เผย เทคนิคการหาหุ้น 10 เด้ง!!!

เผย เทคนิคการหาหุ้น 10 เด้ง!!!

เขียนโดย kotaro สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า



สวัสดีครับ ผมมีคำแนะนำสำหรับการหาหุ้น 10 เด้งมาฝากครับเพื่อนๆ นลท ครับ

มีใครรู้จัก Rakesh Jhunjhunwala ใหมครับ เขาถูกขนานนามว่าเป็น Warren Buffet India
จากเงินลงทุนในคร้งแรก ปี 1985 ตอนนี้เขามีทรัพย์สินมากกว่า 1000 ล้านเหรียญ จากการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของเขา
นิตยสาร Forbes ปีล่าสุด 2010 เขาติดอันดับคนที่รวยที่สุดในอินเดีย อันดับ 51 และ อันดับโลกที่ 1062




ผมมีบทความของเขามาฝาก เรื่อง เทคนิคการมองหาหุ้นหลายเด้ง
Rakesh Jhunjhunwala’s tips on how to find multibagger stocks

Tip No. 1: Don’t Look For Multi-baggers
เขียนไม่ผิดครับ เทคนิคแรกสำหรับการมองหาหุ้นสิบเด้ง ก็คือ อย่ามองหาหุ้นสิบเด้ง อิอิ งงไหม
Rakesh บอกว่า อย่าปักธงว่าเราจะมองหาและเลือกลงทุนในหุ้น 2 เด้ง 3 เด้ง 10 เด้งเท่านั้น สิ่งที่ดีกว่าคือ
การกลับไปใช้วิธีการลงทุนแบบดั้งเดิมยึดหลักของปรมาจารย์ทั้งหลาย อาทิ Benjamin Graham,Peter Lynch และ Warren Buffet
การบ้านที่คุณต้องทำก็คือ เลือกลงทุนในหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี และมีการเติบโตในอนาคต พอร์ตของหุ้นก็จะเติบโต
หลายเด้งเองเมื่อเวลาผ่านไป

Tip No. 2: Don’t Look for Profits; Look For Sources Of Profits
อย่ามองที่กำไร จงมองหาแหล่งที่มาของกำไร

Rakesh ให้ข้อคิดที่ว่านักลงทุนทั่วไป มักจะยึดติดเกินไปกับยอดขายและกำไรรายไตรมาสและ
สนใจกำไรในระยะสั้นๆ อาจทำให้เราหลุดจากการมองภาพใหญ่ได้ ("That’s missing the wood for the trees")
Rakesh แนะนำว่า "Look at the sources of Profits. What are the reasons that will give rise to Profits in the medium and long-term term".
"Look at the factors and circumstances that will create an opportunity for business in the sector".


Tip No. 3: Forget ‘Large Cap, Small Cap’ Nonsense – Look For Scalability Of Operations:
ลืมหุ้นใหญ่ ลืมหุ้นเล็กซะ ไร้สาระ! จงมองหาสิ่งที่มันขยายได้

Rakesh ให้ข้อคิด 2 อย่าง อย่างแรก นักลงทุน นักวิเคราะห์ ทั่วไปมักจะถกเถึยงกันถึงว่า หุ้น large capmid cap,small cap อันไหนดีกว่ากัน แต่ Rakesh บอกว่า
"Forget all that and Look for Value" . "If there is value in Large Cap, buy it. If there is value in Small Cap, buy it. But don’t obsess on irrelevant matters",

Tip No. 4: Give it Time, Be Patient:
จงอดทนและให้เวลากับมัน

นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่เช่น Warren Buffet เคยบอกว่า
ระยะเวลาที่เราชอบในการถือครอง (หุ้น ) คือตลอดไป" Rakesh ก็เช่นเดียวกัน แนะนำว่า
"Give your investments time to mature. Be Patient for the World to discover your gems".

