รักฤาหักหาย - บทที่ 25


หลังจากนั้นอีกประมาณสองสัปดาห์ก็มีข่าวของอมรา คืนนั้นเกือบสามทุ่มแล้วแต่ทั้งสุนิสาและพราวพรายยังไม่ได้เข้านอน นั่งดูละครโทรทัศน์อยู่ด้วยกันที่ห้องเอนกประสงค์ เสียงรถที่แล่นมาจอดหน้าบ้าน เสียงประตูรถเปิดแล้วก็ปิดทำให้สุนิสาต้องลุกไปแง้มประตูหน้าบ้านดูว่าใครมา เพราะปกติยามวิกาลเช่นนี้จะไม่มีใครมา ถ้าไม่ได้นัดหมายกันเอาไว้ก่อน

“อ้าว”
เสียงอุทานของสุนิสาทำให้พราวพรายเหลียวมามอง “มีอะไรหรือ แอ๋ว”

อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กุลีกุจอเปิดประตูหน้าบ้านให้อมรา ในมือของหญิงสาวคนนั้น ถือถุงกระดาษที่มีสิ่งของบรรจุอยู่มาด้วย

“มีอะไรหรือเปล่าแพ๊ตตี้ ทำไมมาเอาป่านนี้ล่ะ” สุนิสาถามอย่างสงสัย

อมราเดินเข้ามานั่งลงอย่างหมดแรง บนเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้กับพราวพราย สีหน้าของเธอไม่ดีเลย ตาแดงก่ำเหมือนเพิ่งร้องไห้มาใหม่ๆ

“แอ๋ว..พราว คืนนี้ขอค้างที่นี่ได้ไหม? เราไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากให้แม่เห็นหน้าเซ็งๆของเราแล้วสงสัย หมู่นี้ยิ่งชอบซักชอบถามอยู่ด้วย”
หญิงสาวอีกสองคนลอบสบตากัน พราวพรายเป็นคนตอบว่า “ได้สิ ไม่มีปัญหา จะนอนกับเราหรือแอ๋วก็ได้ เลือกเอา ว่าแต่แพตตี้กินอะไรมาหรือยัง?”
อมราส่ายหน้า “กินไม่ลงหรอก ไม่หิวด้วย”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” สุนิสาถาม

หญิงสาวผู้นั้นอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มร้องไห้เงียบๆ สุนิสารีบเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับอมรา โอบบ่าเธอเอาไว้อย่างปลอบใจ แน่ใจว่าคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชลธิศและคู่หมั้นของเขา

“ไม่สบายใจเรื่องอะไร อยากเล่าให้พราวกับเราฟังหรือเปล่า”
“เรื่องพี่บ็อบนั่นแหละ” เสียงของอมราค่อนข้างสั่น
“พูดกับพี่บ็อบแล้วเหรอ” พราวพรายถาม
“ยังเลย ยังไม่มีโอกาส พี่บ็อบไม่เข้าอุบลฯเลย เดือนนี้ก็ไม่มาประชุม ส่งแต่จ่ากองร้อยมาแทน”
“อ้าว..เบี้ยวไม่เข้าประชุมได้ด้วยหรือ แพตตี้” สุนิสาถามบ้าง
“เขาบอกว่าไม่สบาย” อมรานิ่งคิดอยู่เดี๋ยวหนึ่งก็พูดต่อคล้ายๆ เป็นห่วงว่า “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

สุนิสาลอบสบตากับพราวพราย ทั้งสองคิดตรงกันว่าชลธิศคงไม่ได้ป่วยเป็นอะไรหรอก คงเจตนาจะหลบหน้าอมรามากกว่า ป่านนี้เขาคงรู้จากธนาแล้วว่าอมราไปซักถามเรื่องคู่หมั้น

“แพตตี้จะทำยังไงต่อไป ถ้าเรื่องคู่หมั้นของพี่บ็อบเป็นเรื่องจริง” พราวพรายถาม
อมราเงยหน้าขึ้นมองคนถามอย่างไม่พอใจ “อย่าเพิ่งถามยังงั้นเลย บอกตรงๆนะ พราว..แอ๋ว เรายังค่อยไม่เชื่อหรอก ว่าพี่บ็อบจะหักหลังเราแบบนั้นได้ ถึงหมวดธนาจะบอกว่าจริงก็เถอะ เธอสองคนก็รู้นี่ว่าเขากับเรารักกันเป็นแฟนกัน มาตั้งเกือบสองปี เคยพูดเรื่องแต่งงานกันด้วยซ้ำ แล้วอยู่ๆเขาจะไปหมั้นคนอื่น โดยไม่พูดอะไรกับเราให้รู้เรื่องเสียก่อนได้ยังไง อย่างน้อยก็ต้องบอกเหตุผลให้เรารู้ก่อนสิ ว่าทำไมต้องทำแบบนั้น หรือไปทำเขาท้องเลยต้องรับผิดชอบ” เธอกระแทกเสียงตรงประโยคสุดท้าย

ฟังคำพูดที่เหมือนหลอกตัวเองของอมราแล้วทั้งสุนิสาและพราวพรายก็ต้องอึ้ง เงียบกันไปพักใหญ่ ในที่สุดอมราก็กล่าวว่า “เราจะไปหาพี่บ็อบที่กองร้อยฯ ไปถามให้รู้เรื่อง ให้ได้ยินจากปากเขาเองเลย ว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง ถ้าจริง..เขาคิดจะทำอย่างไรกับเราต่อไป อีกอย่างก็อยากจะไปดูเขาด้วยว่าไม่สบายมากน้อยแค่ไหน”

สองสาวฟังแล้วก็ต้องลอบสบตากันอย่างเริ่มอึดอัด ต่างก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอมราจะต้องกระเสือกกระสนถึงเพียงนั้น แค่นี้ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าฝ่ายชายคิดจะตีจากเพราะมีคนใหม่ ทั้งสุนิสาและพราวพรายเริ่มเชื่อแล้วว่าเรื่องคู่หมั้นของชลธิศคงเป็นเรื่องจริง พราวพรายเชื่อเพราะเห็นว่าชลธิศเป็นผู้ชายกะล่อนที่ไว้ใจไม่ได้มานานแล้ว ชอบทำท่าเหมือนหมาหยอกไก่กับผู้หญิงสาวๆ ส่วนสุนิสานั้นเชื่อเพราะรู้ข้อมูลมากกว่านั้นจากอรรณพ เมื่อสองสามวันนี้เองที่อรรณพเล่าให้เธอฟังเพิ่มเติมว่าคู่หมั้ นของชลธิศเป็นคู่รักที่คบกันมานานหลายปี ตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจปีสุดท้าย ในขณะที่เธอผู้นั้นเป็นนิสิตปีสองในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง บิดาของเธอซึ่งเป็นนายตำรวจยศพลโทรู้จักสนิทสนมกันดีกับครอบครัวของชลธิศ อรรณพยังบอกอีกด้วยว่าแม้คู่หมั้นของชลธิศจะหน้าตาเรียบๆไม่ใช่คนสวย แต่ก็เป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่งและมาจากครอบครัวที่มีฐานะ ตอนนี้เธอทำงานเป็นนักวิชาการอยู่ในกระทรวงพานิชย์ ที่สำคัญคือชลธิศรักและเกรงใจคู่หมั้นของเขามาก

