สอนวิธีรีทัชภาพด้วย Lightroom 5

เขียนโดย คุณVerdiinpink
จากระทู้พันทิพ ห้องกล้อง

1. การ import รูปเข้า library
2. การปรับย่อ หมุนรูป ปรับแก้โปรไฟล์เลนส์ (lens correction)
3. ลบจุดด่างดำ ปรับความสว่างเฉพาะจุด
4. ปรับความคมชัด, ความสว่าง, ความสดของสีภาพแบบทั้งภาพ
5. ปรับแต่งโทนภาพ
6. การลง presets และการใช้งาน
7. การเพิ่ม vignette, ลด noise, เพิ่ม grain
8. การ export ภาพ, การลงลายเซ็น

ทีนี้ก็เริ่มเปิดโปรแกรม Adobe Lightroom ขึ้นมาได้เลยครับ
หน้าตาก็จะประมาณนี้



แนะนำว่าให้เปิดแบบเต็มหน้าจอ เพื่อจะได้มีพื้นที่ทำงานมากขึ้น
โดยกดแป้น F ที่คีย์บอร์ด หรือไปที่เมนู Windows > Screen Mode >
Full screen ถ้าจะปรับกลับ ก็เลือก Normal แทน

ถ้าท่านใดที่เพิ่งเปิดใช้งานเป็นครั้งแรก
พื้นที่ตรงกลางจะเป็นสีเทาว่างๆ เพราะยังไม่ได้ import รูปเข้าไว้
ใน library ของโปรแกรมนะครับ ผมจะพูดถึงเป็นอันดับถัดไป

1. การ import รูปเข้า library

อันดับแรกสุดในขั้นตอนการรีทัชรูปด้วย Lightroom
(ต่อไปผมจะย่อเหลือแค่ LR นะครับ)
คือการนำรูปเข้ามาอยู่ในคลังภาพของ LR
โดยไปที่ File > Import photos & videos
แล้วเราก็จะเจอกับหน้าต่างลักษณะเช่นนี้ครับ



อาจจะงงๆ ว่าจะเลือกอะไรยังไงดี ให้ดูตามไปทีละสเต็ปครับ

1.1. อันดับแรก ให้เลือกไดร์ฟ/โฟลเดอร์ ที่มีรูปอยู่
ทางแถบด้านซ้ายที่ด้านบนระบุว่า "Select a source" ครับ
ถ้าเสียบเคเบิ้ลจากกล้อง ตรงบริเวณ Source ก็จะมีไดร์ฟ
ของกล้องโผล่ขึ้นมา คลิ้กเลือกเลยครับ โดยมากแล้วมักจะมี
โฟลเดอร์ DCIM อยู่ ก็คลิ้กไปจนบริเวณตรงกลางของหน้าต่างนี้
ปรากฏภาพครับ

1.2. อันดับต่อมา ก็คัดเลือกภาพที่ต้องการจะนำลงคลังภาพ
โดยติ๊กเอาเลยครับว่าต้องการภาพไหนบ้าง ถ้าจะเอาทั้งหมด
ก็คลิ้กปุ่ม Check All ด้านล่าง (หรือถ้ามีรูปเยอะ แต่ต้องการเลือก
แค่สองสามรูป ก็ให้ Uncheck All แล้วค่อยติ๊กรูปที่ต้องการ)
ทีนี้ให้สังเกตด้านบนนะครับว่าเลือกโหมดไหนอยู่

- Copy as DNG อันนี้จะ convert ไฟล์ภาพไปเป็นสกุล DNG
ของ Adobe เค้าก่อนจะก็อปปี้ลงคลัง อันนี้ถ้ามีหลายร้อยรูปก็คง
จะรอนาน (ไม่แนะนำเท่าไหร่ เพราะอาจจะไม่ทันใจ)

- Copy อันนี้จะชัวร์กว่า Move เพราะหากเป็นกรณีดูดรูปจากกล้อง
เพื่อน รูปในกล้องก็จะยังคงอยู่หลัง import เสร็จ

- Move จะทำการย้ายรูปจากไดร์ฟหรือโฟลเดอร์ภาพมาไว้ในที่
ที่เราระบุไว้เลย หลังจาก import แล้ว ภาพจากโฟลเดอร์นั้น
ก็จะถูกลบไป อันนี้จะเหมาะสำหรับดูดรูปจากกล้องเราเอง
เพราะเสร็จแล้ว จะได้ไม่ต้องมาตามลบรูปในการ์ดอีกทีนึง

- Add อันนี้กรณีที่เราไม่ต้องการย้ายตำแหน่งรูปใดๆ
เพียงแค่ต้องการเพิ่มรูปเข้ามาในคลังภาพเท่านั้น
(เหมาะสำหรับกรณีที่เรามีระบบจัดเก็บ จำแนกประเภทรูปด้วยตัวเอง)
กรณีนี้ถ้าโฟลเดอร์ที่มีรูปอยู่เปลี่ยนชื่อ หรือย้ายตำแหน่ง
LR จะงงว่าภาพหายไปไหน ต้องมา locate อีกทีนึง

สำหรับผม ปกติแล้วจะตั้งค่าไว้เป็น Copy จะได้ไม่เผลอเวลาไปดูดรูป
จากกล้องเพื่อนน่ะครับ แล้วค่อยมา format card
เอาอีกทีเวลาจะนำกล้องไปใช้งานใหม่

1.3. อันดับสุดท้ายคือระบุว่าจะให้เอารูปพวกนี้ไปไว้ไหน
ตรงนี้มีออฟชั่นให้เลือกดังนี้ครับ

- File Handling: ในเวอร์ชั่น 5 นี้มีฟังก์ชั่น Smart Preview
ทำให้เราสามารถทำงานแต่งภาพเมื่อไหร่ก็ได้ แม้ว่าไฟล์ต้นฉบับ
(ที่อาจจะอยู่ใน external drive) อาจจะลืมอยู่บ้าน อันนี้สะดวกมากครับ

สำหรับผู้ที่แต่งภาพด้วยโน้ตบุ้คแล้วเก็บรูปเอาไว้ในไดร์ฟแยกต่างหาก
โดย LR จะสร้างภาพขนาดย่อไว้พอให้เราสามารถแต่งภาพได้ตามใจ
เมื่อเราเอาไดร์ฟมาเสียบทีหลัง ค่าที่ปรับตั้งต่างๆ ก็จะซิงค์กับรูปต้นฉบับ
เองโดยอัตโนมัติ แนะนำให้ใช้ครับ สะดวกจริงๆ
(กรณีที่ถ้ารูปทั้งหมดของคุณอยู่ในเครื่องอยู่แล้ว
ก็ไม่ต้องใช้นะครับ เปลืองพื้นที่เครื่องเปล่าๆ)

- File Renaming: ถ้าต้องการเปลี่ยนชื่อก่อนลงรูป
(เช่นว่าตั้งชื่อเป็นสถานที่ที่ไป)
ก็ไปตรงนี้ ติ๊ก Rename Files แล้วเลือก Template เป็น Custom Name
- Sequence ทีนี้ก็ใส่ชื่อตรงช่อง Custom Text ก็จะได้ว่า
London-1.jpg, London-2.jpg เป็นต้น

