เงินปันผล กับ ภาษี เขียนโดย คุณธันวา เลาหศิริวงศ์
เขียนโดย คุณธันวา เลาหศิริวงศ์ บทความจาก...www.thaivi.com
ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจกับเรื่องการเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคล ไม่มากนัก ทั้งนี้เนื่องจาก บริษัทที่ทำงานประจำ ได้คำนวณภาษีจากฐานเงินได้สุทธิและนำภาษีที่หัก ณ. ที่จ่าย ส่งกรมสรรพกรเป็นประจำทุกเดือน สิ่งที่ทำก็คือการกรอกรายละเอียดให้ถูกต้อง และยื่นแบบการเสียภาษีให้ทันช่วงปลายเดือนมีนาคมของทุกๆ ปี
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ value investor นั้น นอกจากการลงทุนในกิจการที่เห็นว่าต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน เพื่อหวังส่วนต่างของราคาหุ้นในระยะยาวแล้ว เงินปันผลก็เป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ให้ความสำคัญอย่างมาก ช่วงเดือนเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะเป็นช่วงที่นักลงทุนมีความสุขกันทั่วหน้า เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ได้ทยอยส่งเช็คเงินปันผล มาให้ผู้ถือหุ้นทุกคนถึงบ้าน ทั้งนี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ และนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทนั้น ๆ ทั้งนี้มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนหนึ่งที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล รายไตรมาส หรือราย 6 เดือน
นักลงทุนจำเป็นจะต้องรู้และเข้าใจเรื่องภาษี เพราะการจ่ายภาษีอากรให้ถูกต้องและครบถ้วนตามกฎหมายกำหนด เป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนจะต้องถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ความเข้าใจเรื่องภาษียังอาจช่วยประหยัดรายจ่ายภาษีได้ด้วย สำหรับนักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาจะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับ กำไรจากการขายหลักทรัพย์ หรือ กำไรส่วนต่างราคาจากการซื้อขายหลักทรัพย์ (capital gain) ขณะที่ เงินปันผล นั้นบริษัทจะหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 นักลงทุนมีสิทธิเลือกที่จะนำเงินปันผลนั้นมารวมคำนวณ เพื่อเสียภาษีปลายปีหรือไม่ก็ได้ ซึ่งหากเลือกที่จะนำเงินปันผลนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ปลายปี กรณีนี้จะได้รับเครดิตภาษีเงินปันผล
เพื่อจะให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นผมจะยกตัวอย่างการคำนวณภาษี และ การขอเครดิตภาษีเงินปันผล การคำนวณดังกล่าว เป็นการคำนวณในกรณีที่ผู้ลงทุนไม่มีรายได้อื่น ดังนั้นฐานภาษีจะอยู่ในระดับต่ำสุด หากผู้ลงทุนมีรายได้ประจำหรือรายได้อื่น ต้องนำรายได้ทั้งหมดมารวมกันแล้วจึงคำนวณการเสียภาษี ในอัตราที่กำหนด ขอยกตัวอย่างดังนี้
เงินปันผลที่ได้รับ 70,000 บาท (1)
หักภาษี ณ.ที่จ่าย 10% 70,000 x 10% = 7,000 บาท (2)
เงินปันผลรับจริง (1) (2) 70,000 7,000 = 63,000 บาท (3)
ขอเครดิตภาษีเงินปันผลได้ 70,000 x 3 / 7 = 30,000 บาท (4) *, **
ภาษีที่ถูกหักไว้ทั้งสิ้น (2) + (4) 7,000 + 30,000 = 37,000 บาท (5)
หากไม่มีรายได้อื่น จะมีรายได้ (1)+(4) 70,000 + 30,000 = 100,000 บาท (6)
หักค่าลดหย่อนส่วนตัว = 30,000 บาท
รายได้เหลือหลังค่าลดหย่อน = 70,000 บาท
เงินได้พึงประเมินต่ำกว่า 80,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ***, ****
แต่เนื่องจากเงินได้จากเงินปันผลนี้ไม่ใช่เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และมียอดตั้งแต่ 60,000 บาทขึ้นไป
จึงต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้ร้อยละ 0.5 ของเงินได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย
ในกรณีนี้คือ 100,000 x 0.5% = 500 บาท (7)
