ตำนาน บั้งไฟพญานาค___ มหัศจรรย์แห่งลุ่มน้ำโขง



____________________________________________________________________





____________________________________________________________________




พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่
ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ
บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์
จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา
ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

งูใหญ่ หรือพญานาค เรามักจะพบเห็น
เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่าง ๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนาภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
กับศาสนาพุทธอีกมากมาย และ นครวัดมหาปราสาท
ถ้าเราจะสังเกต ก็คงจะเป็นที่ศาสนาพุทธ ทำไมมีเรื่องราวพญานาคมาเกี่ยวข้องมาก
ติดตามกันต่อไป

พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง
หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส
ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก
ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า
พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่าง ๆ
เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช
ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพรามณห์
ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว
แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา
ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย
ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตูการณ์
เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้



นาค…เจ้าแห่งงู หรือ พญานาค

พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ
คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์
และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้
เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า
ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ
ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก
และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ
จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร
แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม
คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาค
กับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ
ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

พญานาค มีพิษร้าย
สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด
ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู
แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ
มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้
แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก
พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย
แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ
จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน


พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล
คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพเทวาอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก
ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า
ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร
มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น
เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์


พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้
แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้
เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู
มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร

สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์
ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง
ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์
ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ

จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่
นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก
จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้
พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี



นาค…เกี่ยวพันกับชีวิต น้ำ ธรรมชาติ

จะได้ยินอยู่เสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำเท่าไร กี่ตัว ฝนฟ้าดี หรือไม่ดี
นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิต

ทั้งปวง พญานาค ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ใต้น้ำ
ตามคติฮินดู พญาอนันตนาคราช
แท่นบรรทมของพระนารายณ์ ที่นับถือเป็นเทพเจ้า
พญานาค เปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล
นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกก็ได้
ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้
พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่าง ๆ
อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย

ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ
คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช
นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว
นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย
คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน
ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลก
ขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมา
เป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง

ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมา
จากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่
และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม
พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน
เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้
และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน
จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช

ที่เห็นได้ชัดก็คือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง
จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน
รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย
ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ
นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ
เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ
นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค
ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ)
การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ
เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ
แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริง ๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค
ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น


แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด
เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง
ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์


นาคให้น้ำ...พญานาค
เป็นสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ "นาคให้น้ำ"
เป็นเกณฑ์ที่ชาวบ้านรู้และเข้าใจดี
ที่ใช้วัดในแต่ละปี จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว
ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว"
แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว"
จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป
เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคกลืนน้ำไว้ในท้อง

เกี่ยวข้องกับคนไทย...เรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ
ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม
นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม
โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่าง ๆ
หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์
และสถานบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า
นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง
เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง
ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง
นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์คันทวยรูปพญานาค

พญานาค...เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

ตามตำนาน พญานาค มีอยู่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ดังเช่น หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว
ได้เสด็จไปตามเมืองต่าง ๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ
ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์"
ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน
คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำ ๆ
ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน
ได้มีพญานาคชื่อ "มุจลินท์" เข้ามาวงด้วยขด 7
รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย
หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นมานพมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์
ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า

ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวพุทธสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก
แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค
ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์
เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า
พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา

พญานาค ชื่อมุจลินทร์ มาถวายอารักขา
ป้องกันพระพุทธเจ้าจากฝนและลมหนาว (ตำนานนาคปรก)

พญานาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์
หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค

กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง

นาคสะดุ้ง...ที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตาม
ความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว
แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง
ที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตน
เอาหลังหนุนบันไดไว้

หรือแม้แต่ ตุง ของชาวล้านนา และพม่า
ก็เชื่อกันว่าคลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์

ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า
นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก
เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช
ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ
สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือก็บั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก
ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค
พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา



ในสมัยพระพุทธเจ้า
มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้ว
ได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ
แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน
หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่
จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า
ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป
เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก
จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวช
ในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน


ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน
ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่น ๆ
บวชอีกเป็นอันขาด เพราะก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม
อัตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้
รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น
มีข้อหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า"

เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย

มีการเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า
เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ
และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง
ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค
ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง
โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา
ที่เมืองบาดาล ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก
พญานาค จะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น
เงือกก็คือ พญานาค ชั้นเลว ประพฤติตนเกเร
จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ
เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง
ที่ที่เป็นที่อยู่ของเหล่า พญานาค ในเมืองบาดาล
เวินสุกอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง
เป็นแม่น้ำสองสี

**เมืองพญานาค หรือเมืองบาดาล**

ในเมื่อมีเมืองมนุษย์ หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ หรือเมืองสวรรค์
ก็ต้องมีเมืองบาดาล (เมืองพญานาค) สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเป็นแน่
วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ
อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร
(ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต
อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
(แต่อย่าอุตริขุดไปหาพญานาคก็แล้วกัน)

