะเป็นลูกเล็ก ๆ จำนวน 8 ทลาย จำนวนที่นับได้ 1,069 ลูก มีขนาดเท่าหัวแม่มือ หลังจากมีการพบก็มีชาวบ้านนำผ้าแดงไปผูกแล้วขอหวย ซึ่งตอนนั้นหวยหุ้นกำลังระบาด มีคนเล่นกันมาก วันหนึ่งจะเล่นกันสองครั้ง คือ เวลา 12.30 น. และ 16.30 น. ชาวบ้านไม่เป็นอันทำมาหากิน และไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น วัน ๆ พากันออกหาเลขเด็ดมาแทงหวยหุ้น ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไร หรือพบสิ่งใดแปลก ๆ ก็จะนำมาตีเป็นเลขเด็ด แต่เมื่อนำไปแทงหวยหุ้นมีหลายคนถูก แล้วก็แห่กันมาขออยู่เรื่อย ๆ เช่นเดียวกับต้นมะพร้าวประหลาดต้นนี้ อย่างที่บอกว่า เมื่อมีเหตุการณ์สิ่งประหลาดเกิดขึ้น บรรดาร่างทรงก็จะเข้าทรงทันที ต้นมะพร้าวนี้ก็เหมือนกัน ร่างทรงก็บอกว่าเป็นพญาพันพร้าว และพร้อมกับบอกอีกว่า อีก 15 วัน จะมีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นทางน้ำ แต่ก็เกิดขึ้นจริง ๆ คือเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเห็น เป็นพญานาคเล่นน้ำที่เหนือองค์พระธาตุกลางน้ำวัดธาตุ

เกี่ยวกับเหตุการณ์พญานาคเล่นน้ำ ต่อมา นางเรมอญ สิทธิสาร ร่างทรงเจ้าแม่กวนอิม ได้เตรียมเครื่องคารวะ เป็นหมากเบ็ง และดอกบัวขาว พวงมาลัยดอกมะลิลงไปยังแม่น้ำเพื่อคารวะพญานาคและติดต่อทางจิตบอกว่า พญานาคที่มานั้น ชื่อ สันสัตตนาค มาจากประเทศลาว เพื่อมาชุมนุมกันกับเจ้าเมืองต่าง ๆ เพื่อปฏิบัติธรรมที่วัดพระธาตุกลางน้ำเป็นเวลา 1 พรรษา

ในช่วงที่มีพญานาคเล่นน้ำปี 2539 นั้น ปรากฏว่าไม่มีใครที่จะหล้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำโขงเลย ขนาดเรือที่เคยวิ่งไป-มา ก็ไม่กล้าออกเรือเช่นก่อน นอกจากคนใจกล้าต้องการลอง แต่ก็ไม่สำเร็จ ดังภาพข้างล่าง

การเกิดเหตุการณ์เหล่านี้นับว่าเป็นสิ่งประหลาดที่ชาวบ้านไม่เคยพบเห็นมาก่อนในหลายปี หรือในชีวิตของคนที่มีอายุ 60 ปีลงมา

ในปีเดียวกัน และทางด้านวัดธาตุก็ยังมีประชาชนจากที่ต่าง ๆ มาดูพญานาคเล่าน้ำกันอยู่ไม่ขาด แต่ที่บ้านเลขที่ 228 หมู่ 1 บ้านจอมมณี ซอย 6 กลับมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอีก นั่นก็คือ มีเห็ดประหลาด เหมือนเห็ดหลินจือ ขนาดใหญ่ 1 ฟุต ที่มีควันออกมา สร้างความแตกตื่นให้ชาวบ้านดูแก้เซ็งได้ไม่น้อย เกิดที่ต้นลำใยในบ้านของ นายขัน เดสุด

มะพร้าวพญานาค

มะพร้าว ก็คือ มะพร้าว แต่หากผิดไปจากธรรมชาติก็ย่อมมีคนสนใจ แน่นอน ความสนใจก็จะนำไปสู่การหลงเชื่อ หรือจะอะไรก็สุดแต่จะคิดกันเอาเอง เพราะมะพร้าว ต้นมะพร้าวในที่นี้ตามที่ผู้อ่านได้ทราบไปแล้ว่า มะพร้าวพันลูก ที่คุ้มวัดธาตุ ซอย 2 ที่ออกลูกประหลาด แต่ยังประหลาดกว่าต้นนั้นอีก คือ แทนที่ใบจะออกมาเหมือนธรรมชาติ กลับออกมาเป็นรูปร่างที่ค่อนข้างเหมือน พญานาค คือ มีใบที่ถอดออกมามีรูปร่างเหมือนหัวพญานาค มีหงอน มีปาก มีตาเหมือนกับหัวพญานาค ที่อยู่ตามหน้าอุโบสถในวัดไม่มีผิด ซึ่งเกิดขึ้นที่บ้านของ นายสมนึก ชมภูนาวัฒน์ คุ้มบ้านดอนแดง