ขอเงินภาษีคืนส่วนชำระเกิน (5) (7) 37,000 500 = 36,500 บาท (8)
เงินปันผลได้รับจริง (3)+(8) 63,000 + 36,500 = 99,500 บาท (9)
หมายเหตุ
* บริษัทจดทะเบียนเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 จึงสามารถขอเครดิตภาษีคืนได้ในอัตรา 3/7 ดังนั้นผู้ที่มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 37 จะไม่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากการของเครดิตภาษีปันผล
** ถือเป็นเงินได้พึงประเมินและให้ถือเป็นภาษีเงินได้ถูกหัก ณ. ที่จ่ายด้วย
*** เงินได้สุทธิ 80,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ปีภาษี 2546 เป็นต้นไป
ในตัวอย่างดังข้างต้น เงินปันผลจริงที่ได้รับคือ 99,500 บาท ไม่ใช่ 63,000 บาทอย่างที่เข้าใจ หรือสามารถขอเครดิตภาษีปันผลคืนได้ 36,500 บาท นับว่าไม่น้อยเลย ตัวอย่างดังกล่าวเป็นการคำนวณสำหรับบริษัทที่เสียภาษีเงินไ ด้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 จึงสามารถขอเครดิตภาษีคืนได้ในอัตรา 3/7 หากบริษัทเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 25 ก็จะสามารถขอเครดิตภาษีคืนในอัตราลดลงมาคือ 1/5 หรือมาจาก 25 / ( 100-25) นั่นเอง อนึ่งสำหรับบริษัทที่ได้สิทธิยกเว้นในการเสียภาษี เราไม่สามารถนำมาขอเครดิตภาษีเงินปันผลได้ สำหรับผู้ถือหุ้น PTTEP จะได้ประโยชน์จากการขอเครดิตภาษีเงินปันผลอย่างมากเพราะ PTTEP เป็นธุรกิจที่ได้รับจากกิจการตามพระราชบัญญัติปิโตเลียม พ.ศ. 2541 ซึ่งเสียภาษีเงินได้นิติลบุคคลในอัตราร้อย 50 นั่นหมายความว่า ผู้ถือหุ้นของ PTTEP สามารถขอเครดิตเงินภาษีเงินปันผลได้ทั้งจำนวนนั่นเอง
หากจะอธิบายง่าย ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ มีการเสียภาษีซ้ำซ้อนเนื่องจาก บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรได้ชำระภาษีนิติบุคคลแล้ว ขณะที่ผู้ลงทุนนั้นนำเงินปันผลมาคำนวณเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง ทางการจึงอนุญาตให้นักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดา มีสิทธิเลือกที่จะนำเงินปันผลนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีปลายป ีเพื่อขอเครดิตภาษีปันผล ทั้งนี้นักลงทุนที่มีฐานภาษีอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำจะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น การขอเครดิตภาษีเงินปันผลนี้จะเป็นประโยชน์มาก สำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้ประจำหรือวัยหลังเกษียณ เนื่องจากไม่มีฐานภาษีดังตัวอย่างข้างต้น
สำหรับผมนั้น มองข้ามการขอเครดิตภาษีเงินปันผล มาหลายนาน นับจากนี้อัตราภาษีที่จ่ายของแต่ละบริษัท ถือเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนเนื่องจากผลประโยชน์ เพิ่มเติมจากการขอเครดิตภาษีเงินปันผลดังกล่าว คำถามก็คงอยู่ที่ว่า ท่านพร้อมที่จะให้ความสนใจ กับผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับนี้ หรือยังคงละเลยผลประโยชน์ส่วนนี้ต่อไปอีก
คัดลอกไว้เมื่อปี2547 มีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ thanwa@hotmail.com
_____________________________________________________________
ทรีคอมจับมือไอบีเอ็มเปิดตัวแพลตฟอร์มแรกของวงการไอทีสู่ตลาด การใช้โทรศัพท์ไอพีในระบบ System i ของไอบีเอ็ม ร่วมกับโปรแกรมเฉพาะทางธุรกิจ
ผู้นำในการให้บริการโซลูชันเครือข่ายเสียงและข้อมูลที่ปลอดภัย ร่วมกับบริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เปิดตัวแพลตฟอร์มแรกของวงการไอที รวมโซลูชันโทรศัพท์ไอพี กับอีเมล์, การรับ-ส่งข้อความ และโปรแกรมเฉพาะของธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลได้สูง โดย System i Integrated Collaboration รวมเอาความสามารถในการสื่อสารรูปแบบต่างๆ ไว้ด้วยกัน เพื่อช่วยให้ลูกค้าที่ใช้งานสามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน โซลูชันนี้ทำงานบนแพลตฟอร์มเดียวกันที่ชื่อ System i จึงทำให้จัดการระบบได้ง่าย และประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าเมื่อเทียบกับระบบอื่น ที่ทำงานบนวินโดวส์ ซึ่งต้องใช้เครื่องแม่ข่ายหลายเครื่องในการทำงาน
