21 Grams น้ำหนักจิ๊กซอว์ที่ปะต่อชีวิต
โดย merveillesxx
(คำเตือน บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของภาพยนตร์)
หลังจากดูหนัง 21 Grams จบลงแล้ว ในสมองของผมเกิดห้วงคิดคำนึงหลายอย่าง
อย่างแรกที่คิดได้ก็คือ ผมพบกับหนังเรื่องนี้ช้าไปหน่อย ผมเชื่อว่าถ้าผมได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนที่เข้าฉาย (หนังเข้าฉายในช่วงเดือนมีนาคม 2547 อันเป็นช่วงเก็บตกหนังออสการ์ เท่าที่จำได้ในโปรแกรมนั้นมีหนัง 3 เรื่องคือ 21 Grams, Monster และ Lost in Translation) ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะต้องติดอันดับหนังยอดเยี่ยมปี 2004 ในใจผมแน่นอน
ถัดมาก็คือ ฌอน เพนน์ควรจะได้ออสการ์จากหนังเรื่องนี้มากกว่า Mystic River เสียอีก สงสัยว่าออสการ์อยากจะให้รางวัลนี้กับพระเอกที่รับบทเลวๆบ้าง*(1) (หลังจากให้แต่พวกคนดี๊คนดีมาหลายปี) หรือไม่ก็คงเพราะว่าปีนี้เพนน์อุตส่าห์มางานแล้วออสการ์เลยรีบๆให้เขาไปเสีย*(2)
ส่วนรายของนาโอมิ วัตส์นั้นสมศักดิ์ศรีแล้วที่เธอได้เข้าชิงนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม แต่มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เธอจะพ่ายให้แก่รูปลักษณ์สุดสยองและการแสดงอันน่าเหลือเชื่อของชาร์ลิซ เธียรอนจาก Monster และเบนนิซิโอ เดลโตโร่ก็เหมาะสมเช่นกันกับการเข้าชิงดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ซึ่งตามจริงแล้ว 21 Grams คือหนังที่แสดงถึง มาตรฐานการแสดงอันสูงส่ง ของวงการภาพยนตร์ในรอบหลายปีนี้ทีเดียว เพราะนักแสดงในเรื่องทุกคนให้การแสดงอันวิเศษเหลือล้น
สุดท้ายก็คือ ผมรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง จริงอยู่ว่าทุกวันนี้สื่ออย่างดีวีดีนั้นแสนสะดวกสบาย เพราะทุกคนสามารถเปิดโรงหนังในบ้านตัวเองได้ แต่มันก็ทำให้เรามักง่าย นิสัยเสีย และลืมไปว่า ภาพยนตร์ นั้นควรจะถูกสื่อและถ่ายทอดที่ในสถานที่ที่ชื่อว่า โรงภาพยนตร์ หนังอย่าง 21 Grams ที่มีรายละเอียดทางด้านภาพอย่างสูงนั้นก็เข้าข่ายกรณีนี้เช่นกัน (อ่านประเด็นเรื่องภาพของหนังเรื่องนี้ใน BIOSCOPE ฉบับที่ 26)
นอกจากจะก่อมวลความคิดมากมายให้หลั่งไหลในสมองแล้ว 21 Grams ยังกระตุ้นหลากหลายความรู้สึกในหัวใจของผมด้วย แต่มันก็ยากจะถ่ายทอดเป็นคำพูดหรือตัวอักษรอย่างเป็นระบบ เพราะในขณะที่หนังเรื่องนี้นำเสนอในรูปแบบ เรื่องเล่าที่ต้องปะติดปะต่อ ความรู้สึกของผมที่มีต่อหนังเรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้น ดังนั้นบทความนี้อาจจะปรากฏร่องรอยแห่งความสับสนอยู่ก็เป็นได้ เพราะมันคือการ ต่อจิ๊กซิอว์ความรู้สึก ของตัวผมเอง
หากคุณพร้อมแล้ว ก็เชิญหยิบจิ๊กซอว์ชิ้นแรกขึ้นมาเลยครับ
จิ๊กซอว์ชิ้นแรก: ชีวิตที่ไม่ไร้น้ำหนัก ตัวอย่างหนังในทุกวันนี้คือแผนประชาสัมพันธ์ทางธุรกิจ ที่ทำอย่างไรก็ได้ให้คนดูยอมเสียเงินและเวลาไปดูหนังในโรง*(3) แต่ 21 Grams มีตัวอย่างหนังที่ดีกว่ามาตรฐานทั่วไปคือ นอกจากมันทำให้เราอยากดูหนังแล้ว มันยังทำให้เรา คิด ตามไปด้วย นั่นคือการใช้ คำถาม กระตุ้นโจมตีต่อมสงสัยใคร่รู้ของผู้ชมว่า อันว่าชีวิตนั้นมันมีน้ำหนักสักเท่าไร ? แล้วความรักล่ะ ความผิดมลทินในใจล่ะ และความแค้นล่ะ มันหนักเท่าไร ?
