เมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับนั่งสมาธิพิจารณาพระปริยัติพระไตรปิฎกในเรือนแก้วถ้วน ๗ วัน ณ รัตนฆรเจดีย์ ในสัปดาห์ต่อมาซึ่งนับเป็นสัปดาห์ที่ ๕ หลังจากตรัสรู้ พระพุทธองค์ได้เสด็จ ไปประทับนั่งสมาธิ ณ ภายใต้ต้นอชปาลนิโครธ หรือต้นไทร เป็นระยะเวลาอีก ๗ วัน
ในลำดับนั้น ธิดาพญามารทั้ง ๓ อันได้แก่ นางราคะ นางตัณหา และนางอรดี อาสาพญามารวัสวดีผู้เป็นบิดาเพื่อมาทำลายซึ่งตบะเดชะสมเด็จพระสัพพัญญู ทั้ง ๓ นางต่างใช้เล่ห์แห่งอิตถีมายา นิรมิตร่างเป็นสตรีสวยงามในวัยต่าง ๆ ตลอดจนแสดงลีลาฟ้อนรำขับร้อง หมายโลมเล้าให้พระพุทธองค์เกิดความหวั่นไหวในอำนาจแห่งตัณหา แต่พระผู้มีพระภาคเจ้ากลับมิได้เอาพระทัยใส่และมิได้ลืมพระเนตรขึ้นทัศนาการ กลับขับไล่ธิดาพญามารทั้ง ๓ ให้หลีกไปด้วยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ปราศจากกิเลสตัณหาโดยสิ้นแล้ว ธิดาพญามารทั้ง ๓ เมื่อได้สดับจึงปรารภว่าพญามารผู้เป็นบิดากล่าวเตือนไว้ถูกต้องแล้ว อันพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีบุคคลผู้ใดในโลกจะชักนำไปสู่อำนาจแห่งตนได้โดยแท้
(มองในแง่วิทยาศาสตร์น่าจะคือกิเลส ตัณหา ริษยา โทสะ โมหะ พยาบาท ฯล ที่หลงเหลืออยู่ใต้จิตสำนึกนั่นเองหรือยังมีเศษเหลืออยู่ใด้ปรากฎแวบขึ้นมาหรืออาจเป็นกามตัณหาที่ยังเป็นเศษเหลืออยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ )
ข้อมูลเพิ่มเติมจากบล๊อคบ้านสวนพอเพียง
ธิดาพญามารทั้งสาม
1. นางตัณหา คือความอยากทั้งปวง อยากได้ อยากมี อยากเป็น สารพัดอยากล้วนมีอยู่ในตัวเรา แม้จะขับนางตัณหาออกจากใจไม่ได้ก็ขอเลือกอยากแต่พอดีและไม่อยากจนผู้อื่นเดือดร้อน
2. นางราคาหรือนางราคะ คือความลุ่มหลงในกามอารมณ์ แม้จะขับออกไม่ได้ก็ขอให้มีแค่พอดีพองาม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและผู้อื่น
3. นางอรดี คือความอิจฉาริษยา เห็นเพื่อนดี เด่น ดัง กว่าก็จะเป็นทุกข์ อันนี้ตัดได้ง่ายถ้าทุกใจคิดบวก
...............................แล้วเราตกอยู่ภายใต้อำนาจของนางมารตนใด