แรก ๆ เจ้าของก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่มีคนข้างบ้านเข้ามาเกี่ยวข้อง คือได้ฝันเห็นพระแก่องค์หนึ่งเดินมาบิณฑบาตรที่บริเวณนี้ทุกวัน เมื่อเข้าฝันหลายครั้งเข้าถึงจึงได้เดินไปดูที่ที่ฝัน เห็นพระออกมาบิณฑบาตร เมื่อสอบถามได้ความว่า คือ "หลวงปู่คำลอย" ที่อยู่ที่นั่นมานาน เมื่อเดินมาทางที่ฝันเห็นกลับพบว่า ต้นมะพร้าวออกใบเหมือนกับหัวพญานาค จึงได้บอกเจ้าของบ้านดู ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าต้นมะพร้าวออกใบเหมือนพญานาค จึงมีคนแห่กันไปดู กราบไหว้ นำผ้าสีต่าง ๆ ไปผูกเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และน่าเชื่อถือขึ้นอีก

ต่อมาผู้หญิงคนหนึ่งบ้านอยู่ใกล้ ๆ เดินมาดู เมื่อมาถึงก็ไม่ได้สนใจใคร แต่ได้ขอบุหรี่จากเพื่อนบ้านที่ยืนดูสิ่งประหลาดมาสูบเอาดื้อ ๆ ทั้งที่ไม่เคยสูบมาก่อน พอสูบได้ 5 มวน โดยการสูบติดต่อกันก็เริ่มมีอาการผิดปกติ แทนที่จะเมายากลับมีอาการเหมือนผีสิงร่าง พูดจาเหมือนคนแก่ เดินหลังค่อม แล้วบอกว่า คน คือ หลวงพ่อคำลอย อยู่ที่นี้มานาน สิ่งที่เห็นอยู่นี้เป็นพญานาค ที่มาปรากฏให้เห็น เพื่อเตือนให้บุคคลทำความดี อย่างหลงงมงายในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ จากนั้นอาการก็หายไป แล้วก็กลับมาพูดเหมือนเดิม เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

การปรากฏการณ์ในจังหวัดหนองคายปีนี้ 2539 นับจากมีต้นมะพร้าวพันลูกเกิดขึ้นก่อน แล้วต่อมาก็มีปรากฏการณ์ทางน้ำคือ ชาวบ้านเห็น พญานาค เล่าน้ำที่ท่าน้ำวัดธาตุ บริเวณเหนือองค์พระธาตุกลางน้ำ ได้ปรากฏให้เห็นอยู่เกือบเดือน แล้วก็มีเห็ดพ่นควัน ต้นมะพร้าวออกใบเป็นพญานาค เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นในจังหวัดหนองคาย ทำให้มีประชาชนจากทั่วสารทิศแห่มาดูกัน จนทำให้เศรษฐกิจจังหวัดหนองคายดีขึ้น โดยเฉพาะเหล่าแม่ค้า ขายน้ำ-อาหาร วัน ๆ มีกำไรกันมาก ส่วนกลุ่มที่มีหัวคิดอีกกลุ่มก็จะถ่าย วีดีโอไว้ขาย มีการสั่งซื้อกันมาก ขายดีไม่น้อย

ตำนานอำเภอโพนพิสัย

อำเภอโพนพิสัย เดิมตั้งอยู่บ้านโพนแพง (ต.โพนแพง ปัจจุบัน) ราว ร.ศ.91 (พ.ศ.2415) ที่ พระยาสุริยวงศ์ (ท้าวจันมา) เป็นเจ้าเมืองปกครองอยู่ ต่อมาได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองร้อยเอ็ด หลวงศรีหาพรหม (ท้าวบุญมา) มาครองเมืองแทน ได้พิจารณาเห็นว่า บ้านโพนแพง เป็นที่ลุ่มไม่เหมาะที่จะเป็นเมื่อต่อไป จึงได้ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ที่บ้านปากห้วยหลวงในปัจจุบัน เมื่อเดือน 4 ขึ้น 3 ค่ำ ร.ศ.95 หลวงศรีหาพรหม ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง จนกระทั่ง ร.ศ.101 (พ.ศ.2425) ก็ถึงแก่กรรม