“แพตตี้จะไปหาพี่บ็อบเมื่อไหร่?” พราวพรายถามขึ้นในที่สุด
“พรุ่งนี้เช้า ความจริงถ้าไม่ติดว่าดึกดื่นป่านนี้ เราคงไปเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้แล้วละ เราร้อนใจต้องไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง” ประโยคต่อไปของเธอทำให้เพื่อนสองคนนิ่งอั้นไปตามๆกัน “ว่าจะชวนแอ๋วหรือพราว หรือทั้งสองคนไปเป็นเพื่อนหน่อย ไปได้หรือเปล่า?”

พราวพรายนิ่งเงียบ เธอไม่ได้ขัดข้องที่จะไปเป็นเพื่อนอมราเพราะนึกเห็นใจ แต่ก็ยังหวาดๆอยู่เมื่อนึกถึงการไปเป็นเพื่อนครั้งที่แล้ว ที่อมราตัดสินใจค้างกับชลธิศทำให้เธอต้องโดยสารรถนิคกลับบ้าน ถ้าเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีกเธอจะทำอย่างไร ถ้านายนิคบังเอิญอยู่ที่นั่นอีกอมรามิฝากเธอให้กลับกับเขาอีกหรือ พราวพรายไม่อยากจะพบผู้ชายอวดดีคนนั้นอีกแล้ว แม้จะพร่ำบอกตัวเองอยู่ทุกวันว่าไม่แคร์กับสิ่งที่เสียไป แต่เธอก็ยังเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องรู้สึกหวั่นไหว เสียใจและอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่กล้าสู้หน้าเขา

เวลาที่อยู่คนเดียวและคิดถึงเรื่องระหว่างเธอกับนิค หญิงสาวก็แอบแช่งชักให้เขาถูกพวกเวียตกงฆ่าตาย หรืออย่างเบาะๆ ก็ขอให้เขาถูกย้ายกลับไปสหรัฐฯ จะได้ไม่ต้องพบหน้ากันอีก ที่กลัวที่สุดก็คือกลัวว่าเขาจะเหมือนผู้ชายไทยอีกหลายคน ที่ชอบเอาเรื่องผู้หญิงที่เคยผ่านมาเล่าให้เพื่อนฝูงฟังอย่างโอ้อวด ภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเอง หารู้ไม่ว่านั่นเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายเขาไม่ทำกัน

สุนิสานั้นไม่ใช่ไม่สงสารเพื่อน เธออยากจะไปเป็นเพื่อนอมราเหมือนกัน แต่ก็ติดตรงที่กลัวว่าอรรณพจะรู้ว่าเธอเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการวุ่นวายกับเรื่องของชลธิศและอมรา เขาสั่งห้ามเธอเอาไว้แล้วด้วย ถึงจะเห็นใจในความทุกข์ร้อนของอมราเพียงไร แต่หญิงสาวก็ไม่ต้องการมีปัญหากับอรรณพ ในช่วงที่เธอกำลังพยายามกอบโกยคะแนนจากเขาอยู่

อมราเห็นเพื่อนทั้งสองนิ่งเงียบไม่เสนอตัวที่จะไปเป็นเพื่อน ก็กล่าวด้วยสุ้มเสียงน้อยใจว่า “เอาเถอะ ถ้าไม่มีใครเต็มใจจะไปเป็นเพื่อน เราไปคนเดียวก็ได้ ”

พอพูดจบอมราก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่เดินไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่อมราเข้าห้องน้ำ สุนิสากับพราวพรายก็มองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ พราวพรายกระซิบถามสุนิสาว่า “ตกลงจะเอายังไงดีล่ะ แอ๋ว ถ้าไม่มีใครไปเป็นเพื่อนแพ๊ตตี้คงเสียใจ อาจจะคิดว่าเราทิ้งเพื่อนตอนที่กำลังมีปัญหา”
“นั่นสิ” สุนิสาทำท่าครุ่นคิด “เราน่ะอยากไปเป็นเพื่อนเขา แต่กลัวจะต้องมีเรื่องกับพี่ณพน่ะสิ”
“หรือเราจะพยายามเกลี้ยกล่อมแพ็ตตี้ให้ใจเย็นๆ รอไว้คุยตอนที่พี่บ็อบเข้ามาอุบลฯ ”
อีกฝ่ายส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ยาก พราวก็รู้ว่าแพตตี้ใจร้อน เขาคงทนรอให้พี่บ็อบมาเองไม่ไหวหรอก”

พราวพรายนิ่งคิดว่าจะช่วยอมราได้อย่างไร โดยที่ไม่ต้องเสี่ยงไปที่ค่ายตชด. แห่งนั้น แล้วถูกขอให้ค้างคืนหรือถูกฝากใครให้พากลับบ้านเหมือนครั้งที่แล้ว

วันรุ่งขึ้นอมราซึ่งอาศัยนอนกับสุนิสาลุกขึ้นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวสวยพร้อมที่จะออกจากบ้านไปหาชลธิศตามลำพัง เมื่อออกจากห้องก็พบว่าพราวพรายนั่งรออยู่แล้วในชุดที่พร้อมจะออกจากบ้าน

พอเห็นอมราหญิงสาวผู้นั้นก็บอกว่า “เราจะไปเป็นเพื่อนแพ็ตตี้เอง กินอะไรรองท้องก่อนนะ ไม่มีอะไรมากหรอก แค่กาแฟกับแซนด์วิชเท่านั้นแหละ”
“ขอบใจมากนะ พราว”