ยิ่งไปกว่านั้นหนังยังไม่บอกถึงน้ำหนักแน่นอนของชีวิต แต่กลับบอกถึงสิ่งที่ เสียไป ในเวลาที่เราตาย เมื่อเราตาย เราจะสูญเสียน้ำหนักไป 21 กรัม ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตาม *(4) หนังเหมือนจะยั่วล้อคนดู ด้วยการบอกแต่ตอนจบ ไม่บอกตอนต้น ก็เพราะว่า น้ำหนักของชีวิตคืออะไรนั้น คือสิ่งที่เราจะต้องค้นหาจากการดูหนังเรื่องนี้นั่นเอง
หนังเรื่องนี้เล่าถึง 3 ชีวิตที่ต่างตกอยู่ในห้วงสถานการณ์ที่ทำให้ไม่อาจดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขต่อไป และทั้งสามคนนี้เองที่จะบอกกับเราว่า องค์ประกอบของน้ำหนักชีวิต นั้นคืออะไร หากลองพิจารณาดูแล้วตัวละครทุกตัวนั้นเจือชีวิตตัวเองอยู่ในอารมณ์ของ*(5) 1. ความรัก 2. ความแค้น 3. ความศรัทธา ต่างไปกันที่ว่าแต่ละคนอาจจะอยู่กับสิ่งนั้นมากน้อยไม่เท่ากัน หากกล่าวโดยสรุปแล้วทั้งสามสิ่งนี้ก็คือ น้ำหนัก ที่เราจะต้องแบกรับไว้ในชีวิต เช่น วันจันทร์คุณอาจจะรู้สึกรักใครคนหนึ่ง วันอังคารคุณรู้สึกแค้นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบหน้า วันพุธคุณอาจจะรู้สึก ศรัทธา หรือ เสียศรัทธา กับใครบางคน แต่คุณอาจจะแบกรับความรู้สึกทั้งสามนี้ไปตลอดสัปดาห์หรืออาจจะตลอดชีวิตเลยก็ได้ ไม่มีสูตรคำนวณแน่นอนว่า น้ำหนัก เหล่านี้ จะหายไปเมื่อไร จะคงอยู่ไปอีกนานเท่าไร และส่วนใดที่จะหายไปก่อน
ดังนั้น รัก/แค้น/ศรัทธา คือสามน้ำหนักที่เราต้องแบกรับเอาไว้ทั้งชีวิต รูปการณ์ของชีวิตมนุษย์คนหนึ่งจะดำเนินไปอย่างไรนั้นก็ขึ้นกับว่าเขาจะถ่ายเทน้ำหนักของชีวิตตัวเองไปทางไหน ดังนั้น ความสมดุลของชีวิต จึงน่าจะเกิดจากการถ่ายเทชีวิตไปแต่ละส่วนอย่างพอดี และตัวละครอย่างคริสติน่า (นาโอมิ วัตส์) และแจ็ค (เบนนิซิโอ เดล โตโร่) ก็คือตัวอย่างที่ชัดเจนของชีวิตที่ เสียสมดุล
คริสติน่าแค้นคนที่พรากสามีและลูกสาวไปจากชีวิตเธอ จนอยากจะฆ่าเขา ส่วนแจ็คศรัทธาในพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง เพราะแรงความรู้สึกเหล่านี้เธอและเขาจึงไม่ใช่ คนที่ตัวเองเคยเป็น อีกต่อไป
เช่นนั้นแล้วหนังเรื่องนี้อาจจะมีชื่อเล่นล้อกับนิยายของมิราน คุนเดอร่าว่า ความหนักอึ้งเหลือทนของชีวิต ก็เป็นได้*(6)
