เช้าวันหนึ่งพราวพรายมาทำงานสายกว่าปกติประมาณครึ่งชั่วโมง หิ้วกระเป๋าเดินทางใบกระทัดรัดติดตัวมาด้วย เธอลาพักร้อนเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านโดยจะเดินทางไปกรุงเทพฯพร้อมกับจอห์นโดยเฮลิคอปเตอร์ทหารในตอนบ่าย พอเดินเข้าไปถึงโต๊ะทำงานหญิงสาวก็พบซองเอกสารสีน้ำตาลที่ซีลปิดสนิทวางอยู่บนโต๊ะของเธอ
เมื่อเช้ามีคนเอาซองนั่นมาฝากไว้ให้พราว ธวัชชัยเพื่อนร่วมงานซึ่งนั่งใกล้เธอมากที่สุดเงยหน้าขึ้นบอก
พราวพรายขมวดคิ้ว ใคร?
ชายหนุ่มผู้นั้นบุ้ยใบ้พยักเพยิดไปทางออฟฟิศทหารที่อยู่ด้านในของอาคาร พลทหารตัวดำๆ ที่เดินส่งเอกสารเป็นประจำคนนั้นแหละ
พราวพรายพยักหน้ารับรู้อย่างเบื่อๆ ไม่นึกอยากรู้เลยสักนิดว่าเอกสารอะไรจากใคร เธอไม่คิดที่จะเปิดออกดูในตอนนั้น แน่ใจว่าไม่ใช่เอกสารที่ต้องนำส่งจอห์น เพราะมีลายมือตัวหนาหนักสีดำเขียนชื่อเธอเอาไว้ชัดเจนบนซองและมีตรายางแสตมป์เอาไว้ด้วยว่า ส่วนตัว หญิงสาวกะว่าจะเอาไปเปิดออกดูบนเฮลิคอปเตอร์หรือไม่ก็ที่บ้านในกรุงเทพฯ
แต่พอถึงบ้านได้พบบิดามารดาและพี่ชายพราวพรายก็ลืมเรื่องเอกสารซองนั้นไปเรียบร้อยแล้ว มานึกได้อีกครั้งตอนดึกก่อนจะเข้านอน เธอก็เลยหยิบออกมาเปิดดู สิ่งที่ร่วงลงมาจากซองใบนั้นคือตั๋วเครื่องบินที่มีชื่อและนามสกุลของเธอระบุไว้ชัดเจน หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกไม่ออกว่ามีแผนการจะเดินทางไปที่ไหนเมื่อไหร่และใครเป็นคนส่งมาให้ ด้วยความสงสัยพราวพรายเลยพลิกอ่านกระดาษโน๊ตเล็กๆที่แนบมากับตั๋วเครื่องบินโน๊ตแผ่นนั้นเขียนด้วยลายมือเป็นภาษาอังกฤษ
ผมอยู่ที่เวียงจันทน์ คงจะอยู่อีกประมาณ 7-8 วันจากวันนี้ ถ้าคุณสนใจจะมาเที่ยวที่นี่สักสองสามวันก็มาได้เลย มีกิจกรรมสนุกโลดโผนหลายอย่างที่คุณคงจะชอบ ผมแนบตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ-เวียงจันทน์มาให้แล้ว ถ้าจะมาวันไหน ก็โทร.แจ้งผมก่อนที่เบอร์....