ระหว่างที่สองสาวกำลังรับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆอยู่ด้วยกัน สุนิสาซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ออกมาจากห้อง พูดกับอมราว่า “เราไปเป็นเพื่อนแพ็ตตี้ก็ได้นะ” พอเห็นการแต่งกายของเพื่อนอีกคน ก็ร้องว่า “อ้าว..พราวแต่งตัวเสียสวย จะไปไหน? หรือจะไปกับแพ็ตตี้”
“ฮื่อ..ไม่อยากให้แพ็ตตี้ขับรถไปคนเดียว ยิ่งกำลังเครียดๆ อยู่”
“เหรอ” สุนิสาซึ่งรู้ว่าพราวพรายกลัวว่าจะถูกอมราทิ้งอีกเสนอว่า “งี้นไปด้วยกันหมดเลย”
“อ้าว..แล้วแอ๋วไม่กลัวพี่ณพรู้เหรอ” พราวพรายสงสัย แต่ก็นึกดีใจที่สุนิสาตกลงจะไปด้วย เธอคิดว่าถ้าเกิดกรณีเหมือนครั้งที่แล้ว อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนอยู่ด้วย
“ช่างเขาเถอะ ถ้ามีเรื่องขึ้นมาเราก็จะหาวิธีพูดกับเขาเอง”

เมื่อคืนนี้สุนิสานอนคิดสองจิตสองใจอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะไปเป็นเพื่อนอมรา แม้จะต้องเสี่ยงกับความไม่พอใจของอรรณพก็ตาม ถึงอย่างไรคำว่า ‘เพื่อน’ ก็มีความหมายสำหรับเธอ ที่รู้จักสนิทสนมช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันกับอมรามานาน

ในที่สุดรถเก๋งคันเล็กที่มีอมราเป็นผู้ขับ สุนิสานั่งข้างๆที่เบาะหน้าและพราวพรายนั่งอยู่ข้างหลัง ก็มาถึงกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ชลธิศเป็นผู้บังคับกองฯ และแม้จะเห็นท่าทางอึกอักของตำรวจตรงหน้าค่าย แต่หญิงสาวทั้งสามก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไร จอดรถเสร็จก็เดินตามกันลงจากรถ ขณะที่อมราเดินนำหน้าอย่างรวดเร็วมุ่งตรงไปที่บ้านพักหลังเล็กของชลธิศ สุนิสาซึ่งตาไวก็สะกิดพราวพรายให้ดูรถเก๋งยี่ห้อหรูคันใหญ่ ที่จอดแอบอยู่ตรงลานข้างบ้าน

“รถใครน่ะ หรือว่าพี่บ็อบมีแขก” เธอกระซิบกระซาบถามพราวพราย
อีกฝ่ายเหลือบมองรถคันดังกล่าว “ไม่รู้สิ เพื่อนเขามามั้ง”
“ทะเบียนกรุงเทพฯนี่นา หรือว่า..หรือว่า..” พอนึกสังหรณ์ใจสุนิสาก็ร้องเรียก
อมรา ที่เดินลิ่วอยู่ข้างหน้าเกือบจะถึงประตูบ้านอยู่แล้ว “แพตตี้..แพตตี้ อย่าเพิ่งเข้าไป”

แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะอมราผลักประตูที่อยู่ตรงหน้าให้เปิดออกแล้วพาตัวเข้าไป ทำให้เพื่อนอีกสองคนไม่มีทางเลือก ต้องตามเข้าไปยืนอยู่หน้าประตูที่เปิดอ้า แล้วก็ได้เห็นภาพสำคัญที่ทำให้อมราหน้าซีดเผือดไปทันที

“พี่บ็อบ!”

ภาพที่บาดความรู้สึกของอมราอย่างรุนแรง คือภาพที่ชลธิศนั่งอยู่บนโซฟาร์หวายตัวหนึ่ง บนตักของเขามีผู้หญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวนั่งอยู่ ศีรษะที่มีผมดำยาวของเธอซุกอยู่ที่ซอกคอของเขา พอเห็นอมราที่ยืนจังงังอยู่หน้าประตูชลธิศซึ่งตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ก็ชักแขนที่โอบอยู่รอบเอวของเธอผู้นั้นออก

“อ้าว แพตตี้!!”

เขาเก้ๆกังๆขยับจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมๆกับที่ผู้หญิงบนตักเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นผู้หญิงแปลกหน้าสามคน ที่กำลังจ้องเขม็งมาที่เธออย่างแปลกใจและตกใจ เธอก็ลุกขึ้นจากตักชลธิศ ทำให้ทุกคนเห็นรูปร่างหน้าตาของเธอได้ชัดเจน แม้จะไม่ใช่คนสวยแต่หญิงสาวคนนั้นซึ่งอายุคงมากกว่าอมราสองสามปี ก็จัดว่าเป็นคนเก๋ ผิวของเธอละเอียดนวลเนียนขาวผ่อง ตาคมดุ ท่าทางเชื่อมั่นในตัวเอง

อมราถามเสียงสั่นว่า “หมายความว่าอย่างไรคะ พี่บ็อบ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”

ผู้กองหนุ่มอึกอัก ท่าทางเขาทั้งตกใจและกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้แก้ตัวว่าอย่างไร หญิงสาวผู้นั้นก็ประสานสายตากับอมราอย่างไม่พรั่น ด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มเหมือนเยาะ
“ฉันเป็นคู่หมั้นคุณชลธิศ คุณล่ะเป็นใคร? จะไม่แนะนำตัวเองหน่อยหรือคะ?”
อมราตกตะลึงจ้องหน้าหญิงสาวคนนั้นเขม็ง ก่อนจะหันขวับไปถามชลธิศด้วยเสียงที่แหลมดังว่า “พี่บ็อบ! ที่เขาพูดมานั่นจริงหรือเปล่า หรือว่าเป็นแค่ผู้หญิงบาร์ที่พี่พามานอน? ตอบแพตตี้มาเดี๋ยวนี้นะ”
นัยน์ตาของหญิงสาวอีกคนกร้าวขึ้นมาทันที เธอเชิดหน้าขึ้นสูง ตอบโต้อมราด้วยสุ้มเสียงที่ดังไม่แพ้กัน “นี่คุณ! ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร มีความสัมพันธ์อะไรกับพี่บ็อบ และฉันไม่สนใจอยากรู้ แต่คุณไม่มีสิทธิจะมาเหยียบย่ำฉันแบบนี้ รักษามารยาทบ้าง”
“ฉันเป็นใครน่ะหรือ? ฉันก็เป็นคู่รักที่รักกันมานานเกือบสองปีของพี่บ็อบน่ะสิ” เสียงของอมราแข็งกร้าวพอๆกับนัยน์ตา
อีกฝ่ายยิ้มเชือดเฉือน “แค่คู่รักเท่านั้นน่ะหรือ? ส่วนฉันน่ะคู่หมั้น รู้สึกว่าฉันจะบอกคุณไปแล้ว นี่..ถามหน่อยเถอะ อายุป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีกหรือว่าคู่รักกับคู่หมั้นมีความสำคัญต่างกันอย่างไร ถ้าไม่รู้ฉันก็จะช่วยบอกให้เอาบุญ คู่รักน่ะเขาเอาไว้รักไว้ไคร่เท่านั้น เบื่อแล้วก็ทิ้ง ส่วนคู่หมั้นเขาเอาไว้แต่งงานเป็นแม่ของลูก เอาไว้ออกงานสังคมคู่กัน เข้าใจหรือยังล่ะ?”

