|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ปลาบึก
ปลาบึก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปลาบึก (Pangasianodon gigas) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ไม่มีเกล็ด อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงบริเวณประเทศลาว เป็นปลาที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เนื่องจากการจับปลามากเกินไป คุณภาพน้ำที่แย่ลงจากการพัฒนาและการสร้างเขื่อนบริเวณต้นน้ำ ปัจจุบัน IUCN จัดปลาบึกอยู่ในกลุ่ม Critically Endangered ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มาก
ลักษณะภายนอกที่สามารถแยกแยะปลาบึกออกจากปลา catfish ขนาดใหญ่อื่นในแม่โขง ได้แก่ลักษณะของฟันและหนวด ปลาบึกไม่มีฟันและเกือบจะไม่มีหนวด โดยที่ปลาวัยอ่อนมีฟันและกินปลาอื่นเป็นอาหาร แต่เมื่อโตขึ้นฟันจะหลุดไป และตาซึ่งจะอยู่ต่ำกว่ามุมปาก อาหารของปลาในธรรมชาติคือพืชชนิดต่าง ๆ เช่นตะไคร่น้ำ แต่เมื่อนำมาเลี้ยงก็สามารถรับอาหารชนิดอื่นได้ สามารถโตได้ถึง 3 เมตรและหนัก 150-200 กิโลกรัม ใน 5 ปี ปลาที่หนักที่สุดเท่าที่เคยจับได้เป็นตัวเมีย (บางรายงานระบุผิดว่าเป็นตัวผู้) ยาว 2.7 เมตร และหนัก 293 กิโลกรัม (646 ปอนด์) เจ้าหน้าที่กรมประมงสามารถรีดไข่ได้สำเร็จแต่ปลาตัวนี้ก็ตายก่อนที่จะปล่อยกลับธรรมชาติ
ในธรรมชาติยังไม่มีผู้พบปลาวัยอ่อน ปลาบึกเป็นปลาที่อพยพว่ายน้ำจากแม่น้ำโขงในเขตประเทศจีน เพื่อที่จะไปผสมพันธุ์และวางไข่ที่ทะเลสาบเขมร โดยฤดูกาลที่ปลาอพยพมานั้น ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จะถือว่าเป็นประเพณีจับปลาบึก โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
ปลาบึกถือเป็นอาหารที่หรูของประเทศลาว ในอดีตมีการประกอบพิธีกรรมร่วมกับการจับปลาชนิดนี้ ซึ่งมีการจับเพียงครั้งเดียวต่อปี และเนื้อปลาก็พบเห็นได้น้อยตามตลาด นอกจากเนื้อแล้ว ตับและไข่ปลาหมักเป็นอาหารรสชาติดี และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย
ปลาบึกมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า " ไตรราช " ______________________________________________________________________
จับบิ๊กบึกยาว 2.4 เมตรในโตนเลสาป โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤศจิกายน 2550 11:27 น.
เซ็ป โฮแกน (ขวา) กับคณะจับได้ตอนประมาณเที่ยงคืนวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นตัวเดียวที่จับได้ในปีนี้ (ภาพ: National Geographic Society)
นักวิจัยชาวอเมริกันกับชาวประมงพื้นบ้านจับปลาบึกขนาดใหญ่ได้ 1 ตัวในแม่น้ำโตนเลสาป (Tonle Sap) ของกัมพูชาเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมาก่อนจะปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ปลาบึกตัวนี้มีความยาวตลอดลำตัว 8 ฟุต หรือ 2.40 เมตร น้ำหนัก 204 กิโลกรัม ไม่ใช่ตัวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยจับได้ แต่หากเป็นเพียงตัวเดียวที่จับได้ในแม่น้ำโตนเลสาปปีนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลของนักอนุรักษ์ "นี่เป็นเพียงปลาบึกตัวเดียวที่จับได้ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่แย่ที่สุดเท่าที่มีมาสำหรับสัตว์ยักษ์ชนิดนี้" เซ็ป โอแกน (Zep Hogan) แห่งมหาวิทยาลัยรีโน อริโซนา สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้จดบันทึกรายละเอียดต่างๆ ก่อนจะปล่อยเจ้าบึกตัวล่าสุดลงน้ำไป โดยไม่มีอันตรายใดๆ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าในครั้งหนึ่งปลาบึก (Pangasianodon hypophthalmus) หาพบได้ทั่วไปในแม่น้ำโตนเลสาปกับลำน้ำโขง รวมทั้งในบริเวณใกล้กับกรุงพนมเปญด้วย แต่ในศตวรรษที่ผ่านมาประชากรปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกพันธุ์นี้ลดลง 95-99% ปัจจุบันเชื่อว่ามีปลาบึกที่โตแล้วเหลืออยู่ไม่กี่ร้อยตัว นับตั้งแต่ปี 2543 ทั่วทั้งย่านแม่น้ำโขงเคยมีการจับปลาบึกได้ปีละ 5-10 ตัว ตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเคยจับได้ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ความยาวถึง 2.7 เมตร หรือเกือบ 9 ฟุต น้ำหนัก 293 กก. นายโฮแกนได้เริ่มโครงการที่เรียกว่า MegaFishes Project เมื่อต้นปีนี้ เพื่อเริ่มทำบันทึกต่างๆ เกี่ยวกับปลาบึก โดยได้รับการสนับสนุนจาก National Geographic Conservation Trust and Expeditions Council ปลาบึกก็เช่นเดียวกันกับปลาอีกหลายชนิดในลำน้ำโขง ใช้ทะเลสาบโตนเลสาปในกัมพูชาเป็นที่วางไข่ ก่อนจะว่ายทวนน้ำขึ้นไปหากินตามลำน้ำโขงในลาวและประเทศไทย
หลายปีก่อนนักวิทยาศาสตร์ในโครงการ MegaFishes Projects เคยจับได้ปีละ 5-6 ตัว และทำบันทึก-ติดเครื่องหมาย ปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าปลากยักษ์แม่น้ำโขงจะสูญพันธุ์ในเร็วๆ กว่าที่คิด (ภาพ: National Geographic Society
องค์การพัฒนาภาคเอกชนอนุรักษ์สภาพแวดล้อม โครงการ TERRA กับโครงการแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ออกแถลงการณ์สัปดาห์ที่แล้ว แสดงความห่วงใยต่อการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำโขง 6-7 แห่ง ทั้งในกัมพูชา ลาวและไทย องค์การอนุรักษ์เหล่านี้ได้เน้นให้เห็นอันตรายต่อสภาพนิเวศน์จากการสร้างเขื่อนดอนสะฮอง ในภาคใต้ของลาวซึ่งจะปิดกั้นทางผ่านเข้าสู่แม่น้ำโขงของฝูงปลานานาพันธุ์จากโตนเลสาปโดยตรง แถลงการณ์ได้เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission) ซึ่งประชุมร่วมกับประเทศผู้บริจาคในเมืองเสียมราฐวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ให้เอาใจใส่ต่อสภาพนิเวศน์ในลำน้ำโขงที่กำลังถูกบั่นทอนจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่กั้นลำน้ำ เดือน ต.ค.-ธ.ค.