คำบรรยายภาพ: คุณชิงชัย เมฆทิพย์พาชัย (ซ้าย) ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ทรีคอม (ประเทศไทย) จำกัด
และคุณธันวา เลาหศิริวงศ์ (ขวา) กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานระบบเทคโนโลยีธุรกิจ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย สองบังเหียนใหญ่ในวงการไอทีร่วมกันประกาศความร่วมมือ เปิดตัวแพลตฟอร์มแรกของวงการ ที่ผสานการใช้โทรศัพท์ไอพี กับโปรแกรมเฉพาะทางธุรกิจบนแพลตฟอร์ม System i ของไอบีเอ็มสู่ตลาดระดับกลางขึ้นไป ____________________________________________________________
BarBQ Plaza ready for competition
BarBQ Plaza ready for competition
21 สิงหาคม 2550
. บาร์บีคิวพลาซ่าร่วมมือกับไอบีเอ็ม บริษัท เจเอสจี จำกัด และ
บริษัท เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
สองบริษัทคู่ค้าสำคัญของไอบีเอ็ม ปรับเปลี่ยนระบบงานทั้งขั้นตอนการดำเนินธุรกิจและระบบไอที ให้ทำงานเชื่อม ต่อกันตั้งแต่หน้าร้านตามสาขาไปจนถึงระบบหลังบ้าน ได้แก่ ระบบการวางแผนการผลิตอาหาร ระบบบริหารสต็อกวัตถุดิบ ระบบบริหารงานบัญชี ระบบบริหารงานสั่งซื้อ ระบบบริหารงานขายและบริการ เป็นต้น ระบบงานใหม่นี้จะช่วยให้บาร์บีคิวพลาซ่าสามารถบริหารวัตถุดิบที่เป็น อาหารสด หมดอายุเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถจัดส่งไปตาม สาขาต่างๆ ได้ทันเวลาขณะเดียวกัน ร้านยังสามารถจัดเก็บข้อมูลการขายเพื่อ ใช้วางแผนการขายในแต่ละช่วงเวลาได้ โครงสร้างไอทีครั้งใหญ่นี้จะช่วยให้ บาร์บีคิวพลาซ่าสามารถปรับปรุงคุณภาพ และความรวดเร็วในการให้บริการ ลูกค้าใน 60 กว่าสาขาทั่วประเทศ ในระยะยาว บาร์บีคิวพลาซ่ายังสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน กับเชนร้านอาหาร สากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(จากซ้าย) คุณธันวา เลาหศิริวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจ Systems and Technology Group บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด
คุณชูพงศ์ ชูพจน์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะบาร์บีคิว พลาซ่า จำกัด
มร.อนิล อดิทยา ประธารกรรมการบริหาร บริษัท เจเอสจี จำกัด
และคุณกิตติ เตชะทวีกิจกุล กรรมการบริหาร
บริษัท เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศที่จะติดตั้ง IBM System i520 เป็นระบบแม่ข่ายในการบริหารงาน หลังบ้านทั้งหมดและเชื่อมต่อไปยังร้านสาขา ต่างๆ ทั่วประเทศ และถือเป็นโครงการแรกในภูมิภาคอาเซียนที่ไอบีเอ็มติดตั้ง KOBI บน IBM System i520 เพื่อลดเวลาและเพิ่มความสะดวก ในการติดตั้งซอฟท์แวร์ SAP รองรับงานบริหารทรัพยากรภายในองค์กร โดยมีเจเอสจีและเมโทรซิสเต็มส์ ให้คำปรึกษาและติดตั้งระบบเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการบริหารงานและการ จัดการขบวนการทำงานภายในทั้งหมด บาร์บีคิวพลาซ่าตั้งเป้าว่า ระบบใหม่จะช่วยลดต้นทุนในการบริหารและ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้ดี ยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของ ตลาดและพร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพในการ แข่งขันให้สูงยิ่งขึ้น โดยที่ระบบต้องมีศักยภาพรองรับงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามปริมาณการขาย ที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ที่สำคัญ ระบบจะต้องมีเสถียรภาพสูง เชื่อถือได้ เพราะเป็นระบบงานส่วนกลางที่บริหารงานหลังบ้านทั้งหมด และเชื่อมต่อไปยัง ร้านสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ. _____________________________________________________________________