พระพุทธเจ้าเสด็จเทวโลก

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จพร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน 500 รูป
เพื่อเสด็จไปยังเทวโลก ได้ผ่านวิมานของเหล่าพญานาค ที่กำลังมีการรื่นเริงกันอย่างสนุกสนาน
ที่มี นันโทปะนันทะนาคราช เป็นประธานใหญ่
เมื่อเห็นคณะสงฆ์ผ่านไปเหนือวิมานจึงมีความโกรธมาก
จึงได้ตรงไปยังเขาพระสุเมรุแปลงตนเป็นนาคขนาดใหญ่
พันโอบเขาพระสุเมรุด้วยขดถึง 7 รอบ
แล้วแผ่พังพานบังชั้นดาวดึงส์เอาไว้ เพื่อไม่ให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผ่านไปได้
และเมื่อเป็นดังนั้นได้มีพระอรหันต์หลายรูปอาสาปราบ
แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต จน พระโมคคัลลานะ
ผู้ซึ่งตามเสด็จไปด้วยอาสา พระองค์จึงทรงอนุญาต
ดังนั้น พระโมคคัลลานะ
จึงได้แปลงกายเป็นนาคราชขนาดใหญ่กว่าถึงเท่าตัว พันเอานาคนันโทปะนันทะนาคราช
เอาไว้ด้วยขดถึง 14 รอบ นาคราชทนไม่ไหวบันดาลให้ไฟลุกขึ้น
พระโมคคัลลานะ ก็ให้เกิดไฟขึ้นเช่นกัน ไฟของนันโทปะนันทะนาคราชสู่ไม่ไหว
จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นใคร"
ตอบว่า "เราคือโมคคัลลานะ ศิษย์ของตถาคต"
นันโทปะนันทะนาคราช
จึงบอกว่า ท่านจงคืนร่างกลับเป็นพระเหมือนเดิมเถิด
แต่ด้วยนิสัยของผู้รู้ว่า นันโทปะนันทะนาคราช
เป็นคนไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ จึงได้แปลงกายให้เล็กนิดเดียว
สามารถเข้ารูหู รูจมูกได้ แล้วเข้าไปตามรูต่าง ๆ จน
นันโทปะนันทะนาคราช ทนไม่ไหว
และนันโทปะนันทะนาคราช สู้ไม่ได้จึงหนีไป พระโมคคัลลานะ
จึงแปลงร่างเป็นพญาครุฑไล่ติดตามไป
เมื่อหนีไม่พ้นจึงแปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม
ยอมแพ้พระโมคคัลลานะและที่สุดจึงยอมให
้พระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ผ่านไปแต่โดยดี

---ใต้เมืองโพนพิสัย--

ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย
จังหวัดหนองคายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง
ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา
เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัย
คือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม
ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาลที่เชื่อว่า
อยู่ใต้อำเภอโพนพิสัย ว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง
แต่บริเวณอำเภอโพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว
บริเวณบ้านโดน วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน
ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักเพื่อไปดื่ม
โดยมีกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ลงมาที่หาดทราย
เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อ (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไป
ชาวบ้านลงมาเห็นแต่กระป๋องน้ำ (หาบครุ) พ่อ แม่
ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบ จนครบ 7 วัน เมื่อไม่เห็นลูกสาว
และคิดว่าลูกสาวคงจมน้ำตายแล้ว จึงได้พร้อมกับญาติพี่น้อง
ชาวบ้านจัดทำบุญอุทิศให้ ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภช


จนเวลาต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืน
ลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตาย ก็ปรากฎตัวขึ้นที่บ้าน
ขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่
ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก
บางคนก็วิ่งหนีเพราะคิดว่าเจอผีหลอกเข้า
สุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง
หลังจากที่ตั้งสติได้ และแล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟัง
หญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่า
"วันนั้นอากาศร้อนมาก น้ำดื่มหมดโอ่ง เมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำ
เมื่อวางกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ปรากฎว่าเห็นมีหมู
เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้าเรียกให้เข้าไปหา
ตนได้เดินเข้าไปหา แล้วหมูตัวนั้นก็บอกว่าให้หลับตา
จะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่
หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฎว่าตนมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง
ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์ มีดิน มีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่
แต่จะมีแปลกก็ตรงที่

ทุกคนจะนุ่งผ้าแดง และมีผ้าพันศรีษะเป็นสีแดงเหมือนกัน
โดยด้านหน้าจะปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลงเหมือนกับหัวงู
เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน)
ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล)
ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อย ๆ
เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฎว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ
เหมือนสีขุ่น ๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่า
นี่เป็นเมืองบาดาล และเป็นเมืองหน้าด่าน
ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล
และชาวเมืองจะมีงานสมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์
ซึ่งถือว่าตลอด 3 เดือน
ที่เข้าพรรษานั้นเหล่าชาวเมืองที่นี่ก็จะจำศีลปฏิบัติธรรม
เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า

หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง
โดยการเดินมาทางเดิม ก็เป็นการเดินมาเรื่อย ๆ
แต่ได้ขึ้นมายืนอยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม
แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่ นี้"

จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง
จึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว
ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด
(เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)