ทุกปี เป็นเดือนที่ปลาบึกกับปลาอีกหลากชนิด จะอพยพจากโตนเลสาป จ.เสียมราฐ ไปตามลำน้ำตอนโลสาป และเข้าสู่ลำน้ำโขงใกล้กับกรุงพนมเปญ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นกระสวนการดำรงชีวิตของชีวะนานาพันธุ์แถบนี้มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล สหภาพเพื่อการอนุรักษ์ (World Conservation Union) หรือ IUCN ที่มีสำนักงานใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์ได้ออกรายงาน “บัญชีแดง” (Red List) รายชื่อสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ครั้งเมื่อปี 2546 จัดให้ปลาบึกเป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง
บิ๊กตัวนี้จับได้ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมื่อหลายปีก่อน ความยาว 2.70 เมตร เท่าๆ กับความสูงของหมีกริซลี (Grizzly) ตัวหนึ่ง ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการบันทึกเอาไว้ตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจปี 2524 (ภาพ: National Geographic Society)
เวลาต่อมาบิ๊กบึกตัวนั้นเสียชีวิต เป็นลาภปากของชาวบ้านที่เชื่อว่ารับประทานเนื้อปลายักษ์จะมีโชคมีลาภและอายุยั่งยืนนาน (ภาพ: National Geographic Society)
“ปลาบึก.หนังสือกินเนสส์บุ๊คออฟเร็คคอร์ดบันทึกให้เป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น ในปัจจุบันหายากยิ่งในภาคเหนือของไทย ภาคใต้ลาวและเวียดนาม” IUCN กล่าว “มีการจับปลาบึกได้เพียง 11 และ 8 ตัวในปี 2544 และ 2545 ในปี 2546 ชาวประมงจับปลาบึกได้ 6 ตัวในกัมพูชา ทั้งหมดถูกปลายตัวในเวลาต่อมาตามโครงการอนุรักษ์ปลาแม่น้ำโขง” IUCN กล่าว ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้ติดแผ่นรหัสปลาไปประมาณ 2,000 ตัว ส่วนใหญ่เป็นปลาบึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโตนเลสาปและในแม่น้ำโตนเลสาปกัมพูชา ที่นี่ดูจะเป็นปราการสุดท้ายสำหรับปลายักษ์ ที่เคยอยู่คู่อนุภูมิภาคแม่น้ำโขงมาแต่ครั้งโบราณ.
______________________________________________________________________
ปลาบึกเป็นปลาไม่มีเกล็ดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 3 เมตร มีน้ำหนักมากกว่า 250 กิโลกรัม พบเฉพาะในแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาขาเท่านั้น ปลาบึกถูกจัดเป็นปลาชนิดที่มีจำนวนน้อยใกล้สูญพันธุ์ [Endangered species] ชื่อซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วไป คือ Mekong giant catfish มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasianodon gigas เป็นปลาที่กินพืชเป็นอาหาร ไม่มีฟันทั้งที่ขากรรไกรและเพดานปาก สำหรับแหล่งจับปลาบึกที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย อยู่ที่บ้านหาดไคร้ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ ฤดูจับปลาบึกของชาวประมง จะเริ่มต้นประมาณปลายเดือนเมษายนของทุกปี จนถึงต้นเดือนมิถุนายน โดยใช้เครื่องมือมองไหล ด้วยเป้าหมายที่ต้องการจะอนุรักษ์พันธุ์ปลาบึก และเพื่อเพิ่มปริมาณปลาบึกในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมประมงจึงได้พยายามดำเนินการเพาะขยายพันธุ์