Tip No. 5: Don’t get carried away by short-term aberrations:
อย่าใส่ใจมากนักกับการเบี่ยงเบนระยะสั้น

นักลงทุนทั่วไปมักสนใจแนวโน้มระยะสั้น เช่นผลประกอบการรายไตรมาส Rakesh ตรงข้ามไม่ให้ความสนใจ
มากนักกับผลประกอบการรายไตรมาส ส่งที่เขาจะทำคือ การมองหา trend.
ผลประกอบการรายไตรมาส จะบ่งขอกถึง trend ว่าอย่างไร

Tip No. 6: Invest in a business that you can understand:
จงลงทุนในธุรกิจที่คุณเข้าใจ

เหมือน vi ท่านอื่น คือเลือกลงทุนเฉพาะธุรกิจที่เราเข้าใจเท่านั้น

Tip No. 7: Don’t worry about the macro stuff like fiscal deficit, inflation etc which are unknowable. Focus on what is knowable:
อย่ากังวลกับปัจจัยมหภาคมากนัก เช่น การขาดดุลการคลัง เงินเฟ้อ อื่นๆที่ไม่สามารถรู้ได้ จงสนใจกับสิ่งทีสามารถรู้ได้

Rakesh แนะนำว่า อย่าสนใจกับสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ หรือแม้นว่ารู้แล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่จงมุ่งมั่นทุ่มเทพลังงานของคุณทั้งหมด
ไปกับสิ่งที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ดีเพียงพอ เช่นธุรกิจของบริษัทที่คุณลงทุน

Tip No. 8 : Don’t Try To Time The Market:
อย่าจับจังหวะตลาด

อย่าจับจังหวะตลาด เพราะคุณจะไม่สามารถหาจุดต่ำสุดของตลาดได้
ถ้าคุณหาหุ้นที่ถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าแท้จริง ซื้อมันซะ!

Tip No. 9 : If it’s cheap, buy it- Don’t pass up something cheap today in the hope that it will get cheaper tomorrow:
ถ้ามันถูกก็ซื้อมันซะ อย่าปล่อยสิ่งที่คิดว่าถูกวันนี้โดยคาดหวังว่ามันจะถูกกว่าในวันพรุ่งนี้

ถ้าคุณเห็นโอกาสในวันนี้ จงคว้ามันไว้ซะ! โอกาสดีเยี่ยมหลายครั้งหลุดลอยไปเพียงเพราะการผลัดวันประกันพรุ่ง


Tip No. 10 : Don’t buy stocks that have a fixed return:
อย่าซื้อหุ้นที่มีรายได้คงที่

คำแนะนำอันนี้ ตอนแรกดูเหมือนน่าขำ เพราะคงไม่มีใครอยากซื้อหุ้นที่อยู่กับที่หรอก
แต่พบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่กับมองข้ามข้อแนะนำอันนี้ Rakesh ยกตัวอย่างของหุ้นพวกนี้เป้นพวกหุ้น
ของพวกบริษัทเช่นพวกขายไฟฟ้าหรือสาธารณูปโภค ที่ไม่สามารถที่จะมีกำไรมากกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้เท่านั้น

Tip No. 11: Ride your winners!!
ปล่อยให้หุ้นวิ่งทำกำไร

Rakesh แนะนำว่า อย่าขายหุ้นสิบเด้งของคุณทิ้งไปเพียงเพราะคุณคิดว่าหุ้นสิบเด้งของวันนี้จะไม่สามารถเป็นหุ้นยี่สิบเด้งได้ในวันพรุ่งนี้

Tip No. 12: Concentrate, concentrate & concentrate!!
มุ่งมั่น มุ่งมั่น และ มุ่งมั่น

เป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักลงทุนว่าการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงแบบไข่ในตระกร้าหลายใบหรือตระกร้าใบเดียว
อันไหนดีกว่ากัน
Rakesh เป็นพวกที่เน้นแนะนำให้ลงทุนที่เรามั่นใจเท่านั้นว่าจะมีผลตอบแทนดีกว่าหุ้นตัวอื่นๆ ไม่สนใจการกระจายความเสี่ยง
ในหุ้นหลายตัวเพียงเพราะต้องการปกป้องพอร์ต

จบแล้วครับ ผิดพลาด ตกหล่น ขออภัยครับ

_________________




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2555   
Last Update : 13 สิงหาคม 2555 10:27:58 น.   
Counter : 2198 Pageviews.  