พราวพรายอ่านข้อความนั้นอย่างงงๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน แต่เมื่อพยายามแกะลายเซ็นตัวหวัดหนักที่มีอักษรเพียงสี่ตัว ก็อ่านออกเพียงตัวแรกตัวเดียวคือนอหนู ตอนแรกยังนึกไม่ออกว่านอหนูนี่คือใคร แต่แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่านายนอหนูนี่จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนายนิคคนนั้น พอเข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมดของข้อความในโน๊ตแผ่นนั้น หญิงสาวก็ยักไหล่อย่างไม่แยแส ยัดทั้งตั๋วเครื่องบินที่ไม่ระบุวันที่เดินทางและโน๊ตแผ่นนั้น กลับเข้าไปในซองตามเดิม โยนลงไปในลิ้นชักโต๊ะหัวเตียง บอกตัวเองว่า เชอะ หายหัวไปเป็นเดือน อยู่ๆจะมาหลอกให้ไปหาที่เวียงจันทน์ นึกว่าฉันเป็นหมูในอวยหรือไงยะ กระดิกนิ้วเรียกเมื่อไหร่เป็นต้องวิ่งแจ้นไปหา ถึงฉันจะมีอะไรกับนายไปแล้ว แต่ฉันก็ไม่แคร์หรอก ไม่ได้สนใจนายด้วย นึกหรือว่าฉันจะอยากมีอะไรกับนายอีก ฝันไปเถอะ ฉันกับนายน่ะ ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว"
แล้วเธอก็อดคิดต่อไปอีกหน่อยไม่ได้ว่า ทุเรศ พอรู้ว่ามีอะไรกับผู้หญิงที่ไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนเท่านั้น ก็ทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกแล้วก็หายหัวไปเลย นึกว่าคนอย่างฉันจะเรียกร้องให้มารับผิดชอบหรือไง เมินเสียเถิด ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีทางเป็นไปได้หรอก นายน่ะเป็นได้แค่เครื่องมือของฉันเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นพราวพรายตื่นนอนลงไปข้างล่างตั้งแต่หกนาฬิกา พบมารดาอยู่ในครัว กำลังกำกับให้แม่ครัวเก่าแก่ที่อยู่กันมานานเ ตรียมอาหารเช้าอยู่ พอเหลียวมาเห็นบุตรสาวคนเล็ก คุณจิตราก็เพ่งพิศมองอย่างแปลกใจกับสิ่งที่เห็น เมื่อวานนี้เธอก็นึกสะดุดใจกับหน้าตาที่สดใสของพราวพรายมาแล้ว แต่มัวพะวงอยู่กับการพูดคุยเรื่องอื่นกันอยู่ก็เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เช้าวันนี้ถึงบุตรสาวของเธอจะยังมีผมทรงที่น่าเกลียดในสายตาของเธออยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ยาวขึ้นเล็กน้อย แต่สิ่งที่ดูแปลกไปคือแววตาที่แม้จะยังเป็นประกายแวววับเหมือนสมัยก่อน แต่ที่เพิ่มขึ้นมาจนเห็นได้ชัดคือความรื่นรมย์กับชีวิตที่เปล่งประกายออกมาอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน รวมทั้งรอยยิ้มที่เคยหาได้ยาก บัดนี้ปรากฏขึ้นแล้วหลายครั้งตั้งแต่เมื่อวาน
มองแล้วคุณจิตราก็อดคิดไม่ได้ว่ายิ้มของพราวพรายนั้นแม้จะหวานแฉล้มแจ่มใสทรงเสน่ห์เพียงไร ก็ยังแฝงไว้ด้วยความหมายมาดแบบมีเล่ห์เหลี่ยมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คุณจิตราได้แต่นึกในใจว่าบุตรสาวคนเล็กของเธอดูเป็นผู้หญิงเต็มตัว ตอนนี้พราวพรายไม่ดูเก้งๆ ก้างๆ กึ่งเด็กกึ่งสาวอีกแล้ว
ทำไมแม่มองพราวแปลกๆอย่างนั้นล่ะคะ มีอะไรหรือ?
พราวพรายอดถามไม่ได้ตามประสาวัวสันหลังหวะ ที่กลัวที่สุดคือกลัวว่ามารดาผู้ช่างสังเกตและถนัดในการจับแพะชนแกะจะรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้าง หญิงสาวยอมรับกับตัวเองว่าความสัมพันธ์ลึกล้ำที่ลี้ลับระหว่างเธอกับชายหนุ่มต่างชาติผู้นั้น กระตุ้นสัญชาตญาณความเป็นหญิงของเธอให้ปรากฏตัวออกมา บัดนี้เธอกระจ่างแจ้งแล้วว่าความสัมพันธ์แบบนั้นระหว่างชายกับหญิงเป็นอย่างไร ข้อสงสัยที่ฝังลึกอยู่ในใจตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว มีความอยากรู้อยากเห็นและอยากทดลองตามธรรมชาติของวัยรุ่นที่ยังไร้เดียงสา ได้รับการคลี่คลายจนหมดข้อสงสัยแล้ว ตระหนักด้วยตัวเองแล้วด้วยว่าไม่มีอะไรน่าสนใจหรือซาบซึ้งตรึงตราเลย มีแต่ความน่าขยะแขยงและความเจ็บปวดเท่านั้น ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมใครต่อใครจึงอยากจะมีความสัมพันธ์แบบนั้นกันนัก รวมทั้งเพื่อนสนิทสองคนของเธอด้วย