จนประสบผลสำเร็จครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งจากความสำเร็จดังกล่าวทำให้การศึกษาทางอนุกรมวิธานของปลาบึกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และทำให้ทราบว่าลูกปลาบึกมีลักษณะหลาย ๆ ประการที่แตกต่างไปจากปลาที่โตเต็มวัย เช่นมีฟันบนขากรรไกร และเพดานปาก และจะหลุดร่วงไปหมดเมื่อโตเต็มวัย ได้มีการนำพันธุ์ปลาบึกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจและติดตาม ทำให้ทราบว่าปลาบึกสามารถเจริญเติบโตในแหล่งน้ำธรรมชาติได้ปีละประมาณ 10 – 12 กิโลกรัม
การเพาะพันธุ์ปลาบึกในบ่อดิน
กรมประมงประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลาบึกโดยใช้พ่อแม่พันธุ์จากแม่น้ำโขง ในปี 2526 จากนั้นได้ทำการศึกษาวิจัยปลาบึกรุ่นลูก (F1) โดยเลี้ยงในบ่อดินเพื่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์ที่สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดพะเยา จนมีความสมบูรณ์เพศ นำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ได้เป็นครั้งแรกในปี 2543 จึงได้ทำการทดลองเพาะพันธุ์ ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ในครั้งนั้นสามารถรีดไข่จากท้องแม่ปลาบึกได้ประมาณ 100 กรัม สำหรับพ่อปลาบึกรีดน้ำเชื้อได้ปริมาณมาก แต่ไข่ปลาที่ได้รับการผสมจาก น้ำเชื้อพัฒนาไปได้ระดับหนึ่งเท่านั้น และไม่สามารถพัฒนาเป็นตัวปลาได้ จากประสบการณ์และแนวทางในการเพาะพันธุ์ปลาบึกในคราวนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลาบึกในปี 2544 โดยสามารถเพาะพันธุ์ปลาบึกได้ จำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2544 แม่ปลาน้ำหนัก 54 กิโลกรัม และพ่อปลาน้ำหนัก 41 กิโลกรัม ได้ลูกปลาบึกรุ่นแรก จำนวน 9 ตัว ขณะนี้เหลือรอดเพียง 1 ตัว ถือว่าเป็นปลาบึกตัวแรกที่เพาะพันธุ์ได้สำเร็จ (ปลาบึกรุ่นหลาน F2) โดยใช้เวลารอคอยนานถึง 18 ปี การเพาะพันธุ์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 แม่ปลามีน้ำหนัก 54 กิโลกรัม พ่อปลาน้ำหนัก 60 กิโลกรัม รีดไข่จากแม่ปลาได้ไข่น้ำหนัก 1,200 กรัม น้ำหนักไข่ 1 กรัม นับได้ 656 ฟอง ได้ไข่ปลา 787,200 ฟอง ไข่ได้รับการผสม 558,940 ฟอง (71.0%) ได้ลูกปลา 441,176 ตัว (อัตรารอด 56.04%) เมื่อลูกปลามีอายุ 3 วัน เหลือลูกปลาจำนวน 330,250 ตัว (41.95%) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 แม่ปลามีน้ำหนัก 47 กิโลกรัม พ่อปลาหนัก 40 กิโลกรัม ทำการเพาะพันธุ์และรีดไข่ได้ 743 กรัม น้ำหนักไข่ 1 กรัม นับได้ 506 ฟอง ได้ไข่ปลา 375,958 ฟอง ไข่ได้รับการผสม 242,004 ฟอง (64.37%) เมื่อลูกปลามีอายุ 3 วัน เหลือลูกปลาจำนวน 70,000 ตัว (18.62 %) ขณะนี้เหลือลูกปลาจากการเพาะพันธุ์ครั้งที่ 2 จำนวน 60,000 ตัว และเหลือจากการเพาะพันธุ์ครั้งที่ 3 จำนวน 10,000 ตัว ลูกปลามีขนาด 5-7 นิ้ว และกรมประมงได้สั่งการให้กระจายลูกปลาไป 4 ภาค ทั้งประเทศ เพื่อปล่อยแหล่งน้ำและจำหน่ายให้ประชาชนนำไปเลี้ยง
โดยภาคใต้มีจุดรวมปลาอยู่ที่ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดสุราษฏร์ธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดขอนแก่น ภาคตะวันออกอยู่ที่ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดชลบุรี ภาคกลางอยู่ที่ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดพระนครศรีอยุธยา ภาคเหนืออยู่ที่สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดพะเยา และสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้กรมประมงได้ส่งลูกปลาชุดนี้ไปเลี้ยงยังสถานีประมงทุกแห่งทั่วประเทศ แห่งละ 50 ตัว และศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืด แห่งละ 100 ตัว เพื่อเลี้ยงให้เป็นพ่อแม่พันธุ์ในรุ่นต่อไป