ตัวละครในหนังตอกย้ำซ้ำเติมให้ตัวเองให้น้ำหนักของชีวิตทวีคูณมากขึ้น จนมิสามารถทนแบกรับไว้อีกต่อไป เพราะพวกเขาล้วนติดกับ อดีต (กล่าวได้ว่า 21 Grams เป็นหนังที่เล่าถึงความน่ากลัวของอดีตได้รุนแรงในระดับเดียวกับ 2046 ของหว่องกาไว) หนทางในการแบ่งเบาลดทอนความหนักอึ้งนั้นจึงออกมาในแบบที่ บิดเบี้ยว (คริสติน่าหันไปเสพยา ส่วนแจ็คหนีลูกเมียไปทำงานในถิ่นกันดาร) เขาเลือกวิถีทางชีวิตของตัวเองเหมือนการบินของนกฮัมมิ่งเบิร์ดนกที่บินถอยหลังได้ เขาและเธอล้วนแต่ย้อนคิดถึงแต่สิ่งที่ผ่านมา ซึ่งแท้จริงแล้วพวกเขาคือนกฮัมมิ่งเบิร์ดที่บินลอยในอากาศอยู่กับที่ และรอวันร่วงหล่นลงมาตาย! (สังเกตดูว่าตัวอย่างหนังจะมีรูปเงาของนกฮัมมิ่งเบิร์ดที่กระพือปีกอยู่กับที่)
แต่ชีวิตก็มิได้ให้เราจมอยู่ในห้วงอารมณ์อยู่เพียงคนเดียว ผู้คนมากมายหลายหน้าที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตเรา และพวกเขาทั้งสามก็เช่นกัน เขาและเธอล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน (จากอุบัติเหตุรถยนต์ครั้งนั้น) และต่างก็ถ่ายทอด น้ำหนักของตัวเอง ให้ซึ่งกันและกัน เพราะนี่คือวิถีของโลกมนุษย์ วิถีของการดำเนินชีวิต นั่นคือการถล่มปัญหาของตัวเองให้กับผู้อื่น*(7)
แต่ใช่ว่าชีวิตของเหล่ามนุษย์จะโหดร้ายถึงเพียงนั้น เพราะคนบางคนก็พร้อมที่จะช่วยบรรเทาทุกข์ปัญหาของเรา จิ๊กซอว์ชิ้นถัดๆไปจะบอกเล่าถึงเรื่องนั้น
จิ๊กซอว์ชิ้นที่สอง: ชีวิตที่ยึดติด อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าตัวละครในหนังล้วนยึดติดกับอะไรบางอย่าง หากกล่าวในเชิงนามธรรมนั้นสิ่งที่พวกเขายึดติดก็คือ อดีต และ น้ำหนักชีวิตทั้งสาม = รัก/แค้น/ศรัทธา
ส่วนในด้านรูปธรรมนั้นหนังก็แสดงให้เห็นเช่นกัน พอล (ณอน เพนน์) หลงระเริงยินดีไปกับ หัวใจดวงใหม่ ที่เขาจะได้มันมา (หลังจากผ่าตัดเสร็จเขาก็เลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆทันที) แต่แล้วหัวใจเจ้ากรรมก็ทำตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้าของร่างกาย (หัวใจใหม่ของเขาไม่เข้ากับร่างกาย พอลต้องผ่าตัดใหม่อีกครั้ง) ก็เพราะมันไม่ใช่ ของๆเขา หรืออาจจะเพราะเขาดันอุตริไปหลงรักคริสติน่าก็ได้ (อย่าลืมว่าเจ้าของหัวใจคือ สามีของคริสติน่า!)
แต่ดูเหมือนว่าพอลจะเป็นคนที่ ตาสว่าง เร็วกว่าคนอื่น เขาพูดกับหมอว่า ผมจะไม่นอนรอความตายเป็นซากศพอยู่ที่โรงพยาบาลหรอกนะ! เพราะเขารู้ว่า เขามีสิ่งที่ต้องทำรออยู่ และเขาก็ก้าวออกไปทำสิ่งนั้นอย่างไม่รอช้า
ด้านคริสติน่าก็หันไปเล่นยาเพื่อที่จะลืมความเจ็บปวด แต่นั่นก็เป็นความลืมเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ผมคิดว่าเมื่อเธอฟื้นขึ้นจากอาการเมายาและส่องกระจกดูสภาพของตัวเอง ความทุกข์และสมเพชเวทนาตัวเองคงถาโถมเข้ามาหาเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หนังเปิดเผยว่าความจริงแล้วคริสติน่าก็เคยเป็นพวก สาวฮิปปี้ขี้ยา มาก่อน แต่ก็เพราะคนรัก (สามีของเธอ)และลูกๆ จึงทำให้เธอมีชีวิตใหม่อีกครั้ง มันน่าตกใจเหลือเกินว่าแม่และภรรยาในอุดมคติอย่างเธอจะดิ่งเหวไปสู่วงจรอุบาทว์อีกครั้งได้ ณ ตอนนั้นเธอลืมแล้วซึ่ง ความเป็นแม่ และ ความศรัทธา ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะรวมถึง ความเป็นมนุษย์ ด้วย
และแจ็คนั้นก็ศรัทธาและลุ่มหลงในพระเจ้าอย่างบ้าคลั่งและเกินขอบเขต (ผลในเชิงรูปธรรมของแจ็คคือ การสักรูปไม้กางเขนที่แขน) สำหรับแจ็คแล้วพระเจ้าไม่ใช่แค่ที่ยึดเหนี่ยวทางใจ แต่เป็น ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่การอบรมสั่งสอนลูกเขาก็ไม่ได้ทำในฐานะ พ่อ แต่เป็น สาวกผู้เคร่งครัดต่อศาสนา เสียมากกว่า แต่แล้วพระเจ้าที่เขาสร้างขึ้นมาก็พังทลายไปด้วยมือของเขาเอง ชีวิตที่พลิกผันทำให้เขาก็กล่าวโทษพระเจ้าอย่างไม่ไยดี
ผมคิดว่าการ ศรัทธา ในอะไรบางอย่างจนเกินไปนั้นน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ การเสียศรัทธา จากสิ่งนั้น และแจ็คคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อน่าจะเป็นว่าสิ่งที่เรายึดติดนั้นล้วนเป็นเป็นเพียงภาพลวงตา การจมอยู่กับมันนั้นล้วนนำมาซึ่งการดำดิ่งและความว่างเปล่า สิ่งที่สุดท้ายที่เราควรจะผูกยึดกับมันมากที่สุดนั้นคือ ตัวเราเอง มากกว่า เราจะต้องลุกขึ้นและก้าวชีวิตต่อไปด้วยขาของเราเอง ไม่ใช่เพราะ หัวใจของคนอื่น / ยาเสพติด หรือแม้กระทั่งพระเจ้า
แต่ดูเหมือนว่าคนบางคนจะอ่อนแอและมืดบอดเกินไปที่จะมองเห็นตัวเอง โลกจึงส่ง ใครบางคน ที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีของชีวิตให้เข้าสู่ทางที่ควรจะเป็น และสำหรับคริสติน่ากับแจ็ค คนๆนั้นอาจจะมีชื่อว่า พอล