การขอเงินภาษีคืน จากเงินปันผล ที่สรรพากร

อ่านแล้วเห็นว่าดี น่าจะมีประโยชน์ สำหรับการลงทุน
ตัดมาจากเว็บพันทิพ
เครดิตผู้เขียน มีส่วนดีมีประโยชน์ ขอยกให้ผู้เขียนทุกท่านครับ



(น่าจะ 11764)



เว็บสรรพากร //www.rd.go.th/publish/41745.0.html



______________________________________________________

ปกติเงินปันผลเนี่ยจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%
ซึ่งสาเหตุที่เค้าหัก 10% เนี่ย ก็คือรัฐถือว่าเค้าจัดเก็บที่ฐานภาษีสูงสุดของบุคคลธรรมดา (ใครไม่ขอคืนรัฐก็ได้เปรียบ) ผมขออธิบายให้เห็นภาพนิดนึงนะครับ (แต่ผมก็พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องด้วยสิ )

สมมุติบริษัท A มีกำไรก่อนหักภาษีที่ 100 บาท โดนภาษี 30% เพราะฉะนั้นจะเหลือกำไรสุทธิที่ 70 บาท สมมุติบริษัท A นำเงินจำนวนนี้ไปจ่ายปันผลทั้งหมดก็คือ 70 บาท ซึ่งเงินปันผลตัวนี้ก็จะโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายที่ 10% ซึ่งก็เท่ากับ 7 บาท (70*10%)

จากข้างต้นจะเห็นใช่มั๊ยครับว่าภาษีที่รัฐจัดเก็บไปทั้งหมดก็คือ 37 บาท (30 บาทจากบริษัท และอีก 7 บาทจากผู้รับเงินปันผล) นั่นแหละครับที่มาว่าทำไมเค้าถึงเก็บ ณ ที่จ่าย 10% ก็คือเพื่อให้ชนเพดานอัตราภาษีสูงสุดขั้นสูงสุดของบุคคลธรรมดา

ดังนั้นหากบุคคลธรรมดาคนนั้นมีรายได้อยู่ในขั้นที่ต้องเสียภาษีที่ 37% อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปขอคืนครับ เพราะถือว่าโดนหักเต็มจำนวนไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในกรณีที่บุคคลธรรมดามีฐานภาษีที่ต่ำกว่า 37% ก็ขอคืนได้ในส่วนที่โดนจัดเก็บเกินไปครับ

คิดง่ายๆ ถ้าคุณฐานภาษี 10% ในเมื่อโดนหักไปแล้ว 37% ก็ต้องขอคืนได้ 27% ถ้าเป็นคนที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ ซึ่งไม่ต้องเสียภาษี ก็ขอคืนได้ทั้งจำนวน (ทั้งนี้ผมให้คิดแบบง่ายๆ นะครับ จริงๆ มันจะไม่ได้เป๊ะๆ แบบนี้)

ทั้งนี้ถ้าคุณอยากได้ Credit ภาษีคืนมากๆ ควรเลือกในบริษัทที่มีฐานภาษีที่ 30% (บางบริษัทจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจะเสียที่ 25% หรือ 0% ก็มีครับ เช่นพวกที่ได้ BOI)

จริงๆ เรื่องหาเงินจาก Credit ภาษีเงินปันผลนี่ก็มีคนทำกันนะครับ วิธีหากินง่ายคือซื้อก่อนขึ้น XD วันนึง เช่นซื้อหุ้นตอนปิดตลาดที่ราคา 10 บาท สมมุติหุ้นนั้นจ่ายปันผลที่ 1 บาท วันรุ่งขึ้นที่ขึ้น XD ตามหลักควรจะลง 1 บาท ดังนั้นราคาเปิดควรเป็น 9 บาท เราก็ขายทิ้งที่ราคาเปิดเลยครับ เท่ากับว่าเราไม่ได้กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น หลังจากนั้นก็ทำลักษณะดังกล่าวไปเรื่อยๆ ทุกวัน ซึ่งก็จะไม่ได้กำไรขาดทุนจากจุดนี้