ลักษณะทั่วไปของปลาบึก (Morphology)
ปลาบึกเป็นปลาขนาดใหญ่ มีรูปร่างเพรียวขาวแบนข้างเล็กน้อย ลูกปลาบึกขนาดเล็กมีสีคล้ำเหลือบเหลือง ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำตามยาว 1 – 2 แถบ ครีบหางตอนบนและล่างมีแถบสีคล้ำตามยาว ในปลาขนาดใหญ่ด้านหลังของลำตัวจะมีสีเทาอมน้ำตาลแดง ด้านข้างเป็นสีเทาปนน้ำเงินและจางกว่าด้านหลัง เมื่อค่อนลงมาทางท้องสีจะจางลงเรื่อย ๆ จนเป็นสีขาวเงิน ตามลำตัวมีจุดสีดำค่อนข้างกลมกระจ่ายอยู่ห่าง ๆ กันเกือบทั่วตัว
บริเวณจงอยปากมีรูจมูก 2 คู่ ตั้งอยู่บนริมผีปากทางด้านข้างจงอยปาก คู่หน้าอยู่ชิดกันมากกว่าคู่หลัง นัยตาของปลาบึกมีขนาดเล็กอยู่เป็นอิสระไม่ติดกับขอบตามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ใน 20 เท่า ของความยาวหัว ตำแหน่งของนัยตาอยู่ต่ำกว่าระดับมุมปาก ลูกตามีหนังบาง ๆ คลุมด้านขอบเล็กน้อยเปิดเป็นช่องรูปกลมที่กึ่งกลางกะโหลกมีจุดสีขาวขนาดเดียวกับตา 1 จุด
ครีบหลัง มีสีเทาปนดำ จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่ล้ำหน้าจุดเริ่มต้นของครีบท้อง แต่ไม่ถึงกึ่งกลางของลำตัว ก้านครีบแข็งเป็นเงี่ยงแต่สั้นและทู่ลงเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้น
ครีบอก มีสีเทาปนดำอยู่ค่อนข้างต่ำ ประกอบด้วยก้านครีบแข็งใหญ่ 1 อัน ซึ่งปลายโค้งงอได้ไม่แข็งเป็นเงี่ยง หรือหยักเป็นฟันเลื่อย ก้านครีบอ่อนมีจำนวน 10 อัน ความยาวครีบอกมีขนาดเท่าหรือเกือบเท่ากับความยาวครีบหลัง คือมีความยาวครึ่งหนึ่งของหัว
ครีบท้อง มีสีเทาอ่อน มีก้านครีบโค้งงอได้ 1 อัน มีก้านครีบอ่อนจำนวน 7 อัน
ครีบก้น มีสีเทาอ่อน มีก้านครีบแข็งที่โค้งงอได้ 5 อัน ก้านครีบอ่อน 29 – 32 อัน
ครีบไขมัน มีสีเทาปนดำ มีขนาดเล็กอยู่ค่อนไปทางครีบหาง
ครีบหาง มีสีเทาปนดำ ขนาดอ่อนข้างสั้นเว้าลึก ส่วนของแพนหางบนและล่างมีขนาดเท่ากัน ถิ่นที่อยู่อาศัย
ปลาบึกชอบอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีระดับน้ำลึกกว่าสิบเมตร พื้นท้องน้ำเต็มไปด้วยก้อนหินและโขดหินสลับซับซ้อนกัน ยิ่งมีถ้ำใต้น้ำด้วยแล้วปลาบึกจะชอบมากที่สุด ปลาบึกขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในระดับน้ำที่ลึกอาศัยถ้ำใต้น้ำเป็นที่หลบซ่อนตัว นอกจากนี้ยังได้ตะไคร่น้ำที่ขึ้นตามโขดหินกินเป็นอาหาร
ปลาบึกมีเฉพาะในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แม้ว่าบางครั้งอาจจับปลาบึกได้จากแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ที่เป็นสาขาของแม่น้ำโขง เช่น แม่น้ำสงคราม จังหวัดนครพนม แม่น้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำงึมแขวงนครเวียงจันทร์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปลาที่จับได้เชื่อแน่ว่าเป็นปลาที่เข้าไปหากินในลำน้ำเป็นการชั่วคราว ปลาบึกอาศัยในแม่น้ำโขงนับตั้งแต่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนลงมาจนถึงเมียนม่าร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไทย สารธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนกัมพูชา และสาธารณรัฐเวียดนามตอนใต้ แต่ไม่เอยปรากฏว่าพบในบริเวณน้ำกร่อยหรือบริเวณปากแม่น้ำโขงที่ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้ ประเทศไทยพบว่าปลาบึกอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงตอนที่กั้นพรมแดนไทยโดยตลอด