ไม่มีอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าพราวสดใสมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม สงสัยว่าจะเหมาะกับอากาศทางโน้น คุณจิตราพูดสัพยอก ไม่ได้นึกสงสัยเรื่องที่พราวพรายกลัวเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวลอบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก อารมณ์ดีพอที่จะตอบโต้เป็นเชิงต่อว่ากลายๆ แปลว่าพราวสวยขึ้นใช่ไหมคะ แม่น่าจะพูดตรงๆให้พราวดีใจบ้าง แม่น่ะไม่เคยเห็นพราวสวยเลย เห็นพี่เจิดสวยอยู่คนเดียวเท่านั้น แล้วก็ย้ำถามอีกว่า ตอนนี้แม่เห็นว่าพราวก็สวยเหมือนกัน ใช่ไหมคะ
ย่ะ คงยังงั้นมั้ง ดีแล้วละที่รู้จักยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ไม่งั้นวันๆ เห็นแต่หน้าตาบึ้งตึง ไม่พูดไม่จากับใคร
คุณจิตราค่อนขอดยิ้มๆ อารมณ์ดีพอๆกับบุตรี เพราะดีใจที่บุตรสองคนที่เหลืออยู่ กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง แม้จะเพียงไม่กี่วันก็ตาม พราวพรายนั้นไม่ได้กลับมาบ้านเกือบสองเดือนแล้ว แต่ก็ยังดีที่รู้จักโทรศัพท์มารายงานตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ทำให้เธอไม่ต้องเป็นห่วงจนต้องวิ่งแล่นขึ้นไปหาถึงอุบลฯ ความจริงคุณจิตราก็อยากจะขึ้นไปสำรวจพฤติกรรมความเป็นอยู่ของบุตรสาวอยู่เหมือนกัน แต่สามีของเธอห้ามเอาไว้โดยให้เหตุผลว่าลูกโตแล้ว ทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราวแล้วก็ควรจะไว้วางใจบ้าง การขึ้นไปสอดส่องพฤติกรรมราวกับว่าพราวพรายยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ มีแต่จะทำให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย
แล้วนี่จะอยู่บ้านกี่วันล่ะ? คุณจิตราถามอย่างเต็มไปด้วยความหวังว่าลูกสาวจะอยู่นานๆหน่อย
สักห้าหกวันค่ะ แม่
ความจริงพราวพรายลางานมาสิบวันเต็ม แต่จำเป็นต้องตอบแบบเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าจะเบื่อมารดาขึ้นมาเมื่อไหร่ ถ้าเกิดบอกว่าสิบวันแล้วทนไม่ไหว อยากกลับก่อนกำหนด คุณจิตราจะต้องตีโพยตีพายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตที่จะทำให้อารมณ์เสียไปด้วยกันทั้งแม่ทั้งลูก และอาจจะลุกลามไปถึงคนทั้งบ้านอีกด้วย
แหม..อยู่แค่นั้นเองน่ะหรือ? นานๆจะกลับบ้านสักที ทำไมไม่อยู่ให้นานกว่านั้นหน่อยล่ะ คุณจิตราพยายามต่อรอง ชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีก
โธ่..แม่คะ ห้าหกวันเนี่ยก็ไม่น้อยนะคะ พราวต้องรีบกลับไปทำงาน ไว้คราวหน้าพราวจะลามาสักสิบวันดีไหมคะ?
พูดจบพราวพรายก็เดินเข้าไปกอดเอวมารดาอย่างเอาใจ ทำให้คุณจิตราอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เพราะนานๆครั้งหรอกที่ลูกสาวคนเล็กจะแสดงกิริยาแบบนี้กับเธอ
พี่เจิดเป็นยังไงบ้างคะ แม่ หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องพูด ไปตั้งนานแล้วเขียนจดหมายมาหาพราวไม่กี่ฉบับเอง สงสัยจะเพลิดเพลินกับอเมริกาจนลืมบ้านไปแล้ว พี่เจิดเขียนถึงแม่บ่อยไหมคะ?