กำไรที่เราจะได้ มาจากการเอามาขอ Credit ภาษีคืนครับ สมมุติทั้งปีคุณได้เงินปันผลทั้งปีมาที่ 1 แสนบาท ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มไม่ต้องเสียภาษี ก็จะได้เงินคืนมาไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทครับ

คุณKatsu Yoshi เขียนไว้ที่ //www.innovaclub.net/SMF-Board/index.php?topic=9236.0

______________________________________________________

caerask

Sunday, February 13, 2011

การขอคืนเงินภาษีจากเงินปันผล (เครดิตภาษี)

ถ้ามีรายได้จากหุ้นอย่างเดียว (Capital Gain) ไม่ต้องยื่นครับ

แต่ถ้ามีรายได้จากเงินปันผลด้วย ยื่นเพื่อใช้สิทธิเครดิตภาษีเงินปันผล
กับขอคืนภาษีเงินปันผล ที่ถูกหัก10% ไป (ยื่นเฉพาะส่วนปันผล)
ให้กรอก ภงด. 90 แทนที่จะเป็น ภงด.91


https://rdserver.rd.go.th/publish/page01_pnd901.htm

จะมีช่องให้กรอกว่าได้ปันผลจากที่ไหน อัตราเท่าไหร่
โดยนำข้อมูลจาก Slip ที่ี TSD บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
(ประเทศไทย) ส่งมาให้


วิธีการคำนวณ

สมมติว่า ตัวเราถือหุ้นของบริษัท XYZ จำนวน 10,000 หุ้น
หากต้องการเครดิตภาษีปันผล สิ่งที่ต้องทำคือ

1) ลืมเรื่องว่าได้รับเงินปันผล (ที่อยู่ในเช็ค หรือโอนเข้าบัญชี) เท่าไรไปก่อน

2) คำนวณหาเงินปันผลที่ควรจะได้ หากไม่โดนหักภาษีสองรอบให้ได้ก่อน
วิธีคือดูในใบกำกับเงินปันผลที่ได้จาก TSD นั่นล่ะครับ เขาจะเขียนไว้ว่า
ส่วนไหนที่บริษัทโดนหักไปเท่าไร เราก็ทำการคำนวณย้อนกลับมา

เช่น ถ้าเราถือหุ้นบริษัท XYZ จำนวน 10,000 หุ้น
ด้านบนใบรายการจะเขียนว่า ได้ปันผล ที่ถูกหักภาษีในอัตราร้อยละ 30
เป็นเงิน 100,000 บาท แต่จริงๆ แล้ว ถ้าไม่โดนหักภาษีจะต้องเป็นเงิน
100,000/0.7 = 142,857.14 บาท

(ถ้าโดนหักไป 25% ก็หารด้วย 0.75, ถ้าโดนหักไป 20% ก็หารด้วย 0.8,
ถ้าโดนหักไปผสมๆ กันหลายส่วน ก็เอาแต่ละส่วนมาหารกันแล้วบวกกลับ
สรุปคือต้องคิดย้อนกลับไปให้ได้ก่อนว่า ถ้าบริษัทไม่เสียภาษีเลย
จขกท. จะได้ปันผลเท่าไร)

3) จากนั้น ก็เอาตัวเลขที่ได้ มาเป็น ฐานรายได้ หรือเอามาคำนวณรวมเข้าไปกับ
รายได้อื่นๆ ของเรา (ถ้ามี) แล้วก็นำมาคำนวณรวมๆ ดูว่าควรเสียภาษีเท่าไร
ถ้า เสียมากไป (แน่นอนล่ะ ในกรณีตัวอย่างนี้) ก็จะได้ภาษีคืน