***สิ่งต้องห้ามของชาวอำเภอโพนพิสัย***

สิ่งต้องห้ามสิ่งหนึ่งของชาวอำเภอโพนพิสัย ก็คือ
ห้ามนำมุ้งลงไปซักในแม่น้ำโขง ไม่ว่าจะเป็นที่ใด
เพราะจะทำให้บริเวณนั้นพังทลายเมื่อถึงหน้าฝน
และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อถึงหน้าฝนทุกปี
หากมีคนนำมุ้งลงไปซัก หลายคนไม่เชื่อได้นำมุ้งลงไปซักในแม่น้ำโขง
ก็มักพบกับสิ่งแปลก ๆ บางคนก็เห็นปลาว่ายวนเวียนไปมาอยู่บริเวณนั้น
แต่หลายคนจะเห็นเป็นงูว่ายน้ำไปมาอยู่ใกล้ ๆ ที่ซักมุ้ง
บางคนจะเห็นเป็นงูขนาดใหญ่ว่ายน้ำเป็นสายตรง
จากท่าวัดจุมพล แล้วมุ่งหน้าไปที่ปากห้วยกุง
บ้านหนองกุงฝั่งลาว จะเป็นสายน้ำ
ลักษณะเช่นนี้จะเห็นในตอนเที่ยงวัน ที่วันไหนแดดร้อน
ชาวบ้านเรียกสิ่งนี้ว่างูใหญ่ ที่มีชื่อว่า "นาคตาเดียว"
เนื่องจากครั้งหนึ่งได้มีฝรั่งไปนอนอาบแดดอยู่หาดทรายบ้านโดน
แล้วมีคนหนึ่งจมน้ำตายไป เมื่อฝรั่งขึ้นเครื่องบินดูกลับเห็นว่า
มีงูใหญ่ตัวหนึ่งทับร่างอยู่ จึงได้โยนลูกระเบิดลงมาและถูกงูใหญ่ตัวนั้น
ทำให้ตาข้างหนึ่งบอด (เรื่องนี้สอบถามชาวบ้านได้)
จนต่อมาชาวบ้านก็จะเรียกว่า "ไอ้เดี่ยว" หรือ "นาคตาเดียว"
และมักจะปรากฏให้ชาวบ้านที่ออกไปหาปลาเห็นอยู่เสมอ
แต่ไม่ทำร้ายใคร ตั้งแต่ถูกลูกระเบิด บางครั้งที่บริเวณห้วยกุง (ฝั่งลาว)
บางวันแดดร้อน ๆ ชาวบ้านจะเห็นน้ำพุ่งขึ้นจากห้วยเป็นลักษณะ
เหมือนละอองน้ำเป็นลูกใหญ่ขนาดเท่าลำตาล
และเห็นหัวงูขนาดใหญ่ในละอองน้ำ
เหมือนกับว่ากำลังพ่นน้ำเล่นอยู่ในห้วย
สายน้ำที่มีลักษณะเหมือนงูว่ายน้ำนั้น
ผู้เขียนเองก็เห็นมากับตา เพราะผู้เขียนเองได้นั่งอยู่ที่ท่าน้ำวัดจุมพล
พร้อมกับพรรคพวก ขณะพักผ่อนที่ริมน้ำ


นอกจากการเห็นงูใหญ่ว่ายน้ำไปมาเป็นแนวตรง
ดังกล่าวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชาวโพนพิสัย
ได้กระทำกันเป็นประเพณีติดต่อกันมา
เพื่อเป็นการสักการะเจ้าแม่คงคา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลำแม่น้ำโขง
โดยการไหลเรือไฟ ที่ทำจากกาบกล้วยใส่ขี้ใต้จุดให้ไหลไปตามน้ำ
ซึ่งทำการไหลตั้งแต่ท่าน้ำบ้านแดนเมือง
ต.วัดหลวง แต่ไม่มีการแข่งขันประกวดกันเหมือนทุกปี
ซึ่งจะทำกันในวันออกพรรษาของทุกปี
ซึ่งจะมีการไหลเรือไฟก็ต่อเมื่อเสร็จจากการเวียนเทียน



ลูกไฟประหลาด

หลังจากการเวียนเทียนเสร็จในวันออกพรรษาที่วัดไทย
(ทุกวัดจะมารวมกัน) อ.โพนพิสัย แล้ว พระเณรส่วนหนึ่ง
พร้อมด้วยชาวบ้านก็จะนั่งเรือหางยาวนำเรือไฟที่ทำด้วยกาบกล้วย
ต้นกล้วย ขึ้นไปปล่อยจากท่าน้ำวัดบ้านแดนเมือง
ตงวัดหลวง (รวมทั้งผู้เขียนด้วย)
ได้ขึ้นไปในเรือและก็ปล่อยเรือไฟลงมา
ตอนนี้ก็จะดับเครื่องเรือแล้วปล่อยให้ไหลลงมาเรื่อย ๆ
ในความเงียบนี้เมื่อมาถึงแถวท่าน้ำวัดหลวงก
็จะเริ่มเห็นมีสิ่งเหมือนลูกไฟผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ
เป็นลูกสีแดงอมชมพู ขึ้นสูงจากผิวน้ำประมาณ 2-3 วา
แล้วก็ดับไปในอากาศ จะขึ้นจุดละ 1 ลูก นาน ๆ
จะขึ้นลูกหนึ่งและก็เรื่อยมา ที่ปากห้วยหลวงท่าวัดจุมพล
และจะมีมากที่ท่าน้ำวัดไทย ซึ่งเป็นที่รวมของพระเณร
และชาวบ้านที่มาร่วมกันเวียนเทียน
และอีกแห่งที่เห็นลูกไฟนี้คือ
ท่าน้ำวัดจอมนาง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

ลูกไฟที่ว่านี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อบนฝั่งเงียบสงัด
เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ไปจนถึงเที่ยงคืนก็คืน
จะเกิดขึ้นลูกเดียวโดด ๆ จะเกิดห่างกันหลายนาที
และจะเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น
สมัยเมื่อปี 2516 ลงไป ลูกไฟนี้จะเกิดน้อยมาก
แต่ชาวบ้านก็รอดูกันโดยการปูเสื่อนั่งรอดูอยู่ตามวัดไทย
วัดจุมพล คนดูก็ไม่มาก บางคนก็หลับไปเพราะรอดูลูกไฟประหลาด

ลูกไฟประหลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานมาแล้ว
เพราะว่าคนแก่ที่มีอายุ 80 ปี (เมื่อปี พ.ศ.2540)
ได้บอกว่าเมื่อตนยังเป็นเด็กก็เคยเห็นลูกไฟนี้เหมือนกัน
และพ่อแม่ก็ได้บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน

ต่อมาเมื่อชาวอำเภอโพนพิสัย ได้ไปอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ
และประกอบกับสื่อสารมวลชนได้ลงข่าวเมื่อปี พ.ศ.2519
ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ชาวอำเภอโพนพิสัย
ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเห็นมาทุกปี
จึงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
ซึ่งผิดกับชาวต่างจังหวัดที่พากันมาดูแล้วบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ
จึงมีคนมาในแต่ละปีมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนถึงขนาดทำให้รถยนต์ติดกันเป็นแถวในวันออกพรรษาของทุกปี

ลักษณะของลูกไฟ...จะมีลักษณะเป็นสีแดงอมชมพู
พุ่งขึ้นจากใต้น้ำ บริเวณขึ้นก็ไม่แน่นอน
บางครั้งขึ้นกลางแม่น้ำโขง และบางครั้งจะขึ้นใกล้ฝั่ง
การเกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง
แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง


ในปัจจุบันนี้ ลูกไฟจะขึ้นตั้งแต่ตอนหัวค่ำ
คือเวลาประมาณ 18.00 น. จะขึ้นจุดละไม่ต่ำกว่า 20 ลูก
และขึ้นสูงจากผิวน้ำตั้งแต่ 50-100 เมตร
จะมีลูกใหญ่ เล็กไม่แน่นอน และจุดเกิดไม่แน่นอน
จะเปลี่ยนจุดเกิดไปเรื่อย ๆ แต่จะเกิดในเขตบริเวณ
อ.โพนพิสัย ตลอดแนวของแม่น้ำโขง
นอกจากแม่น้ำโขงแล้ว ในหนองน้ำขนาดใหญ่ก็มีลูกไฟขึ้นเช่นกัน
เช่น หนองสรวง บ้านร่อนถ่อน ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

เมื่อถึงวันออกพรรษาของทุกปี ทุกวันนี้จะมีชาวต่างจังหวัด
และต่างประเทศเดินทางไปที่ อ.โพนพิสัย
เพื่อดูลูกไฟประหลาดนี้กันเป็นจำนวนมาก
เรียกว่าจากทั่วสารทิศ

ที่เกิดของลูกไฟ...

ลูกไฟประหลาด นี้จะเกิดขึ้นตามบริเวณตั้งแต
่ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง ปากห้วยหลวง ท่าน้ำจุมพล ท่าน้ำวัดไทย
ท่าน้ำวัดจอมนาง และบริเวณปากน้ำงึม บ้านหนองกุง ต.กุดบง
ท่าน้ำบ้านน้ำเป ต.รัตนวาปี ท่าน้ำบ้านท่าม่วง กิ่ง อ.รัตนวาปี
และที่แก่งอาฮง บ้านอาฮง ต.หอคำ อ.บึงกาฬ
และที่บริเวณท่าน้ำวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่
ที่กล่าวมทั้งหมดอยู่ในจังหวัดหนองคาย


แต่ก่อนจะมีคนเห็นเฉพาะที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย
เป็นส่วนมาก ลูกไฟที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงนี้
ที่เกิดมาเป็นเวลานาน ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย

เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค"



ภาพลูกไฟประหลาดที่ผุดขึ้นจากแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียก "บั้งไฟพญานาค"


บั้งไฟพญานาค...จะแตกต่างจากลูกไฟทั่วๆ ไปที่มนุษย์ทำขึ้น
เพราะลูกไฟที่มนุษย์ทำขึ้นนั้นจะมีลักษณะเป็นสีแดง
มีเปลวไฟขณะกำลังพุ่งขึ้น แล้วโค้งตกลงมา
แต่ บั้งไฟพญานาค นี้ เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู
ไม่มีเสียง ไม่มีเปลวไฟ ขึ้นตรง ดับกลางอากาศ
ไม่มีตก ไม่มีควัน ซึ่งจะสังเกตได้ง่ายกว่าลูกไฟทั่ว ๆ ไป



คลื่นประชาชน...หลังจากที่ข่าวแพร่ออกไปเกี่ยวกับเรื่อง บั้งไฟพญานาค
ทำให้ประชาชนในต่างจังหวัด และคน อ.โพนพิสัย
เมื่อไปทำงานที่อื่น เมื่อวันออกพรรษาก็จะชักชวนเพื่อน ๆ
มาดูสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้

อ.โพนพิสัย เต็มไปด้วยผู้คน รถยนต์แทบหาที่จอดไม่ได้
ต้องจอดไว้ที่ทุ่งนาที่ทางอำเภอจัดให้จอด
เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขอกำลังจาก สภ.อ. และ สภ.ต.
ใกล้เคียงมาช่วยในการจัดการด้านจราจร
เนื่องจากมีชาวบ้านต่างจังหวัดมากันมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัด และในกรุงเทพฯ
ก็จะมาจองห้องพักตามโรงแรมต่าง ๆ
ในจังหวัดเรียกว่า ห้องเต็มวันก่อนเป็นเดือน
เพราะสิ่งมหัศจรรย์อย่างนี้ถือว่าได้ดูแล้วเป็นบุญวาสนาแก่ตนเอง
หรือจะพูดว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเองก็ไม่ผิด
เพราะสิ่งประหลาดไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก

ถนนทุกสายมุ่งสู่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

พอถึงวันออกพรรษาของทุกปี คลื่นประชาชนจากทั่วสารทิศก็มุ่งสู่
อ.โพนพิสัย ทั้งด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถเหมา และรถประจำทาง
ความหวังและจิตใจจดจ่ออยู่ที่สิ่งมหัศจรรย์
ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงในเขต อ.โพนพิสัย
ที่ชาวบ้านตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ว่า บั้งไฟพญานาค
สาเหตุที่เรียกว่าอย่างนั้นก็คงไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายได้มากว่านี้
แต่สาเหตุที่เรียกว่าอย่างนั้น คือ ลูกไฟนี้เกิดขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขง
ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งอุตริลงไปทำในน้ำได้
แต่หากทำได้ จะเพื่ออะไร ทำทำไม แล้วได้อะไร
แต่หากทำจริง ในการทำแต่ละครั้งจะต้องใช้คนไม่น้อยกว่า 300 คน
กระจายกันอยู่ใต้น้ำ อีกอย่างหนึ่งน้ำในแม่น้ำโขงจะมีสีขุ่น
การทำงานนี้ต้องใช้ทุนอย่างมหาศาล จึงไม่มีความจำเป็นที่จะทำ

