วิธีทำเงินหลักหมื่น เพิ่มเป็นหลักล้าน
______________________________________________________
เป็นข้อคิดความเห็น ที่เขียนอ้างอิงอย่างมีเหตุและมีผล มันจะง่ายอย่างนั้นเลยหรือ ผมเป็นคนคัดลอกมาก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ลองอ่าน คุณpak แห่งเว็บ //board.thaivi.org/viewtopic.php?f=4&t=44460
เขียนไว้ได้น่าอ่านดีทีเดียว (ขอขอบคุณ คุณpakสำหรับการแบ่งปัน)
______________________________________________________
ถนนสายนี้...มีคนเดินเข้ามามากหน้าหลายตาครับ บ้างก็อยู่กับที่...ไม่ไปไหนเอาเสียเลย บ้างก็เดินถอยหลังลงคลอง...อาจจะต้องตอบสวนความรู้สึกของกระทู้นี้ด้วยซ้ำไป ว่า "มีไหมครับคนที่เริ่มลงทุนในหุ้นจากเงินหลักล้านถดถอยเป็นหลักหมื่น!!!" แต่ก็มีไม่น้อยครับ...ที่สามารถใช้ถนนเส้นนี้ก้าวเดินไปสู่ประสบความสำเร็จ กันมาแล้วมากมาย ถนนเส้นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับ
แต่เท่าที่ผมได้สัมผัสมา คนที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่ยึดหลักแนว VI นะครับ (นี่ถ้าไปพูดพูดเว็บอื่น โดนด่าตายห๊า ฮ่า ฮ่า ฮ่า) "VI ก็คล้ายๆกัยพระพุทธศาสนาครับ" คือ "หลักการง่าย...แต่ทำจริงไม่ง่ายเลย" เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่า "กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง อารมณ์ต่างๆ และอวิชชามากมายที่ถาโถมเข้าหาเรา" ยกตัวอย่างให้ง่ายกว่านั้น... "อานาปานสติ"...หลักการง่ายเหลือเกิน คือ "ตามรู้ลมหายใจ" เห็นภาพใช่ไหมครับ? ว่า...หลักการเรียบง่าย แต่ทำได้ยากสำหรับผู้ที่ไม่เคยฝึกฝน เช่นเดียวกันครับ "แนวการลงทุนแบบ VI"...หลักการก็ง่ายเหลือเกิน คือ "ซื้อหุ้นที่มี mos(Margin Of Safety)" หลักการง่าย แต่ก็ยากในการปฏิบัติเช่นกัน
ด้วยหลักการง่ายๆแค่นี้แหล่ะครับ แต่มันทรงพลังยิ่งนัก ยึดหลัก mos ให้มั่นๆนะครับ เพราะด้วย Margin Of Safety ที่เป็นบวก จะทำให้เราไม่ขาดทุน และสามารถปกป้องเงินต้นไว้ได้ และด้วย Margin Of Story ของตลาดหุ้น จะทำให้เราสามารถทำให้เรามีเงินหลักล้านได้อย่างไม่ยากเย็น (ไอ้ประโยคหลังนี้ ผมคิดเองนะครับ หลักการเค้าไม่มีหรอกนะครับ เดี๋ยวจะพามือใหม่ลงทะเลกันไปเปล่า)
การเติบโตของพอร์ต เราสามารถประมาณการเบื้องต้นได้ตามที่ K.Skyforever ทำตัวอย่างไว้ได้ครับ แต่ชีวิตจริง แม่มมันส์กว่านั้นเยอะครับ 555+ เพราะแทบไม่มีสมการคณิตศาสตร์ใดในโลกจะสามารถอธิบายการเติบโต ของพอร์ตเราได้ดีไปกว่า หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนแบร์ก (Heisenberg uncertainty principle)มั้งครับ เพราะ มันไม่ใช่สมการเส้นตรง, มันไม่ใช่ Exponential ตรงๆ, มันคือสมการอะไรก็ไม่รู้ซินะ บางทีมาเป็นคลื่น อย่างกับ sinusoidal pattern เลยก็มี
"ตลาดหุ้น" แฝงไปด้วย "คณิตศาสตร์" มากมายทุกหนแห่ง และคณิตศาสตร์นี่เอง ที่ปกปิดความลับ และสามารถลวงตาพวกเราได้มากมาย!!
วิชาของไอสไตน์ บอกเราได้ดีในเรื่องราวเหล่านี้ สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย...แต่วิชาคณิตศาสตร์กลับเปิดเผยความจริงของโลก และบอกว่า มันสามารถเป็นไปได้ ตลาดหุ้นเอง...ก็เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันกลับเป็นไปได้แบบง่ายดายจริงๆ ถึงตรงนี้แล้ว... ผมขอตอบคุณ ชัดๆก่อนเลยครับว่า "มันสามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน!!!"