คือนับตั้งแต่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ลงไปจนถึงอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แหล่งที่พบปลาบึกอาศัยอยู่ชุกชุมมากที่สุดอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะวังปลาบึกหรืออ่างปลาบึกบ้านผาตั้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของปลาบึกมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ในสมัยเมื่อ 40 ปีก่อน เฉพาะวังปลาบึกเคยจับปลาบึกได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 40 – 50 ตัว ส่วนปลาบึกที่จับได้ที่จังหวัดเชียงราย ชาวประมงเชื่อว่าเป็นปลาที่อพยพย้ายถิ่นมาจากวังปลาบึกที่หลวงพระบาง
______________________________________________________________________
ชื่อไทย บึก ไตรราช ชื่อสามัญ MEKONG GIANT CATFISH ชื่อวิทยาศาสตร์ Pangasianodon gigas ถิ่นอาศัย แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำแหล่งเดียวในโลกที่เป็นถิ่นอาศัยของปลาบึก ลักษณะทั่วไป เป็นปลาไม่มีเกล็ดหรือที่เรียกกันว่า ปลาหนัง นับเป็นปลาน้ำจืดซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ลำตัวยาวด้านข้างแบน หัวค่อนข้างเล็ก จะงอยปากสั้นทู่ ตามีขนาดเล็กและอยู่ในระดับเดียวกับมุมปากมีหนวดสั้นมากมีอยู่ 2 คู่ ปากเล็ก ปลาวัยอ่อนจะมีฟันอยู่บนขากรรไกร เมื่อปลาเจริญวัย ฟันจะหลุดหายไป ลำตัวมีสีเทาปนดำบริเวณหลัง ด้านท้องใต้แนวเส้นข้างตัวลงเป็นสีเหลือง ส่วนล่างสุดจะเป็นสีขาวเงิน ปลาบึกมีประวัติความเป็นมายาวนานมีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาเป็นเวลาร้อยปี โดยชาวเขมรและลาวเชื่อกันว่า ปลาบึกตัวเมียมีถิ่นอาศัยอยู่เฉพาะในทะเลสาบเขมรเท่านั้น เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จะเดินทางขึ้นไปตามลำน้ำโขง ผ่านประเทศลาว ไทย พม่า ขึ้นถึงทะเลสาบตาลีในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อผสมกับตัวผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบดังกล่าว ปลาบึกตัวผู้มีลักษณะพิสดารกว่าตัวเมีย คือ จะมีเกล็ดเป็นสีทอง และสิงสถิตอยู่แต่ในทะเลสาบตาลีเท่านั้น การสืบพันธุ์ ฤดูสืบพันธุ์เริ่มต้นหลังจากสิ้นฤดูฝน และเป็นระยะที่ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเริ่มลดลง ระยะนี้ปลาบึกที่หากินบริเวณแม่น้ำโขงตอนล่างจะอพยพขึ้นสู่ตอนบนเพื่อวางไข่ผสมพันธุ์ การผสมพันธุ์เริ่มโดยตัวเมียจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ แล้วค่อยๆตะแคงข้างและหงายท้องขึ้น จากนั้นตัวผู้จะลอยตามขึ้นมา และคอยจังหวะเลื่อนตัวขึ้นทับตัวเมีย แล้วจะจมสู่ก้นน้ำพร้อมกัน ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้งจนกว่าตัวเมียจะปล่อยไข่หมด แล้วจะไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็นอีก หรือเพาะพันธุ์โดยการผสมเทียมก็ได้ อาหารธรรมชาติ กินตะไคร่น้ำ ลูกปลาวัยอ่อน กินไรน้ำ ลูกปลาขนาดเล็ก การแพร่กระจาย - สถานภาพ (ความสำคัญ) เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
ที่มาของข้อมูล : กรมประมง
______________________________________________________________________
Create Date : 20 พฤศจิกายน 2550 |
| |
|
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2550 13:15:14 น. |
| |
Counter : 9248 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
P_ปรัชญา |
|
|
|
|