- Apply During Import: อันนี้หากต้องการปรับตั้งค่ามาตรฐานก่อน
จะเอารูปลงคลังภาพเลย (สมมติมีพรีเซ็ตมาตรฐานอยู่แล้ว)
ก็เลือก Develop settings ได้เลย (ปกติผมไม่ได้ใช้ครับ อันนี้)
และหากต้องการระบุ keywords ให้กับภาพ ก็กรอกตรงช่องได้เลยครับ
เว้นคีย์เวิร์ดด้วยคอมม่า วันหลังเราเสิร์ชจะได้หาง่ายๆ หน่อย
เช่นว่า ลอนดอน, ปีใหม่, 2557, บิ๊กเบน เป็นต้น
ถ้ามีเวลาก็กรอกได้ครับ ถ้าไม่มี ก็ไม่จำเป็นแต่อย่างใด

- Destination: ตรงนี้ ก็ระบุไปว่าจะให้รูปเหล่านี้ไปไว้ที่ไหน
โดยปกติแล้วผมจะเลือกให้ LR จัดการใส่เรียงตามวันที่ เพราะฉะนั้น
ผมก็จะติ๊ก Into Subfolder แล้วตรง Organize ก็เลือก By Date เอาครับ


หลักๆ ในขั้นตอนนี้ ก็คือ เลือกโฟลเดอร์ภาพ, เลือกภาพ,
ระบุโฟลเดอร์ที่จะให้รูปไปลง เท่านั้นเอง

ซึ่งขั้นตอนระบุโฟลเดอร์อันสุดท้ายนี้ ถ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
เราก็ตั้งแค่ตอนแรกครับ วันหลังๆ ตรงนี้ก็จะเหมือนเดิม
ไม่ต้องเลือกใหม่ทุกครั้ง

ทีนี้ พอเรามีรูปในคลังภาพแล้ว ก็เริ่มขั้นตอนการตกแต่งรีทัชได้เลยครับ
โดยคลิ้กรูปที่ต้องการจะแต่ง แล้วกดแป้น D บนคีย์บอร์ด

หรือคลิ้กที่แถบด้านบนเปลี่ยนจากโหมด Library ไปเป็น Develop
ก็ได้ครับ (D ก็มาจาก Develop นั่นเอง)
หากต้องการจะย้อนกลับมาที่หน้า Library

เหมือนเดิมก็คลิ้กแถบด้านบน หรือกดแป้น G บนคีย์บอร์ดได้เลยครับ

(หรือจะไปคลิ้กภาพที่ต้องการจากแถบภาพด้านล่างจอก็ได้เช่นกัน)
สองปุ่มนี้ ผมใช้บ่อยสุดละ D กับ G เร็วดี

TIPS: ในกรณีที่เพื่อนๆ โหลดรูปลงเครื่องเป็นพันๆ รูป
(ชัตเตอร์รัวซะยังกะยิงปืนขนาดนั้น) แล้วต้องการแต่งแค่ไม่กี่รูป
ไว้ลงเฟสบุ้ค แต่ไม่อยากสลับหน้าจอไปมา ทริกของผม ก็คือ

คลิ้กที่ภาพที่เห็นว่าผ่าน
(รูปประเภทหน้ามืดเป็นปื้นเพราะย้อนแสง แลบลิ้น ปิดตาอยู่ไม่เอานะ)
แล้วกดแป้น B บนคีย์บอร์ดครับ มันจะ Add to Quick Collection
ให้เรา แล้วก็ทำการสกรีนไปเรื่อยๆ ภาพไหนพอจะโออยู่
ก็กด B ไปเรื่อยๆ ทีนี้ หลังจากคัดได้พอสมควรแล้ว ก็ให้ไปดูที่แถบ
ด้านซ้ายมือตรงช่อง Catalog ครับ จะมี Quick Collection +
อยู่ ตรงนี้ก็คือรูปที่เราสกรีนนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องสลับไปมาหารูป
เป็นพันๆ รูป เมื่อยตาเปล่าๆ ครับ

ทีนี้เรามาเริ่มแต่งรูปขั้นพื้นฐานก่อนเลยครับ

2. การปรับย่อ หมุนรูป ปรับแก้โปรไฟล์เลนส์ (lens correction)

ข้อผิดพลาดสำหรับช่างถ่ายภาพมือสมัครเล่นอย่างเราๆ
ก็คือตอนกดชัตเตอร์นั้น ภาพไม่ได้ระดับ อาจจะเอียงบ้าง
มีส่วนเกินติดมาบ้าง สารพัดครับ

ใน LR การปรับย่อ หรือหมุนภาพนั้น ทำได้ง่ายมากๆ ครับ
และผมแนะนำให้เป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรทำเลยกับทุกรูปที่จะรีทัช

เพราะภาพภาพหนึ่ง จะสื่อเรื่องราวได้ดี การจัดเฟรมภาพนั้นเป็น
สิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้
ระหว่างที่ทำการปรับหมุน ก็คิดตามไปด้วยครับ
ว่าเราจะเน้นอะไรในภาพให้เป็นจุดเด่น จุดรอง
นอกจากดูแค่ว่ามันตรง เบี้ยว เอียงเพียงอย่างเดียว



ด้านแถบทางขวามือของโปรแกรม
เราจะเห็นนะครับว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือ เต็มไปหมด
เรามาเริ่มตรงนี้ก่อนเลยครับ "Basic" (อยู่ใต้กล่อง Histogram)
จะเห็นไอค่อน 6 อันอยู่ด้านบนด้วยกัน คลิ้กอันแรกเลยครับ
(ที่ลูกศรชี้ระบุว่า Crop ในภาพด้านบน)

จากนั้น เราจะเห็นลูกศรสำหรับหมุนภาพเมื่อเราเอาเม้าส์ไปวางไว้
บริเวณมุมภาพ แค่นี้เราก็คลิ้กแล้วหมุนภาพเอาตามใจชอบเลยครับ

TIPS: กรณีที่ต้องการจะเปลี่ยนจากภาพแนวตั้ง
เป็นแนวนอนหรือสลับกัน ให้กดปุ่ม Shift แล้วเอาเม้าส์ไปคลิ้กที่มุมภาพ
ขวาบน จากนั้นก็ขยับไปด้านล่าง หากอยากเปลี่ยนจากภาพแนวตั้งเป็น
แนวนอน หรือขยับเม้าส์ไปด้านซ้าย หากอยากเปลี่ยนจากแนวนอนเป็น
แนวตั้งครับ

การย่อขยายเฟรม (หรือการตัดครอปภาพ) ก็เช่นกันครับ
เครื่องมือเดียวกัน เพียงแต่เรานำเม้าส์ไปที่มุมภาพแล้วคลิ้กลาก
เข้าออกได้เลย

ทีนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ
ในบางครั้งเราอยากจะคงสัดส่วนภาพไว้ จะทำอย่างไร?

