เกริ่นนำ เปิดตัว

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ก่อนอื่นขอแสดงเจตนาบริทธิ์ก่อนว่า ที่เขียนข้อมูลบทความ
หาได้ชวนท่านผู้อ่าน ไปลงทุน หรือเก็งกำไร เพียงบันทึกไว้บางส่วน
หากท่านนำข้อมูลเหล่านี้

ซื้อ หรือ ขาย
กำไร หรือ ขาดทุน

จากข้อมูลเหล่านี้ ท่านต้องเข้าใจด้วยว่า
เงินในกระเป๋าของท่านที่ควักออกมาซื้อหุ้นนั้น
หาได้มีใครเอาปืนมาจี้ ข่มขู่ หรือบังคับ
หากเกิดข้อผิดพลาดจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ท่านต้องโทษตัวเอง
อย่าหาแพะมารับบาป ห้ามโทษผู้อื่นโดยเด็ดขาด
ด้วยความปราถนาดี โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน

ผมได้รับแรงบันดาลใจจากการเล่นหุ้น นับถือ ศรัทธา เลื่อมใส
หากไม่มีท่านเหล่านี้ ผมคงไม่มีแรงบันดาลใจ เขียนเรื่องเหล่านี้เลยครับ
ขอยกย่องท่านเหล่านี้ ไว้ ณ.ที่แห่งนี้



เฮีย ดับเบิ้ลคอ (เฮียคลายเครียด)
ในภาพจะเห็นได้ว่า เฮียหลบให้ผมโชว์ความหล่อให้ผมคนเดียว
เฮียเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ที่ผมรักนับถือ เฮียให้ข้อคิดมากมาย
เตือนสติในโลกของการลงทุน เฮียปลอบใจเสมอ

พันคนทุกข์พันอย่าง

เป็นสัจธรรม เฮียตั้งสำนักTemple Boxing School
เป็นผู้บัญญัติคำ มนุษย์หุ้น มันก็เป็นเช่นนั้นเอง
รับปรึกษาและแนะนำได้ทุกอย่าง
ยกเว้นเรื่องยืมตังค์
______________________________________________________




คุณธันวา เลาหศิริวงศ์
จาก...www.thaivi.com

คุณธันวาเป็นนักลงทุน Good Investor
ผมได้เรียนรู้ถึงการบริหารธุรกิจ รู้จัก IBM ดีขึ้น
เห็นถึงความมีจรรยาบรรณ ความโปร่งใสในการประกอบธุรกิจ
ความซื่อตรงต่อการทำงาน ผมปรับเปลี่ยนการลงทุน
ที่ไม่ได้มุ่งหวังแต่ผลกำไร แต่มุ่งไปที่ความสุขใจกับอนาคตตามวิสัยทัศน์
__________________________________________________



หนุ่มน้อยคนนี้มาแทนคุณพ่อ ชาญชัย ยงปิยะกุล
พ่อมดการเงิน ตอบปัญหาได้มากกว่าศิราณีแห่งเดลินิวส์
อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผม เทคนิคทางคอมพิวเตอร์
เครื่องมือการเขียนบล็อก ตลอดจนโปรแกรม และมากมีน้ำใจ
เสมอต้นเสมอปลายตลอดมา
__________________________________________________



คุณมนตรี นิพิฐวิทยา
ผู้ก่อตั้งเวปไทยวิ ผู้เขียนพ็อกเก็ตบุ๊ค อ่านก่อนรวยถาวรกว่า
ถ้ายังไม่อ่าน จะรวยไม่ค่อยถาวร นะอิอิ
ผมชอบเรียกคุณมนว่า เจ้าสำนัก....
ผู้เกื้อกูล เอื้อเฟื้อ เป็นกันเองมาโดยตลอด

_____________________________________________________________________



คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ
นักเขียนคอลั่มน์นิสต์ ปากกาคม คารมดี
______________________________________________________


คุณเจ๋ง ที่รักวิธีการลงทุน แบบบับเฟต์
สไตล์การลงทุนซื้อทั้งบริษัท เป็นเงินเท่าไหร่....
มันดีนะ มันถูกนะ ทำไมราคามันยังลงมาอีก
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในโลกการลงทุนของผม

______________________________________________________


น้องธิติพล ศรัทธาพร
ถึงแม้ว่ายังหนุ่ม แต่ความคิดริเริ่มแบบผู้นำ
อ่านหุ้นเก่ง เขียนกลอนแบบมืออาชีพ
และได้ให้การสนับสนุนผม ได้เขียนเรื่องราวต่างๆมากมาย
ขอบคุณทุกท่านครับ

__________________________________________________________________









______________________________________________________

"ละครบทเก่าของนักเล่นหุ้น "ฆ่าตัวตาย-ประท้วง-คลังแทรกแซง"
จากนิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2538)

ข่าวร้ายยุคไร้สติปราบเซียนหุ้นสิ้นปี กดดันให้วิวัฒน์ ศรีสัมมาชีพ
ต้องฆ่าตัวตายประท้วงตลาดหลักทรัพย์เปรียบไปก็เหมือนโศกนาฎกรรม
ในบ่อนการพนัน ที่ผู้เล่นยอมรับกติกาบ่อนไม่ได้และมองโบกในแง่ร้ายกว่า
ความเป็นจริง กติกาที่ว่านี้คือมาตรการฟอร์ชเซลล์ที่บังคับขายหุ้นที่ไปวาง
ค้ำประกันเงินกู้มาเล่นหุ้น เพื่อลดความเสี่ยง

"แม้จะมีการประท้วงด้วยการยิ่งด้วยการยิงตัวตาย ก็ไม่ได้กระทบ
ต่อหน้าที่ของผมเพราะจะทำอะไรต้องมีสติและรอบคอบ ไม่ใช่เมื่อมี
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว ทำอะไรไม่ถูก ซึ่งผมจะอยู่หน้าที่ในฐานะ
ผู้นำของตลาดหุ้นต่อไป" เสรี จินตนเสรียืนยัน ฐานะกรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์ต่อไป หลังหายช็อคจากเหตุร้ายที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

การประท้วงกดดันให้ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ลาออกครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก
ในปี 2525 ยุคตลาดหุ้นที่เคยซื้อขายกันวันละ 250 ล้านบาทต่อวัน ลดเหลือ
เพียงวันละไม่ถึง 10 ล้าน นักเล่นหุ้นรายย่อยแบบมาร์จิ้นต่างเจ็บหนักขณะที่
โบรกเกอร์กลุ่มหนึ่งก็เรียกร้องให้กระทรวงการคลังยุคปู่สมหมาย ฮุนตระกูล
เป็น รมว. คลังเข้าช่วยเหลือภาวะซบเซานี้ ผลจากการแทรกแซงครั้งนั้น
ทำให้สามผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์ยื่นใบลาออก
ได้แก่บัณฑิต บุณยะปานะ ประธานกรรมการ
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม กรรมการและผู้จัดการทั่วไป
และทวี วิริยฑูรย์ รองผู้จัดการ