โอ๊ย..นานๆหรอกย่ะเขาถึงจะเขียนมาสักที เขียนมาสั้นๆไม่ถึงหนึ่งหน้าแบบเสียไม่ได้ด้วยซ้ำไป คุณจิตราค้อนลมค้อนแล้งขวับๆ ความจริงคงไม่ได้อยากจะเขียนมานักหรอก คงกลัวว่าแม่จะตามไปดูละมัง เลยต้องเขียนมาดักหน้าไว้ก่อนนานๆที
พี่เจิดอาจจะยุ่งมากจริงๆก็ได้นะคะแม่ อยู่โรงพยาบาลค่อนข้างใหญ่ก็คงต้องทำงานหนักกว่าโรงพยาบาลเล็กๆ พราวพรายพยายามแก้ตัวให้พี่สาว งั้นเดี๋ยวคืนนี้พราวจะโทร.ไปคุยกับพี่เจิดหน่อย อยากรู้เหมือนกันว่าที่โน่นมีงานอะไรน่าสนใจที่พราวทำได้บ้าง เผื่อจะได้ไปทำงานเมืองนอกกับเขามั่ง
พราวไม่นึกอยากไปเรียนต่อปริญญาโทที่โน่นบ้างหรือลูก? คุณพนัสที่เดินเข้าในห้องนั้นได้สองสามนาทีและยืนฟังแม่ลูกคุยกันอยู่ เป็นผู้ตั้งคำถาม พราวพรายหันไปมองบิดาอย่างตื่นเต้นดีใจ คุณพ่อจะให้พราวไปเรียนต่อจริงๆหรือคะ?
แต่มารดาของเธอรีบพูดขัดขึ้นมาทันที ก่อนที่คุณพนัสจะทันอ้าปาก
"อุ๊ย..จะต้องดิ้นรนไปทำไม อเมริกง..อเมริกา ถ้าอยากเรียนจริงๆเรียนในเมืองไทยนี่ก็ได้ย่ะ เรื่องอะไรจะหาเรื่องให้ฉันเสียเงิน รู้หรือเปล่าว่าถ้าไปเรียนที่โน่นน่ะ ฉันจะต้องควักเงินอีกเป็นล้านนะยะ
พูดจบเธอก็ส่งค้อนน้อยๆแต่พองามไปให้สามี ที่เธอรู้สึกว่าชอบให้ท้ายลูกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสาวคนสุดท้องที่เขาเอ็นดูเป็นพิเศษ
อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย เสียเงินเพื่อให้ได้ความรู้จะเสียดายไทำไม
คุณพนัสพูดพร้อมกับเดินออกจากห้อง ไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารโดยมีพราวพรายเดินตามไปด้วย
เมื่อเห็นสามีนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ซึ่งแสดงว่าเขาพร้อมที่จะรับประทานอาหารเช้าแล้ว คุณจิตราซึ่งยึดมั่นกับการเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี รีบสั่งเด็กรับใช้ให้ยกอาหารเข้าไปเสิร์ฟ
ตอนนี้งานที่โน่นเป็นยังไงบ้างล่ะ เบื่ออยากเปลี่ยนงานแล้วหรือยัง
คุณพนัสถามระหว่างรับประทาข้าวต้มกุ้งนางน้ำแดงข้นคลั่ก ที่เขาชอบเป็นพิเศษ
พราวพรายซึ่งไม่ชอบข้าวต้มทุกชนิด วางถ้วยกาแฟที่กำลังจิบอยู่ก่อนตอบบิดาว่า ก็ยังดีอยู่ค่ะ พราวยังไม่อยากเปลี่ยนงานตอนนี้ แต่ปีหน้ายังไม่แน่
ความจริงพ่อว่าพราวเรียนน้อยไปนะ น่าจะเรียนต่ออีกหน่อย ไปเรียนที่อเมริกาก็ดีเหมือนกัน ไปอยู่กับพี่เขาก็น่าจะได้
หญิงสาวนิ่งคิดแล้วถามบิดาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่า จะดีหรือคะ แม่เพิ่งพูดหยกๆนี่เองว่าไม่ส่งเพราะต้องใช้เงินมาก แม่คงไม่มีเงินละมังคะ คุณพ่อ
บิดาของเธอหัวเราะหึหึ แม่เขาก็ยังงั้นแหละ ขอค้านเอาไว้ก่อน ถ้าพราวอยากไปจริงๆพ่อก็จะพูดกับแม่เขาเอง
อย่าเพิ่งเลยค่ะ คุณพ่อ พราวยังไม่อยากไปตอนนี้หรอก เอาไว้ปีหน้าดีกว่า ถ้าไงพราวจะลองคุยกับพี่เจิดดูอีกทีแล้วค่อยตัดสินใจ
คืนนั้นพราวพรายก็มีโอกาสได้โทรศัพท์พูดคุยกับเจิดจรัส หลังจากไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันพักใหญ่ เจิดจรัสก็ถามน้องสาวว่า งานของเธอเป็นยังไงมั่งล่ะ ยังโอเคดีอยู่หรือ
ก็เหมือนเดิมแหละ แต่ตอนนี้มีเพื่อนร่วมงานมากกว่าตอนที่พราวย้ายไปใหม่ๆ เจ้านายก็ยังเป็นคนเดิม แต่จอห์นบอกพราวว่าเขาอาจจะต้องย้ายกลับอเมริกาปีหน้า
อ้าว..หมายความว่าไง เขาจะยุบหน่วยงานหรือ?