ก็ง่ายๆ ครับ กดแป้น Shift ไปพร้อมๆ
กับตอนที่เราตัดภาพเลยครับ สัดส่วนของภาพจะยังคงเดิมเอง

นอกจากนี้ เรายังสามารถเปลี่ยนสัดส่วนของภาพใหม่
(เช่นว่า อยากแต่งภาพเพื่อเอาไปลง instagram ที่ภาพมีสัดส่วน 1:1
หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือจะแต่งภาพเป็นวอลล์เปเปอร์โน้ตบุ้ค เป็นต้น)
เราก็ทำได้โดยการคลิ้กที่ไอคอน Crop เหมือนกันครับ
แล้วตรงช่อง Aspect ก็เปลี่ยนจาก Original เป็นสัดส่วนใหม่แทน
มีให้เลือกเยอะเลย หรือถ้าไม่ถูกใจก็ระบุ Enter Custom... เอาได้เลยครับ




เสร็จจากสองขั้นตอนการหมุนกับตัดย่อภาพนี้แล้ว
ขอแนะนำให้เลื่อนแถบด้านขวาลงมาด้านล่างครับ
เราจะเห็นกล่องที่ระบุว่า "Lens Corrections"
อันนี้ มันสำคัญอย่างไร
ถ้าลองโหลดรูปที่ผมลงลิ้งก์ไว้ในคห.ที่ 1 แล้วเปิดดู จะเห็นนะครับว่า
หอนาฬิกาบิ๊กเบนเนี่ย มันเบี้ยวๆ โค้งๆ นั่นเป็นเพราะวิศวกรพลาดนะครับ

เอ้ย ไม่ใช่!! นั่นเป็นเพราะเลนส์ที่ใช้ Canon EF-S 17-85 mm f4/5.6 IS USM ของผมเนี่ยมันมี distortion อยู่ เหมือนกับเวลาเรามองผ่านแก้วน่ะครับ เส้นตรงมันจะโค้งๆ เบี้ยวๆ

(หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านได้ที่นี่ครับ
//en.wikipedia.org/wiki/Distortion_(optics)​
อธิบายไว้ละเอียดดี)

เนื่องจากเลนส์ตัวนี้ ไม่ได้ราคาแพงอะไรนัก distortion เลยเห็นได้ชัด
ในบางช่วงระยะซูม (เลนส์ที่จัดการ distortion ได้ดีเท่าไหร่
ก็ยิ่งแพงเท่านั้นครับ) แต่เรามีวิธีแก้ด้วย LR นี่แหละครับ



ที่กล่อง Lens Correction นี้ ให้คลิ้กตรงแถบ Profile
แล้วกดเลือก Enable Profile Corrections
แล้วเลือก Canon จากช่อง Make (ยี่ห้อ) โดยมากแล้ว LR
จะรู้ว่าเลนส์อะไรเองครับ แต่ถ้าผิดพลาด ก็เลือกเองตรง Model เอา

หากไม่พอใจก็สามารถปรับค่าได้ที่บริเวณ Amount
(Distortion คือความโค้งเว้าของภาพ ส่วน Vignetting
คือขอบภาพ - อันนี้มีต่อในหัวข้อหลังๆ ครับ)
โดยมากแล้วผมเชื่อใจ LR เค้าล่ะครับ ไม่ได้ปรับแก้อะไร

3. ลบจุดด่างดำ, ปรับความสว่างเฉพาะจุด

หลังจากปรับหมุนและตัดย่อภาพเรียบร้อยในขั้นตอนก่อนหน้านี้
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ เราก็จะมาปรับแก้ ลบจุดบกพร่องของภาพ
ที่รบกวนหรือ "แย่งซีน" ของตัวแบบของเราออกไป

ในขั้นตอนนี้ เราก็จะยังใช้เครื่องมือที่อยู่ในกล่อง Basic
เช่นเดียวกับหัวข้อที่ 2 ครับ เพียงแต่คราวนี้ เราจะใช้ Spot Removal
(ไอคอนถัดจาก Crop)ในการลบสิ่งที่ไม่ต้องการออก
เครื่องมือนี้ มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการรีทัชหน้า
กรณีที่วันที่ไปเที่ยวดันมีสิวโผล่ขึ้นมา เป็นต้น

หลักการง่ายๆ ของเครื่องมือนี้คือ การไปก๊อปพื้นที่ภาพที่อยู่ใกล้เคียง
มาวางแปะทับจุดที่ไม่พึงประสงค์น่ะแหละครับ เช่นว่าสิวอยู่ที่จมูก
เราก็อาจจะก๊อปพื้นที่บริเวณแก้มมาโปะทับสิวตรงนั้น
ทีนี้หน้าก็จะดูเนียนไร้ร่องรอย



โดยก่อนจะใช้เครื่องมือนี้
เราก็ควรปรับขนาดของวงกลมให้กินพื้นที่บริเวณที่ต้องการลบออก
คลิ้กที่ไอคอน แล้วตรงออฟชั่นใต้ Spot Removal
เราสามารถปรับตั้งค่าได้เลยครับ



Size: ขนาดของวงกลม ควรตั้งให้ใหญ่กว่าพื้นที่ที่จะลบเล็กน้อย

Progressive contour: ขนาดของขอบด้านใน คิดง่ายๆ ว่าเหมือนกับเรา
ตัดเอาพื้นที่วงกลมส่วนแก้มมาแปะตรงสิวที่จมูก ถ้าก๊อปมาแปะดุ้นๆ
เลย ตรงบริเวณขอบวงกลมจะเห็นชัดว่ามันไม่เชื่อมกับด้านข้าง
มันไม่เนียน เพราะฉะนั้นก็ต้องเว้นขอบไว้นิดนึง เพื่อจะเกลี่ยให้มันเนียนๆ
กับพื้นที่รอบข้างน่ะครับ

(เพราะฉะนั้น ตั้งค่าไว้สักหน่อย ไม่ต้องเยอะครับ เน้นว่าไม่ควรตั้งเป็น 0
เพราะจะทำให้ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ ประมาณ 5-10 ก็ได้ครับ)

Opacity: ปกติตั้งไว้ที่ 100 ครับ เช่นกัน ถ้าเราตัดแก้มมาแปะจมูก
เวลาเอามาทับ เราก็ต้องการจะทับแบบเต็มๆ หากตั้งค่าไว้น้อยกว่า 100
นั้น เราจะยังเห็นส่วนสิวจางๆ ที่อยู่ด้านล่าง
(อันนี้อาจจะเหมาะสำหรับบางกรณีครับ
แต่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากรณีไหน)

เอาเป็นว่า แนะนำให้ตั้งขนาดวงกลมให้ใหญ่กว่าพื้นที่ที่จะลบ,
ตั้ง progressive contour ไว้เล็กน้อย, แล้วก็ตั้ง opacity ไว้ที่ 100ครับ

หลังจากกำหนดขนาดวงกลมได้แล้ว ก็ไปคลิ้ก ณ จุดที่ไม่พึงประสงค์ได้
เลย จะเห็นว่าตอนคลิ้ก มันจะมีวงกลมโผล่มาอีกวง อันนี้คือจุดที่ LR คิดว่า
เหมาะสำหรับจะก๊อปปี้มาทับครับ ถ้าเราเห็นว่ามันไม่โอเค ยังเห็นเป็นสิว
ดำๆ เราก็สามารถลากเจ้าวงกลมวงใหม่นี้ไปวางตรงตำแหน่งอื่นแทนได้




ผมลองเอาภาพอื่นมาลงให้ดูนะครับ อย่างเจ้าจิ้งจอกที่วัดในญี่ปุ่นตัวนี้
ด้านซ้ายมีกิ่งไม้มากวนๆ อยู่ ผมอยากลบ ก็ใช้เครื่องมือนี้แหละ
ปรับไซส์ให้ใหญ่ๆ หน่อย แล้วเลื่อนตำแหน่งเอาส่วนบริเวณท้องฟ้าข้างๆ
มาทับ ทำสักสองสามที กิ่งไม้ก็หายเกลี้ยงครับ