ปีที่ 58 ฉบับที่ 18152 วันพุธ ที่ 3 ตุลาคม 2550
ไอบีเอ็มไทยแต่งตั้งเอ็มดีคนใหม่ [3 ต.ค. 50 - 05:58]
นายออง ฮุนเมง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไอบีเอ็ม ภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า ไอบีเอ็มได้ประกาศแต่งตั้งนายธันวา เลาหศิริวงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด
แทนนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ขึ้นรับตำแหน่งรองประธานไอบีเอ็ม ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ประจำภูมิภาคอาเซียน มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค.2550 โดยนายธันวาเป็นผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็มที่มีประสบการณ์ แรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่นสูง มีความสามารถในการวางกลยุทธ์ด้านบริหารธุรกิจและทำงานใกล้ชิดกับลูกค้ามาโดยตลอด
ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไอบีเอ็ม ภูมิภาคอาเซียน กล่าวต่อว่า จากผลงานที่น่าประทับใจมากมายที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ กก.ผจก.ใหญ่คนก่อนทำไว้ ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนี้ ได้ปูรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจของไอบีเอ็มในอนาคตเป็นอย่างดี หน้าที่ต่อจากนี้ไปของนายธันวา คือ การนำไอบีเอ็มก้าวต่อไปข้างหน้าควบคู่ไปกับการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าของไอบีเอ็มประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ระยะเวลา 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา นางศุภจีเป็นกำลังสำคัญในการสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้ไอบีเอ็ม ก้าวสู่ความเป็นองค์กรชั้นนำในประเทศ
นายฮุนเมง กล่าวอีกว่า ด้วยเป้าหมายและการดำเนินธุรกิจที่มุ่งมั่นสู่การนำเสนอสิ่งที่มีคุณค่าให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นองค์การขนาดใหญ่ หรือ เอสเอ็มอี อีกทั้งยังสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรด้านการศึกษาในโครงการสำคัญต่างๆ เช่น ผลักดันการสร้างสรรนวตกรรมแห่งชาติ และ ริเริ่มระบบการศึกษาด้าน Service Science, Management and Engineering หรือ SSME เป็นต้น นอกจากนี้ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานด้วย จากนิตยสารอีคอมเมอร์สในปี 2549 และได้รับโหวตให้เป็น 1 ใน 10 องค์กรยอดนิยม ปี 2550 จากนิตยสารโพสิชั่นนิ่ง
นายธันวาจะรับผิดชอบธุรกิจทั้งหมดของไอบีเอ็มในประเทศไทย รวมถึงการขายและจัดจำหน่ายทั้งหมด เทคโนโลยี การบริหารจัดการ ธุรกิจโกลบอลไฟแนนซิ่ง และหน่วนงานด้านบริการ IBM Solution Delivery การแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงทั้งสองตำแหน่งในครั้งนี้ พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของไอบีเอ็มในการสร้างบุคคลากรระดับมันสมองให้กับองค์กร ภาระกิจที่นายธันวาและนางศุภจีได้รับมอบหมายเป็นภาระกิจที่สำคัญยิ่งต่อการเติบโต ของธุรกิจไอบีเอ็มในภูมิภาคอาเซียน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไอบีเอ็ม ภูมิภาคอาเซียน กล่าว _____________________________________________________________________
ไอบีเอ็มตั้งธันวานั่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ดันศุภจีขึ้นรองประธานไอบีเอ็ม SME อาเซียน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 3 ตุลาคม 2550 13:47 น.
