http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
18 มีนาคม 2548
 
All Blogs
 
Life is Beautiful – ชีวิตที่สวยงามกับคำโกหกอันแสนหวาน

โดย merveillesxx



(คำเตือน - บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง)

Life is Beautiful (1997, Roberto Benigni) เล่าถึงชายคนหนึ่งนามว่า “กุยโด” ชายผู้เปี่ยมไปด้วยความร่าเริงสดใส ชายผู้มองโลกในแง่ดี ชายที่เปี่ยมล้นไปด้วยจินตนาการอันไม่สิ้นสุด ชายผู้ที่มักจะพูดจาทีเล่นทีจริงอยู่เสมอ ชายผู้ที่เรียกดอร่า-คนรักของเขาว่า “เจ้าหญิง” จนในที่สุดก็ได้แต่งงานกันและมีลูกชายนามว่า “โจชัว” จนเมื่อกาลล่วงเลยมาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชีวิตของชายผู้นี้ต้องถึงคราวเคราะห์เพียงเพราะว่าเขามีเชื้อสาย “ยิว“

เช่นเดียวกับหนังที่เล่าถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั่วๆไป หนังจึงมีการแสดงถึงความโหดร้ายจากภาวะสงคราม ท่ามกลางกระแสคลั่งลัทธิฟาสซิสต์ ผู้นำทางเผด็จการอย่างฮิตเลอร์, มุสโสลินี และนายพลโตโจกำลังเป็นใหญ่ มีการกวาดล้างชาวยิว (ว่ากันว่าฮิตเลอร์ทวีความเกลียดชังต่อคนยิวด้วยเหตุผลที่ว่าเขาติดโรคซิฟิลิสจากชาวยิว) ในหนัง-ร้านของคนยิวถูกคนเข้ามาอาละวาดทำลายข้าวของ, ม้าของคนยิวถูกสีขีดเขียนให้เลอะเทอะ, กุยโดและโจชัวถูกเกณฑ์ไปในค่ายกักกันชาวยิว ที่ผู้กำกับสร้างบรรยากาศของค่ายที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัด ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทนภาพที่ดูแห้งแล้ง ห้องนอนของคนยิวที่ดูสกปรกและมืดทึบ (แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอีกฉากในงานเลี้ยงของพวกคนเยอรมันที่ดูหรูหรา) หรือการแสดงออกทางสีหน้าของคนในค่าย ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวที่หน้าตาเหมือนคนไร้ซึ่งความหวัง พวกทหารเยอรมันที่ตีสีหน้าทมิงถึงอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เด็กๆในค่ายที่ดูจะไม่มีความสุขนัก

ยกเว้นแต่เพียงคนเดียวที่แสดงสีหน้าชื่นบานได้ตลอดทั้งเรื่อง นั่นคือกุยโด

นี่จึงเป็นข้อแตกต่างของหนังเรื่องนี้จากเรื่องอื่นๆ เช่น The Pianist หรือ Salo … The Pianist (2002, โรมัน โปลันสกี – ได้รับรางวัลปาล์มทองคำจากคานส์ปี 2002) ใช้หนังแสดงความโหดร้ายของการกวาดล้างคนยิวกระแทกกระทั้นจิตใจคนดู ด้วยฉากจับคนยิวมาเรียงแถว แล้วยิงทิ้งทีละคน ส่วน Salo (1975, เปียร์ เปาโล ปาโซลินี่) ช็อคคนดูด้วยเรื่องราวของวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ถูกชนชั้นขุนนางลัทธิฟาสซิสต์จับไปทรมานในคฤหาสน์ถึง 3 ครั้ง 3 ครา 3 วิธีการ (ผ่านวงเวียนแห่ง “การเสพสังวาส” “อาจม” และ “เลือด”) แต่ใน Life is Beautiful กุยโดกลับพูดกับลูกหน้าตาเฉยว่าสงครามมันเป็นเพียงแค่ “เกม”

ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆก็คือ “การมองโลกในแง่ดี” และการถ่ายทอดออกมาอย่าง “งดงาม”

กุยโดผูกเรื่องราวขึ้นมาว่าเขาและลูกถูกจับมาค่ายกักกันเพื่อเล่มเกมชิงรถถัง ผู้ใดทำคะแนนได้ถึงหนึ่งพันคะแนนก่อนจะได้มันไป บทภาพยนตร์แสดงความเฉลียวฉลาดด้วยการที่กุยโดต้องแก้สถานการณ์ต่างๆไปตลอดทั้งเรื่อง อีกนัยคือเขาต้อง “สร้างเรื่อง” หรือ “โกหก” ลูกชายของเขาเพิ่มขึ้นๆ ดังเช่นเมื่อโจชัวงอแงจะกลับบ้าน เขาก็ใช้กลที่ว่า “คะแนน” ของทั้งสองกำลังจะใกล้ถึง “เป้าหมาย” แล้ว จึงทำให้โจชัวยอม “เล่นเกม” ต่อ

นั่นคือหนังมุ่งเน้นให้กุยโดเป็น “ผู้ดำเนินเกม” ในเรื่อง กุยโดคือชายผู้ร่าเริง-มีอารมณ์ขัน-มองโลกในแง่ดี (เมืองที่กุยโดอยู่มีร้านเขียนป้ายว่า “ห้ามคนยิวเข้า” แต่หน้าร้านหนังสือของเขากลับเขียนว่า “ร้านคนยิว”) แต่บางเวลาหนังแสดงให้เห็นด้านที่ว่ากุยโดก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ดังเช่นฉากที่กุยโดต้องแบกเหล็กที่ทั้งหนักทั้งร้อน เขาก็เอาแต่บ่นตลอดทาง (ถึงกระนั้นก็ยังเป็นการบ่นแบบเจืออารมณ์ขัน) และที่สำคัญกุยโดเป็นคนฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการปั้นเสริมเติมแต่งเรื่องของเกมในค่ายกักกันให้โจชัวฟัง การที่เขาชอบเล่นถามตอบปัญหาเชาว์ หรือฉากที่เสนอตัวออกไปแปลประโยคที่ทหารเยอรมันพูด ที่เขาสามารถ “โม้” ได้อย่างสดๆและสุดๆ

เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ส่งเสริมว่าหนึ่งในสารที่หนังอาจจะต้องการเสนอก็คือ ความฉลาดหลักแหลมของชาวยิว หลักฐานในทางรูปธรรมเราก็พบเห็นได้จริง อัลเบิร์ต ไอสไตน์คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ หรือผู้กำกับสตีเวน สปิลเบิร์กที่สามารถเนรมิตหนังได้หลากหลายแนวจนได้ฉายา “พ่อมดแห่งฮอลลีวูด” (ครั้งหนึ่งสปิลเบิร์กก็เคยทำหนังเกี่ยวกับการกวาดล้างยิวมาแล้วใน Schindler ’s List (1993) ซึ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากออสการ์ไป)

อีกสารที่ผู้กำกับสอดแทรกเข้ามาในหนัง อย่างฉากในงานเลี้ยงที่มีการแสดงชุด “ม้าเอธิโอเปีย” นัยว่าต้องการเสียดสีระบบล่าอาณานิคม เพราะในสมัยนั้นอิตาลีได้เข้าไปยึดโอธิโอเปีย และจากนั้นก็รีบขโมยซีนด้วยการให้กุยโดขี่ม้าขาวมารับดอร่าพาหนีไปจากงานแต่งงาน ดังนั้นกุยโดจึงถือเป็นอัศวินขี่ม้าขาวตัวจริง

นอกจากจะมีการใช้สัญลักษณ์ (Symbolic) ในรูปของฉาก-บรรยากาศ หรือการแสดงทางสีหน้าแล้ว ยังมีการใช้ “สี” เป็นตัวขับเน้นเรื่องราวด้วย เช่น ในฉากที่ดอร่าตัดสินใจจะขึ้นรถที่พาชาวยิวไปค่ายกักกันเพื่อตามสามีและลูกของเธอไป ขณะนั้นเธอใส่ชุดสีแดง ที่ดูโดดเด่นมีสีสันและชีวิตชีวา ไม่เข้ากับบริเวณที่มีกลิ่นอายแห่งความสิ้นหวังแห่งนั้น นั่นคือการแสดงความแปลกแยก (alienation) ว่าดอร่าไม่ใช่คนยิว แต่ในที่สุดไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนเธอก็ยอมร่วมรับชะตากรรมและรับรู้ความทุกข์ยากไปพร้อมๆกับสามีและลูกด้วย (ภายหลังเธอจึงได้ใส่ชุดโทรมๆเหมือนคนยิว)

สีแดงยังถูกใช้ในฉากพรมแดงที่กุยโดปูให้ดอร่าเดินผ่านซึ่งใช้อารมณ์ในลักษณะโรแมนติกปนเหนือจริง (surreal) ที่ทำให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วม ทั้งนี้สีแดงนั้นเป็นหนึ่งในสีที่มี ”พลังทางภาษาภาพยนตร์” มากที่สุดสีหนึ่ง ดังเห็นได้จาก In the mood for love (2000, หว่องกาไว) สีแดงถูกใช้อธิบายอารมณ์ของคนสองคนที่ตกอยู่ห้วงอารมณ์รัก, Hero (2002, จางอี้โหมว) สีแดงเป็นใช้เครื่องแต่งกาย สีของฉาก ในช่วงตอนที่มีอารมณ์รุนแรง เป็นไปด้วยความโกรธ-ความเกลียด-ราคะ-ตัณหา, Irreversible (2002, กัสแปร์ โนว์) อุโมงค์ที่นางเอกถูกข่มขืนมีสีแดงฉาน ขับเน้นความเจ็บปวดของตัวละคร หรือล่าสุดกับ The Village (2004, เอ็ม. ไนต์ ชัยมาลาน) สีแดงแทนค่าของสัตว์ประหลาดชั่วร้าย

ในช่วงท้ายของหนังฝ่ายเยอรมัน-อิตาลีและญี่ปุ่น เป็นฝ่ายพ่ายสงคราม หลังจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิโดยฝีมือของมหาอำนาจอย่างอเมริกา ค่ายกักกันยิวไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป การกวาดล้างชาวยิวครั้งสุดท้ายจึงเกิดขึ้น (แม้กระนั้นหนังก็ไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงฉากชาวยิวถูกยิงตายต่อหน้า หรือชาวยิวนอนจมกองเลือด) เกมสงครามของมหาประเทศจบแล้ว แต่ว่าเกมของกุยโดและโจชัวยังไม่จบ เกมของโจชัวคือการทำคะแนนหนึ่งพันแต้มเพื่อรถถัง เกมของกุยโดคือการรักษาชีวิตของลูกชาย เงื่อนไขทั้งสองจึงหลอมรวมกันคือ กุยโดบอกกับลูกชายว่าหากเขาซ่อนตัวอยู่ในตู้โดยไม่ให้ใครเห็น และออกมาต่อเมื่อไม่มีใครข้างนอก เขาจะชนะและได้รถถัง

ใกล้ตอนจบ (ทั้งของหนังและของกุยโด) กุยโดถูกทหารเยอรมันจับตัวได้ ระหว่างถูกพาตัวไป เมื่อเดินผ่านโจชัว เขาก็ยังมิวายจะส่งรอยยิ้มให้ลูก พร้อมกับการโบกมือลา เป็นทั้งการโบกมือลาลูกชาย ลาจากเกม และลาจากโลกอันแสนวุ่นวายใบนี้ คงจะไม่เกินไปนักหากจะคิดว่ากุยโดยังมองโลกในแง่ดีจนถึงวาระสุดท้าย เขาส่งยิ้มให้ลูก (ให้กับคนดู และให้กับโลก) เพื่อให้ลูกเขาจดจำภาพสุดท้ายของพ่อในภาพของความประทับใจ

เสียงปืนดัง … เกมจบ … กุยโดตาย … คนดูหัวใจสลาย

ณ จุดนี้น่าย้อนคิดไปถึงคำถามของกุยโด “อะไรเอ่ย เมื่อพูดออกมา ชื่อของฉันก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว” คำตอบคือ “ความเงียบ” เช่นเดียวกันเมื่อเสียงปืนดังขึ้น ความเงียบสูญสลาย ความโศกเศร้าสะเทือนใจเข้ามาแทนที่ แต่ในอีกทาง-ชีวิตของกุยโดดับสูญ ไม่มีเสียงพูดคุยล้อเล่นของเขาอีกต่อไป เขาเหลือเพียงความเงียบงัน และที่สำคัญสิ่งสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือ “ความเสียสละ”

เช้าวันถัดมาโจชัวออกมาจากตู้ โลกภายนอกไม่เหลืออะไร ไม่มีผู้คน ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า เป็นฉากที่เน้นย้ำว่าสงครามไม่ให้อะไรนอกจาก “ความสูญเสีย” และ “ความว่างเปล่า”

ฉากสุดท้ายสองแม่ลูกได้พบกันอีกครั้ง ดอร่าและโจชัวเข้าโผกอดกัน ปากพร่ำว่า “เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว”

…ไม่ใช่ชัยชนะในเกมที่โจชัวได้รถถัง
…ไม่ใช่ชัยชนะของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 2

แต่เป็นชัยชนะของกุยโดที่สามารถใช้ “ความเสียสละ” ทำให้ “ชีวิตหนึ่ง” รอดพ้นภัยและมีวันพรุ่งนี้ต่อไปได้ (รวมถึงชัยชนะบนเวทีออสการ์ในรางวัลนักแสดงนำชายและรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม – ถึงตรงนี้น่าคิดว่าธงชาติอเมริการที่ปลิวไสวกับลักษณะของทหารอเมริกาที่ดูใจดี อบอุ่น จนเหมือนบุคคลในโลกอุดมคติในตอนท้ายมีผลต่อรางวัลหรือไม่)

ดังนั้นรางวัลที่แท้จริงของโจซัวจึงไม่ใช่ “รถถัง” แต่เป็น “ชีวิต” ของเขา

ท้ายสุดหนังเป็นเสียงบรรยาย (voice over) ของโจชัวในวัยหนุ่มกล่าวว่า “นั่นคือเรื่องราวของพ่อของผม พ่อผู้เสียสละ” หากไม่เพราะความเสียสละของกุยโด โจชัวคงไม่ได้มานั่งบรรยายเรื่องราวของพ่อของเขา ณ ตรงนี้ และถ้าจำกันได้ในกลางเรื่องกุยโดเปิดร้านหนังสือโดยให้โจชัวมีบทบาทเสมือนเจ้าของร้านอยู่เสมอ หากเขาคิดจะเขียนหนังสือ เล่มแรกที่เขาจะเขียนและวางขายในร้านต้องเป็นชีวประวัติ-วีรกรรมของพ่อเป็นแน่นอน

หลังจากดูหนังจบ สิ่งหนึ่งที่คำนึงได้ก็คือ หนังเต็มไปด้วย “คำโกหก” …มีคนเคยถามว่าคำโกหกของกุยโดเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

มีใครบางคนกล่าวว่า Song is a beautiful lie
Plabo Picasso กล่าวว่า Art is the lie that helps us understand the truth
ดังนั้นภาพยนตร์ที่เป็นศิลปะแขนงที่เจ็ด จึงถือเป็นคำโกหกได้เช่นเดียวกัน แต่เป็นคำโกหกที่สวยงาม ช่วยให้เราลืมโลกความเป็นจริงเมื่อเราชมมัน แต่เมื่อมันจบเราจะต้องกลับมาตระหนักถึงความจริงและกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง

เราจึงมิอาจตัดสินได้ว่าการโกหกของกุยโด “ถูก” หรือ “ผิด” แต่เราสรุปได้ว่าการโกหกของเขาช่างงดงามและเต็มไปด้วยความเสียสละ หนังจึงอาจจะมีอีกชื่อหนึ่งได้ว่า Lie is Beautiful

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากุยโดจะทำให้เราเห็นว่าชีวิตท่ามกลางสงครามก็มีความงดงามเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ หนังมหาปรัชญาเรื่องล่าสุดแห่งไตรภาค qatsi (หลังจาก Koyaaniqatsi และ Powaqqatsi) ของก็อดฟรีย์ เรจิโออย่าง Naqoyqatsi (2003) นั้นเป็นภาษาอินเดียนแดงที่แปลได้ว่า “Life as War”

คนเราทุกวันนี้ยังอยู่ท่ามกลางภาวะสงคราม !!

…แด่ กุยโดและทุกชีวิตที่เสียไปในทุกสงคราม…



Create Date : 18 มีนาคม 2548
Last Update : 18 มีนาคม 2548 4:53:06 น. 52 comments
Counter : 31684 Pageviews.

 
World War II (1939-1945)

Nazi --> The Jewish Holocaust (1942-1944)
*Holocaust = การทำลายล้างอย่าง 'สิ้นซาก'

1930 Hitler -- Chancellor pf Germany
1935 Nurenberg Laws restrict Jews (กฎหมายจำกัด 'เขตและสิทธิ' ของชาวยิว)
1938 Kristallnacht anti-Jewish programme
1939 Jews placed in ghettos and deported to east
1940 "Final Solution"

HOLOCAUST
- Greek holokauston -- originally meant a sacrifice totally burned by fire
- To describe slaughter on a general or large scale, and, especially, various forms of the destruction of masses of human beings
- The mass extermination of Jews has become the archetype (รูปแบบแรกเริ่ม) of GENOCIDE = ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

* หนังเกี่ยวกับเรื่อง genocide ที่เข้าโรงอยู่ตอนนี้คือ Hotel Rwanda (เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี 1994)

Question (ข้อสงสัยต่อเหตุการณ์ฆ่าล้างชาวยิว)
1. Six million killed is way over-estimated
2. The gas chambers could NOT have been used
- too big
- gas used Zyclon-B would not have killed as many as quickly as asserted;
- the gas would have killed anyone working with it as well;
- the fugimation needed for the chambers would've took sol ong that it couldn't kill that many people
3. If it happened, where's the evidence?

(ข้อมูลทั้งหมดจากเลคเชอร์วิชา มธ.115 - มนุษย์และวรรณกรรมผ่านสื่อสมัยใหม่ ม.ธรรมศาสตร์)

-------------------------

//www.imdb.com/title/tt0118799/trivia

Guido's wife, Dora, is played by Roberto Benigni's real-life wife, Nicoletta Braschi.


The number on Benigni's prison camp uniform is the same number on Charles Chaplin's uniform in The Great Dictator (1940), the satire of Hitler and fascism.


Roberto Benigni says the title comes from a quote by Leon Trotsky. In exile in Mexico, knowing he was about to be killed by Stalin's assassins, he saw his wife in the garden and wrote that, in spite of everything, "life is beautiful".


Roberto Benigni's Oscar for best actor marked only the second time that an actor had directed himself in an Academy Award winning performance. The other was Laurence Olivier for Hamlet (1948)


Before they go to sleep Guido and Ferruccio have a few jokes about the German philosopher Arthur Schopenhauer. Schopenhauer was a favorite writer of Hitler.


โดย: merveillesxx วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:4:55:03 น.  

 
เอ่อ...วันนี้คุณทำเราน้ำตาซึมจริงๆนะ...

เราดูหนังเรื่องนี้ ไม่รู้กี่รอบแล้ว
ดูแล้วดูอีก ยิ่งดูยิ่งร้องไห้

มันเป็นหนังที่แปลกนะ
พอดูรอบสอง เพิ่มไปมันจะยิ่งเศร้ามากขึ้น

บางทีคนเราก็ต้องโกหกเพื่อให้คนที่คุณรัก(เน้น)มีความสุข

กุยโด....เป็นผู้ชายที่น่ารักเหลือเกินในสายตาเรา ผู้ชายที่มีอารมณ์ขันตลอดเวลา....

ชอบเด็กชายตัวเล็กในเรื่อง น่ารักมากมาย....

จริงเนอะ ความเสียสละที่เต็มไปด้วยความสวยงามของชีวิต......


โดย: prncess วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:6:55:36 น.  

 
เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรกน่ะ น่าสนใจมาก...


โดย: ด่างไรเดอร์ วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:7:00:12 น.  

 
ว่าจะไม่ร้อง
แต่ น้ำตาท่วมจนได้

=)


โดย: hunjang (ไม่ล๊อคอิน) IP: 202.57.156.177 วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:8:00:26 น.  

 
อ่านคอมเม้นของคุณ prncess แล้วน่าสนใจเหมือนกัน


โดย: อยู่ไกลบ้าน วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:8:01:36 น.  

 
เป็นหนังในดวงใจของผมอีกเรื่องเลยครับ


โดย: Mint@da{-"-} วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:9:11:41 น.  

 
Life is Beautiful
จริงๆคับ
ชีวิตที่มองโลกได้แบบนี้ หาได้ยากในโลกแห่งความเปนจริง
ผมอยากจะมีเพือ่นแบบนี้ไว้สักหลายๆคน
คงต้องไปหาที่ประเทศอิตาลีแล้วล่ะ
ก็ที่นั่นเปนที่ๆกุยโดอยู่ใช่ไหมล่ะ


โดย: The ก๊อง วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:12:37:48 น.  

 
ยังไม่เคยดูเลยอ่ะ เรื่องนี้

ขอ add บล็อกนี้ไว้ใน friend's blog นะคะ


**~~ น้ำเงี้ยวค่ะ~~ **
** ชมบล็อกเราเพลิน ๆ นะ **


โดย: น้ำเงี้ยว วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:15:15:46 น.  

 
สุดยอดมากๆ เรื่องนี้

เราดีใจที่เคยดูนะ ..

เป็นหนังที่ทำให้รู้ว่า โลกนี้จะสวยงาม

ถ้าเรามองมันให้สวยงาม..


คารวะ1จอก*


โดย: คนสวย (ทำใจได้ ) วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:17:51:07 น.  

 
อาย... ยังไม่เคยดูเรื่องนี้เลยครับ เห็นทาง UBC หลายรอบ ก็ไม่ได้ดูซักที :D

แต่ชื่นชมจริงๆ ครับ ว่าคุณ merveillesxx เขียนได้ดีจริงๆ เจาะลึกถึงทุกอณูขุมขนของหนังเลย แหะๆ


โดย: it ซียู วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:19:02:59 น.  

 
เรื่องนี้ดูเมื่อ นาน น.น
ตั้งแต่สมัย มัธยมโน่น ยังไม่เริ่มดูหนังแบบจริงๆจังๆด้วยซ้ำ
ไปดูเพราะโดนเพื่อนๆลากไป!
ด้วยความที่ตอนนั้น โรงหนังไม่ค่อยบูม
ข้อมูลหนังก็เลย ไม่เคยรู้มาก่อน
ไปดูด้วยอารมณ์ที่ว่า "ตูไม่รู้เรื่องอะไรเลย"
แถมดูโปสเตอร์ก็ อืม..ม
เพื่อนก็บอกว่า "เฮ้ย!เชื่อเรา"
เมื่อดูเสร็จก็อืมจริงๆด้วย ชีิวตนี้ช่างสวยงาม
เพียงแค่เราเปลี่ยนวิธีการมอง เท่านั้นเอง


โดย: LUNATIC SPACE วันที่: 19 มีนาคม 2548 เวลา:9:34:16 น.  

 
โหวด ให้คุณแล้วนะคะ

ขอให้ได้น๊า..


โดย: รักดี วันที่: 19 มีนาคม 2548 เวลา:11:40:15 น.  

 
ในหนัง คนคนหนึ่ง ทำเพื่อ คนอีกคนหนึ่ง ได้ขนาดนั้นทีเดียว


โดย: เด็กชายรอยยิ้มโทรศัพท์และน้ำตา วันที่: 19 มีนาคม 2548 เวลา:15:27:44 น.  

 
ความคิดเห็นจาก //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3357817/A3357817.html

--------------------------

ความคิดเห็นที่ 2

ชอบครับ เรื่องนี้หนังดีทีน่าดู

จากคุณ : ^ZZ - [ 17 มี.ค. 48 18:06:00

ความคิดเห็นที่ 4

หนังเรื่องนี้ยังสุดยอดเสมอ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม

ขอให้ blog ของ จขกท ได้รับรางวัลนะครับ









จากคุณ : ++peter++ - [ 17 มี.ค. 48 18:09:19 ]






ความคิดเห็นที่ 5

ตามมาอ่าน เขียนดีครับ ชอบหนังเรื่องนี้มากด้วย

จากคุณ : absent-minded - [ 17 มี.ค. 48 18:14:34 ]


ความคิดเห็นที่ 7

อ้าว ไม่ใช่ สงครามโลกครั้งที่ 1 หรอครับ หรือมันต่อเนื่อง..

จากคุณ : mimura_pirateX - [ 17 มี.ค. 48 18:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 10

เป็นหนังที่ คนเป็นพ่อ เป็นแม่ดูแล้วจะต้องนอนไม่หลับไปหลายสัปดาห์ จำได้ว่า เอาหนังเรื่องนี้มาดู ปรากฏกว่าแฟนจำติดตาไปหลายสัปดาห์ เป็นความฉลาดของพ่อทีมีความรักให้กับลูก หนังดีครับ ..

จากคุณ : (^_^) - [ 17 มี.ค. 48 20:06:38 A:61.91.79.5 X: TicketID:055726 ]






ความคิดเห็นที่ 11

เรื่องนี้ ฉากที่กุยโดกำลังขอให้คุณหมอช่วยเหลือในงานเลี้ยงของชาวเยอรมัน ทำเอาเราจุกไปเลยอ่ะ

จากคุณ : pinophilic - [ 17 มี.ค. 48 20:24:24 ]






ความคิดเห็นที่ 12

เขียนดีจัง ^^ จะตามไปอ่านเรื่องอื่นอีกนะ

จากคุณ : คาซาม่า - [ 17 มี.ค. 48 20:25:18 ]






ความคิดเห็นที่ 13

....เป็นเรื่องแรกเลยที่ผมรู้สึกได้ว่า หัวเราะทั้งน้ำตา มันเป็นยังไง(หาซื้อDVDยากมากๆแต่ได้มาแล้วคร้าบบ)

จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 17 มี.ค. 48 20:25:45 ]






ความคิดเห็นที่ 14

เรื่องนี้สุดยอดครับ

จากคุณ : โจนาธาน โจสตาร์ - [ 17 มี.ค. 48 21:08:53 ]






ความคิดเห็นที่ 15

ฮือๆ หาที่ไหนคับ คุณ"ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ผมก็อยากได้อ่ะแบบมีซับไทย

จากคุณ : -sam- - [ 17 มี.ค. 48 22:13:35 ]






ความคิดเห็นที่ 16

ชอบมาก ดูแล้วขำ จบแล้วร้องไห้ ให้เป็นหนังในดวงใจเรื่องหนึ่ง

จากคุณ : วันที่ฟ้าเปลี่ยนสี - [ 17 มี.ค. 48 22:16:47 ]






ความคิดเห็นที่ 17

แต่ผมโคตรเกลียดหนังเรื่องนี้เลย

หนังเฟกสุดๆ มาพร้อมกับการเสแสร้งทั้งเรื่อง สร้างภาพอะไรจะขนาดนั้น

ดูจบแล้วคนอื่นร้องไห้ แต่ผมด่าในใจ หนังอะไรวะ โคตรตอแหลเลย ตอแหลไม่เนียนอีกต่างหาก

มีหนังชิงออสการ์ไม่ถึง 10 เรื่องที่ผมยี้ เรื่องนี้เป็นหนึ่งในนั้น
แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 48 23:28:33

จากคุณ : หมาเนย - [ 17 มี.ค. 48 23:13:37 ]







ความคิดเห็นที่ 18

ศิลปิน : ไลฟ์ อีส บิวตี้ฟูล-ยิ้มไว้ โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง (ทุกโซน)
Artist : life is beautiful (all zone)
อัลบั้ม : โรเบอร์โต้ เบนิญี่
Album : roberto benigni
Description/รายละเอียด : หนังดราม่ายอดเยี่ยมเจ้าของหลายรางวัลระดับโลก รวมทั้ง 3 รางวัลออสการ์ เรื่องราวของหนุ่มช่างฝัน มองโลกในแง่ดี ที่ต้องปกป้องตัวเองและครอบครัวจากช่วงสงครามอันโหดร้าย ซึ่งแม้ว่าโลกรอบข้างจะเลวร้ายเพียงใด เขาก็คิดอยู่เสมอว่า "ชีวิตเป็นสิ่งสวยงาม"
ส่งภายใน : 1-3 วัน

Details

Bonus Features : theatrical trailer
Picture : widescreen 4:3
Soundtrack : italian dolby 5.1/thai dolby 5.1
Subtitle : thai
Type : dvd all zone (ntsc)
Studio : miramax films
Distributor : bnt entertainment
Made In : thailand
Disc : 1 (116 นาที)

ปก : 350.-
ราคาขาย : 99.-

//www.cap.co.th/my/products_artist.asp?cdid=D30001175&fp=products_search_subresult.asp&fp_p=1&s_string=life+is&s_type=All&mc=d
แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 48 23:39:50

จากคุณ : SoM - [ 17 มี.ค. 48 23:36:16 ]







ความคิดเห็นที่ 19

..

มาแอบดู

..









จากคุณ : POGGHI - [ 17 มี.ค. 48 23:40:39 ]






ความคิดเห็นที่ 20

...สารภาพว่าแอบน้ำตาคลอตอนดูครั้งแรก ชอบฉากที่กุยโดและ...(นางเอกน่ะครับ จำชื่อในเรื่องไม่ได้)ที่เดินบนพรมท่ามกลางสายฝน ชอบที่สุดเลยฉากนี้ สวยจริงๆครับ:-)

จากคุณ : Armenhotep - [ 18 มี.ค. 48 00:13:48 ]






ความคิดเห็นที่ 21

ชอบค่ะหนังเรื่องนี้ ดูแล้วทำให้ยิ้มเศร้าๆ
แต่ยังไงก็ life is beautiful

++ขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านนะคะ ได้เห็นไรหลายๆ อย่างเพิ่มขึ้นเลยค่ะ+++

จากคุณ : มะนาว^___^ - [ 18 มี.ค. 48 01:11:52 ]






ความคิดเห็นที่ 22

แล้วในสมัยนั้นเค้ารู้ได้ไงว่าคนไหนใช่ยิวหรือไม่ใช่ครับ

จากคุณ : โยฮัน~ครับ - [ 18 มี.ค. 48 02:01:58 ]






ความคิดเห็นที่ 23

ก่อนอื่นต้องขอบคุณเจ้าของ กระทู้ที่ตั้งขึ้นมา คิดว่า ภาพยนตร์ เรื่องนี้จะไม่มีใครพูดถึง ตอนที่เข้าใหม่ๆ ไม่คิดว่าจะดู แต่ลองเข้าไปดู คิดว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีมาก ให้ความรู้สึก ว่า เราสามารถที่จะหัวเราะก็ได้ หรือร้องให้ก็ได้ ในฉากเดียวกัน (หากมองคนละมุม) และก็ใช้เรื่องนี้ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต life is beautiful ยิ้มไว้ โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง

จากคุณ : ใต้ดิน (ทางด่วน) - [ 18 มี.ค. 48 08:24:29 ]






ความคิดเห็นที่ 24

ผมชอบเรื่องนี้มากกว่า Beautiful Mind มากเลยนะครับ ถึงจะ beautiful เหมือนกัน แต่กับเรื่องนี้แล้ว มัน beautiful จริงๆ

จากคุณ : หมาหัวโจก - [ 18 มี.ค. 48 10:17:36 ]






ความคิดเห็นที่ 25

รักหนังเรื่องนี้มากๆเลยละค่ะ ดูกี่รอบก็ประทับใจ เป็นหนึ่งในหนังในดวงใจเลย

เสียดายที่ไม่ได้ไปดูในโรวหนังเพราะตอนนั้นจำได้ว่าชวนใครก็ไม่มีใครดู สุดท้ายเลยนั่งดูเป็น VCD แทน แต่ก็ประทับใจค่ะ (มากๆเลยด้วย)

จากคุณ : เดอะ วิตรูเวียนแมน - [ 18 มี.ค. 48 13:22:04 ]






ความคิดเห็นที่ 26

ชอบครับ หนังเรื่องนี้
ดูแล้ว life is beautiful จริงๆ ครับ









จากคุณ : โขมงโฉงเฉง - [ 18 มี.ค. 48 15:57:29 ]






ความคิดเห็นที่ 27

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาตอบครับ...

ถ้าเรื่อง A Beautiful Mind ผมชอบในส่วนของหนังที่เป็นแนว Action-Thriller มากกว่า มันดูหลอนได้ใจดี แต่ส่วนของจอห์น แนช กับภรรเมียเค้าเนี่ยผมดูแล้วเข้าไม่ถึงนะ อย่างไรก็ตามหนังเรื่องนี้มันสำคัญต่อชีวิตผมน่ะ มันทำให้ผมสอบตรงติดคณะเศรษฐศาสตร์ มธ.

จากคุณ : merveillesxx - [ 18 มี.ค. 48 17:07:18 ]






ความคิดเห็นที่ 28

ชอบเรื่องนี้มาก เป็น 1 ใน 10 หนังในดวงใจตลอดกาลของเราเลย ตอนช่วงที่ออสการ์นี่บ้าดูไป 3 รอบ

จากคุณ : เพียงพิณ - [ 18 มี.ค. 48 17:40:40 ]






ความคิดเห็นที่ 29

มันคือนิยามของหนังดีฮะ บันเทิงครบรสได้ข้อคิดอีกตะหาก

จากคุณ : Killy - [ 18 มี.ค. 48 21:20:50 ]






ความคิดเห็นที่ 30

เขียนดีจังครับ....มืออาชีพเลยนะเนี่ย

จากคุณ : กลิ่นหอมหวานรับประทานง่าย - [ 19 มี.ค. 48 02:14:44 ]






ความคิดเห็นที่ 31

เยี่ยมมากๆครับหนังเรื่องนี้
หัวเราะทั้งน้ำตาจริงๆ

จากคุณ : jonykeano - [ 19 มี.ค. 48 12:08:08 ]






ความคิดเห็นที่ 32

ไม่ชอบตรงที่พระเอกพูดมากไป แม้บางทีจะเสริมให้บทพูดเด่นได้ แต่บางทีก็ฟังแล้วเสียอารมณ์ ชอบพระเอกเรื่องนี้มาก ผมว่าเขาไม่ได้มองโลกในแงดีหรอก ผมว่าเขาสามารถทำให้คนอื่นมองโลกในแง่ดีมากกว่า
ป.ล.ตอนนี้คุณหมอเรียกกุยโดไปเพื่อถามปัญหาเชาว์ ทำเอาผมอึ้งสุดๆเลยทีเดียว สรุป หนังดีครับ

จากคุณ : คนหล่อ (ทำใจได้) - [ 20 มี.ค. 48 12:20:08 ]




โดย: merveillesxx วันที่: 20 มีนาคม 2548 เวลา:15:43:05 น.  

 
ดูเรื่องนี้ตอนเข้าโรง
จำได้แม่นว่าเป็นวันเอนท์เสร็จพอดีเลย
แล้วก็ไปดูกับเพื่อน 5-6 คน
อยู่ดีๆ ฉากจบ เรานั่งร้องไห้โฮเลย ไม่ใช่แบบ น้ำตาไหลนะ แต่ร้องไห้จริงจัง...จนเพื่อนๆที่ออกไปก่อนต้องรอข้างนอก


โดย: Dr Syntax วันที่: 21 มีนาคม 2548 เวลา:8:33:06 น.  

 

เรื่องนี้ เนื้อเรื่องดี กำกับดี แสดงดี แถมอีกข้อนะคับ....วิจารณ์ดี


โดย: yyswim วันที่: 21 มีนาคม 2548 เวลา:16:09:52 น.  

 
เป็นหนังที่น่ารักและสะเทือนใจมาก
ตอนกุยโดถูกยิง เรายังบอกตัวเองว่า ไม่จริงมั้ง ไม่ตายหรอก ไม่ตายหรอก อยู่อย่างนั้นเลย


โดย: tuliponline IP: 210.213.44.128 วันที่: 27 เมษายน 2548 เวลา:23:56:11 น.  

 


ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก.. ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก่อนเลย
ไม่เคยดูตัวอย่าง ไม่เคยทราบว่าเป็นเรื่องสมัยไหนเกี่ยวกับอะไร..




ตอนที่ออกจากโรงหนัง ผมเลยรู้สึก(ไปเอง)ว่าอิ่มเอิบกว่าใครๆ



โดย: ปิงปองงง วันที่: 3 พฤษภาคม 2548 เวลา:10:09:35 น.  

 
ได้ดูเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว....
พอได้อ่านเรื่องอีกครั้ง ก็ยังนึกภาพตามและเสียน้ำตาอีกครั้งจนได้
ดูแล้วเศร้ามากแต่ก้ทำให้เรามีความสุขมากเช่นเดียวกัน

ประทับใจกับเรื่องนี้จริงๆ ^^


โดย: ariko IP: 202.129.23.60 วันที่: 14 พฤษภาคม 2550 เวลา:2:08:44 น.  

 
ขอโทษนะคะคุณหมาเนย ชีวิตนี้คุณมีความสุขหรือป่าว มัวแต่จับผิดชาวบ้าน อะไรก็ดูแย่ไปหมด ว่างๆไปหาซื้อเต่า แล้วนั่งมองหาหนวดนะคะ


โดย: เบื่อคนมองโลกในแง่ร้าย IP: 84.196.136.247 วันที่: 26 พฤษภาคม 2550 เวลา:4:08:21 น.  

 
ูดูแล้วเหมือนกัน แต่ก้อนานแล้วล่ะ ชอบตอนใกล้ ๆ จบ ที่พระเอกของเราถูกทหารจับ แกก้อยังโกหกลูกชายด้วยการเดินแบบทหารเดินสวนสนาม พร้อมกับส่งยิ้มให้ลูกที่ซ่อนตัวอยู่ /หนำซ้ำยังโกหกลูกด้วยการให้เล่นซ่อนแอบไม่ให้ทหารจับได้อีก แง..แง เราก้อน้ำตาร่วงเหมือนกัน chompoopanthip@hotmail.com


โดย: Moeye IP: 210.246.75.197 วันที่: 24 มิถุนายน 2550 เวลา:1:49:38 น.  

 
เพิ่งดูเมื่อ 2 วันที่แล้วคับ
ตอนจบผมอึ้งอยู่นานว่า กุยโดถูกโดนยิงตายไปแล้วจิงๆเหรอ มันเร็วจนไม่น่าเชื่อ
กระชากความรู้สึกได้สุดๆเลยคับ แม้แต่ตอนที่กำลังจะเดินไปถูกยิงตายยังไม่แสดงความรู้สึกไม่ดีให้ลูกได้เห็นเลย
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ประทับใจคับ


โดย: ^_^ IP: 124.121.62.123 วันที่: 1 สิงหาคม 2550 เวลา:19:39:15 น.  

 
ผมดูมาหลายรอบแล้วยังร้องไห้เมื่อหนังจบอยู่ดี แม้แต่ขณะอ่านกระทู้นี้ น้ำตาผมยังไหล โจชัวน่ารักมากๆครับ ทุกอิริยาบทของเด็กน้อยคนนี้ ผมยังจำได้ติดตา แม้จะดูมานานมากแล้ว


โดย: >>K<< IP: 61.7.166.180 วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:12:35:30 น.  

 
เพิ่งได้ดู ชอบมาก เข้าขั้นหนังในดวงใจ


โดย: คนขับช้า วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:22:05:07 น.  

 
สวัสดีฮับ,

พอดีดูหนังเรื่อง life is beautiful แล้วไม่ค่อยเข้าใจตอนจบนะฮับ เลยลองหาดูว่ามีใครวิจารณ์บ้าง เลยอยากถามว่า

1. พระเอกกุยโดไม่รู้ว่าสงครามจะสิ้นสุดใช่ม่ะฮับเลยตัดสินใจทำไปเช่นนั้น เพราะถ้ารออีกนิดก็รอดกันทั้งครอบครัวนะฮับ?
2. ทำไมตอนจบนางเอกและลูกชายไม่ตามหากุยโดนะฮับ แต่กลับยิ้มและกอดกันนะฮับ? อิอิ สงสัยอยากทราบนะฮับ

รบกวนเพื่อนๆช่วยไขกระจ่างทีนะฮับ

ขอบคุณฮับ ^_/||\\_^


โดย: ชาดอกแก้ว IP: 203.170.254.18 วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:14:24:03 น.  

 
หาดูได้ที่ไหนค่ะ


โดย: nongfunn IP: 125.25.94.95 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:08:29 น.  

 
มีคนแบบคุณหมาเนย ใน Comment No.14(ความคิดเห็นที่17) อยู่บนโลกนี้
มิน่าล่ะสังคมถึงได้เสื่อมทรามลงทุกที


โดย: คนชอบ concept หนังเรื่องนี้ IP: 125.24.30.64 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:31:27 น.  

 
เพิ่งจะมีโอกาสได้ดูเมื่อตะกี๊นี้

หยุดร้องไห้ไม่ได้เลย
ลองเข้ากูเกิ้ล เสริจ์ รายละเอียด ก็ขึ้นบล๊อคนี้มาพอดี

พอได้อ่านบทความก็ยิ่งร้องหนักเข้าไปใหญ่

กุยโด เป็นพ่อ ที่เสียสละมากจริงๆ
ดูแล้วรู้สึกว่า โชคดีแค่ไหน ที่ได้เกิดในยุคที่ไม่มีสงคราม
ไม่มีการเหยียสีผิว และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

หนังเรื่องนี้ดีจริงๆ ทำให้เรามองโลกในมุมที่ต่างไป
มองโลกในแง่ดีมากขึ้น ...

ขอบคุณผู้สร้างหนังเรื่องนี้จริงๆ ถึงดูแล้วจะร้องไห้ทั้งเรื่อง
แต่ก็อบอุ่นหัวใจ ....

เฮ้ออ ไม่อยากให้กุยโดตายเลย ...
แต่ถ้ากุยโด ไม่ตาย หนังเรื่องนี้คงไม่น่าจดจำ
และเราคงไม่ได้มานั่งร้องไห้มากขนาดนี้ T^T

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ ...

ปล. คอมนเมนท์ ที่ 25
1. พระเอกกุยโดไม่รู้ว่าสงครามจะสิ้นสุดใช่ม่ะฮับเลยตัดสินใจทำไปเช่นนั้น เพราะถ้ารออีกนิดก็รอดกันทั้งครอบครัวนะฮับ?

- ตามความคิดของเรา กุยโดเป็นห่วงภรรยาเค้ามาก
เค้าเลยตัดสินใจแบบนั้น เพราะว่า เค้าเห็นรถบรรทุกขนคนไปไหนไม่รู้ และไม่รู้ว่า ภรรยาของเค้าจะเป็นยังงัย
เลยตัดสินใจ ออกมาแบบนั้น (เราคิดว่าอย่างนี้อ่ะค่ะ)

.... เจ้าของบล๊อคเขียนได้ดีจริงๆค่ะ ......


โดย: เพื่อนหมีพูห์ IP: 125.25.2.85 วันที่: 1 มกราคม 2551 เวลา:17:54:35 น.  

 
เพิ่งได้ดูมาไม่กี่วันนี้เอง
อาจารย์เอามาให้ดู
ตอนแรกก็ไม่มีอะไรมาก
ไม่ค่อยสนใจ
มีแต่พระเอกพูด(มาก)
ดูต่อไปเรื่อยๆ
รู้สึกว่าสมแล้วที่เรื่องนี้ได้รับรางวัลด้านภาษา
มันขัดแย้งกับความรู้สึกจริงๆ
ทุกฉากที่เราหัวเราะจะร้องไห้ทุกครั้งเลย
โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่บอกว่า ชนะแล้ว
แม่กะลูกกำลังหัวเราะแต่มันตรงจุดจริงๆนำตาไหลออกมาเลย
พระเอกตายง่ายมากทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนฉลาดแต่ทำให้คิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแต่ก็ยังเป็นห่วงลูกเสมอ

หนังเรื่องนี้ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ดูให้ได้นะคะ


โดย: kittty IP: 125.24.192.55 วันที่: 10 มกราคม 2551 เวลา:19:58:09 น.  

 
คุณkittty ที่ว่าอาจารย์เอามาให้ดูนี้ที่ ม สยามปะ

เราอาจารย์เอามาให้ดูเหมือนกัน และให้เขี่ยนบทวิจารณ์ส่ง

ตอนแรกก็ว่าหนังอะไรดูมันเก่าๆจังเลยดูไม่สนใจอะไร

แล้วยังแอบเอาmp ขั้นมาฟังแต่พอฟังmpไปแล้วตาดูไป

อ่านsubไปก็ทำให้ผมต้องดึงหูฟังออกแล้วตั้งใจดู

เพราะผมเห้นถึงคนที่รักครอบครัวและทำทุกอย่างโดยที่ไม่

คิดถึงตัวเองมันช่างน่าสนใจคับเสียดายที่ตอนแรกไม่ตั้งใจดู

ตอนจบเสียดายที่ครับกุยโดต้องตาย แต่ก็เป็นจุดที่ทำให้หนัง
ได้มีความจดจำที่ดีคับ เพราะถ้าไม่ตายแล้วกลับมาอยู่กัน
ทั้ง3พ่อแม่ลูกมันก็จะดูธรรมดาไปคับ ซาบซึ้งครับหนังเรื่องนี้


โดย: p_diddy_kg IP: 125.24.242.172 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:00:09 น.  

 
หยุดร้องไห้ไม่ได้เลย หนังเรื่องนี้
ตอนแรกไม่ตั้งใจดู ดูในเคเบิ้ลนะ
แรกๆ ดูแล้วขำๆ ดี น่ารักดีด้วย เลยดูต่อไป
เผลอไปต้มมาม่า 5 นาที กลับมาเป็นช่วงที่กำลัง
จะขึ้นรถไฟ กุยโดบอกลูกว่า รถไฟไม่มีใครนั่งหรอก
สนุกจะตาย ใครเค้านั่งรถไฟกันบ้าง 555 ตลกดี
ตอนแปลภาษาเยอรมันก็ขำดี แต่ก็เศร้าๆ
ดูไปดูมาเริ่มเครียดแทน อยากเปลี่ยนช่องหนี
แต่ทำไม่ลง เพราะอยากรุ้ว่ากุยโดจะตายไหม แล้วลูกจะเป็นไง แอบหวังว่ากุยโดจะรอด เพราะเค้าฉลาด
มันบีบหัวใจเรามากเลย ฉากที่ทำเป็นเดินสนุกๆ
ต่อหน้าลูกที่แอบมองอยู่ มันแบบ โอ้ย น้ำตาพราก ๆ ๆ
พอได้ยินเสียงปืน บอกว่า ไม่จริงใช่ไหม ไม่ตายหรอก
ทหารอาจจะปล่อย พอเห็นรถถังนึกว่ากุยโดขับมา
เศร้ามาก ๆ ๆ ๆ ดูหนังจบตอนตี 2 กว่าๆ ดูจบปิด มานอน
นอนไปนึกถึงหนังไป น้ำตายังไหลอีก เป็นเอามากกะหนังเรือ่งนี้ 555 สุดยอดอ่ะ


โดย: giggs IP: 203.113.56.75 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:0:27:24 น.  

 
หนังเรื่องนี้มากเรย การมองโลกในแง่ดีทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นจริงๆๆ แม้ว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ตาม ชอบหนังเรื่องนี้มากๆเลย เราอยากให้มีหนังดีๆแบบนี้เยอะจังเลย อิอิ


โดย: coo IP: 58.10.77.250 วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:1:06:35 น.  

 
เคยดูเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
อยากดูอีกไม่ทราบว่าจะหาซื้อได้ที่ไหนบ้างคะ
ใครทราบช่วยบอกด้วย ขอบคุณมากค่ะ


โดย: Panda IP: 124.120.229.108 วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:11:17:51 น.  

 
อ่า..เคยดูในวิชา TU115 ^^
ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


โดย: patrician IP: 124.120.119.216 วันที่: 2 สิงหาคม 2551 เวลา:10:44:55 น.  

 
ผมเพิ่งได้ดูจาก DVD เป็นอีกเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกประทับใจ ชอบมากครับ รู้สึกเต็มอิ่มในอารมณ์จริงๆ ใครอยากซื้อเก็บไว้ก็ไปหาซื้อได้ครับ ไม่น่าจะหาซื้อยากนะครับ ผมเพิ่งไปสอยมาจากร้าน boomer*** น่ะครับ แค่ 69 บาทเอง


โดย: micky IP: 119.42.70.76 วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:12:19:27 น.  

 
พึ่งไปเช่าที่ร้านมาดูเมื่อ 2-3 วันก่อนค่ะ จากคำแนะนำของเพื่อนคนหนึ่งที่เคยดูไปแล้วสามรอบ
ชอบมากๆ เป็นหนังดีจริงๆ อยากให้มีคนอย่างกุยโด เยอะๆ ในโลกใบนี้
ตอนจบแอบเสียดาย กุยโดไม่น่าตายเลย สะเทือนใจจิงๆ
อ่อ อยากบอกว่า ผู้เขียนบล้อคนี้ เขียนได้ดีจิงๆค่ะ
วิเคราะห์หนังได้น่าอ่านมากๆๆๆๆๆ


โดย: มีน IP: 222.123.142.181 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:42:21 น.  

 
เป็นหนังที่ งดงาม และ ตรึงใจมาก



โดย: โมโม่ IP: 202.80.240.3 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:03:48 น.  

 
เพิ่งได้ดูวันนี้เองค่ะ
ร้องไห้ไปเยอะมากๆ
เป็นหนังที่ดีจริงๆ


โดย: Lonely Windmill IP: 58.9.189.156 วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:23:22 น.  

 
พี่ต่อวิจารณ์ดีค่ะ

ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ค่ะ
ดูแล้วยิ้มอ่ะ
ร้องไห้ และยิ้ม
อยากจะมองโลกให้ดีๆ แบบนี้ได้ตลอดไป
ดีค่ะ อยากให้ผู้คนเลือกมองสิ่งดีๆ เยอะๆ
ปูว่า...ที่สุfแล้ว เราเลือกมองด้านไหน ด้านนั้นก็จะส่งอิทธิพลต่อชีวิตของเรา
เราเลือกเองค่ะ ^_^


โดย: ปู IP: 161.200.255.162 วันที่: 16 มิถุนายน 2552 เวลา:1:41:07 น.  

 
ตอบคุณ ชาดอกแก้ว
คือประมาณว่า เยอรมันใกล้แพ้สงคราม แล้วเค้าจะกวาดล้างค่ายกักกัน โดนที่จะนำเชลยฝ่ายหญิง ไปเข้าเตาเผาก่อนน่ะ กุยโดเลยเปนห่วงภรรยา จึงทำไปเช่นนั้นน่ะ


โดย: แหะๆ IP: 202.12.73.6 วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:19:11 น.  

 
พึ่งได้ดูเมื่อคืน จาก ยูบีซี สมคำล่ำลือจริง ๆ น่ารัก น่าขำ และน่าเศร้าสะเทือนใจ มาก ๆ ไม่อยากให้ กุยโดตายเลย


โดย: วนิดา IP: 10.68.19.128, 10.1.5.21, 58.137.129.220 วันที่: 11 ธันวาคม 2552 เวลา:19:13:51 น.  

 
ดูนานแล้ว ได้ดูกับพ่อด้วย

ชอบมากเลย

เห็นพ่อแอบร้องไห้ด้วย

เป็นหนังดีอีกเรื่องที่ต้องบอกต่อ


โดย: เพียงดิน IP: 118.173.18.174 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:14:29:45 น.  

 
ซึ้งอะ เรื่องนี้


โดย: อัสนีสีขาว วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:2:01:15 น.  

 
เป็นหนังโปรดของผมเรื่องหนึ่งเช่นกันครับ

^^

ซึ้งมากๆ สวยงาม


โดย: vesinpu IP: 118.173.83.98 วันที่: 20 มีนาคม 2553 เวลา:23:51:35 น.  

 
ม.กรุงเทพ เด็ก FM 200

อาจารออกสอบ เรื่องนี้ นะคับ


โดย: ฺฺ๊๊BU IP: 10.0.1.210, 119.42.103.190 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:15:05:01 น.  

 
ชอบหนังเรื่องนี้เหมือนกัน..มันคือชีวิตของคนที่รักตัวเองและสิ่งรอบตัว อยากมองโลกในแง่ดีแบบนั้นได้บ้าง


โดย: kuroyume IP: 112.142.90.216 วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:21:13 น.  

 
ไม่น่าเชื่อ ผ่านไปกี่ปี หนังสงครามก็ไม่เก่า
กลับมาคราวนี้ มีให้ดูที่ฟรีทีวีไทย
.... เมษา - พฤษภา 53



โดย: amoderndog วันที่: 25 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:01:26 น.  

 
เคยดูในเคเบิล(ความจิงนอนหลับแล้วคนที่บ้านนั่งดู) ได้ยินแต่เสียง ลืมตาดูภาพเป็นพักๆ เพราะไม่ได้ดูตั้งแต่ตอนแรก เลยไม่อยากดู รอให้มันเอามาฉายใหม่ แต่ก็ไม่รู้ชื่อเรื่อง จำชื่อลูก(โจชัว) ได้อย่างเดียว เลยพิมหาในกุเกิ้ล แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าใช่เรื่องไหนกันแน่ แต่ชื่อlife is beautiful ก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย จนแล้วจนรอดเคเบิ้ลมันก็ไม่เอามาฉายใหม่(หรือเราไม่รุ้) เวลาผ่านไป2-3ปีมั้ง ไปเดินเจอเค้าขายdvdอยุ่เจอชื่อเรื่องนี้ ก็เลยซื้อมา เผื่อมันจะใช่ไอ้เรื่องที่เราอยากดูเรื่องนั้น และก็ใช่จริงๆด้วย เพิ่งดูจบเมื่อกี๊เอง เราซึ้งมากๆเลย เรายกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยดูมาเลย life is beautiful


โดย: actzola IP: 58.8.168.236 วันที่: 23 สิงหาคม 2553 เวลา:5:59:04 น.  

 
อ่านแล้วน้ำตาไหล

นึกถึงตอนที่ดูในโรงที่ขอนแก่น

หนังจบแล้วยังนั่งร้องไห้อีกครึ่งชั่วโมง

ขอบคุณที่ทำให้รำลึกถึงวันนั้นนะคะ


โดย: romchatr@yahoo.com IP: 124.122.64.178 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:40:37 น.  

 
เราเพิ่งดู อาทิตย์ที่แล้วเองอะ

ซึ่งมาก ได้ข้อคิดเยอะดี

***เจ้าของกระทู้เขียนได้ดีมากๆค่ะ...ขอบคุณมากคะ


โดย: Adiabatic IP: 202.44.8.100 วันที่: 17 มกราคม 2554 เวลา:1:11:44 น.  

 
เพิ่งดูหนังเรื่องนี้จบ ... สุดยอดมากๆ เรื่องนี้

จขกท ... เขียนได้สุดๆ จริงๆ ...


โดย: กุยโด IP: 183.89.180.65 วันที่: 25 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:02:06 น.  

 
ได้ดูแล้วค่ะ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ถ่ายทอดความเลวร้ายได้อย่างสวยงามน่าชื่นชมมากค่ะ


โดย: แอน IP: 171.99.4.209 วันที่: 4 กันยายน 2554 เวลา:8:33:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.