ทีนี้ LR เวอร์ชั่น 5 พิเศษกว่ารุ่นก่อนๆ
ตรงที่ สามารถลาก Spot Removal ให้ยาวไปครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดได้
(ไม่เหมือนแต่ก่อน ที่ได้เฉพาะเป็นจุดๆ ต้องทำหลายๆ จุดทับซ้อน)
ดังจะเห็นได้จากสายไฟที่พาดกิ่งไม้ด้านขวามือจิ้งจอกนะครับ
คราวนี้ ผมคลิ้กแล้วลากยาวให้ครบทั้งเส้นเลย สะดวกดีครับ


หลังจากลบจุดด่างดำ สิวฝ้าอะไรเรียบร้อยแล้ว
เราก็มาทำหน้าให้กระจ่างใสครับ
คราวนี้เราจะใช้แปรง Adjustment Brush เอา
โดยคลิ้กที่ไอคอนพู่กันที่อยู่หลังสุดบนแถบเดียว
กับ Crop และ Spot Removal tool ครับ
หลังจากคลิ้กแล้ว เราก็มาตั้งค่าที่เราต้องการ



รายละเอียดของการตั้งค่าอื่นๆ มันจะคล้ายๆ กับหัวข้อที่ 4
ถัดไปเพราะงั้นตอนนี้ผมพูดถึงแค่สองตัวนี้ก่อนนะครับ
ดึงความสว่างโดยเลื่อนแถบ Exposure ไปทางขวา (บวก)
สักเล็กน้อย ประมาณ 1.0 ดูครับ
ดึงส่วนเงา Shadows ไปทางขวาสักเล็กน้อย ประมาณ 50

ข้อแตกต่างระหว่างสองอันนี้คือ exposure จะปรับแบบโดยรวมทั้ง
ส่วนมืดส่วนสว่าง ในขณะที่ shadows จะปรับเฉพาะส่วนมืดอย่างเดียว

จากนั้น ก็เลื่อนลงมาด้านล่าง จะเห็น Size, Progressive contour, ฯลฯ
นะครับ ก็ปรับขนาดตรง Size ให้ไม่เล็กไม่ใหญ่
(ไม่ควรใหญ่เกินพื้นที่ที่จะแก้ไข)
ทีนี้ ก็ไปละเลงที่บริเวณใบหน้า หรือส่วนที่ต้องการดึงความสว่าง
ออกมาดูครับ จะเห็นว่าตรงจุดนั้น สว่างขึ้นมาครับ

แต่ถ้าไม่พอใจอีก (สว่างไปหรือยังสว่างไม่พอ)
ก็กลับมาดึงค่า Exposure, Shadows ไปมาจนได้ที่ต้องการครับ
(แต่ต้องดูด้วยนะครับว่าขาวแบบเป็นธรรมชาติรึเปล่า
ไม่งั้นขาวเว่อร์เหมือนลงแป้งรองพื้นผิดเบอร์ จะตลกเอา)



ภาพนี้ผมหมุนภาพ แล้วก็ลง Adjustment Brush
โดยตั้งค่าตามที่ระบุไว้ด้านบน
(ไม่มีสูตรตายตัวนะครับ ขึ้นอยู่กับแต่ละภาพ ต้องลองปรับเอาเองดู)

สรุปคือ ตั้งขนาดพู่กัน, ปรับค่าความสว่าง (exposure, shadows)
แล้วก็ละเลงส่วนที่ต้องการดึงให้สว่างครับ
เน้นย้ำกันอีกที ว่าอย่าลงหนักนักนะครับ เดี๋ยวจะไม่เป็นธรรมชาติ

เพียงเท่านี้ ใบหน้าของคุณก็จะบริสุทธิ์ นวลเนียน
ผุดผ่องเป็นหยวกกล้วย โดยไม่ต้องเจ็บตัว หรือเสียเงินให้กับ
สถาบันเสริมความงามใดๆ ครับ
(แต่แค่ในรูปนะครับ ตัวจริงก็ยังเหมือนเดิม อันนี้ริวจะไม่ยุ่ง)

4. ปรับความคมชัด, ความสว่าง, ความสดของสีภาพแบบทั้งภาพ

ทีนี้เราก็จะมาปรับแต่งเพิ่มเติมในส่วนความคมชัด, ความสว่าง,
ความสดของสีแบบทั้งภาพกันนะครับ
ข้อแตกต่างระหว่างหัวข้อที่ 3 กับหัวข้อนี้คือ
ข้างบนเป็นการปรับแต่งแบบเฉพาะจุด
เหมาะสำหรับการเน้นส่วนสำคัญของภาพให้โดดเด่นขึ้นมา
ในขณะที่หัวข้อนี้ จะเป็นการปรับทั้งภาพให้แสดงอารมณ์
หรือสื่อข้อความที่เราต้องการ

เช่นว่า เราอาจจะอยากให้ภาพเป็นขาวดำเพื่อลดสิ่งที่แย่งความสนใจ
(distraction) ของผู้ชมออกไป หรือเราต้องการให้ภาพดูฟุ้งๆ
ชวนฝัน เหล่านี้เป็นต้นครับ

หัวข้อนี้ ต้องอาศัยจินตนาการหน่อยนะครับ ว่าเราอยากจะสื่ออะไร
ผมเองก็มักจะเสียเวลากับส่วนนี้ค่อนข้างนาน เพราะบางทีภาพมัน
ก็ไม่ได้ดั่งใจ ต้องปรับแก้ ทดลองเปลี่ยนค่าไปมา จนกว่าจะถูกใจน่ะครับ
เพราะฉะนั้น อย่าแปลกใจว่า ทำไมกว่าจะแต่งภาพๆ นึงเสร็จอาจจะใช้
เวลาเป็นสิบๆ นาที ในขณะที่บางรูป อาจจะใช้เวลาแค่สองสามนาทีเท่านั้น
เพราะเรามีเป้าหมายชัดเจนแต่ต้นแล้ว เวลาแต่งภาพเลยเร็วกว่า

หัวข้อนี้ เราเลื่อนลงมาจากไอคอนที่ใช้ในหัวข้อ 2-3
มาดูตรงแถบเลื่อนที่มีอยู่หลายอันนี้ครับ
(เอาภาพเดิมมาลงอีกรอบ จะได้รู้ว่าแต่ละอันทำหน้าที่อะไรบ้าง)