แต่ถึงแม้หลายคนจะไม่เชื่อว่าเป็น บั้งไฟพญานาค
ตามที่ชาว อ.โพนพิสัย เรียก แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร
แต่เมื่อได้เห็นกับตาแล้วค่อนข้างจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง
เพราะไม่มีอะไรอื่นที่จะเรียกและเกิดขึ้นได้
การเกิดของบั้งไฟพญานาค ก็จะเกิดเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น
และวันออกพรรษา ( ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 )
จะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของประเทศลาว บั้งไฟพญานาค
นี้จะขึ้นจำนวนมาก เท่าที่ผู้เขียนสังเกตมาตั้งแต่เด็ก ๆ
โดยการนำเสื่อไปปูคอยดูที่ท่าน้ำวัดไทยในสมัยนั้น
เมื่อประมาณปี 2513 บั้งไฟพญานาคนี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อในน้ำเงียบสงบ
บนฝั่งเงียบ ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม ราว ๆ ประมาณ 3 ทุ่ม
ก็จะมีลูกไฟพุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำสูงจากผิวน้ำประมาณไม่เกิน 3 วา
แต่มาในปัจจุบัน ( ปี 2530-2539 )
ลูกไฟนี้จะขึ้นตั้งแต่เวลา 18.00 น. ไปจนถึงราว ๆ 22.00 น.
ต่อจากนั้นไปก็ค่อย ๆ หมดไป แต่จะเกิดมากช่วง 18.00-21.00 น.
ขึ้นแต่ละครั้ง แต่ละจุดไม่ต่ำกว่า 30-50 ลูก
จะเกิดจากช่วงบริเวณ ท่าน้ำวัดหลวง ท่าน้ำปากห้วยหลวง
ท่าน้ำวัดจุมพล วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง เป็นส่วนใหญ่
นอกนั้นจะมีบ้างเป็นจุด ๆ ไป แต่ไม่มากเหมือนกับเกิดที่บริเวณดังกล่าว

ลูกไฟดังกล่าวนับว่าเป็นลูกไฟมหัศจรรย์
ตามที่ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค"
เพราะสิ่งแวดล้อมหลายอย่างเอื้ออำนวย และเหมาะที่จะคิดอย่างนั้น

แก่งอาฮง...เมืองหลวงของพญานาค เหตุที่เชื่อเช่นนั้นเพราะที่นี่มีลูกไฟที่เรียกว่า บั้งไฟพญานาค
เกิดขึ้นเช่นกัน แต่แตกต่างจากที่อื่น
เพราะที่อื่นลูกไฟที่เกิดขึ้นจะเป็นสีแดงอมชมพู
แต่บริเวณแก่งอาฮงนี้จะเป็น ลูกสีเขียว
มีคนเคยเห็นลูกไฟที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อหลายปีก่อนว่า
ลูกไฟโตเท่าแท้งค์น้ำ สีเขียวสว่างพุ่งขึ้นจากใต้น้ำ ทำให้บริเวณใกล้เคียงสว่างไสวราวกับว่าเป็นเวลากลางวัน
ขึ้นสูงประมาณ 20 เมตร และสาเหตุที่เชื่อว่าแก่งอาฮงเป็น
เมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็เพราะว่า ตลอดแนวแม่น้ำโขงตลอดสาย
ตั้งแต่ประเทศจีน ผ่านมาจนถึงจังหวัดหนองคาย แก่งอาฮง ออกสู่ทะเล
แก่งอาฮงถือว่าเป็นสะดือทะเล แม่น้ำโขงที่มีความลึกในหน้าแล้ง
ที่ชาวประมงใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไป มีความยาววัดได้ 99 วา
ของผู้ใหญ่ เพราะตรงนั้นจะเป็นแอ่งที่มองเห็นด้วยตามนุษย์
บริเวณด้านหลังศาลาวัดอาฮง และยังมีความลึกลับกว่านั้นอีกว่า
บริเวณสะดือแม่น้ำโขงดังกล่าวยังเป็นถ้ำใต้น้ำทะลุไปออกที่ ภูงู
ฝั่งตรงข้ามที่ประเทศลาวอีกด้วย



แก่งอาฮง...บริเวณดังกล่าวเมื่อวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ
บรรดาวิญญาณทั้งหลายก็จะมารวมกันที่นี่
ส่วนจะมารวมกันเพื่ออะไรนั้นยากที่จะบอกได้
แต่ที่แน่ ๆ บรรดาวิญญาณทั้งหลายจะมารวมกัน
แต่หากผู้ใดมีจิตใจเข้มแข็ง เข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์์

ไม่วอกแวก ก็จะได้ยินเสียงโหยหวน บ้างก็มีเสียงปี่ เสียงกลอง
เหมือนกับคนกระทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง
แต่หากคิดอีกทางหนึ่งก็เพราะว่าบริเวณแก่งอาฮงนี้
หากมีคนตายไหลตามน้ำมาก็จะติดอยู่แก่งนี้
เมื่อก่อนหากมีคนตายในแม่น้ำโขง
ก็จะมาโผล่ที่นี่ติดอยู่ตามเกาะ แก่งที่มีอยู่มากมายในหน้าแล้ง
แม้แต่หน้าฝนที่นี่ก็จะมีคลื่น เนื่องจากกระแสน้ำกระทบเข้ากับแก่งหิน
จึงเป็นที่รวมวิญญาณต่าง ๆ ก็เป็นไปได้