อมราร้องกรี๊ด ทำท่าราวกับจะเผ่นโผนเข้าทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้สุนิสากับพราวพรายที่ยืนอยู่หลังอมราต้องช่วยกันยึดตัวเธอเอาไว้

ชลธิศกระอักกระอ่วน พยายามประนีประนอม “ต้อย.พี่ขอร้องเถอะนะ อย่าพูดอะไรอีก” แล้วหันไปบอกอมราว่า “แพตตี้กลับไปก่อนได้ไหม? พรุ่งนี้พี่จะไปหาที่อุบลฯ จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง”
“มีอะไรจะเล่าก็เล่าออกมาตอนนี้เลย ต่อหน้าทุกคนนี่แหละ แพตตี้จะไม่ใจเย็นรออีกต่อไปแล้ว” อมราแผดเสียงจนพราวพรายที่ยืนอยู่ข้างหลังตกใจ ต้องยื่นมือมายึดแขนข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ เพราะกลัวอาการ ‘เห็นช้างเท่าหมู’ ของเพื่อน

ชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้นถอนใจเฮือก สีหน้าของเขาเจื่อนจาง หันไปพูดกับหญิงสาวอีกคน ด้วยแววตาและสุ้มเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรงใจ
“ต้อย ออกไปข้างนอกก่อนได้ไหม ขอพี่พูดธุระหน่อย”
ผู้หญิงที่ชื่อต้อยมองหน้าอมราเยาะๆ “เอาเถอะ ฉันจะเปิดโอกาสให้คุณได้ร่ำลากับพี่บ็อบเป็นครั้งสุดท้าย ฉันเพิ่งนึกออกว่าพี่บ็อบเคยเล่าให้ฟัง ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่อุบลฯ พยายามจะจับเขา แต่เขาไม่เล่นด้วย คงจะเป็นคุณนี่เอง”
อมราร้องกรี๊ดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บแค้น ในขณะที่เธอผู้นั้นยิ้มเย้ยก่อนที่จะพาตัวออกไปจากห้อง โดยที่สุนิสาและพราวพรายที่ยืนอยู่หน้าประตูรีบขยับหลีกทางให้

เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเดรียดและเนื้อตัว ที่เริ่มสั่นระริกจากแรงอารมณ์ของเพื่อน พราวพรายก็บอกอมราด้วยเสียงอ่อยๆว่า “กลับกันก่อนดีไหม แพตตี้ ไว้ค่อยคุยกับพี่บ็อบทีหลัง ตอนที่อารมณ์ดีกว่านี้”
“ถ้าอยากกลับก็กลับไปเลย แอ๋วก็เหมือนกัน ฉันยังไม่กลับหรอก จะต้องคุยกับพี่บ็อบให้เห็นดำเห็นแดงกันไปข้าง” อมราหันไปตวาดเพื่อน
ชลธิศซึ่งรู้ว่าจะผัดผ่อนเรื่องการหมั้นของเขา ไม่ให้อมรารู้ต่อไปอีกระยะหนึ่งไม่ได้แล้ว หันไปพูดกับสองสาวว่า “แอ๋ว..คุณพราว ขอผมกับแพตตี้พูดกันเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหม”
สุนิสาและพราวพรายมองหน้ากัน พราวพรายถามอมรา ที่ยังยืนจังก้าหน้าตาดุดัน ปากเม้มแน่นอยู่กลางห้องว่า “แพตตี้จะเอายังไง จะให้เรากับแอ๋วออกไปรอข้างนอกหรือเปล่า?”
“ไปเถอะ ไปรอข้างนอกก่อน” อมราตอบโดยไม่หันมามองเพื่อนทั้งสอง

ทันทีที่สองสาวผละออกจากหน้าประตูไป ชลธิศก็เดินมาปิดประตูห้องแล้วเดินกลับไปหาอมรา หน้าตาของเขาเริ่มเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว

“แพตตี้จะเอายังไงก็ว่ามา”
“ตอบแพตตี้มาก่อนว่าแม่คนนั้นเป็นอะไรกับพี่?”

ชลธิศขมวดคิ้วหน้าเครียด รู้สึกยุ่งยากใจ แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางเลือกเพราะตอนนี้แวดวงคนรู้จักของเขารู้เรื่องนี้กันเกือบหมดแล้ว เขาจำเป็นต้องตอบแม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก

“ต้อยเขาเป็นคู่หมั้นของพี่”

สิ้นเสียงของเขา อมราก็น้ำตาไหลพราก เนื้อตัวของเธอสั่นระริกเซซวนเหมือนจะล้มลงไป ทำให้ชลธิศต้องยื่นแขนมาพยุงเอาไว้ “นั่งลงก่อนเถอะ แพตตี้ ค่อยๆพูดจากัน อย่าเอาแต่อารมณ์”

หญิงสาวผู้นั้นไม่ยอมนั่งลงตามที่เขาบอก เธอสลัดมือเขาจนหลุดออกไป เดินหลีกเขาไปยืนพิงตู้ใส่เอกสารตรงมุมห้องไม่ไกลจากจุดที่ชลธิศยืนอยู่ เปิดกระเป๋าถือที่ยังคล้องอยู่ที่ไหล่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย สะอึกสะอื้นจนตัวสั่น

“ แล้วแพตตี้ล่ะ พี่จะเอาแพตตี้ไปไว้ที่ไหน? หรือที่ผ่านมาพี่หลอกแพตตี้มาตลอด?”
“โธ่..แพตตี้ พี่ไม่เคยคิดจะหลอกแพตตี้เลยนะ...” ชายหนุ่มยังพยายามแก้ตัว ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไร
ชลธิศพูดไม่ทันจบอมราก็ถามสวนขึ้นมาทันที แม้น้ำตาจะยังไหลออกมาไม่ขาดสาย แต่ตาของเธอแข็งกร้าว “ถ้าไม่หลอกแล้วพี่ไปหมั้นคนอื่นได้ยังไง ไหนพี่สัญญาว่าจะแต่งงานกับแพตตี้ แล้วยายต้อยคนนี้โผล่มาจากไหน อยู่ๆก็กลายมาเป็นคู่หมั้นของพี่ บอกความจริงมานะ”

ผู้กองหนุ่มถอนใจยืดยาวอย่างหนักอก สมองวุ่นวายคิดหาทางว่าจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้อย่างไร แต่เมื่อยังคิดไม่ออกและอีกฝ่ายก็คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ เขาก็เลยต้องตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้