ข้อควรระวัง


ถ้านำรายได้จากเงินปันผลมารวมคำนวณภาษี จะต้องนำมา "ทุกรายการปันผลที่
ได้รับ" อย่าไปเลือกๆ เอามาเฉพาะอันที่คำนวณรวมแล้วเราได้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น
ถ้า จขกท ถือหุ้นบริษัทที่โดนเก็บภาษี 30% กับบริษัทที่ได้รับการยกเว้นภาษี เช่นที่
ได้รับการส่งเสริมการลงทุนบางประเภท หรือบริษัทน้ำมันบางบริษัทที่โดนเก็บภาษี
หฤโหดแบบ 35-40% ถ้าจะเครดิตภาษี ต้องเอารายได้ปันผลจากทุกบริษัทนี้มา
รวมกันให้หมด จะไปเลือกเอาเฉพาะบริษัทที่โดนเก็บภาษี 30% หรือมากกว่ามา
คำนวณ ไม่ได้
ถ้าไม่เอารายได้จากเงินปันผลมาคำนวณเลย ก็สามารถทำได้เช่นกัน คือถ้าไม่นำมา
คำนวณ ก็จะต้องไม่นำมาทั้งหมด ง่ายๆ แค่นั้นครับ

อ้างอิงข้อมูลที่มา... //caerask.blogspot.com/2011/02/blog-post.html




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2554   
Last Update : 25 ธันวาคม 2554 9:06:04 น.   
Counter : 3602 Pageviews.  


วิธีทำเงินหลักหมื่น เพิ่มเป็นหลักล้าน

______________________________________________________


เป็นข้อคิดความเห็น ที่เขียนอ้างอิงอย่างมีเหตุและมีผล
มันจะง่ายอย่างนั้นเลยหรือ ผมเป็นคนคัดลอกมาก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน
ลองอ่าน คุณpak แห่งเว็บ //board.thaivi.org/viewtopic.php?f=4&t=44460

เขียนไว้ได้น่าอ่านดีทีเดียว
(ขอขอบคุณ คุณpakสำหรับการแบ่งปัน)

______________________________________________________

ถนนสายนี้...มีคนเดินเข้ามามากหน้าหลายตาครับ


บ้างก็อยู่กับที่...ไม่ไปไหนเอาเสียเลย
บ้างก็เดินถอยหลังลงคลอง...อาจจะต้องตอบสวนความรู้สึกของกระทู้นี้ด้วยซ้ำไป

ว่า "มีไหมครับคนที่เริ่มลงทุนในหุ้นจากเงินหลักล้านถดถอยเป็นหลักหมื่น!!!"
แต่ก็มีไม่น้อยครับ...ที่สามารถใช้ถนนเส้นนี้ก้าวเดินไปสู่ประสบความสำเร็จ

กันมาแล้วมากมาย
ถนนเส้นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับ

แต่เท่าที่ผมได้สัมผัสมา คนที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่ยึดหลักแนว VI นะครับ

(นี่ถ้าไปพูดพูดเว็บอื่น โดนด่าตายห๊า ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
"VI ก็คล้ายๆกัยพระพุทธศาสนาครับ" คือ "หลักการง่าย...แต่ทำจริงไม่ง่ายเลย"
เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่า "กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง อารมณ์ต่างๆ

และอวิชชามากมายที่ถาโถมเข้าหาเรา"
ยกตัวอย่างให้ง่ายกว่านั้น...
"อานาปานสติ"...หลักการง่ายเหลือเกิน คือ "ตามรู้ลมหายใจ"
เห็นภาพใช่ไหมครับ? ว่า...หลักการเรียบง่าย แต่ทำได้ยากสำหรับผู้ที่ไม่เคยฝึกฝน


เช่นเดียวกันครับ "แนวการลงทุนแบบ VI"...หลักการก็ง่ายเหลือเกิน

 คือ "ซื้อหุ้นที่มี mos(Margin Of Safety)"
หลักการง่าย แต่ก็ยากในการปฏิบัติเช่นกัน

ด้วยหลักการง่ายๆแค่นี้แหล่ะครับ แต่มันทรงพลังยิ่งนัก
ยึดหลัก mos ให้มั่นๆนะครับ
เพราะด้วย Margin Of Safety ที่เป็นบวก จะทำให้เราไม่ขาดทุน