ไอบีเอ็ม ประกาศแต่งตั้งธันวา เลาหศิริวงศ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด แทน ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่เลื่อนขึ้นรับตำแหน่ง รองประธานไอบีเอ็ม ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ประจำภูมิภาคอาเซียน มีผลตั้งแต่วันนี้ นาย อองฮุนเมง ผู้จัดการทั่วไป ไอบีเอ็มภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า ธันวา เป็นผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็มที่มีประสบการณ์ มีความสามารถในการวางกลยุทธ์ด้านบริหารธุรกิจและทำงานใกล้ชิดกับลูกค้ามาโดยตลอด ผลงานที่น่าประทับใจที่ ศุภจี
ทำไว้ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้นำขององค์กรนี้จะเป็นการปูรากฐานที่มั่นคง ให้กับธุรกิจของไอบีเอ็มในอนาคตเป็นอย่างดี หน้าที่ต่อจากนี้ไปของ ธันวา คือการนำไอบีเอ็มก้าวต่อไปข้างหน้าควบคู่ไปกับการสร้างนวตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าของไอบีเอ็มประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธันวา จะรับผิดชอบธุรกิจทั้งหมดของไอบีเอ็มในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการขายและจัดจำหน่ายทั้งหมด เทคโนโลยี การบริหารจัดการ ธุรกิจโกลบอลไฟแนนซิ่ง และหน่วนงานด้านบริการ IBM Solu
ธันวา เลาหศิริวงศ์
ธันวา กล่าวว่า " รู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสเป็นผู้นำองค์กรนี้ ภาระกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การได้มีส่วนช่วยให้ลูกค้าของเราประสบความสำเร็จ " เมื่อเดือนมีนาคม 2550 นายธันวา ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ และในไตรมาสที่ 2 นี้เอง ไอบีเอ็มสามารถครองอันดับหนึ่งตลาดเซิร์ฟเวอร์โดยรวมของประเทศไทย ตามรายงานของไอดีซี ธันวามีประสบการณ์มากมายจากการทำงานและเป็นผู้นำส่วนธุรกิจต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคตลอดระยะเวลา 18 ปีในไอบีเอ็ม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย การตลาด ส่งเสริมการขาย การเงินและธุรการ รวมถึงการรับมอบภาระกิจไปทำงานในต่างประเทศ 2 ครั้งซึ่งช่วยให้สามารถเข้าใจการทำงานในหลากหลาย วัฒนธรรมและความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันไป
ระยะเวลา 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา ศุภจี เป็นกำลังสำคัญในการสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้ไอบีเอ็ม สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กร ด้านการศึกษาในโครงการสำคัญต่างๆ ตัวอย่างเช่น ผลักดันการสร้างสรรนวตกรรมแห่งชาติ และ ริเริ่มระบบการศึกษาด้าน Service Science, Management and Engineering หรือ SSME เป็นต้น
Company Related Links IBM //www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9500000116840 ______________________________________________________________________
ไอบีเอ็มตั้งเอ็มดีไทยคนใหม่ ดัน ศุภจีคุมอาเซียน
โดย eWEEK อัพเดต 2 ตุลาคม 2007 เวลา 17:14 น.