ถ้าคุณลงทุน 5,000 บาท โดยซื้อจำนวน 10,000 หุ้น ในราคา 0.50 บาท ใน Stage ที่ 1 การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น จาก 0.5 บาท ไปสู่ 1 บาท ก็โต 100% แต่เงินเพิ่มเพียง 5,000 บาท และใน Stage ที่ 2 จาก 1 บาท ไปสู่ 2 บาท ก็โต 100% เช่นกัน แต่เงินเพิ่ม 10,000 บาท และใน Stage ที่ 3 จาก 2 บาท ไปสู่ 4 บาท ก็โต 100% เช่นกัน แต่เงินเพิ่ม 20,000 บาท และใน Stage ที่ 4 จาก 4 บาท ไปสู่ 8 บาท ก็โต 100% เช่นกัน แต่เงินเพิ่ม 40,000 บาท 100% เท่ากันในแต่ละ Stage...แต่กลับได้เม็ดเงินออกมาไม่เท่ากัน...นี่คือตัวอย่างเบื้องต้นหนึ่ง!!! และเป็นที่มาของคำว่า "การรอคอย...คือกำไร"
ราคาหุ้น ก็คือ คณิตศาสตร์เช่นกัน ราคาหุ้น หรือ Pricing Strategy ฝากไว้กับตัวเลขเพียงไม่กี่ตัว ที่สามารถหลอกคนได้เกือบทั้งตลาด
นั่นก็คือ p/e p/e ตัวเลขที่สุดแสนจะทรงพลัง แต่มันกลับเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย เพราะการเปลี่ยนแปลงของ p/e นี่เองครับ จะทำให้เรารวยได้ง่ายๆ p คือ Price และ e คือ Earning ไอ้ตัว e นี่แหล่ะครับ มันคือ "ตัวจี๊ด" เลยหล่ะ ตัวจี๊ด แปลว่า มันไม่เคยหยุดนิ่ง และมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก หุ้น Commodity ก็ใช้ประโยชน์จากตัวนี้ หุ้นปั่นแบบไม่มีพื้นฐาน แต่มีกำไรพิเศษ ก็ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ หุ้น Turnaround ก็ใช้ประโยชน์ตจาก earning หรือ ตัวจี๊ดตัวนี้เช่นกัน ดังนั้น Earning คือสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นที่มาของการทำ DCF อะไรทำนองนั้นอ่ะนะ (ผมก็ทำละเอียดยังไม่ค่อยเป็นเช่นกัน)
ตลาดหุ้น มันไม่ง่ายดาย เพราะมันมีผู้เข้ามาแสวงหาประโยชน์มากมาย ผมนิยามว่า "เจ้ามือ" คือ "ใครก็ได้ ที่เค้าแกร่งกว่าเรา" เจ้ามือจะเล่นกับอารมณ์ของเรา ด้วยตัวละครง่าย คือ...
"5 ช่อง 2 ข้าง 3 สี"
แค่นี้จริงๆนะครับ 2 ข้าง คือ ฝั่งบิด และฝั่งออฟเฟอร์ และเค้ามีพื้นที่การแสดงเพียงฝั่งละ 5 ช่องราคา และ 3 สี คือ เขียว เหลือง และแดง แต่ไอ้ของง่ายนี้แหล่ะครับ "5 ช่อง 2 ข้าง 3 สี" ที่มันทำให้คน ตกรถ, ติดดอย, ขายหมู และของง่ายๆนี้ก็ทำให้คนหมดตัว และกระโดดตึกตายมาแล้วเช่นกัน
ถ้านึกภาพไม่ออก ลองไปนั่งดูการเทรดของหุ้นร้อนดูละกันครับ แล้วถามตัวเองว่า หัวใจของคุณรู้สึกอะไรบ้าง??? แต่โจทย์ใหญ่ของความสำเร็จ คือ คุณต้องก้าวข้ามอารมณ์เหล่านี้ไปให้ได้นะครับ
คนที่ประสบความสำเร็จนั้น นอกจากจะต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อที่จะซื้อหุ้นให้ถูกตัว ถูกเวลา แล้ว เค้ายังต้องผ่าน "การทดสอบ" นับครั้งไม่ถ้วน เจ้าลากขึ้น...เสมือนจะถามเราว่า มรึงจะขายไหม? เจ้าทุบลง...เสมือนจะถามเราว่า มรึงจะขายไหม? ตลาดฯสร้างช่องว่างแห่งความโลภและความกลัวให้เราตลอดเวลา แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เค้าเชื่อมั่นในอะไรบางอย่าง มากกว่าอารมณ์ที่ตลาดสร้างให้เรา
ยิ่งเขียนก็ยื่งฟุ้ง สรุปดีกว่าครับว่า... "เงินล้าน ถ้าเราคนเดียว คงอาศัยเวลายาวนานเหลือเกิน" แต่ด้วยบริษัทฯจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เรามีผู้ช่วยเยอะครับ "CEO , บอร์ดบริหาร และพนักงานทุกคน" คือตัวช่วยของเรา ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากเงินลงทุนของเรา แต่การจะเลือกตัวช่วยที่ดี นั่นก็คือ "เราต้องใช้หลักการของ VI" มาเป็นตัวคัดกรอง
สรุปสั้นๆได้ว่า...คุณมาถูกทางแล้วขอรับ (^_^)
______________________________________________________
บทความเรื่อง : "ตกรถ" กับ "ไม่รู้จักรถ" By pak
ถ้าเรารู้ใน 3 ข้อหลักๆ ว่า... 1) เราอยู่ที่ไหน? 2) และเราจะไปไหน? 3) และรถเมล์แต่ละคันมีเส้นทางการเดินทางอย่างไร? ผมเชื่อว่าเราจะ "ไม่หลงทาง" ครับ!!!