เทพเจ้าทางน้ำ...สิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นตามริมแม่น้ำโขง
ในเขตจังหวัดหนองคาย จากตัวจังหวัดลงไปถึงอำเภอบึงกาฬ
ซึ่งสิ่งนี้คือ หอเจ้าแม่สองนาง ซึ่งจะมีอยู่ที่วัดหายโศก
อ.เมืองหนองคาย เรื่อยไปที่ อ.โพนพิสัย
อยู่ที่ปากห้วยหลวง แก่งอาฮง และที่หน้าโรงพยาบาล อ.บึงกาฬ
คำว่า สองนางในที่นี่คือ งู 1 คู่ คือ งู 2 ตัว

สมัยก่อนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง
จะใช้การติดต่อกันในทางทำธุรกิจค้าขาย
ต้องเดินทางกันทางน้ำ เพราะไม่มีรถยนต์เหมือนทุกวันนี้
ดังนั้นจะต้องใช้เรือล่องผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ
และหมู่บ้านก็จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเสียเป็นส่วนใหญ่
เพราะการเดินทางไปมาสะดวกสบาย
เพราะฉะนั้นการเดินทางค้าขายจึงต้องมีการทำพิธีบวงสรวง
เทพเจ้าทางน้ำ ที่เขาเชื่อและนับถือว่าจะให้ความปลอดภัยในการเดินทาง
ในการทำพิธีบวงสรวงก็จะมีเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย
เหล้าขาว หมากพูล ข้าวดำ ข้าวแดง ก่อนออกเรือก็จะเทเหล้าขาวลงน้ำ
เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่า การออกเรือครั้งนี้ขอให้มีความปลอดภัย
ประสบความสำเร็จในการค้าขายและเดินทาง
ก่อนออกเดินทางทุกครั้งชาวลุ่มแม่น้ำโขงจะต้องทำพิธีบวงสรวง
ให้เกิดโชคลาภทุกครั้ง และการเดินทางทางเรือจะต้องใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ
ยิ่งตอนกลับทวนน้ำแล้วยิ่งต้องใช้เวลานาน

บ่อยครั้งเหมือนกันที่มีชาวลุ่มน้ำโขง
ต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางทางน้ำ
แต่นั้นพวกเขาจะเชื่อว่าเป็นการทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง
หรือเทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษ
เหตุการณ์เหล่านี้จะถูกเรียกว่า "เงือกกิน" "เงือก" "งู" เป็นสิ่งเดียวกัน
"พญานาค" ก็เป็นสิ่งเดียวกัน แต่พญานาคนั้นมีภพที่อยู่อีกมิติหนึ่ง
พญานาคจึงสามารถแปลงร่างได้หลายชนิด
และแปลงกายเป็นมนุษย์ หรืออะไรก็ได้
สุดแท้แต่จะแปลง เพียงแค่คิดก็แปลงร่างแล้ว
ถึงแม้จะแปลงเป็นมนุษย์ได้ แต่การอยู่ก็มีภูมิ
หรือภพอยู่ต่างมนุษย์

จึงมีปรากฏการณ์ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่
หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา
บางครั้งถึงกับมีการแปลงร่างเป็นหนุ่มมาเกี้ยวสาว
จนกระทั่งมีการติดพันเกิดความรักระหว่างพญานาคกับมนุษย์
ก็มีอยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้สามารถสอบถามชาวบ้านท่าม่วง
ตาลชุมได้ ขึ้นต่อกิ่ง อ.รัตนวาปี จ. หนองคาย
เพราะสมัยก่อนสาว ๆ บ้านท่าม่วง และบ้านตาลชุม
จะมีพญานาคแปลงกายเป็นหนุ่ม ๆ ขึ้นมาเกี้ยวพาราสีอยู่เป็นประจำ
ถึงขนาดได้ชวนสาว ๆ ลงไปชมเมืองบาดาล
แต่หลังจากนั้นอีก 7 วัน สาว ๆ
ที่ลงไปก็เกิดอาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตไปในที่สุดก่อนเวลาอันสมควร
คือหลังจากขึ้นมาได้ 7 วัน ก็เสียชีวิต

รอยพญานาค

ในแต่ละปีของวันออกพรรษา อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย
จะเป็นแหล่งนัดพบของบรรดาผู้ที่ต้องการพิสูจน์ความจริง
ของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ได้ยินแต่คนอื่นพูดให้ฟังว่า
ที่เขต อ.โพนพิสัย นั้นมีลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาใต้แม่น้ำโขง
เป็นลุกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีแสง และไม่มีควัน
ไม่มีโค้งตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วๆไป
และลูกไฟที่ว่านี้จะไม่เป็นที่กำหนดว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใด
จำนวนกี่ลูก และจะขึ้นสูงขนาดไหน ไม่มีกำหนด
แต่จะเฉลี่ยแล้วจะขึ้นไม่แน่นอน จุดละ 3-20 ลูก ขึ้นสูงกว่า 100 เมตร ตามจุดต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ลูกไฟนี้ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย
ตั้งแต่สมัยผู้เฒ่าผู้แก่ เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค"
เพราะเป็นที่เชื่อว่าจะเป็นบั้งไฟที่พญานาคจุดขึ้นมา
เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
หลังจากที่ไปโปรดพระมารดา เป็นเวลา 3 เดือน จึงมีทั้งเมืองมนุษย์
สวรรค์ และเมืองบาดาล ที่ต่างก็สาธุการจัดงานสมโภช
ที่ประเพณีไทยทำมาก็คือ การตักบาตรเทโวในวันออกพรรษา