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาของตลาดหลักทรัพย์โศกนาฏกรรม
ของผู้ลงทุนรายย่อยได้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2520 หุ้นของราชาเงินทุน
ของเสรี ทรัพย์เจริญที่ปั่นราคาจาก 275 บาท พุ่งขึ้นสูงสุด 2,470 บาท
และภายในปีเดียวกันก็หล่นวูบลงเหลือ 375 บาท บริษัทราชาเงินทุน
มีปัญหาชำระเงินคืนลูกค้าผู้ตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้ เพราะเช็คเด้งเนื่องจาก
แบงก์กรุงเทพปฏิเสธการจ่ายเงิน จนทางแบงก์ชาติต้องเพิกถอนใบอนุญาต
นักเก็งกำไรที่กู้ยืมเงินทองทั้งหมดซื้อหุ้นเพิ่มทุน เพื่อหวังรวยจากลูกหุ้น
ราคาถูกต่างก็สิ้นเนื้อประดาตัว บ้างก็โดดตึกฆ่าตัวตาย บ้างก็เป็นบ้าเคาะ
กระดานสูง-ต่ำอยู่ในโรงพยาบาลศรีธัญญา เป็นที่น่าสลดสังเวชใจ

แม้เวลาจะเพิ่มประสบการณ์ชีวิต แต่สัจธรรมที่ว่าความโลภไม่เคยปรานีใคร
ก็ทำให้เกิดเหยื่อรายใหม่ ๆ เกิดขึ้นเพราะคิดว่าเป็นคนละเรื่องที่น่าจะออกตัว
ได้ทัน แต่อนิจจา…กรณีของวิวัฒน์ ศรีสัมมาชีพก็เกิดขึ้นฟ้องตัวเองว่ากู้ยืม
เงินเล่นหุ้นและติดหุ้นราคาสูงไว้ เมื่อถูกบังคับขายก็แทบบ้าฆ่าตัวตายเพื่อ
ประท้วงเสรี โชคร้ายที่วิวัฒน์ลืมคิดไปว่า ในการพนันทุกชนิดคนรวยที่สุด
คือ "เจ้ามือ" ส่วนคนที่เล่นชนะแล้วรู้จักเลิกเล่น นั่นแหละคือหนทางรอด

ท่ามกลางความวิตกกังกลเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ซึ่ง ดร. สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นถึง 3 แสนกว่าล้านบาท
หรือเกือบจะถึง 7% ของจีดีพี ทำให้นักลงทุนต่างชาติขนย้ายเงินหนีไป
หาตลาดอื่น ๆ กระทบกระเทือนดัชนีหุ้นตกต่ำวันละ 15-20 จุด การแก้ไข
ปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัดต้องใช้เวลาหลายปีที่จะลดยอดขาดดุลให้เหลือ
ต่ำกว่า 1% ตามเป้าหมาย ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าต่อให้เทวดามาเกิดก็แก้ไม่ได้
ระยะสั้น แต่ที่หยิบกยมาเป็นประเด็นคือความไม่เชื่อมั่นใน
ผู้บริหารกระทรวงการคลัง

"ถ้ามีความมั่นใจ ทุกคนก็จะยอมซื้ออนาคต แต่หลังจากที่ผ่านมา 3 เดือน
ต่างชาติดูแล้วไม่ค่อยแน่ใจก็เลยขายดีกว่า" ดร. สมชายวิเคราะห์เหตุให้ฟัง

วิกฤตการณ์ตลาดหุ้นขณะนี้เป็นหนึ่งในแรงกดดันทางการเมือง ที่มีผลต่อ
เสถียรภาพรัฐบาล และเศรษฐกิจโดยม็อบเซียนหุ้นและโบรกเกอร์ต่างดา
หน้าสู่ทำเนียบรัฐบาล และรุกหนักทางกระทรวงการคลังให้แทรกแซงเข้า
ช่วยเหลือเหมือนละครฉากเก่า ๆ ที่เคยเป็นมา

แรงกดดันทางการเมืองนี้ผลักดันให้บทบาทของสุรเกียรติ เสถียรไทย
ในฐานะประธานกรรมการต้องออกมาทำหน้าที่ "หมอใหญ่" ผ่าตัดรักษา
คนไข้โรคถุงเงินอักเสบ ด้วยมาตรการเสริมสภาพคล่องในตลาดตั้งแต่
วันที่ 20 พ.ย. ศกนี้ ด้วยการจัดสรรเงินกู้ 30,000 ล้านบาทที่ระดมผ่าน
แบงก์กรุงไทยแก่ผู้เล่นหุ้นในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน 10% ต่อปี

เม็ดเงินที่อัดฉีดไป 30,000 ล้านบาทนี้แบ่งเป็นสองก้อน
ก้อนแรก 10,000 ล้านบาทให้กับนักเล่นหุ้นประเภทมาร์จิ้นผ่อนชำระ
โดยไม่เรียกหลักประกันเพิ่มหรือบังคับขาย ส่วนที่เหลือ 20,000 ล้านบาท
เสริมสภาพคล่องโดยแบงก์กรุงไทยจะเป็นคนคัดเลือกให้สินเชื่อแก่บริษัท
ในสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ที่จะเป็นผู้กำหนดซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง

นอกจากนี้การปรับลดอัตราอินนิเชียลมาร์จินลงจากเดิมที่คิดใน
อัตรา 40% เหลือ 30% ก็เพิ่มกำลังซื้อให้มากขึ้นเนื่องจากมีเม็ดเงินใหม่ ๆ
เข้ามาเสริมสภาพคล่อง เสริมด้วยมาตรการที่ให้ออกซิเจนแก่คนไข้หนัก
ด้วยการรับจำนำใบหุ้นเก่าซึ่งถือเป็นทางออกสำหรับผู้เล่นหุ้น
ที่ถูกบังคับขายในบางส่วนด้วย

แต่มาตรการระยะสั้นทั้งหลายทั้งปวงที่เร่งเสริมสภาพคล่องของ
ตลาดหลักทรัพย์นี้ มีปัญหาใหญ่ที่หนักหน่วงอยู่ประการเดียว
คือคนไข้ไม่มั่นใจว่า "หมอใหญ่" อย่างสุรเกียรติ์ เสถียรไทย
จะชำนาญโรคหรือไม่ ?!