Temperature กับ Tint จะเป็นการคุมโทนสีภาพ ขอข้ามไปใส่ในหัวข้อที่ 5 นะครับ

- Exposure เป็นการปรับค่าความสว่าง/มืดของภาพ (ศัพท์คำนี้เป็นศัพท์เทคนิคการถ่ายภาพตั้งแต่สมัยเทคโนโลยีฟิล์ม รบกวนอ่านเพิ่มเติมที่ //en.wikipedia.org/wiki/Exposure_(photography) เองนะครับ ไม่งั้นจะยาวไป) หากตั้งค่าไปทางลบ ภาพจะมืด กลับกัน ถ้าเลื่อนไปทางบวก ภาพจะสว่างขึ้นครับ
- Contrast ปรับความคมชัดของภาพ (จะคล้ายๆ กับ Clarity)
- Highlights ปรับส่วนสว่างของภาพ (บริเวณที่เป็นสีขาวๆ ในภาพ ถ้าดึงไปทางซ้าย จะเผยรายละเอียดเพิ่มขึ้น ขณะที่ถ้าดึงไปทางขวา รายละเอียดตรงนี้จะหายไป ปกติผมจะดึงไปทางซ้ายครับ เพื่อดึงรายละเอียดกลับคืนมาบางส่วน (อย่างภาพเปิด จะเห็นรายละเอียดเมฆมากขึ้นกว่าภาพต้นฉบับ ก็มาจากการปรับ highlight ครับ)
- Shadows ตรงกันข้ามกับ highlight ครับ อันนี้จะเป็นการปรับส่วนที่เป็นเงาของภาพ หากภาพต้นฉบับมืดไป แนะนำว่าให้ปรับ exposure และ shadows ดูครับ โดยปรับ exposure เพียงเล็กน้อย ขณะที่ shadows เราสามารถดึงได้ค่อนข้างมาก (บางทีผมดึงสุดเลย แล้วค่อยๆ ลดลงมาให้ดูเป็นธรรมชาติ)
- Whites/Blacks อันนี้จะคล้ายๆ กับ Highlights/Shadows ครับ แต่จะเป็นการปรับความอิ่มของสีขาวและสีดำ (เหมือนกับที่เวลาโฆษณาขายทีวีว่าดำเป็นดำ natural black นั่นแหละครับ)

TIPS: โดยปกติแล้ว ผมจะถ่ายภาพติดมืดมาค่อนข้างมาก (underexposed) เพราะมือผมไม่ค่อยนิ่ง กล้องก็หนัก เลยตั้งค่า speed shutter ให้มันเร็วๆ ขณะที่ ISO ต่ำๆ แล้วดันเผลอลืมตั้งค่าชดเชยแสง เพราะงั้น วิธีแก้ของผมคือตั้งถ่ายเป็น RAW แล้วมาปรับดึงเอารายละเอียดคืนมาด้วย Highlights/Shadows ครับ อาจจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็พอกล้อมแกล้มได้บ้าง

TIPS 2: วิธีการปรับดึงค่าทั้งหมดข้างต้นให้ได้ผล ผมแนะนำให้ดูที่กล่อง Histogram ครับ ว่าภาพของเรามีการกระจายตัวของรายละเอียดส่วนต่างๆ ที่สมดุลย์หรือยัง ภาพที่ดีคือมี Exposure ที่ครอบคลุมทั้งหมดทั้งส่วนสีดำ, ส่วนเงา, ส่วน exposure, highlight และส่วนสีขาว



ลองดูภาพทางซ้ายครับ เชสกี้ครุมลอฟมันดูมืดไปหน่อย (เพราะวันนั้นมีเมฆมาก) ตรงกล่อง Histogram ก็จะเห็นว่ากราฟมันกระจุกตัวไปทางซ้ายซะมาก บริเวณ Highlights กับ Whites แทบจะไม่มีเลย ส่วนภาพทางขวา หลังจากปรับตั้งค่าพวกนี้ใหม่ กราฟก็ดูสมดุลย์ขึ้นครับ ภาพที่ได้ก็ดูสว่างขึ้นด้วย ขณะที่รายละเอียดต่างๆ ก็ยังอยู่ หลังจากนี้ เราก็สามารถแต่งอีกนิดหน่อย ภาพก็จะสมบูรณ์พร้อมใช้งานแล้วครับ

TIPS 3: หากไม่มีเวลาปรับแก้มากนัก แนะนำให้ใช้ preset ที่มีมาอยู่แล้วครับ ตรงแถบด้านซ้ายของโปรแกรม จะมี Lightroom General Presets อยู่ (จะพูดถึงเพิ่มเติมในหัวข้อที่ 6 นะครับ) คลิ้กดูจะมี Auto Tone อยู่ มันจะปรับโทนภาพให้สมดุลย์ขึ้นครับ แล้วเราค่อยมาปรับจูนนิดๆ หน่อยๆ เพิ่มเติมได้

มาต่อที่สามอันสุดท้ายครับ
- Clarity เป็นการปรับความคมชัดของภาพ คล้ายๆ กับ Contrast แต่ตัวนี้จะคุมโทนและส่วนมืดและส่วนสว่างได้ดีกว่า คือถึงแม้จะปรับไปจนสุด ภาพก็ดูไม่มืดเข้มเหมือนกับเวลาปรับ Contrast ไปเยอะๆ ครับ แนะนำให้ลองใช้ครับ
- Vibrance อันนี้ปรับความอิ่มของสี เหมาะกับเวลาต้องการจะแต่งภาพพอร์เทรต เพราะสีผิวจะไม่ถูกปรับไปจนเว่อร์เหมือนเวลาใช้ Saturation
- Saturation ปรับความเข้มข้นของสีเช่นกัน แต่ตัวนี้จะเหมารวมกว่า เหมาะกับภาพวิวทิวทัศน์ ธรรมชาติ หรือตึกรามบ้านช่องทั่วไป ไม่เหมาะกับเวลาแต่งภาพที่มีคนอยู่ เพราะสีผิวจะดูเข้มผิดธรรมชาติครับ

TIPS: ถ้าต้องการทำภาพเป็นขาวดำแบบง่ายและรวดเร็วที่สุด ก็ให้ดึง Saturation ไปติดลบจนสุดเลยครับ ง่ายมั้ยครับ แล้วก็ปรับ contrast, clarity อีกนิดหน่อยก็เรียบร้อยแล้วครับ

TIPS 2: หากยังพอจำได้ ในหัวข้อที่ 3 แถบเครื่องมือสำหรับแปรง Adjustment Brush จะมีอยู่หลายตัวที่เหมือนกันกับหัวข้อนี้ นั่นหมายความว่า เพื่อนๆ สามารถปรับแต่ง highlights/shadows/saturation, ฯลฯ เฉพาะบริเวณได้อีกด้วย อันนี้มีประโยชน์ยังไง ตัวอย่างนึงที่เห็นได้ชัด คือ การแต่งภาพเป็นขาวดำ (ใช้ Adjustment Brush โดยปรับ Saturation ลบไปจนสุด จากนั้นก็ละเลงไปยังส่วนที่ต้องการทำเป็นขาวดำและเว้นส่วนที่ยังเป็นสีไว้ เท่านี้เราก็จะได้ภาพอาร์ตๆ ที่เห็นกันบ่อยๆ แล้วครับ)



5. ปรับแต่งโทนภาพ

นอกเหนือจากการปรับแต่งความสว่าง, ความคมชัด, หรือความสดของสีแล้ว เรายังสามารถเปลี่ยนโทนสีหรือ White Balance ของทั้งภาพได้อีกด้วย ทั้งนี้แก้ไขโทนสีที่ผิดเพี้ยนไป หรือเพื่อสื่อถึงอารมณ์ที่เราต้องการได้ดียิ่งขึ้น เช่น ความอบอุ่น ภาพก็ควรจะออกโทนเหลืองส้ม หรือโทนสีน้ำเงินฟ้าสำหรับสื่อถึงความเยือกเย็น เป็นต้น

ดังที่แอบเกริ่นไว้นิดนึงในหัวข้อ 4 นะครับ ตรงส่วนแถบเครื่องมือในกล่อง Basic นี้จะมีแถบสำหรับเปลี่ยนโทนสีอยู่ด้วยกันสองอันคือ
- Temperature ไว้สำหรับปรับอุณหภูมิของภาพ (หน่วยเป็นเคลวิน) จากสีน้ำเงินไปจนถึงสีเหลือง
- Tint สำหรับสีเขียวจนถึงสีม่วง