“เรื่องหมั้นน่ะ ไม่ใช่ความคิดของพี่หรอก พ่อแม่เรารู้จักสนิทสนมกันมานานแล้ว เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จัดการกันเอง”
“พี่บ็อบกำลังจะบอกแพตตี้หรือว่าพี่ไม่ได้รักแม่คนนั้น ที่หมั้นกันเป็นเพราะผู้ใหญ่จัดการให้”

ชลธิศอึกอักตอบไม่ออก เขากับลลนาคบหากันมาหลายปีแล้ว นอกจากเขาจะรักเธอแบบคู่รักแล้วบิดาของเธอผู้นี้ยังเป็นนายพลที่มีตำแหน่งสำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สามารถจะช่วยเขาให้ก้าวหน้าในราชการได้อีกด้วย ฐานะทางบ้านของเธอก็อยู่ในเกณฑ์ดี และแม้จะเจ้าชู้ขนาดไหนแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะจริงจังถึงขั้นแต่งงาน กับผู้หญิงคนใดนอกจากลลนา ผู้หญิงอื่นเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น สำหรับอมรานั้นแม้จะชอบเธออยู่มาก แต่เขาก็ไม่มีวันจะยอมแลกผู้หญิงที่เขารักและมีทุกอย่างลงตัวเหมาะสมกับเขา กับผู้หญิงอีกคนที่เขาเพียงแต่ใคร่เท่านั้น

“ก็ได้ แพตตี้จะเชื่อว่าพี่หมั้นกับเขาเพราะผู้ใหญ่ พี่ยังรักแพตตี้อยู่ไม่ได้รักเขา” เธอเน้นทุกคำพูดแล้วก็ยิ้มอย่างมีความหมาย

ชายหนุ่มมองยิ้มของเธออย่างไม่เข้าใจ แต่คำพูดต่อมาของอมราทำให้เขาสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ

“ถ้างั้นพี่ไปเรียกแม่ต้อยคนนั้นออกมาเดี๋ยวนี้ แพตตี้จะบอกให้เขารู้ว่าพี่พูดอะไรกับแพตตี้บ้าง ถ้าพี่จำใจหมั้นกับเขา พี่ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจอีกต่อไป บอกถอนหมั้นกับเขาเสียเลยต่อหน้าแพตตี้นี่แหละ ถ้าพี่ทำได้ แพตตี้ก็จะกลับไปคอยพี่ที่อุบลฯ”
“ไม่เอาน่า แพตตี้ ใจเย็นๆ วันนี้กลับไปก่อน พรุ่งนี้พี่จะรีบไปหา เชื่อพี่เถอะนะ” เขาพยายามหว่านล้อม ทั้งๆที่ชักกลุ้มใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะท่าทีของ อมราวันนี้แข็งกร้าวผิดไปจากที่เขาเคยเห็น
“ถ้าพี่ไม่ไปเรียกเขา แพตตี้จะไปเอง” พูดจบเธอก็ขยับตัว

การยื่นคำขาดของอมราทำให้ชลธิศไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องตัดสินใจ แม้จะทำให้อมราต้องเจ็บปวดก็ช่วยไม่ได้ เธอบังคับเขาเอง “พี่คงทำอย่างที่แพตตี้ต้องการไม่ได้หรอก”
“อะไรที่ทำไม่ได้” เสียงของอมราแข็งกร้าว

“พี่เลิกกับต้อยไม่ได้” ชายหนุ่มคิดว่าเมื่อมาถึงทางตัน เขาก็จำเป็นต้องบอกความจริงกับอมรา เมื่อรู้แล้วเธอจะได้ตัดใจจากเขาเสีย เธอจะมีปัญญาทำอะไรเขาได้ ก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง “ถึงยังไงพี่ก็ต้องแต่งงานกับเขา บอกตรงๆว่าเราคบหาเป็นแฟนกันมาหลายปี ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ พ่อแม่พี่กับพ่อแม่เขาก็เห็นชอบด้วยมาตั้งแต่ต้น”

“อ้าว..ก็แปลว่าพี่กับเขาเป็นแฟนกันมานานแล้ว งั้นพี่ก็หลอกแพตตี้มาตลอดน่ะสิ แล้วที่เรามีอะไรกันนั่นล่ะ พี่ไม่คิดจะรับผิดชอบแพตตี้มั่งเลยหรือ?” เสียงของเธอแหบโหยอย่างเจ็บปวด
“พี่จะพูดยังไงดีแพตตี้ถึงจะเข้าใจ” ชลธิศชักกลุ้มใจ
“ให้แพตตี้ถามพี่ดีกว่า” อมราอึ้งไปชั่วอึดใจแล้วถามว่า “สรุปว่าพี่รักเขา จะแต่งงานกับเขา ใช่หรือเปล่า?”

การเงียบของเขาคือคำตอบที่ชัดเจน หญิงสาวซึ่งตอนนี้เลิกร้องไห้แล้วมองเขาเขม็งราวกับจะให้ทะลุเข้าไปถึงหัวใจ “แล้วพี่มายุ่งกับแพตตี้ทำไม? บอกทำไมว่ารักแพตตี้คนเดียว ทั้งๆ ที่พี่ก็มีผู้หญิงของพี่อยู่แล้ว?”

ชลธิศถอนใจยืดยาว รู้สึกเครียดและเริ่มโกรธที่อีกฝ่ายตั้งคำถามเดิมๆวนไปเวียนมา ชายหนุ่มนึกแบบเข้าข้างตัวเองว่าถ้าเขาเป็นอมรา และถูกฝ่ายชายประกาศเหมือนหมดเยื่อใยชัดเจนขนาดนี้แล้ว เขาคงจะหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง แล้วเดินจากไป ไม่มานั่งคร่ำครวญถามหาความรักความรับผิดชอบอยู่ได้ไม่รู้จบแบบ นี้

เมื่อเห็นเขาเงียบ อมราก็คาดคั้นเอาคำตอบต่อไป “พี่จะบอกหรือว่าพี่ไม่ได้รักแพตตี้เลย แต่ก็นอนกับแพตตี้ได้”