ดังนั้นข่าวร้ายสิ้นปีนี้จึงอาจจะเป็นแรงกดดันทางการเมืองที่จะทำให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีคลังคนใหม่ในปีหน้า ขณะที่
นักลงทุนรายย่อยก็ต้องเผชิญชะตากรรมยามเศรษฐกิจไร้ฟองสบู่

-----------------------------------------------------------------------------


ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ
แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย

______________________________________________________


ธุรกิจ : Quotes of The Day
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2552 09:00
จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ทุกๆ เหตุการณ์ข่าวสำคัญ ในหนังสือ 2530-2551
จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis
เพื่อทำให้เข้าใจปัจจุบัน และมองอนาคตได้อย่างถูกต้อง

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก
Great Depression หรือภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุด
ผ่านเลยมาแล้ว 73 ปี (เกิดขึ้นระหว่างปี 2472-2478) จวบจนวันนี้
ยุคข้าวยากหมากแพงก็หมุนกลับซ้อนทับประวัติศาสตร์อีกครา
สัจธรรมของเหรียญที่มีสองด้าน ภายใต้วิกฤติจึงแฝงเร้นไว้ซึ่งหนทาง
อยู่ที่ใครจะพลิกวิกฤตินั้นเป็นโอกาส

เหตุการณ์ Black Monday วันจันทร์ทมิฬที่เกิดขึ้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2530
นับเป็นวิกฤติตลาดหุ้นครั้งประวัติศาสตร์ของโลกและของไทย กระทบ
มายังตลาดหุ้นทั่วทั้งโลก เป็นวิกฤตการณ์ที่ต้อนรับการถือกำเนิดของ
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (6 ตุลาคม 2530) เพียงไม่กี่วัน
เหตุการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงกับนักลงทุน
ในตลาดหลักทรัพย์เป็นจำนวนมากแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ดัชนีราคาหุ้น
ลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงสุดที่ 472.86 จุด มาอยู่ที่ระดับต่ำสุด
ที่ 243.97 จุด ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2530 โดยระดับดัชนีลดลง
ถึง 228.89 จุด หรือ 48.4 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือน

พอเกิดเหตุการณ์ Black Monday ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและ
เอกชนต่างตระหนักถึงผลกระทบและระดมกำลัง ทั้งมีการจัดตั้งกองทุน
และดำเนินมาตรการหลายประการเพื่อแก้ไขสถานการณ์จนคลี่คลาย
ความตื่นตกใจ ทำให้ระดับราคาหุ้นกลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

วิกฤติครั้งนั้น ก็คือ “โอกาส” สำหรับใครอีกหลายคน
ในยุคส่งผ่านอำนาจ จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาสู่พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ
หัวหน้าพรรคชาติไทย นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศไทย
ได้ก่อให้เกิดประวัติศาสตร์เศรษฐกิจหน้าใหม่ของประเทศไทยที่
ต้องจดจำ ทั้งรีบเร่ง รุ่งเรือง หลงระเริง ฟุ่มเฟือย และเจ็บปวด
ความรู้จักอดออม ดำรงความเป็นอยู่อย่างไม่ฟุ่มเฟือยในยุครัฐบาล
ป๋าเปรม สะสมฐานะทางการคลังจนเข้มแข็ง ส่งต่อผลดีมาถึงรัฐบาล
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หันมายึดนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
การคลังเชิงรุก ขยายการลงทุนไปทุกสารทิศบนฝันอยากเป็น
“เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย” ยุคนั้นเราจะได้ยินคำว่า NICs
หรือ Newly Industrialized Countries และนโยบาย
“เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” อันโด่งดังในยุคน้าชาติ
"No Problem ..ไม่มีปัญหา” เป็นวลีที่ผู้นำพูดให้ได้ยินกันจนติดหู
แม้ยุคนั้นจะใช้การลงทุนเป็นธงนำ แต่ก็ขับเคลื่อนเศรษฐกิจล้อไป
กับนโยบายประชานิยมดีๆ นี่เอง เราได้ยินโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด
เราได้เห็นราคาที่ดินพุ่งทะยานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เวลา
ฮันนีมูนของน้าชาติก็มาสะดุดหลังจากเกิดไฟสงครามอ่าวเปอร์เซีย
อิรักบุกยึดคูเวตเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ปัญหาคอร์รัปชันแพร่กระจาย
ในวงกว้าง จนรัฐบาลชุดนี้ถูกตั้งฉายาว่า “รัฐบาลบุฟเฟ่ต์คาบิเนต” ในที่สุด
ก็ถูกคณะรสช.นำโดย "บิ๊กจ๊อด" พลเอกสุนทร คงสมพงษ์
โค่นลงจากอำนาจ

หลังจากคณะรสช.แต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เข้าดำรงตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจไทยยังไม่ทันจะฟื้นตัว รสช.ก็วางแผนสืบ
ทอดอำนาจ วางตัวให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
จนเกิดขบวนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่โดยพลังประชาชน
นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง และบานปลายนำไปสู่เหตุการณ์
“พฤษภาทมิฬ” ที่ต้องจดจำ

ในปีเดียวกันนั้นเองก็ได้ก่อกำเนิดนักเลงหุ้นระดับพระกาฬที่ประวัติศาสตร์
ต้องจารึก เขาคือ “สอง วัชรศรีโรจน์” ศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย
ที่เข้ามาแสวงหาโอกาสความร่ำรวยจากตลาดหุ้น ผ่านมาแล้ว 16 ปี
จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีชื่อสองอยู่เบื้องหลังหุ้นร้อนหลายต่อหลายตัว

ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกอีกครั้งในช่วงปลายปี 2536 ดัชนีราคาหุ้นติด
เครื่องทะยานขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง มีเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกวันในช่วงนั้น
หุ้นทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ 1,753.73 จุด จนกระทั่งถึง
วันนี้ 15 ปีผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่เคยไต่ขึ้นไปถึงจุดนั้นได้อีกเลย

“สูงสุดคืนสู่สามัญ” คือความจริงแท้แน่นอน ไม่มีฟองสบู่ใดจะยืนยาว
และมั่นคงเท่ากับพื้นฐานที่เป็นจริง ในที่สุดงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา
รัฐนาวาชวน 1 ดำเนินไปได้พักใหญ่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.4-01
ก่อนจะเปลี่ยนผ่านมาสู่รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา กงล้อเศรษฐกิจไทย
เริ่มหมุนอย่างเชื่องช้า ขณะที่ภาคเอกชนยังหลงระเริงเงินกู้บีไอบีเอฟ
โดยไม่หวั่นเกรงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ขณะที่ในหลายธุรกิจได้เกิด Over Supply

ปีศาจร้ายเข้ามาเยือนแล้วอย่างเงียบๆ

ในยุค "นายบรรหาร" ตลาดหุ้นไทยต้องถูกบันทึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์
อีกครั้ง เมื่อนักลงทุนรายย่อยทนไม่ไหวกับภาวะความตกต่ำ รวมตัวกัน
ประท้วงนายเสรี จินตนเสรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์
และนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังในขณะนั้น
และแล้ว เสียงปืนก็ดัง เปรี้ยง!!! ณ อาคารสินธร นายวิวัฒน์ ศรีสัมมาชีพ
ลั่นไกหมายปลิดชีพตนเองเพื่อประท้วง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์
ใดๆดีขึ้น และก็ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าปรอทวัดไข้เศรษฐกิจได้ส่งสัญญาณ
ใกล้ถึงจุดระเบิดแล้ว