 และสามารถปกป้องเงินต้นไว้ได้
และด้วย Margin Of Story ของตลาดหุ้น

 จะทำให้เราสามารถทำให้เรามีเงินหลักล้านได้อย่างไม่ยากเย็น

(ไอ้ประโยคหลังนี้ ผมคิดเองนะครับ หลักการเค้าไม่มีหรอกนะครับ

 เดี๋ยวจะพามือใหม่ลงทะเลกันไปเปล่า)

การเติบโตของพอร์ต เราสามารถประมาณการเบื้องต้นได้ตามที่ K.Skyforever

 ทำตัวอย่างไว้ได้ครับ
แต่ชีวิตจริง แม่มมันส์กว่านั้นเยอะครับ 555+
เพราะแทบไม่มีสมการคณิตศาสตร์ใดในโลกจะสามารถอธิบายการเติบโต

ของพอร์ตเราได้ดีไปกว่า หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนแบร์ก

 (Heisenberg uncertainty principle)มั้งครับ
เพราะ มันไม่ใช่สมการเส้นตรง, มันไม่ใช่ Exponential ตรงๆ,

มันคือสมการอะไรก็ไม่รู้ซินะ
บางทีมาเป็นคลื่น อย่างกับ sinusoidal pattern เลยก็มี

"ตลาดหุ้น" แฝงไปด้วย "คณิตศาสตร์" มากมายทุกหนแห่ง


และคณิตศาสตร์นี่เอง ที่ปกปิดความลับ และสามารถลวงตาพวกเราได้มากมาย!!

วิชาของไอสไตน์ บอกเราได้ดีในเรื่องราวเหล่านี้
สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย...แต่วิชาคณิตศาสตร์กลับเปิดเผยความจริงของโลก

 และบอกว่า มันสามารถเป็นไปได้
ตลาดหุ้นเอง...ก็เป็นเช่นนั้น
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันกลับเป็นไปได้แบบง่ายดายจริงๆ
ถึงตรงนี้แล้ว...
ผมขอตอบคุณ ชัดๆก่อนเลยครับว่า "มันสามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน!!!"

ถ้าคุณลงทุน 5,000 บาท โดยซื้อจำนวน 10,000 หุ้น ในราคา 0.50 บาท
ใน Stage ที่ 1 การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น จาก 0.5 บาท ไปสู่ 1 บาท ก็โต 100%

 แต่เงินเพิ่มเพียง 5,000 บาท
และใน Stage ที่ 2 จาก 1 บาท ไปสู่ 2 บาท ก็โต 100% เช่นกัน แต่เงินเพิ่ม 10,000 บาท
และใน Stage ที่ 3 จาก 2 บาท ไปสู่ 4 บาท ก็โต 100% เช่นกัน แต่เงินเพิ่ม 20,000 บาท
และใน Stage ที่ 4 จาก 4 บาท ไปสู่ 8 บาท ก็โต 100% เช่นกัน แต่เงินเพิ่ม 40,000 บาท
100% เท่ากันในแต่ละ Stage...แต่กลับได้เม็ดเงินออกมาไม่เท่ากัน...นี่คือตัวอย่างเบื้องต้นหนึ่ง!!!
และเป็นที่มาของคำว่า "การรอคอย...คือกำไร"

ราคาหุ้น ก็คือ คณิตศาสตร์เช่นกัน
ราคาหุ้น หรือ Pricing Strategy ฝากไว้กับตัวเลขเพียงไม่กี่ตัว

 ที่สามารถหลอกคนได้เกือบทั้งตลาด

นั่นก็คือ p/e
p/e ตัวเลขที่สุดแสนจะทรงพลัง แต่มันกลับเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย
เพราะการเปลี่ยนแปลงของ p/e นี่เองครับ จะทำให้เรารวยได้ง่ายๆ
p คือ Price และ e คือ Earning
ไอ้ตัว e นี่แหล่ะครับ มันคือ "ตัวจี๊ด" เลยหล่ะ
ตัวจี๊ด แปลว่า มันไม่เคยหยุดนิ่ง และมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก
หุ้น Commodity ก็ใช้ประโยชน์จากตัวนี้
หุ้นปั่นแบบไม่มีพื้นฐาน แต่มีกำไรพิเศษ ก็ใช้ประโยชน์จากตรงนี้
หุ้น Turnaround ก็ใช้ประโยชน์ตจาก earning หรือ ตัวจี๊ดตัวนี้เช่นกัน
ดังนั้น Earning คือสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นที่มาของการทำ DCF อะไรทำนองนั้นอ่ะนะ

