พุทธศาสนา ในอินเดีย พ.ศ.1100...การโต้วาทีอภิปรายธรรมะโยคาจารยภูมิศาสตร์ (ตอน 3)
 
...ประเพณีของพระเจ้าศีลาทิตย์ว่า ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใดจะต้องตีกลองทองคำหลายร้อยกลองเพื่อรักษาเวลากับการก้าวเท้าของพระองค์ อย่างนี้เรียกว่า”กลองจังหวะก้าว” มีแต่พระเจ้าศีลาทิตย์เท่านั้นที่ทรงได้รับเกียรติและสิทธิพิเศษเช่นนี้ กษัตริย์องค์อื่นๆหาได้รับเกียรติเช่นเดียวกันนี้ไม่
เมื่อเสด็จมาถึง พระองค์ทรงกราบที่เท้าและโปรยดอกไม้เป็นการบูชา ภายหลังที่ได้สดุดีท่านอาจารย์ด้วยคาถาอันไพเราะเป็นอันมากแล้ว พระองค์ก็ทรงรับสั่งกับท่านอาจารย์ว่า “ด้วยเหตุใดหรือท่านอาจารย์จึงไม่ไปหาข้าฯเมื่อข้าฯนิมนต์ก่อนๆนี้ ?”
“ท่านอาจารย์ตอบว่า “อาตมาภาพมาจากดินแดนอันห่างไกล เพื่อแสวงหาพุทธศาสนาและเพื่อศึกษาโยคาจารยภูมิศาสตร์ เมื่ออาตมาภาพกำลังอยู่ในระหว่างศึกษาศาสตร์อยู่ ฉะนั้นจึงยังไม่อาจจะมาแสดงความนับถืออาตมาภาพได้
พระราชทรงรับสั่งอีกว่า “ท่านมาจากประเทศจีนข้าฯได้ยินว่าท่านมีการแต่งเพลงซึ่งเรียกว่า “ชัยชนะของเจ้าชายจิ๋น” ในประเทศของท่าน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าชายจิ๋นนี้เป็นใครและทำกุศลกรรมอะไร จึงทำให้เขาได้รับการยกย่องเช่นนี้”
ท่านอาจารย์จึงกราบทูลว่า “เป็นประเพณีในประเทศของอาตมาภาพที่ 
ประชาชนแต่งเพลงสรรเสริญบุคคลที่ฉลาดละมีศีลธรรมที่ได้ปราบอำนาจร้าย เพื่อประชาชนและประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพลงเหล่านี้จะร้องในโอกาสที่มีพิธีทำบุญในหอบรรพบุรุษหรือร้องโดยประชาชนธรรมดา เป็นเพลงพื้นเมืองเจ้าชายแห่งจิ๋นเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งประเทศจีน และพระองค์ได้ทรงรับแต่งตั้งให้เป็นจิ๋นอ๋อง ก่อนจะขึ้นเสวยราชสมบัติ ในเวลานั้นทั่วประเทศอยู่ในสภาพวุ่นวายโดยไม่มีเจ้านายปกครองประชาชน ซากศพมนุษย์กองสูงในท้องทุ่ง และโลหิตใหลเต็มแม่น้ำ ดาวร้ายปรากฏขึ้นในท้องฟ้าในเวลากลางคืนและบรรยากาศอันเป็นลางร้ายก็อึดอัดทั่วไปในเวลากลางวัน แม่น้ำทั้งสามก็เดือดไปด้วยเหล่าหมู่อันจะกละและทะเลทั้งสี่ก็ร้อนไปด้วยงูพิษ ด้วยเป็นราชโอรสของจักพรรดิ เจ้าชายจึงนำทัพออกปราบปรามกองทัพของพวกขบถด้วยพระองค์เองโดยอนุโลมตามบัญชาของสวรรค์ ด้วยอำนาจทหารของพระองค์ พระองค์จึงก่อสันติสุขขึ้นทั่วประเทศและความสงบก็มีขึ้นในพื้นพิภพทำให้พระอาทิตย์ พระจันทร์ และหมู่ดาวต่างๆส่องแสงสดใสอีกเมื่อประชาชนทั่วประเทศระลึกพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เขาจึงแต่งเพลงนี้สดุดีพระองค์”
พระราชทรงให้ข้อสั่งเกตว่า “คนเช่นนี้สวรรค์ส่งมาปกครองคนจริงๆ” แล้วพระองค์ก็ทรงรับสั่งกับท่านอาจารย์อีกว่า “บัดนี้ข้าฯจะกลับละ และจะมานิมนต์ท่านในวันพรุ่งนี้โปรดรับนิมนต์ข้าฯด้วย”  
ในเช้าวันรุ่งขึ้นราชทูตของพระเจ้าศีลาทิตย์ก็มาถึง ดังนั้นท่านอาจารย์และพระเจ้ากุมาร จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้าศีลาทิตย์พระราชาและเหล่าบรมราชครูส่วนพระองค์กว่ายี่สิบองค์ก็ออกมาต้อนรับท่านอาจารย์และนิมนต์ให้เขาไปนั่งในวังของพระองค์
หลังจากที่ได้ต้อนรับท่านด้วยการเล่นดนตรีและเลี้ยงดูด้วยการถวายภัตตาหารอันโอชะและเสร็จจากการโปรยดอกไม้แล้วพระราชาจงทรงรับสั่งว่า “ข้าฯได้ยินว่าท่านอาจารย์ได้แต่งหนังสือขึ้นถึงเรื่องการชี้ความผิดแห่งทรรศนะชั่ว หนังสือนั้นเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน ?”