เศรษฐกิจไทยมาถึง “จุดอับปาง” ในยุครัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 โดยสัญญาณร้ายเริ่มมีตั้งแต่
“ม็อบโทรศัพท์มือถือ” ก่อตัวประท้วงย่านถนนสีลม เริ่มมีข่าวลือสถาบัน
การเงินถูกปิดกิจการ ในที่สุดก็นำไปสู่การสั่งปิด 56 ไฟแนนซ์ ขณะเดียวกัน
ค่าเงินบาทเริ่มถูกนักเก็งกำไรโจมตีอย่างหนัก ธนาคารแห่งประเทศไทย
ต่อสู้จนทุนสำรองระหว่างประเทศหมด นำไปสู่การประกาศลอยตัวค่าเงิน
บาท และต้องเข้าโครงการขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่าง
ประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ

หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายระลอก
เศรษฐกิจไทยดำเนินไปด้วยความยากลำบากอย่างที่สุด ธุรกิจน้อยใหญ่
ต้องล้มละลาย ตลาดหุ้นตกต่ำถึงขีดสุดตกจาก 1,753 จุด ลงมาต่ำสุด
204 จุด มี “เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์” เกิดขึ้นมากมาย
รวมทั้งได้ก่อเกิดวลีดัง “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ของเจ้าพ่อวงกาเหล็ก
"สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง" และการต่อสู้ชนิดหัวชนฝาของ
"ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" เพื่อรักษาอาณาจักรแสนล้าน "ทีพีไอ"
สุดท้ายก็รักษาเอาไว้ไม่ได้

รัฐนาวาชวน 2 เข้ามาแก้ปัญหาในยุคที่เศรษฐกิจไทยมีความหวังเหลือ
เพียงเลือนราง และถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อเปิดให้ต่างชาติเข้ามารุมทึ้ง
เศษซากธุรกิจในราคาแบกะดิน นับตั้งแต่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เข้ามาบริหารประเทศ กว่า 5 ปี ด้วยนโยบาย “ประชานิยม” เอาใจรากหญ้า
กงล้อเศรษฐกิจไทยเริ่มขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ยิ่งรัฐบาลเข้มแข็งมาก
เท่าไร ก็ยิ่งสะสมจุดอ่อนมากขึ้นเท่านั้น และก็นำมาสู่การปฏิวัติรัฐประหาร
ล้างไพ่ใหม่อีกครั้ง

ทุกๆ เหตุการณ์ข่าวสำคัญ ในหนังสือ 2530-2551
จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis เล่มนี้
ให้ประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อทำให้เข้าใจปัจจุบันดีขึ้น
และมองทางเดินไปสู่อนาคตได้อย่างถูกต้อง
“คนเดินถนนที่ราบเรียบตลอดเวลา มักจะชะล่าใจชอบวิ่ง จึงมักหกล้ม
ในที่สุด แต่คนที่เดินบนถนนที่ขรุขระ มักระวังตัวเพราะความกลัวจึง
ปลอดภัย ธรรมชาติมักหยิบยื่นความสามารถให้แก่เรา ถ้าเรารู้เท่าทัน”

เล่มนี้เป็นหนังสืออ้างอิงข่าวเศรษฐกิจ “เล่มแรก-เล่มเดียว” ของ
ประเทศไทย ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงเสริม
ต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจ “ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย”
ตลอดช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษ ภายใต้การพิมพ์ของสำนักพิมพ์
กรุงเทพธุรกิจ Bizbook โดดเด่นด้วยกราฟฟิก “SET Index” มากถึง
21 ภาพ ช็อตคัตให้คุณได้ทำความเข้าใจและเรียนรู้สาเหตุการเติบโต
ตีบตัน ของตลาดทุนไทยในรอบ 21 ปีที่ผ่านมา

นี่คือหนังสือที่ทรงคุณค่าเล่มหนึ่งที่บันทึกประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย

Tags : จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20091115/86425/จาก-Black-Monday-ถึง-Hamburger-Crisis.html
______________________________________________________





 

Create Date : 24 มกราคม 2550   
Last Update : 27 กันยายน 2556 23:18:46 น.   
Counter : 3829 Pageviews.  


วิชาเผ่นพันลี้



เขียนโดย..aeaw

มินีซีรีส์ "เผ่นพันลี้"AEAW &CO

ขออนุญาตเฮียเอี๋ยวด้วยครับ เก็บมาจากกระทู้เก่าห้องสินธร

๑ คุณเอี๋ยวไปเจอยอดคนอำประกายที่ถ่ายทอดวิชาได้อย่างไร
อัธยาศรัยอันดีงามของคุณเอี๋ยว
ทำให้อาจารย์ยอมถ่ายทอดวิชาให้ ใช้หรือไม่

1.ปี 38 ผมพบเขาโดยเขาย้ายมาที่ธนชาติ มากับเพื่อนผม
ที่เดิมเขาปิดไปตามสมัยนิยม
เราพบกันทักทายแต่ก็ต่างคนต่างเล่น
ผมก็เล่นแบบงี่เง่าเสียเงินไปเรื่อยๆ
ตามแบบฉบับของรายย่อยทั่วไป
หุ้นยังคงตกไปเรื่อยๆพอเวลาลดค่าเงินบาท หุ้นตีกลับ
ผมถือได้5 ซิลลิ่ง ก็ขาย แต่มันไปต่อไม่เลิก
ในที่สุดผมทนไม่ไหวซื้อคืนที่ปลายดอย 55555
รายย่อยก็แบบนี้ ความอดทนและทนอดไม่พอ
ขายในเวลาที่ไม่ควรขายและซื้อในเวลาที่ไม่ควรซื้อ
และในที่สุดผมก็ติดหุ้นอีกแล้ว
จาก700 กว่าจุด ผมมา คัสลอสที่337 จุด
เพราะผมจะไปเที่ยวภูเก็ตกับเพื่อนๆ
ไม่อยากมีหุ้นแต่แล้วช่วงที่ไปเที่ยว
หุ้นกลับตีกลับ ไป400 ผมบินกลับเชียงใหม่ซื้อคืนทันที
ปรากฎว่า หุ้นตกอีก 2 week
ผมเครียดจนต้องเอาหัวไปแนบกับถังน้ำเย็น
เข่าอ่อน ท้อแท้ และโกรธตัวเอง
ในที่สุดตั้งใจถือยาว และแล้วมันก็ตีกลับไป 530
วันนั้นดีใจแม้จะได้เงินคืนเพียงน้อยนิด
วันนั้นคุยกับอาจารย์แบบเพื่อนๆคุยกัน
เราไม่เคยคุยกันเรื่องหุ้นเลยเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเก่งหรือปล่าว
ผมไม่เคยปรึกษาใครตัดสินใจด้วยตัวเองตลอด
อยู่ๆเขาเอ่ยปากถามผมว่า
เฮียเชื่อเราไม๊ ถ้าเชื่อ ขายล้างport เลย
และแม้ว่าจะเตลิดขึ้นไปก็อย่าไปสนใจปล่อยมันไป
เหมือนมีอะไรดลใจ ผมตอบว่า ผมเชื่อครับ
แล้วผม เทขายหมดเลย ตอนเย็นนั้นหุ้นขึ้นต่อ
มันขึ้นต่ออีกเป็นเดือนเกือบ2 เดือน
แต่ไปแค่ 560จุด เพียง 30 จุดเท่านั้น
แล้วเขาบอกให้รอโดยไม่บอกอะไรอีกเลย
นั่งก็นั่งคนละที่ต่อไป แต่กลางวันเริ่มไปกินข้าวและคุยกัน
หลังจากนั้นหุ้นเริ่มตก ผมเฝ้ารอคอย
ในธนชาติมีคนรู้จักมาถามว่าไม่ซื้อหุ้นเหรอ
มันตกต่ำกว่าที่ขายแล้วนะ ผมบอกว่าไม่ครับ
รอ เขาบอกคร่าวๆว่า ดู 400 ก่อน
บอกคนคนอื่นโดนหัวเราะเยาะใส่ 555555
แบบนี้ตลาดก็แตกนะซิ แล้วคนที่พูดก็เดินจากไป
ผมไม่สนใจ ผมเชื่อมั่น
เขาก็นั่งเฉยๆเล่นสั้นในแบบฉบับของเขาไปทุกวัน
แต่ผมไม่ซื้อเลยแม้แต่บาทเดียว
ช่วงนั้นผมหันไปขี่จักรยานออกกำลัง