หลังจากเหตุการณ์บั้งไฟพญานาคขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
ผ่านไปแล้ว ก็เหลือแต่ความทรงจำ และความประทับใจสำหรับผู้ที่มาพิสูจน์ความจริงว่า
ลูกไฟนั้นคืออะไร หลายคนก็ต้องนำกลับไปคิด
ไปวิเคราะห์ เนื่องจากสิ่งที่เห็นมากับตานั้นเป็นอะไรกันแน่
พอผ่านไปได้อีก 7 วัน หลังออกพรรษา
ชาวโพนพิสัยก็จะจัดงานแข่งเรือยาวประจำปี เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา
แต่ปีนี้ 2536 มีสิ่งที่ประหลาดเกิดขึ้นบนหน้ารถยนต์ของสองสามีภรรยา
ที่นำผลไม้ไปขายในวันแข่งเรือ โดยนำรถยนต์โตโยต้า สีน้ำเงิน
หมายเลขทะเบียน ป.8380 อุดรธานี จอดไว้บริเวณหน้าวัดไทย
เพื่อขายส้มในงาน สองสามีภรรยา ชื่อ นายลี และนางอารีย์
ไม่ทราบนามสกุล เป็นคนจังหวัดอุดรธานี พอตกกลางคืน
หลังจากขายส้มแล้วก็นอนพักเอาแรงเพื่อจะได้ขายในวันต่อมา
พอตกกลางคืน นางอารีย์ก็ฝันว่า มีชายสองคน นุ่งห่มผ้าขาว
โพกหัวด้วยผ้าขาว ผูกด้านหน้าเป็นกระจุกเหมือนหัวพญานาค
ขึ้นมาขอกินส้ม แต่นางไม่ให้กิน
พอคืนที่สองมาก็ฝันเห็นเรือยาวลำหนึ่งจอดขวางอยู่กลางลานวัด (จอดบนบก)
และได้ยินเสียงชายคนเดิมมาขอกินส้มอีก
แต่นางก็ไม่พูดอะไร พอตื่นเช้ามาก็เล่าเรื่องฝันให้ชาวบ้านฟัง
คนแก่ก็เลยบอกให้สองสามีภรรยา จัดขันดอกไม้ ธูปเทียน
เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง พอคืนต่อมาอีก
ก็ฝันเห็นชายดังกล่าวมาขอส้มอีก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว
เพราะฝันเห็นมา 3 วัน หลังจากตื่นขึ้นตอนเช้าก็จะมาขายส้มต่อ
ก่อนนอนสองสามีภรรยา ได้นำผ้าคลุมรถเอาไว้ก่อนนอน
ก่อนขายส้มตอนเช้าจึงได้เปิดผ้าคลุมรถออก นำส้มมาวางขาย
แต่เช้าของคืนที่ 3 ก็ต้องตกใจ
เมื่อเปิดผ้าคลุมรถยนต์เพราะในความรู้สึกบอกว่า
มีอะไรบางอย่างขดอยู่หน้ารถในความรู้สึกว่ามีจริง
จนสุดท้ายจึงตัดสินใจเดินมาเปิดผ้าคลุมรถยนต์ออก
แต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งที่เห็น
รอยประหลาดเหมือนกับรอยตะขาบขนาดใหญ่
เป็นรอยนูนและยังเปียก เป็นดินโคลนสีแดง ตรวจดูตามข้างรถยนต์
ก็ไม่มีรอยปีนขึ้น-ลง มีเฉพาะนอนขดอยู่หน้ารถมีรูปร่างเหมือนตะขาบ
มีเกล็ด มีขา เป็นรอยมันใส ดู ๆ
แล้วเป็นดินที่ไม่เหมือนกับดินในหนองน้ำ หรือโคลนบนบก
เพราะดมดูก็ไม่มีกลิ่นเหมือนโคลนทั่ว ๆ ไป
นางอารีย์ตกใจมาก เพราะกลัวว่าจะเป็นลางบอกเหตุที่ไม่ดีกับตน
เมื่อชาวบ้านทราบเรื่องเข้าก็มามุงดูกันใหญ่
ด้วยความตกใจ ต่อมาจึงมีคนมาแนะนำให้ไปเข้าทรงดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อได้เข้าทรงก็ทราบว่า โดยการเชิญดวงวิญญาณของหลวงพ่อใหญ่
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ในอุโบสถวัดไทย
และหลวงพ่อใหญ่นี้สามารถที่จะติดต่อกับเมืองพญานาค
หลังจากที่เข้าทรงทราบว่า รอยดังกล่าวเป็นรอยของพญานาคจริง
ที่แปลงร่างขึ้นมาปรึกษากับหลวงพ่อใหญ่ในการที่จะบำรุงรักษาวัด
ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เพราะสภาพปัจจุบันนี้ขาดการดูแล
และพญานาคที่ขึ้นมานั้นก็เป็นพญานาคระดับหัวเมือง
ที่มาเพื่อที่จะแสดงให้เหล่ามนุษย์รู้ว่าเมืองบาดาล
และพญานาคนั้นมีจริงและบังเอิญขึ้นมาพบกับนายลี
ซึ่งในชาติก่อน นายลีเป็นลูกชายของพญานาค
ที่เมืองบาดาล เมื่อมาพบจึงเกิดความดีใจ
พร้อมกับได้ขอกินส้ม และประกอบกับความดีใจจึงได้กระโดดขึ้นบนหน้ารถยนต์
แล้วประทับรอยเอาไว้ ได้ขึ้นมาตอนเที่ยงคืน
มาทั้งหมด 7 คน อีก 6 คนไม่แสดงตัวให้เห็น
ส่วนสองสามีภรรยา ที่ไปขายส้ม ก็ไม่เคยไปที่ อ.โพนพิสัย มาก่อน