กล้องดิจิตอลในปัจจุบันมักจะมีโหมดที่ไว้สำหรับตั้งค่า White Balance อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโหมด Daylight (ถ่ายภาพกลางวัน), Night (ถ่ายกลางคืน), Flash, Shade (ถ่ายในที่ร่ม), Tungsten (หลอดไฟส้ม), Fluorescence (หลอดตะเกียบ) ถ้าเราตั้งจากกล้องไว้แล้ว โทนสีของภาพก็มักจะไม่ค่อยผิดเพี้ยนไปสักเท่าไหร่ แต่ถ้าในกรณีที่เราลืมล่ะ (เจ้าของกระทู้เป็นบ่อย) เราก็สามารถมาปรับได้โดยเปลี่ยนค่าในช่อง WB ได้เลยครับ แล้วค่อยมาปรับแก้ Temperature, Tint อีกนิดหน่อย ให้ดูเป็นธรรมชาติ ก็เป็นอันเรียบร้อย

TIPS: หากต้องการภาพชวนฝัน ฟุ้งๆ หน่อย ลองปรับโทนไปทางเหลืองส้มนิดๆ แล้วปรับ Clarity ไปทางลบ (ภาพจะเบลอๆ) แล้วอาจจะเพิ่มขอบภาพ Vignette สีขาว (หัวข้อ 7) ครับ ส่วนถ้าต้องการโทนสีภาพที่มันดราม่าๆ หน่อย ก็ลองปรับโทนออกไปทางเหลืองส้ม แล้วดึง Saturation ลงมาให้สีซีดๆ พร้อมกับ Shadows ให้ดูส่วนมืดกับส่วนสว่างตัดกันเยอะๆ ครับ



ภาพซ้ายป้ายหลุมศพของราชาเอลวิสที่อเมริกา ออกแนวฟุ้งๆ หน่อย ส่วนทางขวา the Thinker ของโรแดง ที่พิพิธภัณฑ์ในเดนมาร์ก จะเห็นกล้ามเนื้อชัดๆ ออกแนวดิบๆ หน่อย ต้นฉบับของทั้งสองภาพ ก็ธรรมดาครับ ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก แต่หลังจากรีทัชแล้ว ก็ได้อารมณ์ที่ชัดเจน น่าสนใจขึ้นครับ

สำหรับท่านที่มีเวลาต่อภาพค่อนข้างสูงและต้องการจะปรับสีให้แม่นยำแบบแอดวานซ์หน่อย ก็เลื่อนแถบเครื่องมือด้านขวาลงมาเรื่อยๆ ครับ จะเห็นกล่อง TSL/Color/BW อันนี้ไว้สำหรับปรับแต่งแต่ละเฉดสีเลยครับ (ถ้าคลิ้กที่ BW ก็จะเป็นการปรับภาพขาวดำขั้นสูง)



6. การลง presets และการใช้งาน

ลองคิดดูว่า คุณๆ ชัตเตอร์รัวมาเป็นร้อยๆ พันๆ รูป แล้วถ้าต้องมานั่งแต่งรูปตามขั้นตอนข้างต้นทุกรูป รับรองไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นกินกันพอดีครับ เพราะฉะนั้น LR จึงมี presets ไว้สำหรับจดจำค่าการปรับแต่งต่างๆ (แบบโดยรวมทั้งภาพนะครับ การปรับแต่งเฉพาะจุดในหัวข้อ 3 ไม่เกี่ยว) ทีนี้เมื่อเราต้องการจะแต่งอะไร ก็เลือกกด preset เอาได้เลย

นอกเหนือจาก presets มาตรฐานที่มีมาตั้งแต่ตอนติดตั้งโปรแกรมแล้ว คุณยังสามารถหาดาวน์โหลดหรือซื้อเอามาลงเพิ่มเองได้ในภายหลังอีกด้วย เดี๋ยวนี้ preset ดีๆ ฟรีๆ มีให้ดาวน์โหลดเยอะแยะเลยครับ ลองเสิร์ชด้วยป๋าเกิ้ลโดยใช้คำทำนองว่า lightroom presets free ดูครับ มีเพียบเลย
ส่วนแบบที่ต้องเสียตังค์ ผมชอบของ VSCO ครับ (//vsco.co/film) เพราะเป็น presets ที่เลียนแบบฟิล์มกล้องอนาล็อกหลายรุ่น เท่มากครับ

ทีนี้ หลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้ว จะจัดการลงยังไงดี ขอแนะนำดังนี้ครับ
- ขั้นแรก ไปที่หน้า Develop ครับ แล้วคลิ้กขวาตรงบริเวณกล่อง Presets ทางด้านซ้ายของโปรแกรม
- จะมีให้เลือก New Folder กับ Import... เลือก New Folder ก่อนครับ แล้วตั้งชื่อที่สื่อว่าคือ presets สำหรับอะไร เช่น Retro, Wedding, Black&White
- แล้วคลิ้กขวาอีกทีตรงชื่อที่เพิ่งตั้งเสร็จ คราวนี้เลือก Import... ครับ
- หาไฟล์ presets ที่โหลดมาและเข้ากับหัวข้อที่ตั้งไว้ แล้วก็ตกลงครับ
- ย้อนกลับไปทำใหม่จนครบครับ เสร็จแล้วเราก็จะมี presets ที่จัดเป็นหมวดหมู่ เป็นระเบียบ ง่ายต่อการค้นหาและใช้งานครับ

แล้ววิธีการใช้งานล่ะ แน่นอนว่า ก็แค่เลือก presets ที่คิดว่าเหมาะสำหรับรูปที่จะแต่ง แล้วก็คลิ้กเลยครับ จากนั้นก็ปรับจูนรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมจนพอใจ

TIPS: ทั้งนี้และทั้งนั้น ผมมี 4 presets ที่ผมใช้งานบ่อยสุดสำหรับภาพธรรมดา และค่อนข้างจะเป็นเบสิกที่ผมใช้ต่อยอดรีทัชเพิ่มเติม ได้แก่
- Lightroom General Presets: Medium contrast curve ปรับคอนทราสของภาพ
- Punch ปรับให้สีสดขึ้น
- Auto Tone ปรับความสว่างของภาพ
- Lightroom Effect Presets: Vignette 2 เพิ่มขอบภาพไว้สำหรับเน้น subject
โดยผมมักจะกด medium contrast curve, punch, auto tone, vignette 2 ต่อกัน แล้วถ้าภาพโอเค ก็จบครับ ไปภาพถัดไปเลย ส่วนภาพขาวดำ ผมชอบ Lightroom B&W Presets: Black & White: Aspect 5 ลองใช้ดูครับ เผื่ออาจจะชอบ (ของอย่างนี้ แล้วแต่รสนิยมความชอบส่วนตัวนะครับ ลองเลือกๆ ดูว่าอันไหนเราชอบ อาจจะแชร์ให้ทราบบ้างนะครับ จะได้ไปลองดูมั่ง)