(ผมก็ทำละเอียดยังไม่ค่อยเป็นเช่นกัน)

ตลาดหุ้น มันไม่ง่ายดาย เพราะมันมีผู้เข้ามาแสวงหาประโยชน์มากมาย
ผมนิยามว่า "เจ้ามือ" คือ "ใครก็ได้ ที่เค้าแกร่งกว่าเรา"
เจ้ามือจะเล่นกับอารมณ์ของเรา ด้วยตัวละครง่าย คือ...

"5 ช่อง 2 ข้าง 3 สี"

แค่นี้จริงๆนะครับ
2 ข้าง คือ ฝั่งบิด และฝั่งออฟเฟอร์
และเค้ามีพื้นที่การแสดงเพียงฝั่งละ 5 ช่องราคา
และ 3 สี คือ เขียว เหลือง และแดง
แต่ไอ้ของง่ายนี้แหล่ะครับ "5 ช่อง 2 ข้าง 3 สี" ที่มันทำให้คน ตกรถ, ติดดอย, ขายหมู
และของง่ายๆนี้ก็ทำให้คนหมดตัว และกระโดดตึกตายมาแล้วเช่นกัน

ถ้านึกภาพไม่ออก ลองไปนั่งดูการเทรดของหุ้นร้อนดูละกันครับ
แล้วถามตัวเองว่า หัวใจของคุณรู้สึกอะไรบ้าง???
แต่โจทย์ใหญ่ของความสำเร็จ คือ คุณต้องก้าวข้ามอารมณ์เหล่านี้ไปให้ได้นะครับ

คนที่ประสบความสำเร็จนั้น
นอกจากจะต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อที่จะซื้อหุ้นให้ถูกตัว ถูกเวลา แล้ว
เค้ายังต้องผ่าน "การทดสอบ" นับครั้งไม่ถ้วน
เจ้าลากขึ้น...เสมือนจะถามเราว่า มรึงจะขายไหม?
เจ้าทุบลง...เสมือนจะถามเราว่า มรึงจะขายไหม?
ตลาดฯสร้างช่องว่างแห่งความโลภและความกลัวให้เราตลอดเวลา
แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เค้าเชื่อมั่นในอะไรบางอย่าง มากกว่าอารมณ์ที่ตลาดสร้างให้เรา

ยิ่งเขียนก็ยื่งฟุ้ง
สรุปดีกว่าครับว่า...
"เงินล้าน ถ้าเราคนเดียว คงอาศัยเวลายาวนานเหลือเกิน"
แต่ด้วยบริษัทฯจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เรามีผู้ช่วยเยอะครับ
"CEO , บอร์ดบริหาร และพนักงานทุกคน" คือตัวช่วยของเรา ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากเงินลงทุนของเรา
แต่การจะเลือกตัวช่วยที่ดี นั่นก็คือ "เราต้องใช้หลักการของ VI" มาเป็นตัวคัดกรอง

สรุปสั้นๆได้ว่า...คุณมาถูกทางแล้วขอรับ (^_^)

______________________________________________________


บทความเรื่อง : "ตกรถ" กับ "ไม่รู้จักรถ"
By pak

ถ้าเรารู้ใน 3 ข้อหลักๆ ว่า...
1) เราอยู่ที่ไหน?
2) และเราจะไปไหน?
3) และรถเมล์แต่ละคันมีเส้นทางการเดินทางอย่างไร?
ผมเชื่อว่าเราจะ "ไม่หลงทาง" ครับ!!!

ผมคือคนที่นั่งอยู่ "บนรถ" ครับ
และภาพที่ผมเห็นจนชินตา คือ...