“ไอ้เรื่องนอนกับเรื่องรักน่ะ มันคนละเรื่องกัน” ชลธิศหลุดปากออกมาโดยไม่ตั้งใจ เพราะโกรธจนหัวหมุนที่อีกฝ่ายทำเหมือนไร้เดียงสา ไม่ยอมเข้าใจอะไรทั้งนั้น “ คนเก่งอย่างแพตตี้ไม่รู้เลยหรือไงว่าผู้ชายน่ะ มันนอนกับผู้หญิง คนไหนก็ได้ทั้งนั้นถ้าผู้หญิงยอม ไม่จำเป็นต้องรัก แต่เวลาจะแต่งงานก็ต้องเลือกแต่งกับคนที่เขารัก อยากให้เป็นแม่ของลูกเขาทั้งนั้นแหละ พอใจหรือยังล่ะ อยากให้พูดชัดเจนอย่างนี้ไม่ใช่หรือถึงจะยอมเข้าใจ เรื่องของเรามันไม่มีอะไรมาก บอกตรงๆว่าพี่ไม่เคยรักแพตตี้แล้วพี่ก็เชื่อด้วยว่าแพตตี้เองก็ไม่ได้รักพี่ ที่เราคบกันมาได้นานถึงป่านนี้ไม่เกี่ยวกับรักหรือไม่รัก เป็นแค่ความพอใจของเราที่จะมีอะไรกันเท่านั้น แพตตี้เองก็เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกตั้งหลายปี น่าจะเข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ เหมือนเวลาหิวเราก็ต้องหาอะไรใกล้มือกินให้หายหิว อิ่มแล้วก็แล้วกัน แพตตี้ก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราก็แค่สนุกด้วยกันเท่านั้น ไม่มีใครได้ใครเสีย ไม่มีอะไรผูกพันกัน เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็ต้องแยกทาง ต่างคนต่างไป แพตตี้เองก็เหมือนกัน สักวันก็คงมีโอกาสได้เจอคนที่เหมาะสมกับแพตตี้มากกว่าพี่”

คำตอบของชลธิศที่แสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมาชัดแจ้ง ทำให้อมราร้องกรี๊ด สั่นไปทั้งตัว หน้าของเธอซีดขาวจนออกเขียวราวกับปราศจากเลือดหล่อเลี้ยง ตาขุ่นขวางเหมือนคนเสียสติ แล้วก่อนที่ชลธิศจะทันรู้ตัวหญิงสาวก็หันไปคว้าปืนพกของเขาที่วางทิ้งไว้บนตู้เอกสารที่เธอยืนพิงอยู่ ปลดเซฟอย่างคล่องแคล่ว เล็งปากกระบอกปืนตรงมาที่เขา ชายหนุ่มใจหายวาบ เขารู้ว่าอมรายิงปืนเป็นเพราะเขาเป็นคนสอนให้เธอเอง

“ตายเสียเถอะ ไอ้ผู้ชายสารเลว!! อย่าอยู่รกโลกต่อไปเลย!”
“อย่านะ แพตตี้!”

ชลธิศร้องห้ามเสียงหลง กระโดดเข้าไปหมายจะแย่งปืนจากมืออมรา แต่ก็ช้าไปแล้ว กระสุนจากปืนในมืออมราพุ่งเข้าหาเขา โชคดีที่มือของเธอสั่นและเขาเอี้ยวตัวหลบไปนิดเดียว ทำให้กระสุนนัดนั้นพลาดเป้าตรงหัวใจเขา แฉลบไปโดนต้นแขนข้างซ้าย กระเด็นไปโดนตู้เอกสารแล้วกระดอนตกลงบนพื้นห้อง

เสียงปืนทำให้ตชด.สองนายที่เดินอยู่ใกล้ๆแถวนั้นวิ่งพรวดเข้ามา ในบ้าน ถีบประตูให้เปิดออก คนหนึ่งวิ่งเลยชลธิศ ที่ยืนกุมต้นแขนข้างซ้ายที่ถูกยิงมีเลือดไหลทะลักออกมา ตรงเข้าไปเก็บปืนที่ตกอยู่บนพื้น ก่อนจะเข้าไปล็อคตัวอมราที่ยืนตัวสั่นหน้าขาวราวกับแผ่นกระดาษอยู่หน้าตู้เอกสาร ส่วนอีกนายหนึ่งวิ่งเข้าไปประคองชลธิศด้วยสีหน้าที่ตกใจและเป็นกังวล

“ผู้กองเป็นยังไงบ้างครับ? ไปโรงพยาบาลเถิดครับ ผมจะให้พลขับเอารถออกเดี๋ยวนี้”
ชลธิศส่ายหน้า เหลือบมองอมราที่ตอนนี้ยืนก้มหน้านิ่ง ไม่มองใครเลย
“ไม่ต้อง ผมไม่เป็นอะไรมาก ลูกปืนแค่ถากไปเท่านั้น”

ลลนา สุนิสาและพราวพรายซึ่งได้ยินเสียงปืนเหมือนกัน วิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องแล้วต่างก็หน้าซีดขาวด้วยความตกใจไปตามๆกัน เมื่อเห็นชลธิศยืนกุมต้นแขนข้างซ้ายที่มีเลือดไหลเปรอะ เห็นอมราที่ถูกตำรวจนายหนึ่งล็อคตัวเอาไว้และปืนพกในมือของตำรวจที่ยืนอยู่กับอมรา

“ ตายแล้ว! พี่บ็อบ พี่ถูกยิง!” เป็นเสียงสั่นๆ ของลลนาที่ตอนนี้วิ่งเข้าไปถึงตัวชลธิศแล้ว
“พี่บ็อบถูกยิง? โธ่..แพตตี้! ไม่น่าเลย” สุนิสาซึ่งตอนนี้วิ่งผ่านชลธิศเข้าไปหาอมราแล้ว พร้อมๆกับพราวพร าย ร้องออกมาอย่างตกใจ
“แพตตี้ ทำไมทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้?” เสียงของพราวพรายสั่นด้วยความสงสารและตกใจ กลัวอมราจะมีคดีจนต้องติดคุก ด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยอาวุธร้ายแรง

“ผู้กองครับ ถ้าไม่ไปโรงพยาบาลก็ให้หมู่เสน่ห์ทำแผลให้ก่อน ดีไหมครับ?”
ชลธิศขยับตัวออกห่างจากลลนา ที่กอดแขนข้างขวาของเขาอยู่ หน้าของเธอซีดเผือด มองอมราอย่างไม่ไว้ใจ “ทุกคนฟังผมหน่อย ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ลูกปืนแค่ถากๆไปเท่านั้น แก้ว..เชิด “เขาหมายถึง ตชด. สองนายที่อยู่ในห้อง “ไม่ต้องรายงานเรื่องนี้ ใครถามก็บอกว่าอุบัติเหตุปืนลั่นเท่านั้น เข้าใจไหม?”