ภาพ Heroes' Square (Hősök Tere) ที่บูดาเปสต์
แต่งสีอยู่หลายรอบเลยครับกว่าจะถูกใจ

7. การเพิ่ม vignette, ลด noise, เพิ่ม grain

หัวข้อนี้ เป็นหัวข้อเสริมเพิ่มเติมจากการแต่งภาพด้วยเครื่องมือหลักๆ นะครับ ที่ไม่ได้จับไปรวมกับหัวข้อข้างบน เพราะหัวข้อนี้เน้น effect ซึ่งไม่ได้จำเป็นสำหรับทุกรูป สามารถข้ามไปได้ครับ

ขอเริ่มจากการเพิ่มขอบภาพหรือวินเน็ต (vignette) ก่อนนะครับ
สมัยตอนที่การถ่ายรูปยังเป็นอนาล็อก เทคโนโลยีของเลนส์ยังไม่ก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน ในหลายๆ ครั้ง ด้วยข้อจำกัดของเลนส์ก็อาจทำให้เกิดขอบภาพขึ้น นั่นหมายความว่า​ภาพจะมืดและความสดของสีลดลง ณ​ บริเวณขอบภาพ แต่ในยุคดิจิตอลนี้ เอฟเฟคแบบนี้ ก็ช่วยให้คนดูเพ่งจุดสนใจไปที่บริเวณกลางภาพได้มากขึ้น วินเน็ตนี้จึงกลับมามีความนิยมอีกครั้งครับ

แล้วเราจะใส่วินเน็ตนี้ใน LR ยังไง
เลื่อนแถบเครื่องมือด้านขวาลงมาจนสุดครับ จะพบกับกล่อง Effects ตรงนี้เราสามารถใส่วินเน็ต และเกรนให้กับภาพได้



ปรับเลื่อนแถบ Gain ไปทางซ้ายเพื่อเพิ่มขอบภาพสีดำ และเลื่อนไปทางขวาเพื่อเพิ่มขอบภาพสีขาว ยิ่งเลื่อนไปมากขอบภาพก็จะใหญ่และเข้มขึ้นครับ
จากนั้น หากต้องการปรับจูนเพิ่มเติม ก็เลื่อนแถบที่อยู่ด้านล่างได้ครับ เป็นการปรับการกระจายขอบ, ความกลมของวงขอบ, ระยะขอบใน และอันสุดท้ายเป็นการปรับไฮไลท์ในกรณีที่ใส่ขอบภาพสีดำ (หากใส่ขอบภาพสีขาว จะเลื่อนแถบนี้ไม่ได้ครับ)



ภาพโบสถ์ในสวีเดนภาพนี้ ผมหมุนภาพ ใส่ Medium contrast curve, Punch, Auto Tone, Vignette 2 (คอมโบที่ผมระบุในหัวข้อ 6) ใส่ Clarity, ปรับ Shadows กับ Highlights เพื่อดึงรายละเอียดคืนมาเล็กน้อย และเพิ่ม Vibrance นิดนึงให้สีสดขึ้น เป็นอันจบภาพในสองนาทีครับ
ค่าวินเน็ตในภาพตั้งไว้อยู่ที่ -35 ซึ่งก็พอดีๆ ครับ เน้นบานหน้าต่างกับส่วนยอดของโบสถ์ได้ดี

หัวข้อต่อไปเป็นการลดน๊อยส์ในภาพครับ
หากปกติ คุณถ่ายรูปในช่วงกลางวันที่มีแสงสว่างพอสมควร ปัญหาน๊อยส์มักจะไม่มีครับ
ปัญหาเรื่องน๊อยส์ (หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าภาพแตก) มักจะเป็นสิ่งที่กวนใจช่างถ่ายภาพทุกคนเวลาที่ต้องถ่ายภาพในช่วงกลางคืนหรือบริเวณที่มีแสงน้อย เช่น ในถ้ำหรือภายในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ

ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกล้องในการจัดการกับน้องน๊อยส์ กล้อง DSLR ในปัจจุบันสามารถเร่ง ISO ไปได้สูงมากในขณะที่ปริมาณน๊อยส์ในภาพน้อย แต่กล้องคอมแพคหรือกล้อง DSLR รุ่นเก่าหน่อย หรือแม้แต่กล้องมีเดียมฟอร์แมตก็ตาม มักจะยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ดีนัก เราจึงเห็นภาพเต็มไปด้วยมวลมหาประชาน๊อยส์เต็มไปหมด

วิธีแก้ไข ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนถ่ายครับ (ไม่ควรหวังพึ่งเทคโนโลยีของ LR เพียงอย่างเดียว) หากรู้ว่าจะต้องไปถ่ายภาพกลางคืน ควรเตรียมตัวไปให้พร้อม โดยตั้งค่า shutter speed ให้นานหน่อยเพื่อให้เซนเซอร์เก็บแสงได้เพียงพอ (ISO อาจจะไม่ต้องสูงมาก 200-400 เป็นต้น เพราะยิ่งมากน๊อยส์ยิ่งเยอะ) ดังนั้นจึงควรติดขาตั้งไปเพื่อให้ภาพไม่สั่น หรือถ้าจะถ่ายภาพบุคคล ก็ติดแฟลชแยกไป (ถ้าไม่มี ก็เปิดแฟลชหัวกล้อง และเว้นระยะให้ห่างจากตัวแบบพอประมาณ ไม่เช่นนั้น หน้าจะสว่างเว่อร์ แต่หลังดำมืดครับ)

จากนั้น ก็มาแก้ไขน๊อยส์ที่ยังคงมีในภาพใน LR ต่อ โดยเลื่อนแถบเครื่องมือด้านขวาไปจนถึงกล่อง Details ครับ



ตรงหัวข้อ Noise reduction ให้เลื่อนแถบ Luminance ไปทางขวาพร้อมกับดูกล่องสี่เหลี่ยมที่โชว์รายละเอียดของภาพแบบซูมเต็มร้อยด้านบน ว่าน๊อยส์หายไปหรือยัง จากนั้นก็ปรับรายละเอียด Detail กับ Contrast เพื่อเรียกคืนรายละเอียดของภาพ และเพิ่มคอนทราสต์ ให้ภาพดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นครับ เพราะเมื่อยิ่งดึงแถบ Luminance ไปทางขวามากเท่าไหร่ ภาพจะเบลอมากขึ้น (หลักการของเจ้าตัวนี้ เหมือนเราเอานิ้วขยี้ที่ภาพ ส่วนที่เป็นน๊อยส์ก็โดยขยี้ไปกับส่วนอื่นของภาพ ทำให้ดูกลืนๆ กันไป) ดังนั้นจึงต้องเรียกคืนรายละเอียดของภาพกลับมาครับ

อันนี้ ไม่มีสูตรตายตัวแต่อย่างใด เพราะขึ้นอยู่กับปริมาณน๊อยส์ในแต่ละภาพ หากน๊อยส์เยอะมากๆ อันนี้ก็คงช่วยไม่ได้ครับ กู้ไม่ได้จริงๆ ต้องยอมรับสภาพ วิธีแก้ก็อาจจะต้องแปลงภาพเป็นขาวดำ ใส่เกรนเข้าไปให้พอเหมาะ ทำให้ดูเหมือนจงใจถ่ายให้ออกมาแบบนี้เองครับ (เวลาใครถามก็บอกไปว่า "ไม่รู้เหรอว่าตอนนี้ภาพขาวดำแบบนี้กำลังอินเลยนะ" 555)

8. การ export ภาพ, การลงลายเซ็น

หลังจากแต่งภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงตอนที่เราจะนำเสนอต่อสาธารณชนแล้วครับ
นอกเหนือจากการ export ภาพแล้ว LR ยังมีฟังก์ชั่นที่ครบครันสำหรับการสั่งพิมพ์เป็นหนังสือ, ทำ presentation slides, อัพลงเว็บโดยตรง หรือสั่งพิมพ์ผ่านพริ้นเตอร์ (ทั้งหมดนี้ อยู่ที่แท็ป Map, Presentation, Book, Web ด้านบนนะครับ แต่ผมคงไม่ลงรายละเอียด)

วิธีการ export ก็ง่ายๆ ไปที่หน้า Library แล้วเลือกภาพที่ต้องการครับ (กรณีที่ต้องการเลือกเพียงบางภาพ ก็กดแป้น Ctrl (Windows) หรือ Cmd (Mac) ไปด้วยเพื่อเลือกภาพ แล้วไปที่ File > Export...