ผมคือคนที่นั่งอยู่ "บนรถ" ครับ และภาพที่ผมเห็นจนชินตา คือ...
"บางครั้ง...ผู้คนมากมายแย่งยื้อกันเพื่อจะขึ้นรถ แต่บางครั้ง...รถกลับโล่ง โหรงเหรง แทบจะไร้ผู้คน ...ทั้งๆที่เป็นบนรถคันเดียวกันแท้ๆ!!!"
มีบ้างครับ...ที่ผมเห็นคน "รีๆรอๆด้อมๆมองๆ" จะขึ้นรถ...แต่ก็ไม่ขึ้น เพราะเค้าไม่แน่ใจครับ ว่าปลายทางของรถที่ผมนั่งอยู่จะไปที่ใด?
มีบ้างครับ...ที่ผมเห็นคนขึ้นๆลงๆเปลี่ยนรถไปเรื่อยๆ น่าจะเป็นเพราะ เค้าไม่มีข้อมูลมากพอเกี่ยวกับเส้นทางการเดินรถครับ ทำให้เค้าไม่มั่นใจ ข้อมูลที่เค้าได้มาจากการถามคนแถวๆนั้น ก็ไม่เพียงพอจะทำให้เค้าเชื่อมั่นได้ครับ
แต่บนรถที่ผมนั่ง มันก็ไม่ได้มีแต่สิ่งที่ผมต้องการหรอกนะครับ บางครั้งรถก็เสียบ้าง ยางแตกบ้าง ความร้อนขึ้นสูงบ้าง ...ก็ต้องซ่อมกันไปตามเรื่องตามราวครับ แต่ผมก็ยังคงนั่งอยู่ "บนรถ" คันนั้น เพราะผมยังมีปลายทางในใจของผม และผมเชื่อว่ารถคันนี้กำลังจะวิ่งไปที่จุดๆนั้น
ผู้โดยสารหลายท่าน ขึ้นมาบนรถ เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน แล้วก็จากกันไป บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเพื่อนเยอะ บางครั้งก็รู้สึกเหงาๆนะ แต่รถคันนี้ มัน "อิสระ" ครับ ใครจะขึ้นหรือลงที่ป้ายไหน...ก็ย่อมได้เสมอ
คำว่า "ตกรถ" สำหรับผมแล้ว...มันไม่ใช่ที่สิ่งน่ากลัวอะไรเลยครับ หากเพียงเรารู้ว่า เราอยู่ที่ไหน? และเราจะไปไหน? และรถแต่ละคันมีเส้นทางอย่างไร? อีกซักพัก รถคันหลังยังจะตามกันมาอีกเยอะแยะมากมายอยู่แล้วครับ
ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า "เราตกรถ" ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า "เราอยู่บนรถ" หรือ "เรายังไม่ได้ขึ้นรถ" ปัญหาที่แท้จริง คือ เรารู้จัก "รถแต่ละคัน" ดีเพียงพอหรือยัง? ...ก็เท่านั้นเองครับ
pak (^_^)
_________________ "ราคาหุ้นคือสิ่งที่คุณต้องกำหนดเอง หาใช่ให้ผู้อื่นหรือตลาดมาเป็นผู้กำหนดให้ไม่!!!" บทความเรื่อง"หุ้น Turnaround" ที่ //board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=43317
______________________________________________________
มาติดตามความฝันของน้องชายอีกคนหนึ่ง ที่จะให้เงินทำงาน แบบมีเป้าหมายในอนาคต (คนหนุ่มที่มีอนาคตสดใส) บล็อกเก็บความฝัน การวางแผนการเงินอย่างมีระบบ
//skyforeverinvestment.blogspot.com/
ตาราง การเงินที่น้องเขาเขียนไว้ ลองคิดตามอาจจะเห็นจุดประกาย
______________________________________________________
Create Date : 23 ธันวาคม 2554 |
| |
|
Last Update : 24 มีนาคม 2555 10:00:12 น. |
| |
Counter : 1620 Pageviews. |
| |
|
|