ท่านอาจารย์จึงกราบทูลว่ามีอยู่พร้อมแล้ว และได้ถวายพระราชา เมื่อได้ทรงอ่านหนังสือนั้นแล้ว พระราชาจึงทรงดีพระทัยมากและทรงรับสั่งกับเหล่าราชครูส่วนพระองค์ว่า ข้าฯได้ยินว่าเมื่อพระอาทิตย์ส่องแสง แสงเทียนก็หรี่ลง และเมื่อสวรรค์คำรามเสียงฆ้องก็ถูกกลบหายไป บัดนี้ท่านได้ชี้ทฤษฎีต่างๆที่ท่านครูทั้งหลายหลงติดอยู่ให้เห็นว่าผิด พวกท่านจะสู้ใหม ?
ไม่มีพระภิษุกองค์ใดกล้ากราบทูลแต่อย่างใด พระราชาทรงรับสั่งว่า” เทวเสนาอาจารย์ของพวกท่านซึ่งถือตัวว่าเก่งที่สุดในบรรดานักศึกษาทั้งหลายและเชี่ยวชาญในคำสอนแห่งปรัชญานิกายต่างๆทั้งสิ้น และเป็นผู้ให้กำเนิดทรรศนะที่แตกต่างออกไป
และมักจะหมิ่นพระพุทธศาสน์มหายานเสมอๆแต่เมื่อท่านได้ยินว่าภิกษุอาคันตุกะผู้ทรงศีลองค์นี้มาถึง ท่านก็หนีไปเวศาลีเพื่อนมัสการปูชนียสถาน เป็นข้อแก้ตัวเพื่อเลี่ยงมิให้ได้พบท่านผู้นี้ ดังนั้นข้าฯจึงขอให้พวกท่านรู้ว่าพวกท่านเขลามากทีเดียว”
พระราชามีพระราชภคินีอยู่องค์หนึ่งทรงพระปรีชาสามารถมากและเชี่ยวชาญในทฤษฎีแห่งสมมตียนิกาย พระองค์ทรงประทับอยู่ข้างหลังพระราชา และเมื่อได้ทรงสดับท่านอาจารย์อธิบายคำสอนอันลึกซึ้งแห่งพระพุทธศาสน์มหายาน และชี้ความตื้นของลัทธิหินยาน พระองค์ก็ทรงรู้สึกพอพระทัยไม่เว้นที่จะทรงยกย่องท่านอาจารย์ได้
พระราชาทรงรับสั่งว่า “หนังสือของท่านวิเศษมาก ข้าฯและบรรดาครูของข้าที่นี่เชื่อตามหมดทุกคน แต่ข้ากลัวว่าพวกหินยานและพวกเดียรถีย์แห่งประเทศอื่นๆจะยังคงถือตามทรรศนะอันโง่เขลาของตนอยู่ ข้าฯอยากจะเรียกประชุมให้ท่านที่กนยากุปชและนิมนต์เชื้อเชิญพระภิกษุทั้งหลายและเหล่าพรามหณ์เดียรถีย์ในประเทศอินเดียทั้งห้ามาเพื่อจะแสดงให้คนเหล่านั้นเห็นคำสั่งสอนที่ประหลาดและดีเลิศของพระพุทธศาสน์มหายาน เพื่อป้องกันมิให้คนเหล่านั้นด่าอีกต่อไป ตลอดจนสำแดงศีลธรรมอันสูงของท่านเพื่อปราบความอวดดีของคนเหล่านั้น”
ในวันนั้น พระราชาก้อทรงออกคำสั่งนิมนต์และเชื้อเชิญนักศึกษาผู้คงเก่งเรียนทั้งหลายในประเทศต่างๆมาชุมนุมกันที่กนยากุปชเพื่ออภิปรายเรื่องหนังสือที่แต่งโดย
อาจารย์จีน
พอต้นเดือนที่สิบเอ็ด ท่านอาจารย์ก็ลงเรือไปกับพระราชาขึ้นตามลำแม่น้ำคงคาถึงที่ประชุมในเดือนที่สิบสอง กษัตริย์สิบแปดพระองค์แห่งประเทศอินเดียทั้งห้าเสด็จมาในการประชุมทั้งนี้ และมีภิกษุสงฆ์ที่เชี่ยวชาญคำสอนทั้งทางมหายานและหินยานจำนวน  ,๐๐๐ กว่า ,๐๐๐ เป็นเดียรถีย์ พราหมณ์และนิครนถ์ พระที่วัดนาลันทากว่า ,๐๐๐ องค์ก็มาร่วมประชุมด้วย นักศึกษาทั้งหลายเหล่านี้ต่างก็เรียนรู้เจนจบอย่างกว้างขวางและมีปฎิญาณในการโต้วาที และคนเหล่านี้ต่างก็มาประชุมด้วยปรารถนาที่จะฟังธรรม ท่านเหล่านี้ต่างก็มีผู้รับใช้และบ้างก็มาช้างและบ้างก้อมา รถ และล้อมรอบไปด้วยธงทิวในบริเวณมหาสันนิบาตรนี้ คับคั่งไปด้วยฝูงคนคนและคับคั่งไปหมดในเนื้อที่หลายสิบหลี้เหมือนกับกลุ่มเมฆ ถ้าจะกล่าวว่าเมื่อคนเหล่านั้นยกแขนเสื้อขึ้นก็จะเหมือนก้อนเมฆ และเมื่อพวกเขาเช็ดเหงื่อก็จะเหมือนกับฝนตกก็ยังน้อยไปที่จะพรรณนาความมโหฬารในการชุมนุมครั้งนี้



Create Date : 25 มกราคม 2556
Last Update : 25 มกราคม 2556 15:19:04 น.
Counter : 2500 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

surya21
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 50 คน [?]



New Comments
มกราคม 2556

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
20
21
22
23
24
26
27
28
30
31
 
 
All Blog