จ่ากองร้อยที่ชื่อแก้วและพลตำรวจอีกคนหนึ่ง ทำท่าอึกอักกับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่เมื่อไม่สามารถขัดคำสั่งนั้นได้ และตอนนี้แน่ใจแล้วว่าเป็นเรื่องหึงหวงกันเท่านั้น รับคำพร้อมๆกัน

“คุณพราว..แอ๋ว คุณสองคนก็ควรพูดให้ตรงกันว่าผมทำปืนลั่น ไม่งั้นแพตตี้จะลำบาก จะมีคดีต้องขึ้นโรงขึ้นศาล”
“ค่ะ” สองสาวรับคำพร้อมๆกันเพราะเห็นแก่อมรา

พราวพรายอดคิดในใจไม่ได้ว่าความบุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลังทำให้อมราต้องตกเป็นเบี้ยล่าง ชลธิศก็คงจะถือโอกาสนี้เลิกกับเธอได้อย่างลอยนวลโดยไม่มีความผิด เพราะคนที่ผิดแถมยังทำตัวราวกับฆาตกรมุ่งร้ายหมายชีวิตผู้อื่นกลายเป็นอมราไป สังคมย่อมต้องเห็นใจชลธิศมากกว่า ที่ไม่สามารถจะยอมรับผู้หญิงใจดำอำมหิตเช่นนี้มาเป็นคู่ชีวิตได้ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนหนอ? นอกจากนี้พราวพรายยังนึกหวาดเสียวอยู่ไม่หายว่าถ้าชลธิศถูกกระสุนปืนจนเสียชีวิตอมราก็ต้องติดคุกติดตะราง ต้องมีประวัติอาชญากรรมติดตัวไปตลอดชีวิต มันแลกกันได้หรือระหว่างความตายของผู้ชายเลวๆ คนหนึ่งกับการสูญเสียอิสรภาพและชื่อเสียงรวมทั้งอนาคตของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หลงไปกับน้ำคำของผู้ชายที่ไม่มีค่าอย่างชลธิศ โชคยังดีที่เหตุการณ์ไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น

ชลธิศสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองให้ออกไปจากห้อง หลังจากนั้นเขาก็พูดกับ
อมราโดยตรง “แพตตี้ พี่ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ลืมพี่เสียเถิดนะ พี่ไม่ใช่คนดีนักหรอก ยกโทษให้พี่ด้วย”

แล้วชายหนุ่มที่ยังมีสีหน้าเคร่งเดรียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็พูดกับเพื่อนสองคนของอมราว่า “ผมต้องขอโทษทั้งแอ๋วและคุณพราวที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ช่วยพาแพตตี้กลับไปก่อน ผมต้องไปทำแผลและทำรายงานอุบัติเหตุนี่ด้วย”

ขากลับ พราวพรายจำใจต้องทำหน้าที่ขับรถคันเล็กของอมรากลับอุบลฯ ทั้งๆ ที่เคยขับในกรุงเทพฯเพียงไม่กี่ครั้งและห่างเหินไปนาน เพราะอมราซึ่งเครียดจัด ไม่พูดไม่จากับใคร เปิดประตูรถเข้าไปนอนหลับตาอยู่บนเบาะด้านหลัง ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ส่วนสุนิสาก็ขับรถไม่เป็น

ในที่สุดความรักความพิศวาสระหว่างอมรากับชลธิส ก็เดินมาถึงจุดจบของมันในวันนั้น โดยอมราเป็นฝ่ายอับอายพ่ายแพ้จนต้องลาออกจากงาน หลบหน้าผู้คนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับชลธิศ ไปพำนักอยู่กับญาติห่างๆ ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ทิ้งเพื่อนสนิทสองคนไว้เบื้องหลัง ให้รอคอยวันกลับมาอย่างอมราคนใหม่ ที่พร้อมจะสู้ชีวิตต่อไป...ถ้าเธอแกร่งพอ























Create Date : 05 ตุลาคม 2552
Last Update : 15 พฤษภาคม 2554 19:12:30 น.
Counter : 278 Pageviews.

25 comments
  


พรหมญาณี...............................พรหมญาณี
ปอ ป้า.......ปอ ป้า..................ปอ ป้า..........ปอ ป้า
ปอ ป้า.............ปอ ป้า................ปอ ป้า...............ปอ ป้า
ปอ ป้า...................ปอ ป้า.............ปอ ป้า...................ปอ ป้า
ปอ ป้า........................ปอ ป้า........ปอ ป้า......................ปอ ป้า
ปอ ป้า.............................ปอ ป้า ปอ ป้า...........................ปอ ป้า
ปอ ป้า...................................ปอ ป้า................................ปอ ป้า
ปอ ป้า...........................................................................ปอ ป้า
ปอ ป้า..........................................................................ปอ ป้า
ปอ ป้า.............................พรหมญาณี...........................ปอ ป้า
ปอ ป้า....................................................................ปอ ป้า
ปอ ป้า.......................เจิมให้ นะคะ......................ปอ ป้า
ปอ ป้า.......................................................ปอ ป้า
ปอ ป้า...............................................ปอ ป้า
ปอ ป้า.......................................ปอ ป้า
ปอ ป้า..............................ปอ ป้า
ปอ ป้า.....................ปอ ป้า
ปอ ป้า.............ปอ ป้า
ปอ ป้า.....ปอ ป้า
พรหมญาณี



โดย: พรหมญาณี วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:11:41:22 น.
  
สวัสดีค่ะ คุณตุ้ย...

ขอเจิมไว้ก่อน ส่วนเรื่องราว เด๋วตามมาเก็บทีหลัง..นะคะ

มาตามคุณตุ้ยด้วยว่า แจ้งที่อยู่ให้ปอป้าหรือยัง..คะ..??

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โดย: พรหมญาณี วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:11:42:33 น.
  
ติดตามอ่านแบบเงามานานมากเลยคะ ชอบเนื้อเรื่องที่เป็นเรื่องจริงที่พบเห็นได้ในแต่ละครอบครัว.....คนแต่งสามารถเอามาประยุกต์ให้เข้ากับกสนจินตนาการได้อย่างดี...อ่านแล้วก็มีแง่คิดและสอนใจไปในตัวด้วยเหมือนกัน .........จะติดตามอ่านต่อไปคะ ........
โดย: ต่างแดน IP: 80.214.253.84 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:14:19:11 น.
  
มารอบสองค่ะ คุณตุ้ย...

ตามไปเก็บเกี่ยว ครบหมดทุกตอนแล้ว...ค่ะ
ดูไปดูมา ก็ขาดไปแค่ ๒ ตอนเอง ถึงแม้จะมากกว่านั้น ก็ไม่เกินความสามารถในการติดตาม..ค่ะ

นวนิยายของคุณตุ้ย ตีแผ่ความเสียเปรียบของผู้หญิงได้ดีทีเดียว
เพราะทุกเรื่องล้วนเป็นความจริงส่วนหนึ่งในสังคมปัจจุบันนี้

ทั้งหมด ทั้งปวง ก็เกิดจากความรัก ที่ขาดสติ นั่นเอง..นะคะ

ขอบคุณเรื่องราวสนุกสนานที่นำเสนอ..ค่ะ

โชคดี มีความสุขมาก ๆ นะคะ
โดย: พรหมญาณี วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:14:36:10 น.
  