ไอบีเอ็ม ประกาศแต่งตั้ง ธันวา เลาหศิริวงศ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด แทน ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซึ่งขึ้นรับตำแหน่งรองประธานไอบีเอ็ม ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ประจำภูมิภาคอาเซียน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไป
อองฮุนเมง ผู้จัดการทั่วไป ไอบีเอ็มภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า ธันวาเป็นผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็มที่มีประสบการณ์ แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นสูง มีความสามารถในการวางกลยุทธ์ด้านบริหารธุรกิจและทำงานใกล้ชิดกับลูกค้ามาโดยตลอด ผลงานที่น่าประทับใจมากมายที่ คุณศุภจีทำไว้ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้นำขององค์กรนี้ ได้ปูรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจของไอบีเอ็มในอนาคตเป็นอย่างดี หน้าที่ต่อจากนี้ไปของคุณธันวาคือการนำไอบีเอ็มก้าวต่อไปข้างหน้า ้ควบคู่ไปกับการสร้างนวตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าของไอบีเอ็มประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
โดยในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่นั้น จะรับผิดชอบธุรกิจทั้งหมดของไอบีเอ็มในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการขายและจัดจำหน่ายทั้งหมด เทคโนโลยี การบริหารจัดการ ธุรกิจโกลบอลไฟแนนซิ่ง และหน่วนงานด้านบริการ IBM Solution Delivery
ธันวากล่าวว่า นับเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสเป็นผู้นำองค์กรนี้ไปสู่อีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของไอบีเอ็ม ประเทศไทย ภาระกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การได้มีส่วนช่วยให้ลูกค้าของเราประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น ธันวา เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ และในไตรมาสที่ 2 นี้เองไอบีเอ็มสามารถครองอันดับหนึ่ง ตลาดเซิร์ฟเวอร์โดยรวมของประเทศไทยตามรายงานของไอดีซี
จากประสบการณ์มากมายในการทำงานและเป็นผู้นำส่วนธุรกิจต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคตลอดระยะเวลา 18 ปีในไอบีเอ็ม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย การตลาด ส่งเสริมการขาย การเงินและธุรการ รวมถึงการรับมอบภาระกิจไปทำงานในต่างประเทศ 2 ครั้ง ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าใจการทำงานในหลากหลายวัฒนธรรมและความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันไป
ส่วนทางด้าน ศุภจีนั้น ระยะเวลา 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา จัดว่าเป็นกำลังสำคัญในการสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้ไอบีเอ็มก้าวสู่ความเป็นองค์กร ชั้นนำในประเทศ ด้วยเป้าหมายและการดำเนินธุรกิจที่มุ่งมั่นสู่การนำเสนอสิ่งที่ มีคุณค่าให้แก่ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นองค์การขนาดใหญ่หรือธุรกิจเอส เอ็มอี อีกทั้งยังสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรด้านการศึกษาในโครงการสำคัญต่างๆ ตัวอย่างเช่น ผลักดันการสร้างสรรนวตกรรมแห่งชาติ และ ริเริ่มระบบการศึกษาด้าน Service Science, Management and Engineering หรือ SSME เป็นต้น
การแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงทั้งสองตำแหน่งในวันนี้ พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของไอบีเอ็มในการสร้างบุคคลากรระดับมันสมองให้กับองค์กร ภาระกิจที่คุณธันวาและคุณศุภจีได้รับมอบหมายเป็นภาระกิจที่สำคัญ ยิ่งต่อการเติบโตของธุรกิจไอบีเอ็มในภูมิภาคอาเซียน ฮุนเมงกล่าวเสริม ______________________________________________________________________