"ตี4ขี่ขึ้นดอยสุเทพ 7โมงเช้าลงดอยมารับลูกไปส่งโรงเรียน"

แล้วมานั่งหลับในห้องค้า
เมื่อปั่นได้ที่จนเกิดอุบัติเหตุแขนหักทั้ง2ข้าง
เข้าเฝือกไปหลายเดือน หุ้นก็ยังแกว่งตัวลงมาตลอด
ผมนั่งอยู่บ้านอีกเดือนทนไม่ไหว
มาห้องค้าแตกตื่นกันใหญ่เรื่องแขนหัก
เขาทั้งคู่เห็นผมก็เรียก
และบอกให้มานั่งกับเขาแทรกระหว่างตรงกลาง
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาผมนั่งกับเขาตลอด
ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แท่งกราฟก็ไม่เคยดู รู้อย่างเดียว
มันมีแต่แท่งเขียวและแดง
ผมไม่สนใจมัน เขาบอกให้เล่นตามเขาไป
เขาซื้อ ผมก็ซื้อเขาขาย ผมก็ขาย เริ่มได้กำไร
ผมตามเขาไปตลอด เขาดูกราฟตลอดเวลาผมเริ่มสนใจ
ทำอย่างไรถึงจะรู้แบบเขานะ

เขาบอกว่าจงดูไปเรื่อยๆเมื่อสงสัยอะไรก็ให้ถาม แต่เขาจะไม่บอก

ลองคิดดูคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไร
งงอย่างเดียว แต่ก็ซื้อและขายตามตลอด
เมื่อใกล้ 400 เขาบอกว่าห้ามซื้อ มันเอาไม่อยู่
เขาบอก ไป 250 เลย ผมก็เลยรอต่อไปอีกนาน
จนเมื่อถึง250 เขาบอกให้โจมตีซื้อเลย
เราซื้อ เมื่อใกล้ 300 เขาบอกว่ามันแปลกๆ
ให้เททิ้งเขาล้าง port ผม งง
ผมยังไม่ทำตาม เกี่ยงขอขาย bbl ให้มากกว่าเขาอีก 25 สตางค์
ปิดตลาดเที่ยงเราออกไปกินข้าวกัน
ยังไม่ทันเปิดตลาดตอนบ่าย ข่าวออก
อเมริกายิงจรวดโทมาฮ็อกไป72 ลูกเข้าสู่อาฟกานิสถาน
หุ้นตกระเนระนาดทันที
จากกำไร ผมขาดทุนทันที เพราะไม่เชื่อ
หลังจากนั้นเขาก็บอกให้รอ 210 จุดทันที
ผมรอจนใกล้เมื่อ210 มาถึงเขาบอกอย่าพึ่ง ดูอีกนิด
พอไหลมา 204 เขาบอกซื้อทันที เต็มport เลย
หลังจากนั้น ผมเชื่อเขาทุกอย่างทุกคำพูด
แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร
แล้วหลังจากนั้น ดัชนีเล่นตามคำพูดเขาแทบทุกอย่าง เขา
บอกวันนั้นจะเป็นแบบนั้นถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันจะทำอย่างนี้
เขาบอกweekนั้นต้องเป็นแบบนั้น
และ month ต้องเป็นแบบนั้น ไม่อย่างงั้นจะป็นแบบนี้
หรือไม่ก็ไม่ใช่เลย ผมเริ่มรู้ว่ามีคนรู้จริง
เขาบอกผมว่า
เพราะพระเจ้าเมตตาประทานความรู้ให้เขาพบเจอ
ผมอยากรู้บ้างแต่ผมไม่ได้เปลี่ยนศาสนานะครับ
ผมอยากรู้จากเขา ผมไปซื้อ notebook
แล้วติดต่อ irs มาขึ้นมาใส่โปรแกรมที่เชียงใหม่
ผมเริ่มลงทุนเพื่ออยากจะเรียนรู้
เขาให้ผมไปนั่งดูกราฟเอง
โดยห้ามใช้เส้นค่าเฉลี่ยต่างๆ
ผมเจอแต่เขียวกับแดง ไม่รู้เลย
จนกระทั่งลองขยับไปมาแบบเขาแล้วจึงเห็นว่า
มันมีอะไร และพบข้อสงสัยขึ้นเมื่อนำไปถามเขา
พวกเขาหัวเราะ แล้วบอกว่าเจอแล้วหรือ
เมื่อพบและเจอผม ค่อยๆศึกษา
แต่ผมไม่เก่งมีข้อผิดพลาดเยอะงมไปแก้ไขไป
จากซื้อเครื่อง ปี 40 จนงมไปมาผ่านไป5ปี
ปี45 เขาบอกว่ารู้เรื่องเยอะแล้ว
กลางปี46 เขาบอกว่าตอนนี้เราคุยภาษาเดียวกันแล้ว

"แต่ขั้นตอนสุดท้าย เขาบอกว่าต้องตัดสินใจเอง"

ปัจจุบันผมเล่นคนละที่กับเขา

"เพราะผมอยากที่จะตัดสินใจเองแล้ว"

เมื่อหุ้นขึ้นจาก 204 เขาให้เล่นรอบแถว400 เพื่อลดต้นทุน
แล้วซื้อคืนเมื่อลงต่ำ ครั้งสุดท้าย 550
เขาให้ล้าง port แล้วบอกให้ไปรอ 250
ซึ่งเป็นเรื่องอีกเกือบ2ปี
เขาเรียกผมซื้อ nfs ที่3 บาท แล้วไปขายที่ 20 กว่าบาท
แล้วเขาให้ผมมารอรับ ที่ 4 บาท
ปรากฎว่าทุกอย่างที่เขาพูดเป็นจริงครับ
แปลกและมหัศจรรย์มากเลยสำหรับผมในตอนนั้น
แต่สำหรับคนที่ใช้วิชาหรือเครื่องมืออื่น ที่เก่งและชำนาญจริง
อาจไม่แปลก
การถ่ายทอดวิชานั้น อาจารย์ผมบอกว่าไม่สอนใครทั้งนั้น
เขาบอกว่าพระเจ้าเมตตาผมและรักผมมาก
พระเจ้าให้ผมเรียนรู้โดยผ่านเขา
เขาจะพูดยังไงผมไม่รู้ผม
รู้อย่างเดียวว่าเขาเป็นคนที่ถ่ายทอดให้ผม
ผมยังจดจำในบุญคุณนี้ตลอดเวลาครับ