เราก็ระบุโฟลเดอร์ที่ต้องการจะ export ภาพออกไป ตั้งชื่อโฟลเดอร์
จากนั้นก็เลื่อนลงมาด้านล่างครับ



สกุลภาพ JPEG ก็ภาพทั่วไป คุณภาพการบีบอัด ตั้งไว้ซัก 80-100 ครับ (100 ไฟล์จะใหญ่กว่า 80 เพราะบีบอัดน้อยกว่า)

กำหนดขนาด (ในกรณีต้องการย่อภาพ) ว่าต้องการให้ความยาว/ความสูง ไม่ให้เกินเท่าไหร่ เช่นถ้าใส่ 1000 x 1000 ภาพแนวนอนจะมีขนาดความยาว 1000 ส่วนความสูงของภาพ LR จะคำนวณให้เองอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับว่าสัดส่วนของภาพนั้นๆ เป็นเท่าไหร่ (เช่นกัน ภาพแนวตั้งความสูงก็จะ 1000 ส่วนความยาวแล้วแต่ LR คำนวณให้) และ resolution นี่คือความละเอียดภาพครับ 72 pixels per inch (ppi) สำหรับจอมอนิเตอร์, 300 ppi สำหรับสั่งพิมพ์โรงพิมพ์ ยิ่งใส่เยอะไฟล์ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นครับ

ลงมาอันล่างสุด หากต้องการให้ LR เปิดโฟลเดอร์ให้ตอน export เสร็จ ก็เปลี่ยนให้เป็น Show in Folder (Finder สำหรับ Mac) ครับ หรือถ้าต้องการจะให้เปิดไฟล์ในโปรแกรมแต่งภาพอื่นก็เลือกได้เลยครับ

สุดท้าย หากต้องการจะใส่ลายเซ็นก่อน export เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ก็ไปที่หัวข้อ Watermarking (ในเวอร์ชั่นเก่าๆ ติ๊ก Add Copyright Watermark ในหัวข้อ Metadata) จากนั้นก็เลือก Edit Watermark...



ถ้าต้องการจะใส่ลายเซ็น (หรือลายน้ำ) ธรรมดา ก็พิมพ์ที่ช่องใต้ภาพ เปลี่ยนฟอนต์, ขนาด, สี, ใส่เงาหลังตัวหนังสือ (จะช่วยได้มากกรณีที่ตัวหนังสือสีขาวและพื้นหลังดันสีขาวหรือมีรายละเอียดเยอะจนทำให้อ่านตัวหนังสือไม่ออก)
ลงมาอีก ก็จะมีให้ตั้งว่าต้องการให้เห็นชัด 100% หรือน้อยกว่านั้นเพื่อให้กลืนไปกับภาพ และตำแหน่งลายเซ็นว่าอยากให้อยู่ล่างซ้ายหรือตำแหน่งไหนใน 9 จุดในภาพ อยากหมุนตัวหนังสือให้เป็นแนวตั้งมั้ย อย่างนี้ก็ได้ครับ

แต่ถ้ามีไฟล์สำเร็จรูปอยู่แล้ว (เช่นในห้องกล้องนี้ เห็นมีหลายท่านทำลายเซ็น I AM นิกรอยู่หลายคนเลย) ก็คลิ้กปุ่ม Graphic แทนที่จะเป็น Text ก็ได้ครับ แล้วไปเลือกไฟล์ลายเซ็นมาใส่ได้เลย แนะนำให้ทำไฟล์เป็น PNG (อาจจะใน Photoshop หรือโปรแกรมแต่งภาพอื่นๆ ก็ได้ครับ) จะได้มี transparent background ได้ (ถ้าเป็น JPG จะมี background สีขาวติดมา ไม่สวย)

เพียงเท่านี้ พอ export ภาพเสร็จ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น พร้อมไปอวดเพื่อนได้แล้วครับ

ของแถม:
หลังจากเราแต่งภาพอะไรเสร็จเรียบร้อย หากอยากต้องการจัดการเก็บภาพไว้เป็นคอลเล็กชั่นให้เรียกใช้งานได้ง่ายๆ เพียงแค่ไปที่กล่อง Collections ที่อยู่ใต้สุดในแถบเครื่องมือด้านซ้ายครับ คลิ้กเครื่องหมายบวก แล้วเลือก Create new collection... แล้วตั้งชื่อ จากนั้นก็ลากภาพที่ต้องการไปใส่ไว้ในอัลบั้มได้เลย ง่ายและสะดวกดีครับ เหมาะสำหรับคนความจำสั้นอย่างผม (จำไม่ได้ว่าไปเที่ยวเมื่อไหร่ กับใครบ้าง)



แนะนำว่า ท่านใดที่เพิ่งเคยใช้ LR หรือยังใช้ไม่คล่อง ก็ลองดูตามไป ค่อยๆ ศึกษาทีละหัวข้อนะครับ 7-8 หัวข้อ น่าจะใช้เวลาไม่เกินสัปดาห์ ผมรับประกันว่าอย่างน้อยคุณจะเริ่มสนุกกับการแต่งภาพครับ ข้อดีอย่างหนึ่งของ LR คือ non-destructive นั่นหมายความว่าคุณสามารถย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ไฟล์ดั้งเดิมได้ทุกเมื่อ หากคุณไม่พอใจอะไร (หรือไม่พอใจใคร) ก็ย้อนเวลากลับไปเหมือนเดิมได้ครับ เพียงคลิ้กที่กล่อง History ที่อยู่ใต้ Presets ด้านซ้ายมือในหน้า Develop (ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้... แหม save the best for last ไงครับ)



ติดตามผลงานของ คุณVerdiinpink
ได้ที่ //pantip.com/profile/766429
ขอบคุณท่านผู้เขียนไว้ ณ.ที่นี้

____________________________________________________

สำหรับท่านที่สนใจ เผือ่เสริมความรู้อ่านกัน

//coursewares.mju.ac.th:81/e-learning49/ca519/Chapter3/Unit-Photoshop.htm




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 16 มิถุนายน 2557 16:46:26 น.   
Counter : 9193 Pageviews.  



P_ปรัชญา
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




หยิ่ง
กับตัวเองบ้าง
ในบางครั้ง

เบื่อ
ชีวิตความผิดหวัง
ในบางหน

เกลียด
ความไม่จริงใจ
ในบางคน

ยอมทน
คนหยามเหยียดได้
ในบางที


[Add P_ปรัชญา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com