พญานาค สามารถแปลงกายเป็นอะไรได้หลายอย่าง
ตามร่างทรงที่อัญเชิญดวงวิญญาณหลวงพ่อใหญ่บอกว่า
ตรงท่าน้ำวัดไทยนั้นเป็นปากถ้ำขนาดใหญ่
และเป็นด่านที่จะขึ้นสู่เมืองมนุษย์ ส่วนใต้บริเวณวัดก็เป็นถ้ำขนาดใหญ่
สมัยก่อนมีชาวประมงดำน้ำลงไป พบปากถ้ำขนาดใหญ่ มีงู (พญานาค)
ขดอยู่หน้าถ้ำ ลำตัวสีเขียว หลวงพ่อใหญ่ยังบอกว่า
ถึงแม้จะมีการสร้างเขื่อนกั้นตลิ่งพัง ก็ไม่สามารถที่จะปิดปากถ้ำนี้ได้

จากการปรากฏรอย พญานาค ครั้งแรกที่หน้ารถยนต์ของคนขายส้มแล้ว
ต่อมาได้เกิดขึ้นที่หน้าบ้านของ
นายประจักษ์ พิทักษ์กุล ผู้ใหญ่บ้านจอมนาง
ถึง 3 ครั้ง 3 วันติดต่อกัน
ที่มีลักษณะรอยเหมือนกับที่เกิดขึ้นบนหน้ารถยนต์ พอตกกลางคืน
มีคนเดินผ่านไปมาที่หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้านก็จะได้รับกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีต้นไม้ในบริเวณนั้น
บริเวณเดียวกันมีคนฝันเห็นคนนุ่งขาว ห่มขาว
ขึ้นมาใส่บาตรพระและที่เดียวกันในตอนเช้าทุกวันก็จะม
ีพระสงฆ์ออกบิณฑบาตรอยู่เป็นประจำ
นอกจากที่ขึ้นหน้ารถยนต์ และหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้านแล้ว รอยดังกล่าวยังไปขึ้นที่หลังคารถยนต์ของเจ้าหน้าที่การเงิน
ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองคายอีกด้วย
และขึ้นอีกหลายที่ในปีเดียวกัน

หลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น
ประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดไทย จากการสอบถามผู้เฒ่า ผู้แก่
ก็บอกว่า เกิดมาก็เห็นอยู่อย่างนั้น ไม่พบหลักฐานว่าสร้างในสมัยใด
ใครเป็นผู้สร้าง จึงเป็นเรื่องที่ต้องเชื่อฟัง และปฏิบัติตามประเพณีต่อไป
เพราะปกติชาว อ.โพนพิสัย จะไปร่วมกับประกอบพิธี
ไม่ว่าจะเป็นวันออกพรรษา และวันเข้าพรรษา
จะร่วมกันทำพิธีกรรมที่วัดไทยตลอดมา
ไม่ว่าจะเป็นการจัดไหลเรือไฟที่มีมานานแสนนาน
ก็จะทำพิธีกันที่ท่าน้ำวัดไทย

หลวงพ่อใหญ่ เป็นที่เคารพนับถือของคน อ.โพนพิสัย มาช้านาน
ใครมีเรื่องเดือดร้อนก็จะนำเครื่องสักการะไปสักการะเพื่อขอพร
สุดแล้วแต่จะขอกัน ผู้ไปขอพรก็จะสำเร็จตามความมุ่งหวัง
สมปรารถนาทุกคน ต่อมาหลังจากที่มี รอยพญานาคปรากฏขึ้นที่หน้ารถยนต์
ที่จอดอยู่หน้าวัดไทยแล้ว
ทางกรรมการวัดก็ได้จัดทำพระบูชาจำลองหลวงพ่อใหญ่ขึ้น
เพื่อให้ชาวบ้านนำไปสักการะบูชา ซึ่งก็มีหลายขนาดด้วยกัน



แข่งเรือที่บ้านทุ่งธาตุ...สมัยก่อนในวันขึ้น 15 ค่ำ
ชาวบ้านทุ่งธาตุจะได้ยินเสียงแข่งเรือ
กลางวันบางวันก็จะเห็นลำน้ำพุ่งเป็นทางตรงเหมือนงูใหญ่ผ่านไปมา
วันดี คืนดีก็จะเห็นตาผ้าขาวเดินทางผ่านไปมา
แล้วหายตัวไปในบริเวณห้วยบ้านทุ่งธาตุ
บริเวณสะพานก่อนถึงโรงเรียน ตรงนั้นจะมีป่าไม้ทึบ
ต่อมามีคนไปปลูกบ้านอยู่ใกล้ ก็จะมีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
โดยมากจะเห็นตาผ้าขาวเดินไปมาอยู่เป็นประจำ
โดยตาผ้าขาวบอกว่ามาจากเมืองบาดาล
เคยมีคนเอาขยะไปเทลงท่าน้ำห้วยหลวง
หลังบ้านบริเวณดังกล่าว
เกิดท่าน้ำพังอย่างทันตาเห็น





Create Date : 17 ตุลาคม 2548
Last Update : 17 ตุลาคม 2548 22:27:46 น. 0 comments
Counter : 5140 Pageviews.  
 

P_ปรัชญา
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




หยิ่ง
กับตัวเองบ้าง
ในบางครั้ง

เบื่อ
ชีวิตความผิดหวัง
ในบางหน

เกลียด
ความไม่จริงใจ
ในบางคน

ยอมทน
คนหยามเหยียดได้
ในบางที


[Add P_ปรัชญา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com