จิ๊กซอว์ชิ้นที่สาม: ชีวิตจิ๊กซอว์ คำถามประจำใจของทุกคนที่มีต่อหนังเรื่อง 21 Grams คงจะหนีไม่พ้นว่า ทำไมต้องเล่าเรื่องสลับไปมาด้วย(วะ) ทั้งๆที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำจริงตามลำดับเวลา แล้วทำไมต้องมาเสียเวลานั่งตัดต่อหนังใหม่อีก (หนังเรื่องนี้มีจำนวนคัทเยอะมาก)
คำตอบในเชิงของการเล่าเรื่อง (Narrative) นั้นน่าจะคล้ายกับหนังอย่าง Memento ที่ตามจริงแล้วเนื้อเรื่องของมันธรรมดามาก แต่การย้อนเล่าจากหลังมาหน้าก็ทำให้หนังพิศวงจนคนเอาไปถกต่อกันเป็นเดือนๆ หรือการเล่าเรื่องย้อนหลังใน Irreversible ก็ทำให้คนดูแสนเจ็บปวดเมื่อพบว่าฉากไคลแม็กซ์ของหนังไม่ใช่ฉากข่มขืนลองเทค 9 นาทีแต่เป็นฉากจบของหนัง (= จุดเริ่มต้นของเนื้อเรื่อง) ต่างหาก
ตามจริงแล้วการทำหนังเรื่อง 21 Grams นั้น เหมือนกับว่าผู้กำกับ อเลฮานโดร กอนซาเลซ อีนาร์รีตู กำลังย้อนรอยหนัง Amores Perros ผลงานเรื่องแรกของเขา นั่นคือการเล่าเรื่องผ่านตัวละคร 3 คน ที่ถูกเชื่อมโยงด้วยจุดร่วมเดียวกัน (ซึ่งทั้งสองเรื่องคือ อุบัติเหตุรถยนต์เหมือนกันอีกต่างหาก) เพียงแต่ว่าหนังเรื่องแรกนั้นเป็นดั่งหนังวัยรุ่นเลือดร้อน แต่ 21 Grams คือหนังแบบผู้ใหญ่ที่สุขุมและลุ่มลึกมากขึ้น นี่จึงเป็นการย้อนรอยที่ประสบความสำเร็จ (ส่วนตัวอย่างการย้อนรอยที่ล้มเหลวก็คือ หนังเรื่อง Windstruck ของกวักแจยอง)
มีผู้กล่าวเปรียบเปรยไว้ว่าการดูหนังเรื่อง 21 Grams นั้นเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ที่บนกล่องไม่มีภาพบอกมาให้ว่าเรากำลังต่อรูปอะไรอยู่
การตัดต่อของหนังเรื่องนี้นอกจากจะโดดเด่นในด้านเทคนิคแล้ว มันส่งผลให้คนดูต้องมาปะติดปะต่อความคิดต่อเองด้วย ความท้าทายต่อคนดูอย่างแรกก็คือในด้านเนื้อเรื่องของมัน ซึ่งผมคิดว่า 21 Grams ไม่มีปัญหาติดขัดในจุดนี้ กล่าวคือแม้จะสลับเหตุการณ์จนปวดเศียรเวียนเกล้าแต่เมื่อดูจนจบแล้ว เราพอจะจับเรื่องราวโดยคร่าวๆได้ แต่ความท้าทายที่น่าลิ้มลองขึ้นไปอีกก็คือ สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อสารกับเรา
หากจะพิจารณาโดยอิงบริบทจากหนังแล้ว ผมคิดว่า กุญแจหลัก อันเป็นสาเหตุของมหกรรมการตัดต่อครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะอยู่ฉากสนทนาที่พอลกับคริสติน่าไปกินกาแฟด้วยกัน (Chapter 8 ในดีวีดี รอยยิ้มของนาโอมิ วัตส์ในฉากนี้ ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกอีกคนหนึ่ง) พอลเป็นนักคณิตศาสตร์ที่เชื่อว่า สมการ, ตัวเลขและตัวแปรทั้งหลายนั้นจะเป็นประตูไปสู่ความเข้าใจต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรามากมาย เหมือนกับคนแปลกหน้าสองคนที่มาเจอะเจอกัน และเขาก็ย้ำต่อด้วยบทกลอนของกวีชาวเวเนซูเอล่า*(8) ที่ว่า โลกหมุนไป เพื่อให้เราได้มาใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น มันหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบตัวเรา จนกระทั่งนำพาเราไปพบกับห้วงแห่งความฝัน
ดังนั้นถ้าเราเปรียบเทียบ 21 Grams ในเชิงคณิตศาสตร์แล้ว เราอาจแทนค่าได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแต่ละบุคคลในหนังนั้นมันก็คือ สมการ ชุดหนึ่ง โดยเหล่าตัวละครผู้เป็นเจ้าของเหตุการณ์คือ ตัวแปรหลัก ในสมการ (เช่น พอล=X, คริสติน่า=Y และแจ็ค=Z) และบางช่วงของหนังก็มีสถานการณ์ที่ตัวละครสองตัวอยู่ร่วมกัน ก็คือ การแก้ระบบสมการสองตัวแปร (เช่น ฉากของพอลและคริสติน่า ก็คือการแก้ X กับ Y) และท้ายสุดทั้งสามชีวิตก็จะมาเจอกันในที่สุด ซึ่งนั่นก็คือ การแก้ระบบสมการสามตัวแปร (X, Y และ Z) อันเป็นการคลี่คลายหาคำตอบทั้งหมดของเรื่อง เพื่อที่จะพบกับ ประตู ที่พอลกล่าวไว้
เราอาจจะแทนภาพของทั้งสามด้วยจิ๊กซอว์ก็ได้ พอล คริสติน่า และแจ็ค เป็นจิ๊กซอว์สามชิ้นสำคัญให้กับหนัง และกับคนดู แต่แท้จริงแล้วพวกเขาทั้งสามก็เป็น จิ๊กซอว์ ให้แก่และกัน นอกจากจะถ่ายเททั้งความรักและสาดใส่ความแค้นต่อกันแล้ว (ดังที่กล่าวไปข้างต้น) ด้วยกลไกการหมุนเวียนของโลก พวกเขาล้วนต้องมาบรรจบพบเจอกัน เขาและเธอจะ แลกเปลี่ยน และ เรียนรู้ ด้วยกัน เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่คนดูเท่านั้นที่ต้องปะติดปะต่อความคิดต่อหนัง แต่เหล่าตัวละครก็ต้อง ปะติดปะต่อ ชีวิตของตัวเอง ด้วยการเรียนรู้จากคนอื่นด้วย
เพราะทั้งสามล้วนเป็น คนแปลกหน้า ที่ขับเคลื่อนชีวิตให้แก่กัน
ข้อสันนิษฐานต่อการสลับชุดเหตุการณ์นั้นอาจจะพิจารณาจากตัวของ พอล หากจำกันได้ฉากเปิดแรกๆ จะเป็นฉากที่พอลนอนรอความตายอยู่ในโรงพยาบาล (จากการที่เขาเอาปืนยิงหัวใจตัวเอง) เสียงวอยซ์โอเวอร์ของพอลนั้นลอยละล่องเหมือนคนใกล้สิ้นสติ จากนั้นหนังก็ตัดสู่ภาพ ฝูงนกที่บินขึ้น เป็นดั่งบทโหมโรงสู่ชะตาชีวิตของมนุษย์ทั้งสาม ผมคิดว่าภาพในหนังเรื่องนี้เหมือนห้วงความคิดของคนใกล้ตาย (ในที่นี้ก็คือพอล) จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันจึงสับสนวุ่นวายได้ถึงเพียงนั้น
หลังจากเล่าถึงชีวิตทั้งสามมาได้เกือบสองชั่วโมง หนังก็ตัดเข้าสู่ภาพฝูงนกอีกครั้ง แต่คราวนี้มันคือ ฝูงนกที่บินลง (ดนตรีปิดม่าน) หรืออาจจะเป็นเหล่านกที่บินกลับรัง เพราะใครคนหนึ่งกำลังจะกลับบ้านเก่า นั่นก็คือพอลนั่นเอง