ไม่หรอก จอห์นบอกว่าถ้าเขาต้องย้ายไปจริงๆ ก็จะมีหัวหน้าหน่วยคนใหม่มาแทน การสับเปลี่ยนมีทุกสองหรือสามปีนี่แหละ พราวก็จำไม่ได้
นายวิชชาล่ะ ยังมาวอแวกับเธออีกหรือเปล่า เจิดจรัสรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว
เขาเคยโทร.มาหาพราวสองสามครั้งจากเยอรมัน แต่พราวไม่ได้พูดกับเขา วางโทรศัพท์ไปเฉยๆ ตอนนี้เขาก็เงียบๆไปแล้วละ อย่าไปพูดถึงเขาอีกเลย พี่เจิด พราวเซ็งน่ะ
เออ..ดีแล้วละ ตอนนี้เธอมีแฟนใหม่หรือยังล่ะ
พราวพรายไม่ยอมตอบ แต่ถามกลับไปว่า พี่เจิดล่ะมีแฟนจริงๆจังๆสักคนหรือยัง มีหมอหนุ่มๆที่โน่นมาจีบมั่งหรือเปล่า
เจิดจรัสหัวเราะคิกอย่างชอบใจกับคำถามของน้องสาว ทำไมจะไม่มีเล่าจ๊ะ น้องรัก ของมันแน่อยู่แล้ว
คนไทยหรือฝรั่ง
ทั้งไทยทั้งฝรั่งแหละ เสียงของเจิดจรัสบอกถึงความภูมิใจในเสน่ห์ของตัวเองจนเห็นได้ชัด
เหรอ น้ำเสียงของพราวพรายกึ่งตื่นเต้นกึ่งอิจฉานิดๆ แล้วพี่เลือกใคร ไทยหรือฝรั่ง
ยังไม่เลือกใครหรอก แต่พี่ก็ออกเดทด้วยหมดแหละ เพียงแต่ยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกับใคร
พราวพรายมีเรื่องส่วนตัวที่อยากปรึกษาพี่สาว แต่ก็ยังสองจิตสองใจว่าควรจะเปิดเผยให้เจิดจรัสรู้มากน้อยแค่ไหน
เมื่อเห็นน้องสาวเงียบไป เจิดจรัสซึ่งเป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสไวก็ถามว่า มีเรื่องอะไรหรือเปล่า เสียงเธอฟังแปลกๆชอบกล มีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังก็เล่าได้เลยนะ ถ้าเป็นความลับก็ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเอาไปบอกแม่หรอก
เอ้อ..พี่เจิดเคย..เคยถูกใครจูบบ้างหรือยัง? ในที่สุดพราวพรายก็หลุดคำถามออกไปจนได้
โอ๊ะโอ..น้องรัก นี่หมายความว่าเธอเคยถูกใครจูบมาแล้วหรือ เจิดจรัสร้องเสียงดังอย่างแปลกใจ
เปล่า..เอ้อ..เปล่าหรอก ยังไม่มีใครมาจูบพราวหรอกน่า หญิงสาวรีบอึกๆอักๆแก้ตัว