"เขาไม่สนใจเล่น อินเตอร์เนต เขาไม่อยากดัง เขาต้องการสงบและเขารู้จักพอ"

เขาบอกว่าเพราะผมเป็นคนดี ผมไม่รู้ว่าดีตรงไหน
แต่เขาก็ถ่ายทอดให้ผมคนเดียว
ยกเว้นญาติพี่น้องของเขา ถ้าจะเรียนรู้
เขาจะสอนโดยไม่ปิดบังทันที ส่วนคนอื่นผมไม่รู้ครับ

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 19 ก.พ. 47 09:21:06 ]


๒ คุณเอี๋ยวได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชา"เผ่นพันลี้"มากี่ปีแล้วครับ

2. การเรียนรู้ก็ประมาณ 6ปีแล้วครับ
ผมยอมรับว่าความรู้นี้กว้างใหญ่
เรียนรู้อย่างไรไม่จบสิ้น
มีรูปแบบและความผันแปรที่พลิกแพลงและพิศดาร
ในรูปแบบของ set index บ้านเรา

"ผมยอมรับว่าขาลงคือโอกาสของการเรียนรู้
ขาขึ้นเล่นง่าย เล่นยังไงก็ได้เงิน
แต่ขาลงยอดฝีมือเท่านั้นถึงจะได้เงิน"

รูปแบบของบ้านเราเล่นยากที่สุดในโลก
ถ้าเป็นประเทศใหญ่ๆ
ผมว่ายอดฝีมือบ้านเรากินเงินง่ายมากครับ
ของเราเล่นนอกตำราเยอะ
เพราะต้องสกัดนักเก็งกำไรซึ่งบ้านเรามีมาก
และประเทศอื่นนักลงทุนจะมาก
ของเรานี่แบบผสมผสานทั้ง ไต้หวัน ฮ่องกง ยุโรป อเมริกา
สรุป เป็นแกงโฮ๊ะครับ

๓ สองสามีภรรยาที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้คุณเอี๋ยว
ยังคงเล่นหุ้นอยู่หรือเปล่า
นับเป็นสุดยอดคนอำประกายจริงๆ
นั่งดูหุ้นที่ห้องค้าได้นานถึงสองปี โดยไม่ได้ซื้อขายเลย

3. สุดยอดฝีมือทั้ง2 ยังเล่นอยู่ครับ

"แต่ตอนนี้ผมก็แยกมาทดลองการเรียนรู้อีกครั้งครับ"

เขาจะลงทุนเมื่อถึงเวลาที่จะได้เงินเท่านั้น
เขาจะขายเมื่อถึงเวลาที่จะลง

๔ หลังจากใช้เคล็ดวิชานี้ พอร์ตเริ่มดีวันดีคืนอย่างชัดเจนหรือไม่

4. หลังจากขาดทุนจนป่นปี้ เงินในกระเป๋า
เลข8หลัก หดเหลือ เลข 6หลัก
หุ้นต้องเริ่มใหม่จากหลัก พันหุ้น
ปัจจุบัน หุ้นในมือ เริ่มเล่นใน8หลักแล้วครับ
ส่วนกำไรขออนุญาตไม่พูด

๕ เคล็ดวิชานี้ ให้ผู้รับการถ่ายทอดปฏิญาณว่า
จะไม่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ใครหรือไม่
มิน่า ถึงไม่ยอมขึ้นเขียง เอ๊ยขึ้นเวทีไปบรรยาย ฮาๆๆ

5. ถูกต้องแล้วครับเฮีย
คงไม่ได้ถ่ายทอดตามความต้องการของอาจารย์
ท่านบอกคนรู้มากความผันแปรยิ่งมากเล่นหุ้นจะยากยิ่งขึ้น
เหมือนที่คุณ think_pos บอก
เป็นเพราะอะไรไม่รู้ยามใดที่ขึ้นกระทู้หรือมาบอกกล่าว
มักไม่เป็นไปตามนั้น
ส่วนถ้าเล่นในใจหรือเล่นเองมักเป็นตามนั้น

๖ แก่นแท้ของเคล็ดวิชานี้คืออะไร

6. แก่นแท้หรือหัวใจคือ

"หุ้นจะขึ้น ต้องมีหุ้นเต็ม port และหุ้นจะลง port ต้องว่าง"

บูชาเงินสดครับ และสิ่งสำคัญ

"ห้ามติดหุ้นอย่าบอกว่าไม่ขายไม่ขาดทุน"

เมื่อมีเงินย่อมมีโอกาสที่จะล้างขาดทุนในสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้น
และห้ามคาดว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จงดูมันทำ

๗ "เผ่นพันลี้" อาศัยการดูแรงกรรมแห่งความโลภและความกลัว
ผ่านทั้งกราฟแบบไหนครับ เมตาสต๊อก แท่งเทียน หรืออีเลียตเวฟ

7. การดูก็แบบแท่งเทียนครับ
แต่ห้ามไปท่องจำแบบของญี่ปุ่น
เช่นรูปแบบอย่างนี้จะเกิดแบบนั้น
การเรียนรู้ต้องอาศัยความเข้าใจ

"รูปแบบเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ว่าตามตำราเป๊ะ
ถ้าตามตำราจริงป่านนี้ทุกคนรวยหมดแล้วครับ"

รูปแบบการเล่นในตัวหุ้นต้อง
เลือกหุ้นที่ถูกกับลักษณะของนิสัยใจคอตนเอง
ตนต้องรู้ตนเอง จะรู้ว่าเมื่อต้องทนถือหุ้นจึงถือได้
และเมื่อจับก็จับได้
เล่นหุ้นที่ขัดกับนิสัยตัวเองโอกาสได้กินยากถือไม่ไหว
เช่นขายแล้วขึ้น ซื้อแล้วลง
จงศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนทุ่มเงิน
ไม่งั้นคุณอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวเมื่อผิดพลาด
อาจารย์เขาเมตตาผมถึงรอดไม่งั้นตายไปนานแล้วครับ 55555555555 จบ

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 19 ก.พ. 47 09:22:19 ]


ขออนุญาตถามคุณเอี๋ยวเพิ่มเติม
เผื่อนักลงทุนรายใหม่ๆจะได้ประโยชน์บ้าง
ขอแก้ไขเพิ่มเติม โดยใส่คำตอบของคุณเอี๋ยวลงไปด้วย