ท้ายสุดหนังก็ตัดมาที่พอลอีกครั้ง ห้วงคิดคำนึงของเขาค่อยๆช้าลง แต่นิ่งสุขุมมากขึ้น สิ่งที่เขาคิดได้คือเรื่องของ น้ำหนัก 21 กรัมที่สูญเสียไป และคำถามของเขาคือ แล้วเราได้กลับมาเท่าไร? แล้วหนังก็จบลง
แต่ไม่ใช่สำหรับคนดูที่จะจบเพียงแค่นั้น เพราะนี่คือคำถามที่หนังตั้งไว้ให้เราไปขบคิดกันต่อ
แล้วสิ่งที่เราได้มาคืออะไร ผมว่าคำถามนี้มันคงไม่เกิดประโยชน์ต่อชีวิตนักถ้าหากเราจะถามมัน หลังจาก ที่เราสูญเสียสิ่งสุดท้ายในชีวิต -น้ำหนัก 21 กรัม- ไปแล้ว สิ่งที่ควรก็คือคำถามนี้ควรปรากฏต่อตัวเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่
ผมคิดว่าการที่เราจะได้ซึ่งสิ่งใดมานั้นมันก็น่าจะมาจาก การกระทำ ของเรา ดังนั้นถ้าเทียบเคียงกับหลักพุทธศาสนาแล้วดูเหมือน สิ่งที่เราได้มา ในที่นี้ก็คือ ผลกรรม
เช่นนั้นแล้วถ้าเราจะตอบคำถามแก่พอลว่าเขาได้อะไร เราก็น่าจะพิจารณาที่ว่าเขาได้ ทำอะไร ไปบ้าง โดยสรุปแล้วก็เข้าไปพัวพันกับชีวิตของคริสติน่า (โดยที่แท้จริงเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้) และตามด้วยแจ็คในภายหลัง สิ่งที่เขาทำลงไปนั้นส่งผลอย่างไร หนังก็สรุปให้เราเห็นอย่างชัดเจนแล้วตอนท้าย (Chapter 11 ในดีวีดี) ภาพที่ปรากฏต่อสายตาเราก็คือ 1. สามีและลูกของคริสติน่ากำลังจะก้าวออกร้านอาหาร 2. แจ็คอำลาเพื่อนด้วยท่าทีร่างเริง เขากำลังจะขึ้นรถ / คริสติน่าหันไปยิ้มให้กับน้องสาว (ฉากสระว่ายน้ำ) 4. แจ็คกับคริสติน่ามองหน้ากัน ทั้งสอง ให้อภัย แก่กัน (โดยไม่ต้องพูดกันแม้แต่คำเดียว) 5. แจ็คเดินกลับเข้าบ้าน เมียของเขารออยู่ / คริสติน่ากลับไปที่บ้าน (คาดว่าที่เธอถืออยู่คือของเล่นของลูกสาว) สงสัยใช่ไหมครับว่าทำไม ข้อ 3 หายไป ผมไม่ได้เมานะครับ
สังเกตไหมครับว่าในฉากนี้สิ่งที่หายไปคือ เหตุการณ์ที่อยู่ตรงกลาง (ซึ่งผมขอแทนด้วยข้อ 3) ซึ่งเรารู้แล้วว่ามันช่วงเลวร้ายเหลือทน มันไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ เพราะเนื้อเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมดของหนังก็คือการเล่าถึงเหตุการณ์ในข้อ 3 นั่นเอง
ผมคิดว่าในฉากนี้ หนังพาเราไปดูช่วงชีวิตของทั้งสองก่อนที่จะเกิด เหตุการณ์นั้น ขึ้น ว่าเขาและเธอมีความสุขขนาดไหน แล้วหนังก็เลือกตัดความเลวร้ายตรงกลางทิ้งไป แล้วตัดเข้าสู่บทสรุปของทั้งสองทันที
พวกเขาได้กลับไปที่ โลกเดิม ที่เคยจากมาแล้วครับ