ผู้กอง โดนกระสุน น่าสงสารจังเลย

มาตามอ่านอีกเช่นเคยค่ะ ตะกี้ก็ไปอ่านบทที่แล้วด้วย
ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ต่อเนื่อง
โดย: CeciLia_MaLee วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:15:11:03 น.
  
ขอบคุณ คุณต่างแดนมากค่ะที่ติดตามอ่านมานาน ถ้าอย่างไรนานๆทีแสดงความคิดเห็นมาอีกก็จะดีนะคะ เพราะอย่างน้อยจะได้รู้ว่ายังติดตามอ่านอยู่ค่ะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:15:40:51 น.
  



ขอบคุณมากค่ะคุณตุ้ยที่แวะไปทักทายพูดคุย เชื่อว่าความรู้สึกที่ต้องทุกข์ใจเวลาที่คนที่เรารักเป็นทุกข์ มีโรคร้ายนี่คงไม่ต่างกันหรอกค่ะ เราเองก็ต้องเป็นกำลังใจให้คนป่วยและที่สำคัญกว่านั้นคือคนป่วยต้องเข้มแข็ง ต่อสู้กับโรคร้ายด้วยค่ะ ไม่งั้นร่างกายจะไปเร็วมากเลยค่ะ ตอนนี้พวกเรากำลังใจดีขึ้นค่ะ จะพยายามช่วยคุณพ่อให้ถึงที่สุดค่ะ
โดย: แม่น้องแปงแปง วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:16:38:30 น.
  
มาเยี่ยมจ้ะ

เขียนนิยายไปได้สามบท หืดจับ...
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 58.8.94.166 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:18:03:55 น.
  
อ่านแล้วสงสารผู้หญิงนะคะที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างผู้ชายในทุกๆ เรื่องค่ะ...คิดถึงนะคะ..
โดย: deeplove วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:20:25:09 น.
  

ตามมาอ่านค่ะ สนุกดี...
โดย: I_sabai วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:20:29:18 น.
  
มาแล้วค่า...กำลังซุ่มอ่าน
โดย: You're My SunshinE วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:20:53:51 น.
  
อ่านจบแล้วจ๊ะ

ความรักถ้าหวังจะจับจองหรือครอบครอง มักทำให้ขาดสติได้เสมอ เหนือสิ่งอื่นใด ผู้หญิงก็มักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบและพ่ายแพ้เสมอ นี่คือนิยายที่สะท้อนแง่มุมหนึ่งของชีวิตจริงได้ดีทีเดียวค่ะ

จะรอตามต่อตอนหน้าอย่างจดจ่อนะคะ
โดย: แม่ปุ้มปุ้ย วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:21:06:06 น.
  
โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตนะคะ ความรักความลุ่มหลงทำให้คนตาบอดจริงๆ

...

ไปปล่อยไว้ท้ายบ้านเสียยาว หน้าบ้านเลยหมดมุข ฮ่าๆ
โดย: You're My SunshinE วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:21:45:21 น.
  
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
สวัสดีค่ะคุณตุ้ย เมื่อวานกับวันนี้ดิฉันไปทำบุญมาค่ะอิ่มอกอิ่มใจอิ่มบุญและเอามาฝากคุณตุ้ย ด้วยนะคะTake care นะคะ
โดย: เกศสุริยง วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:22:41:27 น.
  
อ่านตอนนี้แล้วเกลียดผู้ชายเจ้าชู้จริงๆเลย
โดย: kiriya วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:23:41:19 น.
  
น่าเสียดายที่อมรายิงพลาด
น่าจะเล็งให้แม่นกว่านี้

ผู้ชายเลว ๆ หนักแผ่นดินยังงี้


อุ๊ย...อิน (อิอิ)
โดย: โสดในซอย วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:7:03:36 น.
  
แวะมาทักทายวันทำงานค่ะคุณตุ้ย...เงียบหายอีกและค่ะ..สบายดีนะคะ...คิดถึงค๊า...
โดย: deeplove วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:10:35:40 น.
  
คุณตุ้ยคะ มาแล้วแวะหน้าบ้านตะวันด้วยนะคะ
จะมาชวนคุณตุ้ยไปเป็นชาว โมโซ...ฮ่าๆ

ย้ำ...ต้องแวะนะคะ ... อ้ะ...บังคับเลยแล้วกัน
ไม่งั้นเดี๋ยวงอนนะ ... งอนแน่ๆ ... งอนจริงๆ
เอ...ไปติดโรคนี้มาจากไหนหนอเรา

โดย: You're My SunshinE วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:10:56:03 น.
  
หวัดดียาวเย็นค่ะ

เอาน้องหมามาให้กล่อมนอนค่ะ


โดย: siriyakorn วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:18:58:16 น.
  
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
แวะมาอ่านต่อจ๊ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:19:13:27 น.
  
โดย: You're My SunshinE วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:20:38:30 น.
  
เป็นเรื่องราวผู้ชายที่ไม่มีค่าควรแก่การเสียใจเล๊ย ทิ้งมานไปซะ

คุณตุ้ยยุ่งกับการเขียนบทให้เราอ่าน สู้สู้ นะคะ

คิดถึงคนเขียนจ้ะ



โดย: อิ่ม_Aim วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:10:34:42 น.
  
อ่อนไหว..มันพร่างพลูมาอีกแล้ว

ชีวิต ...ของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ถูกเลือกมาเป็นคู่ เป็นได้แค่ทางผ่าน อินมาก ... T T
โดย: นางฟ้า IP: 125.25.130.151 วันที่: 20 ตุลาคม 2552 เวลา:13:39:49 น.
  
เรื่องก็จบตามวิถีที่มันควรจะเป็นนะคะ สำหรับความหลอกลวง-ความใคร่ที่ไม่ได้รักของผู้ชายคนหนึ่ง และความอ่อนเดียงสา-รักจนตาบอดของผู้หญิงคนหนึ่ง
เอาใจช่วยอมราให้มีชีวิตใหม่อีกครั้งค่ะ
โดย: รจนา เจนีวา IP: 85.1.91.54 วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:14:13:10 น.
  
โดย: หอมกร วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:4:08:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
ตุลาคม 2552

 
 
 
 
1
2
4
7
8
10
13
15
20
21
23
26
28
29
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com