จนกระทั่ง ร.ศ.112 (พ.ศ.2436) ฝรั่งเศลได้ยึดครองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ทำให้พระศรีสุริยวงศ์ ได้เข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชกาลที่ 5 เสด็จข้าหลวงต่างพระองค์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม) ได้โปรดให้ตั้งขึ้นอีกเมืองหนึ่ง ที่บ้านหนองแก้ว เรียกว่า "รัตนวาปี" แล้วให้พระสุริยศักดิ์ เป็นเจ้าเมืองปกครองแต่ขึ้นกับ อำเภอโพนพิสัย

ครั้นถึง ร.ศ.125 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดรงราชานุภาพ เมื่อดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้มาตรวจราชการในเขตมณฑลนี้ จึงโปรดยุบเมืองโพนพิสัย และให้ตั้งเป็นอำเภอ เรียกว่า อำเภอโพนพิสัย มี พระยาพิสัยสรเดช (คำสิงห์ สิงหศิริ) เป็นผู้ว่าราชการอำเภอ (ตำแหน่งนายอำเภอทุกวันนี้) ขึ้นกับมณฑลอุดร ครั้นต่อมา ร.ศ.134 (พ.ศ.2458) ทางการได้จัดตั้งอำเภอเมืองหนองคายขึ้นเป็นเมือง จึงได้โอนอำเภอโพนพิสัยมาขึ้นกับจังหวัดหนองคายมาจนถึงปัจจุบันนี้

อำเภอโพนพิสัยอยู่ห่างจากตัวจังหวัดหนองคายประมาณ 45 กิโลเมตร


พระยาสุนทรธรรมธาดา (คำสิงห์ สิงหศิริ) เป็นชาวเมืองหนองคายแต่กำเนิด เป็นบุตรของพระยาพระพฤกษ์มนตรี และนางทองสี เกิดที่บ้านจอมนาง อำเภอโพนพิสัย เมื่อปี พ.ศ.2475 ตำแหน่งที่ได้รับครั้งแรก เป็นเสมียนนายกองบัญชีสำรวจพลที่อำเภอโพนพิสัย และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ และปฏิบัติราชการมาโดยลำดับ คือ

เลื่อนลำดับจากเสมียน เป็นนายกองบัญชี เป็นท้าวพรหมจักร พระยาศรีสุรศักดิ์สุนทร พ.ศ.2429 ได้รับตราตั้งให้เป็นแม่กองปราบปรามฮ่อร่วมกับกองทัพหลวง และกองทัพตะวันออก พ.ศ.2430 ได้รับแต่งตั้งเป็นแม่กองควบคุมพลไปขัดตามทัพฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ พ.ศ.2434 ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กสังกัดในกรมมหาดเล็ก ในรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักด์เป็นพระพิสัยสรเดช และได้รับตราตั้งเป็นเจ้าเมืองโพนพิสัย เมื่อ พ.ศ.2459 ได้ออกจากราชการรับพระราชทานเบี้ยหวัดปีละ 500 บาท ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ เป็น พระยาสุนทรธรรมธาดา ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2497

จังหวัดหนองคาย

จังหวัดหนองคาย เป็นจังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ตั้งอยู่บริเวณฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับท่าเดื่อ เมืองหาดทรายฟองของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีพื้นที่ 7,332.3 กิโลเมตร พื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง มีระดับความสูงเฉลี่ย 1,200 ฟุต จากระดับน้ำทะเล


 
 

โดย: P_ปรัชญา วันที่: 2 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:04:07 น.  

 
 
 
อยากทราบประวัติพ่อท้าวพันตานาคราช อ่ะครับ พอมีใครรู้เรื่องนี้บ้างครับ
 
 

โดย: ce IP: 125.26.215.54 วันที่: 14 สิงหาคม 2551 เวลา:11:41:02 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

P_ปรัชญา
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




หยิ่ง
กับตัวเองบ้าง
ในบางครั้ง

เบื่อ
ชีวิตความผิดหวัง
ในบางหน

เกลียด
ความไม่จริงใจ
ในบางคน

ยอมทน
คนหยามเหยียดได้
ในบางที


[Add P_ปรัชญา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com