๑ ก่อนจะใช้วิชา"เผ่นพันลี้"
คุณเอี๋ยวก็สามารถตัดขายขาดทุน
โดยไม่ลังเลอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ครับ
ขนาดตัดขายขาดทุน ยังไปเที่ยวต่อได้ ไม่ธรรมดาแล้ว

๑ ตอนนั้นผมลงทุนตามกฎของผมคือ
ลงเพียง 10% ของสินทรัพย์
ถ้าหมดก้อนนี้ผมจะไม่เล่นหุ้นอีกต่อไป
เพราะแสดงว่ามันไม่ใช่ทางของเราอย่างแท้จริง

๒ ตามวิธี"เผ่นพันลี้"
เลือกเผ่นตอนไหนถือว่าสำคัญกว่ากัน
ก. เผ่นตอนขายหยุดขาดทุน
ข. เผ่นตอนขายทำกำไร

2. กำไรหรือขาดทุนก็ได้ ถ้าผมพบว่า ดัชนีจะลงลึก
และผมสามารถทำช็อตเซล เพื่อลดต้นทุน
และยามรีบาวน์ผมสามารถขายเพื่อล้างขาดทุน
และเริ่มนับ1 ใหม่เพื่อทำกำไรชุดใหม่ครับ

๓ ในกรณีที่ตัดสินใจผิดพลาดจากวิชา"เผ่นพันลี้"
เช่น ตัดขายขาดทุนแล้วหุ้นกลับขึ้น
ขายทำกำไรแล้วหุ้นกลับขึ้น เช่นกัน
ใช้วินัยอันไหนมารับมือกับความผิดพลาดครับ

3. อย่างนี้เรียกว่า ช็อตแพ้
ข้อสำคัญเราต้องดูออกด้วยว่าแพ้จริง
ไม่ใช่แค่รีบาวน์แล้วทุบกลับลงมา
ถ้าช็อตแพ้ต้องยอมซื้อคืนแล้วกินกำไรใหม่ครับ

๔ "ตั้งฐาน"คืออะไรครับ อธิบายพอคร่าวๆ
ในงานมีตติ้ง คุณเอี๋ยวบอกว่าพออ่านกระทู้เจอผมซื้อทุ่งคา
ก็พบว่าทุ่งคา"ตั้งฐาน" ไปเรียบร้อยแล้ว เลยไม่ตาม

4.การตั้งฐานก็คือการสะสมพลังของหุ้น
ตอนทุ่งคาเฮียเข้าใจผิดครับ
คือผมพบแล้วว่ามันตั้งฐานเสร็จเพื่อขึ้น
แต่ผมบังเอิญไปเจอตัวที่ตั้งฐานใกล้เคียง
แต่ดูชื่อชั้นแล้วน่าซื้อกว่าเลยไปเข้าตัวนั้น
เพราะโลภมากครับ ก็ วอร์แรนท์ นะครับเฮีย

ขอบคุณมากๆครับคุณเอี๋ยว
เออ ขอถามหลังไมค์แบบคุณอึ้งฯ
ตอนนั้นเครียดมากๆ
ได้ทำ "Kumpangdin visit"หรือเปล่า ฮาๆๆๆๆๆๆ

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 19 ก.พ. 47 09:31:16 ]




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2549   
Last Update : 15 ตุลาคม 2549 21:43:26 น.   
Counter : 1522 Pageviews.  


อ่านความหมายแท้จริงของคำว่า VI และ VS

เขียนโดย อยากเชือก


V = valuable = มีค่า มีประโยชน์

I = investor =
คนเอาเงินมาซื้อเพื่อเอากำไรจากดอกเบี้ยหรือส่วนต่างราคาหุ้น หรือกำไรจากปันผล (ถ้าลงทุนทำธุรกิจ สร้างโรงงาน ไม่น่าเรียกเป็น investor ควรใช้ศัพท์คำอื่น เช่นนักธุกิจ นักอุตสาหกรรม ฯลฯ)

S = speculator = คนเสี่ยงโชคเพื่อค้ากำไร มีทุกอาชีพทุกรูปแบบ เช่นเสี่ยงซื้อหุ้น เสี่ยงซื้อบ้านหรือที่ดินเพื่อรอขายต่อเอากำไร

V I คือ คนเอาเงินมาซื้อหุ้นโดยวางแผนล่วงหน้าว่าจะเอากำไรตามเป้าหมายหรือตามกำหนดระยะเวลานาน โดยจะไม่สะทกสะท้านหากราคาที่ซื้อจะตกลงเท่าไร จุดมุ่งมายคือต้องกำไรเท่านั้นจึงจะขาย และเมื่อถึงวันที่ขาย ก็จะมีความสุข ภาคภูมิใจที่ตนเองคาดการณ์แต่เริ่มต้นนั้นถูกต้อง สร้างคุณค่าทางใจได้ VI ที่แท้จริงคือ คนที่ซื้อหุ้นเมื่อยามวิกฤต อ่านวิกฤตเป็นโอกาส ขณะที่คนส่วนมากทิ้งหุ้นหนีจาก สรุปคือมีกำไรและความสุขใจสมคุณค่า โดยไม่สนใจเวลา ถือว่ามีฝีมือ จิตใจเข้มแข็ง อ่านเกมออก (เพราะซื้อเมื่อยามวิกฤต หากซื้อเมื่อยามตลาดเป็นกระทิงในราคาสูงแล้วยอมสู้กับเวลาถือยาวจนวันหนึ่งได้กำไรค่อยขาย ไม่ถือว่ามีคุณค่า ถือเป็นนักเสี่ยงโชคที่เอาเวลาเป็น ((ตัวช่วย)) เท่านั้น )
VS คือ คนเอาเงินซื้อหุ้นในราคาที่คนส่วนใหญ่คิดว่าแพง แล้วสามารถขายเอากำไรได้ในเวลาสั้นๆได้ พร้อมกับเอาส่วนที่กำไรไปซื้อหุ้นที่ตนเองคาดว่าจะกำไรในอนาคตได้ดีเก็บไว้ เมื่อถึงเวลานั้นก็ขายหุ้นที่เก็บไว้ได้กำไรและมีความสุข ภาคภูมิใจ อย่างนี้ก็ถือมีฝีมือ จิตใจเข้มแข็ง อ่านเกมออก (หากวางแผนซื้อและเชื่อจะขายได้กำไรมากในเวลายาวๆ ก็เข้าข่าย VI คือซื้อยามวิกฤตแพงแล้วไปขายสูงกว่าในเวลานานมากขึ้น มีความสุขเช่นกัน)
VI VS จึงแตกต่างตรงที่เวลาเท่านั้น เวลาจึงเป็นตัวตัดสินความสามารถของ 2 สไตล์
ตัวอย่าง นาย A ซื้อหุ้น ABC แล้วขายใน 2 วันได้กำไร 2 % แล้วเอากำไรซื้อหุ้น XYZขณะนั้นซึ่งราคาไม่ถูกในสายตาคนส่วนใหญ่ แต่เอาไปขายอีก 12 เดือน ได้กำไร
กับ นาย B ซื้อหุ้น XYZ เมื่อราคาตกมากๆ แล้วขายใน 12 เดือน ได้กำไร
โดยทั้งคู่วางแผนก่อนซื้อ และพอใจมีความสุข ภาคภูมิใจหลังขายมีกำไรตามต้นทุนที่ตนเองซื้อ อย่างนี้ก็ต้องให้
อย่างนี้ต้อง ให้นาย A เป็น VS ให้นาย B เป็น VI
จะเห็นว่าความสามารถคนละแบบ คนหนึ่งเอาต้นทุนไปเสี่ยง แต่ใช้เวลาเป็นตัวช่วย อีกคนไม่มีต้นทุนเสี่ยง แต่ต้องหาต้นทุนจากกำไรเป็นตัวช่วย หากมองในแง่เสี่ยงก็เสี่ยงทั้งคู่ หากมองกลับมุมก็มีตัวละลายความเสี่ยงคนละแบบ ความแตกต่างอยู่ที่ คนหนึ่งต้องใช้ฝีมือในการเอาเก็งกำไรเป็นต้นทุน(ซึ่งก็เสี่ยงและเห็นผลในเวลาสั้น) อีกคนต้องใช้ฝีมือประเมินค่าวิกฤตให้เห็นอนาคต(ซึ่งก็เสี่ยงและพลาดได้แต่เห็นผลในเวลานานจนคนส่วนใหญ่ลืมค่าความเสี่ยงนี้ไป)
จะแล่นหุ้นสไตล์ไหน ก็ต้องขึ้นกับคุณสมบัติเฉพาะตัว ทั้งเงินทุน ความรอบรู้ จิตใจ และอื่นๆ ไม่ควรตั้งแง่รังเกียจซึ่งกันและกัน จงคิดว่าเมื่อคุณเป็นเขาก็อาจต้องทำแบบเขา เมื่อเขาเป็นคุณก็อาจจะทำแบบคุณ แต่เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

