ธรรมะเพื่อนิพพานจากพระนาคปรก/ อยู่กับงูเห่า...อารมณ์นี้ก็เหมือนงูเห่า ?

...อารมณ์นี้ก็เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้น อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก อารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมาก มันทำจิตใจของเราไม่เป็นเสรี ทำให้จิตใจไขว่เขวจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า...อารมณ์ทั้งหลายที่ว่ามานี้ เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้าไม่มีอะไรมาขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษของมันจะมีอยู่ มันก็ไม่แสดงออกมา ไม่ใด้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปไกล้มัน งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็อยู่อย่างนั้น…เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตของเราก็เห็นการเกิดดับอยู่เสมอ ทุกวัน ทุกเวลา ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืน ตลอดทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเห็นได้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่แต่เกิดดับอยู่เท่านี้เอง แล้วทุกอย่างมันก็จบอยู่ตรงนี้ เมื่อเห็นอารมณ์เกิดดับอยู่อย่างนี้อยู่เสมอไปแล้ว จิตใจก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เพราะเมื่อคิดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากมาย มันมีแต่การเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ดับ มันมีอยู่เท่านี้ ฉะนั้นเมื่อคิดแล้วก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน พอคิดได้เช่นนี้ จิตก็จะปล่อยวาง ปล่อยวางอยู่กับธรรมชาติ มันเกิดเราก็รู้ มันดับเราก็รู้ มันสุขเราก็รู้ มันทุกข์เราก็รู้ รู้แล้วไม่ใช่ไม่ใช่ว่าเราจะไปเป็นเจ้าของสุขนะ หรือ เมื่อมันทุกข์ขึ้นมา เราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของทุกข์เหมือนกัน เมื่อไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์ มันมีแต่การเกิดดับอยู่เท่านั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไร

เมื่อความสงบตั้งอยู่แล้ว เราก็ดูความสงบนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไรแล้ว เมื่อความสงบเกิดขึ้น ความวุ่นวายก็ดับ พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่า นิพพานคือความดับ ดับที่ตรงใหน ? ก็เหมือนไฟเรานั่นแหละมันลุกตรงไหน มันร้อนตรงใหน มันก็ดับที่ตรงนั้น มันร้อนที่ใหนก็ให้มันเย็นตรงนั้น ก็เหมือนนิพพานอยู่กับวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารก็อยู่กับนิพพาน เหมือนกับความร้อนกับความเย็น มันก็อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง ความร้อนก็อยู่ที่มันเย็น ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้น มันก็หมดเย็น เมื่อมันหมดเย็น มันก็ร้อน

วัฏฏสงสารกับนิพพานนี้ก็เหมือนกัน ท่านให้ดับวัฏฏสงสาร คือความวุ่น การดับความวุ่นวายคือการดับความร้อน ไฟทางนอกก็คือไฟธรรมดา มันร้อน เมื่อมันดับแล้วมันก็เย็น แต่ความร้อนภายในคือราคะ โทสะ โมหะก็เป็นไฟเหมือนกันลองคิดดู เมื่อราคะความกำหนัดเกิดขึ้น มันร้อนไหม? โทสะเกิดขึ้นมันก็ร้อน โมหะเกิดขึ้นมันก็ร้อน มันร้อน ความร้อนนี่แหละที่ท่านเรียกว่าไฟ เมื่อไฟมันเกิดขึ้นมันก็ร้อน เมื่อมันดับมันก็เย็น ความดับนี่แหละคือนิพพาน นิพพานคือสภาวะที่เข้าไปดับซึ่งความร้อน ท่านเรียกว่า สงบ คือ ดับซึ่งวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารคือความเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น เมื่อถึงนิพพานแล้ว ก็คือการเข้าไปดับซึ่งความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอันนั้น เรียกว่า การดับราคะ ดับโทสะ ดับโมหะ ก็ดับที่ใจของเรานั่นแหละ คือใจถึงความสงบ ในความสงบนั้น สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี แต่มนุษย์เรานั่นแหละจะอดสุขไม่ได้ เพราะเห็นว่าความสุขเป็นยอดของชีวิตแล้ว แม้พระนิพพานก็ยังมาว่าเป็นความสุขอยู่ เพราะความคุ้นเคย ตามเป็นจริงแล้ว เลิกสิ่งทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นความสงบ

อ่าเพิ่มเติม: พระธรรมเทศนา หลวงพ่อชา สุภัทโท ทางพ้นทุกข์ที่เหนือธรรมดาจากพระธรรมเทศนาฉบับเหนือเวทนา- ธรรมสภาพิมท์





Create Date : 24 สิงหาคม 2556
Last Update : 24 สิงหาคม 2556 9:29:04 น.
Counter : 4177 Pageviews.

1 comments
  
ขอบคุณค่ะ

มันทำท่าจะคุอยู่เรื่อย เวลาที่เราคิด ไม่อยากคิด แต่ก็อดแว๊ปไม่ได้
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 25 สิงหาคม 2556 เวลา:14:55:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

surya21
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 50 คน [?]



New Comments
สิงหาคม 2556

 
 
 
 
1
2
3
5
6
8
9
10
15
16
17
18
19
20
22
23
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog