Life is Beautiful ชีวิตที่สวยงามกับคำโกหกอันแสนหวาน
โดย merveillesxx
(คำเตือน - บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง)
Life is Beautiful (1997, Roberto Benigni) เล่าถึงชายคนหนึ่งนามว่า กุยโด ชายผู้เปี่ยมไปด้วยความร่าเริงสดใส ชายผู้มองโลกในแง่ดี ชายที่เปี่ยมล้นไปด้วยจินตนาการอันไม่สิ้นสุด ชายผู้ที่มักจะพูดจาทีเล่นทีจริงอยู่เสมอ ชายผู้ที่เรียกดอร่า-คนรักของเขาว่า เจ้าหญิง จนในที่สุดก็ได้แต่งงานกันและมีลูกชายนามว่า โจชัว จนเมื่อกาลล่วงเลยมาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชีวิตของชายผู้นี้ต้องถึงคราวเคราะห์เพียงเพราะว่าเขามีเชื้อสาย ยิว
เช่นเดียวกับหนังที่เล่าถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั่วๆไป หนังจึงมีการแสดงถึงความโหดร้ายจากภาวะสงคราม ท่ามกลางกระแสคลั่งลัทธิฟาสซิสต์ ผู้นำทางเผด็จการอย่างฮิตเลอร์, มุสโสลินี และนายพลโตโจกำลังเป็นใหญ่ มีการกวาดล้างชาวยิว (ว่ากันว่าฮิตเลอร์ทวีความเกลียดชังต่อคนยิวด้วยเหตุผลที่ว่าเขาติดโรคซิฟิลิสจากชาวยิว) ในหนัง-ร้านของคนยิวถูกคนเข้ามาอาละวาดทำลายข้าวของ, ม้าของคนยิวถูกสีขีดเขียนให้เลอะเทอะ, กุยโดและโจชัวถูกเกณฑ์ไปในค่ายกักกันชาวยิว ที่ผู้กำกับสร้างบรรยากาศของค่ายที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัด ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทนภาพที่ดูแห้งแล้ง ห้องนอนของคนยิวที่ดูสกปรกและมืดทึบ (แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอีกฉากในงานเลี้ยงของพวกคนเยอรมันที่ดูหรูหรา) หรือการแสดงออกทางสีหน้าของคนในค่าย ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวที่หน้าตาเหมือนคนไร้ซึ่งความหวัง พวกทหารเยอรมันที่ตีสีหน้าทมิงถึงอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เด็กๆในค่ายที่ดูจะไม่มีความสุขนัก
ยกเว้นแต่เพียงคนเดียวที่แสดงสีหน้าชื่นบานได้ตลอดทั้งเรื่อง นั่นคือกุยโด
นี่จึงเป็นข้อแตกต่างของหนังเรื่องนี้จากเรื่องอื่นๆ เช่น The Pianist หรือ Salo
The Pianist (2002, โรมัน โปลันสกี ได้รับรางวัลปาล์มทองคำจากคานส์ปี 2002) ใช้หนังแสดงความโหดร้ายของการกวาดล้างคนยิวกระแทกกระทั้นจิตใจคนดู ด้วยฉากจับคนยิวมาเรียงแถว แล้วยิงทิ้งทีละคน ส่วน Salo (1975, เปียร์ เปาโล ปาโซลินี่) ช็อคคนดูด้วยเรื่องราวของวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ถูกชนชั้นขุนนางลัทธิฟาสซิสต์จับไปทรมานในคฤหาสน์ถึง 3 ครั้ง 3 ครา 3 วิธีการ (ผ่านวงเวียนแห่ง การเสพสังวาส อาจม และ เลือด) แต่ใน Life is Beautiful กุยโดกลับพูดกับลูกหน้าตาเฉยว่าสงครามมันเป็นเพียงแค่ เกม
ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆก็คือ การมองโลกในแง่ดี และการถ่ายทอดออกมาอย่าง งดงาม
กุยโดผูกเรื่องราวขึ้นมาว่าเขาและลูกถูกจับมาค่ายกักกันเพื่อเล่มเกมชิงรถถัง ผู้ใดทำคะแนนได้ถึงหนึ่งพันคะแนนก่อนจะได้มันไป บทภาพยนตร์แสดงความเฉลียวฉลาดด้วยการที่กุยโดต้องแก้สถานการณ์ต่างๆไปตลอดทั้งเรื่อง อีกนัยคือเขาต้อง สร้างเรื่อง หรือ โกหก ลูกชายของเขาเพิ่มขึ้นๆ ดังเช่นเมื่อโจชัวงอแงจะกลับบ้าน เขาก็ใช้กลที่ว่า คะแนน ของทั้งสองกำลังจะใกล้ถึง เป้าหมาย แล้ว จึงทำให้โจชัวยอม เล่นเกม ต่อ
นั่นคือหนังมุ่งเน้นให้กุยโดเป็น ผู้ดำเนินเกม ในเรื่อง กุยโดคือชายผู้ร่าเริง-มีอารมณ์ขัน-มองโลกในแง่ดี (เมืองที่กุยโดอยู่มีร้านเขียนป้ายว่า ห้ามคนยิวเข้า แต่หน้าร้านหนังสือของเขากลับเขียนว่า ร้านคนยิว) แต่บางเวลาหนังแสดงให้เห็นด้านที่ว่ากุยโดก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ดังเช่นฉากที่กุยโดต้องแบกเหล็กที่ทั้งหนักทั้งร้อน เขาก็เอาแต่บ่นตลอดทาง (ถึงกระนั้นก็ยังเป็นการบ่นแบบเจืออารมณ์ขัน) และที่สำคัญกุยโดเป็นคนฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการปั้นเสริมเติมแต่งเรื่องของเกมในค่ายกักกันให้โจชัวฟัง การที่เขาชอบเล่นถามตอบปัญหาเชาว์ หรือฉากที่เสนอตัวออกไปแปลประโยคที่ทหารเยอรมันพูด ที่เขาสามารถ โม้ ได้อย่างสดๆและสุดๆ
เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ส่งเสริมว่าหนึ่งในสารที่หนังอาจจะต้องการเสนอก็คือ ความฉลาดหลักแหลมของชาวยิว หลักฐานในทางรูปธรรมเราก็พบเห็นได้จริง อัลเบิร์ต ไอสไตน์คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ หรือผู้กำกับสตีเวน สปิลเบิร์กที่สามารถเนรมิตหนังได้หลากหลายแนวจนได้ฉายา พ่อมดแห่งฮอลลีวูด (ครั้งหนึ่งสปิลเบิร์กก็เคยทำหนังเกี่ยวกับการกวาดล้างยิวมาแล้วใน Schindler s List (1993) ซึ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากออสการ์ไป)
อีกสารที่ผู้กำกับสอดแทรกเข้ามาในหนัง อย่างฉากในงานเลี้ยงที่มีการแสดงชุด ม้าเอธิโอเปีย นัยว่าต้องการเสียดสีระบบล่าอาณานิคม เพราะในสมัยนั้นอิตาลีได้เข้าไปยึดโอธิโอเปีย และจากนั้นก็รีบขโมยซีนด้วยการให้กุยโดขี่ม้าขาวมารับดอร่าพาหนีไปจากงานแต่งงาน ดังนั้นกุยโดจึงถือเป็นอัศวินขี่ม้าขาวตัวจริง
นอกจากจะมีการใช้สัญลักษณ์ (Symbolic) ในรูปของฉาก-บรรยากาศ หรือการแสดงทางสีหน้าแล้ว ยังมีการใช้ สี เป็นตัวขับเน้นเรื่องราวด้วย เช่น ในฉากที่ดอร่าตัดสินใจจะขึ้นรถที่พาชาวยิวไปค่ายกักกันเพื่อตามสามีและลูกของเธอไป ขณะนั้นเธอใส่ชุดสีแดง ที่ดูโดดเด่นมีสีสันและชีวิตชีวา ไม่เข้ากับบริเวณที่มีกลิ่นอายแห่งความสิ้นหวังแห่งนั้น นั่นคือการแสดงความแปลกแยก (alienation) ว่าดอร่าไม่ใช่คนยิว แต่ในที่สุดไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนเธอก็ยอมร่วมรับชะตากรรมและรับรู้ความทุกข์ยากไปพร้อมๆกับสามีและลูกด้วย (ภายหลังเธอจึงได้ใส่ชุดโทรมๆเหมือนคนยิว)
สีแดงยังถูกใช้ในฉากพรมแดงที่กุยโดปูให้ดอร่าเดินผ่านซึ่งใช้อารมณ์ในลักษณะโรแมนติกปนเหนือจริง (surreal) ที่ทำให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วม ทั้งนี้สีแดงนั้นเป็นหนึ่งในสีที่มี พลังทางภาษาภาพยนตร์ มากที่สุดสีหนึ่ง ดังเห็นได้จาก In the mood for love (2000, หว่องกาไว) สีแดงถูกใช้อธิบายอารมณ์ของคนสองคนที่ตกอยู่ห้วงอารมณ์รัก, Hero (2002, จางอี้โหมว) สีแดงเป็นใช้เครื่องแต่งกาย สีของฉาก ในช่วงตอนที่มีอารมณ์รุนแรง เป็นไปด้วยความโกรธ-ความเกลียด-ราคะ-ตัณหา, Irreversible (2002, กัสแปร์ โนว์) อุโมงค์ที่นางเอกถูกข่มขืนมีสีแดงฉาน ขับเน้นความเจ็บปวดของตัวละคร หรือล่าสุดกับ The Village (2004, เอ็ม. ไนต์ ชัยมาลาน) สีแดงแทนค่าของสัตว์ประหลาดชั่วร้าย
ในช่วงท้ายของหนังฝ่ายเยอรมัน-อิตาลีและญี่ปุ่น เป็นฝ่ายพ่ายสงคราม หลังจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิโดยฝีมือของมหาอำนาจอย่างอเมริกา ค่ายกักกันยิวไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป การกวาดล้างชาวยิวครั้งสุดท้ายจึงเกิดขึ้น (แม้กระนั้นหนังก็ไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงฉากชาวยิวถูกยิงตายต่อหน้า หรือชาวยิวนอนจมกองเลือด) เกมสงครามของมหาประเทศจบแล้ว แต่ว่าเกมของกุยโดและโจชัวยังไม่จบ เกมของโจชัวคือการทำคะแนนหนึ่งพันแต้มเพื่อรถถัง เกมของกุยโดคือการรักษาชีวิตของลูกชาย เงื่อนไขทั้งสองจึงหลอมรวมกันคือ กุยโดบอกกับลูกชายว่าหากเขาซ่อนตัวอยู่ในตู้โดยไม่ให้ใครเห็น และออกมาต่อเมื่อไม่มีใครข้างนอก เขาจะชนะและได้รถถัง
ใกล้ตอนจบ (ทั้งของหนังและของกุยโด) กุยโดถูกทหารเยอรมันจับตัวได้ ระหว่างถูกพาตัวไป เมื่อเดินผ่านโจชัว เขาก็ยังมิวายจะส่งรอยยิ้มให้ลูก พร้อมกับการโบกมือลา เป็นทั้งการโบกมือลาลูกชาย ลาจากเกม และลาจากโลกอันแสนวุ่นวายใบนี้ คงจะไม่เกินไปนักหากจะคิดว่ากุยโดยังมองโลกในแง่ดีจนถึงวาระสุดท้าย เขาส่งยิ้มให้ลูก (ให้กับคนดู และให้กับโลก) เพื่อให้ลูกเขาจดจำภาพสุดท้ายของพ่อในภาพของความประทับใจ
เสียงปืนดัง
เกมจบ
กุยโดตาย
คนดูหัวใจสลาย
ณ จุดนี้น่าย้อนคิดไปถึงคำถามของกุยโด อะไรเอ่ย เมื่อพูดออกมา ชื่อของฉันก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว คำตอบคือ ความเงียบ เช่นเดียวกันเมื่อเสียงปืนดังขึ้น ความเงียบสูญสลาย ความโศกเศร้าสะเทือนใจเข้ามาแทนที่ แต่ในอีกทาง-ชีวิตของกุยโดดับสูญ ไม่มีเสียงพูดคุยล้อเล่นของเขาอีกต่อไป เขาเหลือเพียงความเงียบงัน และที่สำคัญสิ่งสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือ ความเสียสละ
เช้าวันถัดมาโจชัวออกมาจากตู้ โลกภายนอกไม่เหลืออะไร ไม่มีผู้คน ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า เป็นฉากที่เน้นย้ำว่าสงครามไม่ให้อะไรนอกจาก ความสูญเสีย และ ความว่างเปล่า
ฉากสุดท้ายสองแม่ลูกได้พบกันอีกครั้ง ดอร่าและโจชัวเข้าโผกอดกัน ปากพร่ำว่า เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว
ไม่ใช่ชัยชนะในเกมที่โจชัวได้รถถัง
ไม่ใช่ชัยชนะของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่เป็นชัยชนะของกุยโดที่สามารถใช้ ความเสียสละ ทำให้ ชีวิตหนึ่ง รอดพ้นภัยและมีวันพรุ่งนี้ต่อไปได้ (รวมถึงชัยชนะบนเวทีออสการ์ในรางวัลนักแสดงนำชายและรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ถึงตรงนี้น่าคิดว่าธงชาติอเมริการที่ปลิวไสวกับลักษณะของทหารอเมริกาที่ดูใจดี อบอุ่น จนเหมือนบุคคลในโลกอุดมคติในตอนท้ายมีผลต่อรางวัลหรือไม่)
ดังนั้นรางวัลที่แท้จริงของโจซัวจึงไม่ใช่ รถถัง แต่เป็น ชีวิต ของเขา
ท้ายสุดหนังเป็นเสียงบรรยาย (voice over) ของโจชัวในวัยหนุ่มกล่าวว่า นั่นคือเรื่องราวของพ่อของผม พ่อผู้เสียสละ หากไม่เพราะความเสียสละของกุยโด โจชัวคงไม่ได้มานั่งบรรยายเรื่องราวของพ่อของเขา ณ ตรงนี้ และถ้าจำกันได้ในกลางเรื่องกุยโดเปิดร้านหนังสือโดยให้โจชัวมีบทบาทเสมือนเจ้าของร้านอยู่เสมอ หากเขาคิดจะเขียนหนังสือ เล่มแรกที่เขาจะเขียนและวางขายในร้านต้องเป็นชีวประวัติ-วีรกรรมของพ่อเป็นแน่นอน
หลังจากดูหนังจบ สิ่งหนึ่งที่คำนึงได้ก็คือ หนังเต็มไปด้วย คำโกหก
มีคนเคยถามว่าคำโกหกของกุยโดเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
มีใครบางคนกล่าวว่า Song is a beautiful lie Plabo Picasso กล่าวว่า Art is the lie that helps us understand the truth ดังนั้นภาพยนตร์ที่เป็นศิลปะแขนงที่เจ็ด จึงถือเป็นคำโกหกได้เช่นเดียวกัน แต่เป็นคำโกหกที่สวยงาม ช่วยให้เราลืมโลกความเป็นจริงเมื่อเราชมมัน แต่เมื่อมันจบเราจะต้องกลับมาตระหนักถึงความจริงและกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
เราจึงมิอาจตัดสินได้ว่าการโกหกของกุยโด ถูก หรือ ผิด แต่เราสรุปได้ว่าการโกหกของเขาช่างงดงามและเต็มไปด้วยความเสียสละ หนังจึงอาจจะมีอีกชื่อหนึ่งได้ว่า Lie is Beautiful
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากุยโดจะทำให้เราเห็นว่าชีวิตท่ามกลางสงครามก็มีความงดงามเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ หนังมหาปรัชญาเรื่องล่าสุดแห่งไตรภาค qatsi (หลังจาก Koyaaniqatsi และ Powaqqatsi) ของก็อดฟรีย์ เรจิโออย่าง Naqoyqatsi (2003) นั้นเป็นภาษาอินเดียนแดงที่แปลได้ว่า Life as War
คนเราทุกวันนี้ยังอยู่ท่ามกลางภาวะสงคราม !!
แด่ กุยโดและทุกชีวิตที่เสียไปในทุกสงคราม
Create Date : 18 มีนาคม 2548 |
Last Update : 18 มีนาคม 2548 4:53:06 น. |
|
52 comments
|
Counter : 31684 Pageviews. |
|
|
|
โดย: prncess วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:6:55:36 น. |
|
|
|
โดย: ด่างไรเดอร์ วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:7:00:12 น. |
|
|
|
โดย: hunjang (ไม่ล๊อคอิน) IP: 202.57.156.177 วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:8:00:26 น. |
|
|
|
โดย: อยู่ไกลบ้าน วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:8:01:36 น. |
|
|
|
โดย: The ก๊อง วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:12:37:48 น. |
|
|
|
โดย: น้ำเงี้ยว วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:15:15:46 น. |
|
|
|
โดย: คนสวย (ทำใจได้ ) วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:17:51:07 น. |
|
|
|
โดย: it ซียู วันที่: 18 มีนาคม 2548 เวลา:19:02:59 น. |
|
|
|
โดย: รักดี วันที่: 19 มีนาคม 2548 เวลา:11:40:15 น. |
|
|
|
โดย: Dr Syntax วันที่: 21 มีนาคม 2548 เวลา:8:33:06 น. |
|
|
|
โดย: yyswim วันที่: 21 มีนาคม 2548 เวลา:16:09:52 น. |
|
|
|
โดย: tuliponline IP: 210.213.44.128 วันที่: 27 เมษายน 2548 เวลา:23:56:11 น. |
|
|
|
โดย: ปิงปองงง วันที่: 3 พฤษภาคม 2548 เวลา:10:09:35 น. |
|
|
|
โดย: ariko IP: 202.129.23.60 วันที่: 14 พฤษภาคม 2550 เวลา:2:08:44 น. |
|
|
|
โดย: เบื่อคนมองโลกในแง่ร้าย IP: 84.196.136.247 วันที่: 26 พฤษภาคม 2550 เวลา:4:08:21 น. |
|
|
|
โดย: Moeye IP: 210.246.75.197 วันที่: 24 มิถุนายน 2550 เวลา:1:49:38 น. |
|
|
|
โดย: ^_^ IP: 124.121.62.123 วันที่: 1 สิงหาคม 2550 เวลา:19:39:15 น. |
|
|
|
โดย: >>K<< IP: 61.7.166.180 วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:12:35:30 น. |
|
|
|
โดย: คนขับช้า วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:22:05:07 น. |
|
|
|
โดย: ชาดอกแก้ว IP: 203.170.254.18 วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:14:24:03 น. |
|
|
|
โดย: nongfunn IP: 125.25.94.95 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:08:29 น. |
|
|
|
โดย: คนชอบ concept หนังเรื่องนี้ IP: 125.24.30.64 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:31:27 น. |
|
|
|
โดย: เพื่อนหมีพูห์ IP: 125.25.2.85 วันที่: 1 มกราคม 2551 เวลา:17:54:35 น. |
|
|
|
โดย: kittty IP: 125.24.192.55 วันที่: 10 มกราคม 2551 เวลา:19:58:09 น. |
|
|
|
โดย: p_diddy_kg IP: 125.24.242.172 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:00:09 น. |
|
|
|
โดย: giggs IP: 203.113.56.75 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:0:27:24 น. |
|
|
|
โดย: coo IP: 58.10.77.250 วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:1:06:35 น. |
|
|
|
โดย: Panda IP: 124.120.229.108 วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:11:17:51 น. |
|
|
|
โดย: patrician IP: 124.120.119.216 วันที่: 2 สิงหาคม 2551 เวลา:10:44:55 น. |
|
|
|
โดย: micky IP: 119.42.70.76 วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:12:19:27 น. |
|
|
|
โดย: มีน IP: 222.123.142.181 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:42:21 น. |
|
|
|
โดย: โมโม่ IP: 202.80.240.3 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:03:48 น. |
|
|
|
โดย: Lonely Windmill IP: 58.9.189.156 วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:23:22 น. |
|
|
|
โดย: ปู IP: 161.200.255.162 วันที่: 16 มิถุนายน 2552 เวลา:1:41:07 น. |
|
|
|
โดย: แหะๆ IP: 202.12.73.6 วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:19:11 น. |
|
|
|
โดย: วนิดา IP: 10.68.19.128, 10.1.5.21, 58.137.129.220 วันที่: 11 ธันวาคม 2552 เวลา:19:13:51 น. |
|
|
|
โดย: เพียงดิน IP: 118.173.18.174 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:14:29:45 น. |
|
|
|
โดย: อัสนีสีขาว วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:2:01:15 น. |
|
|
|
โดย: vesinpu IP: 118.173.83.98 วันที่: 20 มีนาคม 2553 เวลา:23:51:35 น. |
|
|
|
โดย: ฺฺ๊๊BU IP: 10.0.1.210, 119.42.103.190 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:15:05:01 น. |
|
|
|
โดย: kuroyume IP: 112.142.90.216 วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:21:13 น. |
|
|
|
โดย: amoderndog วันที่: 25 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:01:26 น. |
|
|
|
โดย: actzola IP: 58.8.168.236 วันที่: 23 สิงหาคม 2553 เวลา:5:59:04 น. |
|
|
|
โดย: romchatr@yahoo.com IP: 124.122.64.178 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:40:37 น. |
|
|
|
โดย: Adiabatic IP: 202.44.8.100 วันที่: 17 มกราคม 2554 เวลา:1:11:44 น. |
|
|
|
โดย: กุยโด IP: 183.89.180.65 วันที่: 25 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:02:06 น. |
|
|
|
โดย: แอน IP: 171.99.4.209 วันที่: 4 กันยายน 2554 เวลา:8:33:55 น. |
|
|
|
|
|
Nazi --> The Jewish Holocaust (1942-1944)
*Holocaust = การทำลายล้างอย่าง 'สิ้นซาก'
1930 Hitler -- Chancellor pf Germany
1935 Nurenberg Laws restrict Jews (กฎหมายจำกัด 'เขตและสิทธิ' ของชาวยิว)
1938 Kristallnacht anti-Jewish programme
1939 Jews placed in ghettos and deported to east
1940 "Final Solution"
HOLOCAUST
- Greek holokauston -- originally meant a sacrifice totally burned by fire
- To describe slaughter on a general or large scale, and, especially, various forms of the destruction of masses of human beings
- The mass extermination of Jews has become the archetype (รูปแบบแรกเริ่ม) of GENOCIDE = ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
* หนังเกี่ยวกับเรื่อง genocide ที่เข้าโรงอยู่ตอนนี้คือ Hotel Rwanda (เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี 1994)
Question (ข้อสงสัยต่อเหตุการณ์ฆ่าล้างชาวยิว)
1. Six million killed is way over-estimated
2. The gas chambers could NOT have been used
- too big
- gas used Zyclon-B would not have killed as many as quickly as asserted;
- the gas would have killed anyone working with it as well;
- the fugimation needed for the chambers would've took sol ong that it couldn't kill that many people
3. If it happened, where's the evidence?
(ข้อมูลทั้งหมดจากเลคเชอร์วิชา มธ.115 - มนุษย์และวรรณกรรมผ่านสื่อสมัยใหม่ ม.ธรรมศาสตร์)
-------------------------
//www.imdb.com/title/tt0118799/trivia
Guido's wife, Dora, is played by Roberto Benigni's real-life wife, Nicoletta Braschi.
The number on Benigni's prison camp uniform is the same number on Charles Chaplin's uniform in The Great Dictator (1940), the satire of Hitler and fascism.
Roberto Benigni says the title comes from a quote by Leon Trotsky. In exile in Mexico, knowing he was about to be killed by Stalin's assassins, he saw his wife in the garden and wrote that, in spite of everything, "life is beautiful".
Roberto Benigni's Oscar for best actor marked only the second time that an actor had directed himself in an Academy Award winning performance. The other was Laurence Olivier for Hamlet (1948)
Before they go to sleep Guido and Ferruccio have a few jokes about the German philosopher Arthur Schopenhauer. Schopenhauer was a favorite writer of Hitler.