"บางครั้ง...ผู้คนมากมายแย่งยื้อกันเพื่อจะขึ้นรถ
แต่บางครั้ง...รถกลับโล่ง โหรงเหรง แทบจะไร้ผู้คน
...ทั้งๆที่เป็นบนรถคันเดียวกันแท้ๆ!!!"

มีบ้างครับ...ที่ผมเห็นคน "รีๆรอๆด้อมๆมองๆ" จะขึ้นรถ...แต่ก็ไม่ขึ้น
เพราะเค้าไม่แน่ใจครับ ว่าปลายทางของรถที่ผมนั่งอยู่จะไปที่ใด?

มีบ้างครับ...ที่ผมเห็นคนขึ้นๆลงๆเปลี่ยนรถไปเรื่อยๆ
น่าจะเป็นเพราะ เค้าไม่มีข้อมูลมากพอเกี่ยวกับเส้นทางการเดินรถครับ ทำให้เค้าไม่มั่นใจ
ข้อมูลที่เค้าได้มาจากการถามคนแถวๆนั้น ก็ไม่เพียงพอจะทำให้เค้าเชื่อมั่นได้ครับ

แต่บนรถที่ผมนั่ง มันก็ไม่ได้มีแต่สิ่งที่ผมต้องการหรอกนะครับ
บางครั้งรถก็เสียบ้าง ยางแตกบ้าง ความร้อนขึ้นสูงบ้าง
...ก็ต้องซ่อมกันไปตามเรื่องตามราวครับ แต่ผมก็ยังคงนั่งอยู่ "บนรถ" คันนั้น
เพราะผมยังมีปลายทางในใจของผม และผมเชื่อว่ารถคันนี้กำลังจะวิ่งไปที่จุดๆนั้น

ผู้โดยสารหลายท่าน ขึ้นมาบนรถ เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน แล้วก็จากกันไป
บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเพื่อนเยอะ บางครั้งก็รู้สึกเหงาๆนะ
แต่รถคันนี้ มัน "อิสระ" ครับ ใครจะขึ้นหรือลงที่ป้ายไหน...ก็ย่อมได้เสมอ

คำว่า "ตกรถ" สำหรับผมแล้ว...มันไม่ใช่ที่สิ่งน่ากลัวอะไรเลยครับ
หากเพียงเรารู้ว่า เราอยู่ที่ไหน? และเราจะไปไหน? และรถแต่ละคันมีเส้นทางอย่างไร?
อีกซักพัก รถคันหลังยังจะตามกันมาอีกเยอะแยะมากมายอยู่แล้วครับ

ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า "เราตกรถ"
ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า "เราอยู่บนรถ" หรือ "เรายังไม่ได้ขึ้นรถ"
ปัญหาที่แท้จริง คือ เรารู้จัก "รถแต่ละคัน" ดีเพียงพอหรือยัง?
...ก็เท่านั้นเองครับ


pak
(^_^)

_________________
"ราคาหุ้นคือสิ่งที่คุณต้องกำหนดเอง
หาใช่ให้ผู้อื่นหรือตลาดมาเป็นผู้กำหนดให้ไม่!!!"
บทความเรื่อง"หุ้น Turnaround"
ที่ //board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=43317




______________________________________________________

มาติดตามความฝันของน้องชายอีกคนหนึ่ง
ที่จะให้เงินทำงาน แบบมีเป้าหมายในอนาคต
(คนหนุ่มที่มีอนาคตสดใส)
บล็อกเก็บความฝัน การวางแผนการเงินอย่างมีระบบ

//skyforeverinvestment.blogspot.com/

ตาราง การเงินที่น้องเขาเขียนไว้ ลองคิดตามอาจจะเห็นจุดประกาย



______________________________________________________








 

Create Date : 23 ธันวาคม 2554   
Last Update : 24 มีนาคม 2555 10:00:12 น.   
Counter : 1620 Pageviews.  



P_ปรัชญา
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




หยิ่ง
กับตัวเองบ้าง
ในบางครั้ง

เบื่อ
ชีวิตความผิดหวัง
ในบางหน

เกลียด
ความไม่จริงใจ
ในบางคน

ยอมทน
คนหยามเหยียดได้
ในบางที


[Add P_ปรัชญา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com