จากคุณ : อยากเชือก - ( 22 ส.ค. 46 )

_________________________________________________________

-----------------------------------------------
Subject: FW: เมีย

เมียหลวง
คือ ภรรยาที่เคยดีที่สุดในอดีต แต่กาลเวลาและสิ่งแวดล้อมทำลายความดีของเธอ
จนหมดสิ้นในระยะเวลาอันสั้น และทิ้งความโหดร้ายไว้ให้เธอต้องรับผลกรรม คือ
ความจุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น แก่ง่าย ตายยาก พูดมาก กินจุ อ้วนเหมือนหมู ดุเหมือน
เสือ

เมียเก็บ
คือ อาหารพิเศษ มีรสชาติแตกต่างจากอาหารธรรมดาทั่วไป เหมาะที่จะกินเป็นครั้งเป็นคราว เพื่อแก้เลี่ยน เป็นสินค้ายอดนิยมและมีราคาแพง เงื่อนไขเยอะ

เมียน้อย
คือ ผู้หญิงที่ดีที่สุด ที่ผู้ชายเพิ่งมาค้นพบภายหลัง

เมียแต่ง
คือ ผู้หญิงที่ทรงคุณค่าและคุณผู้ชายอยากจะประทับรอยรักสุดใจขาดดิ้น แต่ไม่
สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านี้

เมียเช่า
คือ ผู้หญิงผิวคล้ำ ขี้ร้อน ใช้เสื้อผ้าน้อยชิ้น สูบบุหรี่กินเหล้าเป็นงาน
อดิเรก รสนิยมสูง นิยมบริโภคของนอก มีปริมาณความรักขึ้นลงตามกระแสเงินสด

เมียจ๋า
คือ ผู้หญิงหน้าดุเหมือนเสือ ยืนชูไม้ต้นรักเหมือนเทพีสันติภาพ และมีสามีนั่ง
คุก เข่าอยู่กับพื้น ประสานมือเหนือหน้าอกเหมือนไหว้เจ้า เพราะมีประวัติเพิ่งทำการละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของภรรยาบังเกิดเกล้า ลักษณะตัวสั่น น้ำลายไหลเล็กน้อยพูดตะกุกตะกักว่า 'เมียจ๋า' ซึ่งเป็นคำพูดในความหมาย ขออภัย ไถ่โทษ

เมียกู
คือ ผู้หญิงสวย ขาว หุ่นเพรียวผอม อายุน้อย หน้าตาน่ารัก เพราะยังไม่มีการรวม
ตัว ของไขมันและตีนกา พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ผู้ชายที่พบเห็นจะเกิดอาการเขื่อนกั้นน้ำลายพัง ทำให้เอ่อล้นออกมานอกปาก แสดงอาการหึงหวง กีดกันชายอื่นไม่ให้เข้าใกล้ แสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งที่บางครั้งยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง

เมียบังเกิดเกล้า
คือ ผู้หญิงที่น่าเบื่อที่สุดในโลก ความรู้น้อย บริหารงานไม่เป็น vision เป็น
ศูนย์ เผด็จการ ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ใช้คำพูดหยาบคายบุคลิกภาพน่ารังเกียจ เป็นที่ชิงชังของเพื่อนบ้านและผู้ชายทั่วไป โดยเฉพาะสามีจากคุณสมบัติที่น่าสยดสยองดังกล่าว ทำให้สามีเกลียด ขยะแขยง คลื่นไส้จนไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากโต้ตอบ ไม่อยากมีเรื่อง สามีที่มีภรรยาประเภทนี้ จึงใช้คำพูดอยู่สองคำ คือ 'ครับ' และ 'ใช่ครับ' และใช้สรรพนามเรียกภรรยาว่า 'แม่' มัก
อธิบายให้เพื่อนฟังว่า เรียกตามลูก แต่เพื่อนๆ ไม่แน่ใจว่าเรียกตามลูกหรือเรียก
ด้วยความเคารพยำเกรง เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง และที่สำคัญ ได้ลบคำว่า 'นอก
ใจ'ออกจากสมองและพจนานุกรมในบ้านเรียบร้อยแล้ว


เพิ่มเติม

ความหมายของคำว่า เมีย (WIFE)

W = without = ปราศจาก

I = Information = แจ้งให้ทราบ

F = Fighting = ต่อสู้ (ทะเลาะ)

E = Every Day = ทุก ๆ วัน

รวมความก็คือ

Without Information Fighting Every day

แปลเป็นไทยก็คือ

หาเรื่อง ทะเลาะได้ ทุก ๆ วัน โดย ปราศจาก การ แจ้งให้ทราบล่วงหน้า
_______________________________________________________







 

Create Date : 28 สิงหาคม 2549   
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2556 21:59:53 น.   
Counter : 838 Pageviews.  



P_ปรัชญา
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




หยิ่ง
กับตัวเองบ้าง
ในบางครั้ง

เบื่อ
ชีวิตความผิดหวัง
ในบางหน

เกลียด
ความไม่จริงใจ
ในบางคน

ยอมทน
คนหยามเหยียดได้
ในบางที


[Add P_ปรัชญา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com