ในทางเทววิทยาศาสนาคริสต์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นเหตุการณ์หัวใจสำคัญ ส่งอิทธิพลให้เกิดเหตุการณ์อื่น ๆ ต่อเนื่องมา นอกจากนั้นการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ก็เป็นสัญลักษณ์สำคัญทางปรัชญาความเชื่อ เป็นการเสียชีวิตของผู้ที่มาช่วยโลก เห็นได้จากการรับทรมานและความตายของพระเมสสิยาห์เพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษย์...การทรมานและการเสียชีวิตของพระเยซูบนกางเขนมักจะเรียกกันว่า พระทรมานของพระเยซู (Passion) ถือว่าพระเยซูพลีชีพเพื่อเป็นการไถ่บาปให้มวลมนุษย์ ดังปรากฏในพระธรรมที่รู้จักกันในนาม พิธีทดแทนบาป (Substitutionary atonement]) กล่าวกันว่าความตายของพระองค์ถูกทำนายไว้ล่วงหน้า (วิกิพีเดีย )
มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่สมควรบำรุงด้วยพระวัจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอฐ์ของพระเจ้า...พระองค์ทรงนำพาข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่นามของพระองค์แม้ข้าพเจ้าเดินไปตามหุบเขามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆเพราะพระองค์สถิตย์กับข้าพระองค์...มงกุฏหนามที่พระองค์สรวมอยู่ ที่พระหัตถ์มีรอยตะปูถูกตรึงไว้ นี่คือการฝึกจิตวิญญาณ...เพื่อบาปของข้าพเจ้าพระองค์ทรงเสียสละ เพราะพระองค์ทรงยอมทนทุกข์ทรมาน...แล้วพวกเราจะอดทนเพียงนิดเดียวเพื่อพระองค์ไม่ได้หรือ.......(ศจ.สุพิชญ์ วิจักรณ์โยธินราชินีในห้องมืด)
เป็นเรืองน่าอัศจรรย์ในปรัชญาความเชื่อทีเป็นสัจจะธรรมเช่นเดียวกันกับทางพุทธศาสนามหายาน ดังในพุทธจริต ของ อัศวโฆษ บทที่1 การประสูตรแห่งพระศาสดา โศลกที่15 ได้กล่าวไว้ดังนี้
"ดูกรท่านทั้งหลาย
บัดนี้เราได้เกิดมาเพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ อันเป็นแก่น
สารสำหรับบำเพ็ญหิตประโยชน์แก่ชาวโลก และการอุบัติ
ขึ้นในสงสารโอฆ ณ ครั้งนี้ย่อมจะเป็นคราที่อวสานของเรา
ด้วยหนอท่าน"
แท้จริงแล้วทุกศาสดาต่างยอมสละชีพของตนเองเพื่อสร้างประโยชน์ให้มวลมนุษย์หรือไถ่บาปให้มวลมนุษย์ ศาสดาทุกศาสนาสอนให้มนุษย์รักกันและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกนับถือและประกอบศาสนกิจตามความเชื่อแห่งตน.