แต่พี่สาวผู้แก่โลกของเธอไม่ยอมเชื่อ จริงน่ะ? ไม่เชื่อหรอก บอกมาซะดีๆว่าไอ้หนุ่มที่ไหนมาจูบเธอ อย่าบอกเชียวนะว่าเป็นไอ้เจ้าวิชชานั่น
ไม่ใช่..เอ๊ย..ยังไม่มีใครมาจูบพราวทั้งนั้นแหละ
เออ..ไม่รับก็แล้วไป ที่เธอถามพี่น่ะบอกให้ก็ได้ว่าทดลองจูบมาหลายคนแล้วเหมือนกัน เจิดจรัสตอบอย่างคะนอง แบบสาวสมัยใหม่ผู้มีอิสระเสรีเต็มที่
พราวพรายชักตกใจกับคำตอบ หมายความว่าพี่จูบเขาก่อนหรือ
เจิดจรัสหัวเราะขันน้องสาว บ้าสิ ใครจะไปจูบผู้ชายก่อนล่ะ พี่หมายความว่าพี่ยอมให้เขาจูบน่ะ แต่ไม่ใช่ยอมจูบกับผู้ชาย ที่ออกเดทด้วยทุกคนหรอกนะ เฉพาะคนที่เข้าท่าน่าสนใจเท่านั้น แหม..แม่คนโบราณ แค่นี้ก็ทำเป็นตกอกตกใจไปได้ เรื่องธรรมดาแท้ๆ
พราวพรายใจเต้นตูมตามเมื่อได้ยินคำว่า แม่คนโบราณ ที่หมายถึงเธอจากปากของพี่สาว นี่ถ้ารู้เรื่องลึกซึ้งระหว่างเธอกับนิค เจิดจรัสจะตกใจสักแค่ไหนที่ตอนนี้เธอก้าวหน้าไปไกลกว่าการจูบมากมายแล้ว มิหนำซ้ำคนที่เธอยอมให้เขาทำมากกว่าจูบ ก็ไม่ใช่คนที่เข้าท่าน่าสนใจในสายตาของเธอเสียด้วยสิ
เธอพูดเรื่องนี้ก็ดีแล้ว พี่อยากจะเตือนว่าถ้าจูบกับใครไปแล้วก็ต้องระวังตัวให้ดี เพราะมันจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น ผู้ชายน่ะได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวาทั้งนั้นแหละ เธอต้องเล่นให้เป็น อย่าให้จนหมดเนื้อหมดตัว ขืนยอมให้มันจูบเราแล้วไปต่อเรื่อยๆจนถึงขั้นสุดท้าย มันก็จะไม่เห็นคุณค่าของเราอีกต่อไป แล้วเจิดจรัสก็ย้ำว่า พราวคงเข้าใจนะ ว่าพี่หมายถึงอะไร
ผู้ที่กำลังนิ่งฟังอยู่เงียบๆสะดุ้งวาบกับคำเตือนของพี่สาว ถามตัวเองว่าหรือเราเล่นไม่เป็น มิน่าเล่าหลังจากคืนนั้นนิคก็หายหน้าหายตาไปเลย เพิ่งจะได้ข่าวคราวจากเขาเมื่อวานนี้เอง
พี่เจิดเคย เอ้อ..เคยทำอะไรมากกว่าจูบบ้างหรือเปล่า?พราวพรายกลั้นใจถาม
คราวนี้เจิดจรัสนิ่งอั้นไปอย่างเริ่มสงสัย ค่อยๆตะล่อมถามน้องสาวว่า ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ หรือเธอไปไกลมากกว่าจูบๆกอดๆแล้ว?
ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกน่า พราวพรายรีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว
เจิดจรัสจับได้ด้วยความฉลาดว่าน้องสาวตอบอย่างรวดเร็วเกินไป แล้วถึงขั้นไหน? อย่าบอกนะว่าพราวไปมีอะไรกับใครเข้าไปแล้ว บอกพี่ซิว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ถ้าไม่ใช่นายวิชชา
พราวพรายไม่มีทางเลือกนอกจากปฏิเสธเสียงแข็ง โธ่ พี่เจิด ไม่มีอะไรจริงๆ ก็แค่กอดๆจูบๆ ครั้งสองครั้งเท่านั้น ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ได้เจอกันนานเป็นเดือนแล้วด้วย เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า
แต่เจิดจรัสไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆ ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร พวกตำรวจทหาร ที่เธอต้องติดต่อประสานงานด้วยหรือเปล่า? หรือว่าฝรั่ง? เห็นแม่ว่าที่โน่นทหารต่างชาติเดินกันเต็มเมืองเลยนี่
ก็..คนไทยที่พราวพบที่อุบลฯนั่นแหละ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว
พราวพรายไม่คิดจะบอกพี่สาวหรอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เธอคิดว่าเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าให้ใครฟัง ความจริงเจิดจรัสรู้ว่าน้องสาวยังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ก็ไม่อยากจะซักต่อ รู้นิสัยพราวพรายดีว่าทั้งดื้อรั้นและเชื่อมั่นในตัวเอง ยิ่งไปบีบคั้นซักถามอะไรมากๆก็จะยิ่งปกปิด เลยจำใจต้องปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน คิดว่าจะหาทางตะล่อมเอาความจริงภายหลัง เจิดจรัสจึงเพียงแต่พูดอ้อมๆเป็นเชิงเตือน
ตอนนี้พราวก็โตแล้ว ทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว จะมีแฟนสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การคบหากันก็ต้องพยายามระวังให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ดูใจดูนิสัยกันไปเรื่อยๆก่อน ถ้าแน่ใจว่าเป็นคนที่ใช่แล้วก็ค่อยพาเขาไปพบพ่อแม่ ถ้าไม่มีอะไรขัดข้องก็แต่งงานแต่งการกันเสีย
พอพี่สาวพูดจบพราวพรายก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที เออ..พี่เจิด พราวกำลังคิดว่าถ้าปีหน้าจอห์นย้ายกลับไปแล้ว พราวอาจจะลาออก พราวอยากจะไปทำงานที่อเมริกาเหมือนพี่เจิด แต่งานคงหายาก เพราะพราวไม่ได้เรียนวิชาเฉพาะทางอย่างพี่เจิด คุณพ่อแนะนำให้ไปต่อโทที่อเมริกา แต่แม่บอกว่าไม่ส่งหรอก ความจริงพราวก็ไม่อยากรบกวนแม่เพราะโตแล้ว ถ้าหางานทางโน้นได้ก็ดีน่ะสิ เรียนไปทำงานไปก็ได้ ว่าแต่ถ้าพราวตัดสินใจไปจริงๆ ไปอยู่กับพี่เจิดได้ไหม?
มาสิ อยากมาเมื่อไหร่ก็มา อยู่กับพี่ก็ได้ ส่วนเรื่องงานอาจจะหายากสักหน่อย แต่ถ้าพราวไม่เกี่ยงงาน ก็ลองทำงานพาร์ทไทม์แบบพวกนักเรียนไทยเขาทำกันไปก่อนก็ได้ งานแบบนี้มีเยอะแยะ พวกล้างจาน เสิร์ฟอาหาร ขายแมคโดนัลด์นั่นแหละ ว่าแต่จะมาเมื่อไหร่ล่ะ
ยังไม่แน่เลยพี่เจิด อย่างเร็วก็คงปีหน้า ตอนที่เจ้านายพราวย้าย
โอเค ถ้าจะมาเมื่อไหร่ก็บอกให้พี่รู้ล่วงหน้าก็แล้วกัน
คืนนั้นพราวพรายนอนไม่หลับ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เมื่อย้อนคิดถึงเรื่องที่คุยกับเจิดจรัส นึกถึงคำเตือนของพี่สาวแล้วก็รู้สึกละอายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความเมา ความบ้าและความคิดรั้นๆ อยากลองดีของตัวเอง แต่ถ้าถามว่าเสียใจหรือไม่ หญิงสาวก็ยังยืนยันกับตัวเองว่าไม่เสียใจ เพราะอย่างน้อยมันก็เหมือนเป็นกุญแจ ที่ช่วยไขความลี้ลับของสิ่งที่เธอสงสัยมานาน ที่ทำให้เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่งงานไปกับผู้ชายสักคน ที่อาจจะไม่เหมาะสมกันแล้วอยู่ด้วยกันได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น พราวพรายไม่คิดว่าเธอทำอะไรผิด เธอมีสิทธิที่จะเรียนรู้ประสพการณ์ชีวิตทุกแง่มุมไม่ใช่หรือ นอกจากนั้นเธอยังรู้จักตัวเองดีอีกด้วยว่าเป็นคนประเภทดื้อรั้นไม่เชื่ออะไรหรือใครง่ายๆ ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองเท่านั้น กล้าที่จะเสี่ยงและลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แต่เมื่อลองแล้วเกิดผิดขึ้นมาก็ไม่โทษใคร เพียงแต่จะไม่ยอมทำผิดซ้ำซากในเรื่องเดียวกันอีก