ขอแสดงความยินดี คุณธันวา เลาหศิริวงศ์ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท IBM มอบตำแหน่งงาน เป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ลงบันทึก 3 ตุลาคม พ.ศ 2550 _______________________________________________________________________
ยักษ์สีฟ้าเดินเครื่องบุก ตลาดภาครัฐ-เอสเอ็มอี
26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 10:22:00
เอ็มดีใหม่ยักษ์สีฟ้า ลั่นขอรักษาตลาดอันดับหนึ่ง งัดกลยุทธ์มัดใจพันธมิตร พร้อมเสริมทัพตลาดเอสเอ็มอี - ภาครัฐ เชื่อเลือกตั้ง สร้างความมั่นใจเอกชนลงทุนไอทีต่อเนื่อง หวังรัฐบาลใหม่สานต่อพัฒนาคนไอที
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่าบริษัทจะมุ่งขยายธุรกิจตลาดวิสาหกิจขนาดกลางและเล็กและตลาดภาครัฐให้มากขึ้น
เขามองว่า เอสเอ็มอี เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ เติบโตสูง และยังไม่มีผู้ค้าไอทีรายใดครองตลาดนี้ชัดเจน ซึ่งต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้ตั้งทีมวอลุ่ม บิซิเนส ยูนิต รับผิดชอบการทำตลาดนี้แล้ว และจะนำเสนอโซลูชั่นที่รวมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการราคาพิเศษ พร้อมโปรแกรมทางการเงิน เพื่อสร้างแรงจูงใจการซื้อให้มากและต่อเนื่อง
ที่สำคัญจะทำงานกับพันธมิตรธุรกิจที่กระจายกว่า 500 ราย นำเสนอโปรแกรมจูงใจคู่ค้าให้ขายโซลูชั่นของบริษัทต่อเนื่องมากกว่าเดิม และใช้ทีมเปิดการขายผ่านทางโทรศัพท์ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้กลุ่มนี้ให้เติบโตมากกว่าเลขสองหลัก พร้อมๆ กับสัดส่วนรายได้จากเอสเอ็มอีให้ถึง 50% ของรายได้เท่าสัดส่วนของบริษัทแม่ด้วย
ขณะที่ตลาดภาครัฐ บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มนี้ไม่มาก ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ ทั้งธุรกิจการเงินธนาคาร ค้าปลีก สื่อสาร โรงพยาบาล
นอกจากนั้น จะรักษาฐานธุรกิจที่เป็นที่ 1 และสร้างช่องว่างให้ห่างจากคู่แข่ง เฉพาะตลาดเครื่องแม่ข่ายที่ใช้ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ที่ต้องเพิ่มส่วนแบ่งขึ้น แม้ปัจจุบันจะเป็นที่ 1 แต่ไม่ต่อเนื่องทุกไตรมาส และจะเสนอการใช้งานลินิกซ์บนเครื่องเมนเฟรม
ทั้งยังคงจุดขายการเสนอ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าสร้างความแตกต่างทางการแข่งขันผ่านสินค้าและบริการที่มีอยู่ ด้วยราคาที่คุ้มค่าต่อการลงทุน พร้อมๆ กับการทำโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
"ยอมรับว่าการสานต่อธุรกิจให้เติบโตเช่นเดียวกับกรรมการผู้จัดการคนเก่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย ทั้งยังมีปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน กระนั้นส่วนตัวแล้ว เชื่อว่าการทำงานเป็นทีม และเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้ร่วมงาน และพัฒนาศักยภาพบุคลากร เมื่อบวกกับการโฟกัสทางธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง และความหลากหลายในพอร์ตโฟลิโอของสินค้า บริการที่มีอยู่ ก็จะทำให้บริษัทเติบโตสูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมได้" นายธันวา กล่าว
เขา ยังมองด้วยว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น จะสร้างความมั่นใจให้กับองค์กรธุรกิจที่จะลงทุนไอทีอีกครั้ง และหวังว่า รัฐบาลใหม่จะสานต่อโครงการขนาดใหญ่ที่มีอยู่เพื่อให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมถึงการสานต่อการพัฒนาบุคลากรด้านไอทีเพื่อที่จะส่งออกแรงงานที่มีทักษะ และสร้างศักยภาพการแข่งขันให้แก่ประเทศได้ ______________________________________________________________________
Memo to the ICT's Minister : พัฒนาบุคลากรไอทีเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ส่งเรื่อง โดย admin เปิด 2007/11/2 18:00:00
ธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด
หวังว่าหลังการเลือกตั้งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลเป็นรูปเป็นร่าง และจะทำให้เศรษฐกิจไม่อยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากปัจจุบันโครงการภาครัฐหลายอย่างไม่เกิด พอไม่เกิดก็ไม่มีการลงทุน ไม่มีการสร้างงาน เป็นลูกโซ่อยู่อย่างนี้ จึงอยากให้ปัจจัยแวดล้อมเหลือนี้นิ่ง เพราะศักยภาพการแข่งขันของประเทศเองขึ้นอยู่กับตรงนี้ คนที่เกี่ยวข้องต้องพยายามเพื่อที่จะเดินหน้าต่อ
การเลือกตั้งที่เกิดขึ้น จะสร้างความมั่นใจให้กับองค์กรธุรกิจที่จะลงทุนทางไอซีทีอีกครั้ง และหวังว่ารัฐบาลใหม่จะสานต่อโครงการขนาดใหญ่ที่มีอยู่เพื่อให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมถึงการสร้างบุคลากรทางด้านไอทีเป็นสิ่งสำคัญ ในช่วงแรกอาจจะรับการถ่ายทอดจากที่อื่นก่อน แล้วค่อยพัฒนาทักษะไปเรื่อยๆ จนเชี่ยวชาญ ถึงเวลานั้นประเทศไทยควรจะมีโปรเจ็คในการทำงานนอกประเทศ หรือ Outsourcing บ้าง ซึ่งประเทศอื่นๆในแถบนี้ เช่น อินเดียเขาก็ส่งออกให้บุคลากรด้านไอทีของเขาไปทำงานนอกประเทศกันมาก เราควรจะพัฒนาให้ทันเพื่อที่จะส่งออกแรงงานที่มีทักษะเพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันให้แก่ประเทศ
ในส่วนตนเองคิดว่า บิสซิเนส โมเดลที่จะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 องค์กรต่างๆ จะต้องพิจารณาใน 3 ส่วน คือ 1.Economic Values ที่มีความคุ้มค่าและเหมาะสมในการดำเนินงาน 2.Expertise ที่ต้องพิจารณาในเรื่องของความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทักษะ ที่ของตัวเองว่าเหมาะสมกับการที่จะต้องทำอะไร 3 Business Environments ซึ่งการทำธุรกิจจะเปิดมากขึ้น ทำให้ลดกำแพงภาษีลงได้ และทั้ง 3 ส่วนก็เป็นที่เรื่องที่ไอบีเอ็มพิจารณาเช่นกัน เพราะเชื่อว่าจะเป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กร
ขณะเดียวกันสิ่งที่ไอบีเอ็มจะทำยุคศตวรรษที่ 21 คือ 1.มุ่งเน้นการเป็นพันธมิตรชั้นนำของบริษัทในประเทศควบคู่กับการสร้างองค์กรให้เป็นบริษัทที่มีประสิทธิภาพ ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรชั้นนำทางธุรกิจ (Be the Partner of Choice) ซึ่งไอบีเอ็มมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดจนทักษะ ความรู้ความสามารถของพนักงานไอบีเอ็ม ที่พร้อมจะนำจุดแข็งที่มีอยู่ไปสนับสนุน สร้างคุณค่า ให้คำปรึกษาและให้บริการแก่องค์กรธุรกิจไทยให้ก้าวสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ _____________________________________________________________________
2.สร้างเสริมศักยภาพบุคลากรในองค์กรให้เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง (Be the Employer of Choice) ที่ให้ความสำคัญกับพนักงานในองค์กรมาโดยตลอด และยังคงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ต่อไป ซึ่งการพัฒนาบุคลากรของบริษัทให้ทรัพยากรบุคคลแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นภารกิจที่สำคัญในโลกธุรกิจแบบ Globally Integrated Enterprise ที่มองโลกธุรกิจเป็นผืนเดียวกัน
3.การสนับสนุนช่วยเหลือประเทศและสังคม (Be a good corporate Citizen) ที่ไอบีเอ็มยึดมั่นมาตลอดการดำเนินธุรกิจในไทยมานานกว่า 55 ปี ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ยึดมั่นเรื่องการประกอบธุรกิจอย่างด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ยุติธรรม และทำกิจกรรมส่งเสริม ช่วยเหลือสังคมไทย ทั้งด้านการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของเยาวชนของชาติ ส่งเสริมศิลปะ วัฒนธรรม สร้างเสริมอาชีพมาโดยตลอด หรือ แม้กระทั่งการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและทักษะของบุคลากรของบริษัทฯ เข้าร่วมโครงการสำคัญๆ ของหน่วยงานของรัฐด้วย
Create Date : 19 มกราคม 2550 |
| |
|
Last Update : 27 กันยายน 2556 23:35:47 น. |
| |
Counter : 3018 Pageviews. |
| |
|
|