ซึ่งที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะไม่ใช่เลยนอกจากพอล ลองคิดดูว่าหากพอลไม่เข้าไปชีวิตของคริสติน่า เธอก็คงตายเพราะเล่นยาไปแล้วแน่ๆ และพอลก็เป็นคนทำให้แจ็ครื้อฟื้นความทรงจำในอดีตขึ้นมาอีกครั้ง จนตระหนักคิดได้ว่าเขากำลังวิ่งหนีความเป็นจริง
ดังนั้นกับคำถามที่ว่าสิ่งที่พอลได้รับคืนมาเป็นเท่าไร ผมก็คงมิอาจจะตอบได้ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เขาได้ทำลงไปนั้นมันแสนจะยิ่งใหญ่ และในที่สุดหัวใจของพอลก็หยุดเต้น
หัวใจดวงใหม่ที่พอลได้ไปไม่ได้ให้ชีวิตใหม่แก่เขา แต่ให้ชีวิตใหม่แก่คริสติน่าและแจ็ค
ฉากสุดท้ายของ 21 Grams ทำให้ผมคิดถึงหนังเรื่อง Blue (หนึ่งในไตรภาคสามสีของ คริสซ์ตอฟ เคียสลอฟสกี้) และ Requiem for a Dream หนังทั้งสามเรื่องปิดท้ายด้วยการฉายภาพชะตากรรมที่ดำเนินต่อไปของเหล่าตัวละครในเรื่อง หากจะถามว่าใครที่เป็นเจ้าของสายตาที่มองมายังพวกเขาเหล่านั้น คำตอบก็คงไม่พ้น พระผู้เป็นเจ้า แต่หนังทั้งสามเรื่องนั้นไม่มีการยื่นมือช่วยเหลือจากพระเจ้า ตัวละครในหนังจะลุกขึ้นยืนและล้มตายก็ด้วยเพราะ ตัวของเขาเอง ดังนั้นนี่น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าพระเจ้าอาจจะเฝ้ามองเราจากเบื้องบน แต่ก็มิได้มีอำนาจจะช่วยเหลือเราได้ในทุกเรื่อง
ตามจริงแล้วใน 21 Grams มีมนุษย์คนหนึ่งที่ทำตัวเหมือนดั่งพระเจ้า เขาก็คือพอล เพราะพอลมีความรักในเพื่อนมนุษย์ (พอลอยากช่วยคริสติน่า / พอลไม่ยิงแจ็คแต่ปล่อยเขาไป) อันเป็นสิ่งที่ศาสนาคริสต์เน้นย้ำที่สุด และเขาก็คือผู้เรียก ศรัทธา ในการใช้ชีวิตของคริสติน่าและเจ็คให้กลับคืนมา
ดังนั้นผมคิดว่าหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่หนังที่เชื่อในพระเจ้า แต่เชื่อในความศรัทธาและความรักในเพื่อนมนุษย์
เหตุเพราะว่าในตอนท้ายสุดนั้น สภาพของพอลที่ไม่ต่างอะไรไปจากซากที่นอนรอความตาย มันคือการย้ำเตือนว่าพอลก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มิอาจรอดพ้นไปจากความตายได้ แม้ว่าเขาจะเคยทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนไว้ก็ตาม
เมื่อเขียนมาจนถึงตรงนี้ ผมก็ตระหนักคิดว่าภาพจิ๊กซอว์ที่ผมต่อได้จากหนังเรื่อง 21 Grams คืออะไร ลองดูแล้วมันประกอบด้วยภาพของความรัก/ความแค้น/ความศรัทธา, ภาพของมนุษย์ที่สูญเสีย ตายทั้งเป็น จนเกิดใหม่อีกครั้ง และภาพของเหล่ามนุษย์ที่วนเวียนมาเจอกันและจากกันในที่สุด
ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็คือภาพ ชีวิต ของเหล่ามนุษย์โลกนั่นเอง
เชิงอรรถ
*(1) ตั้งแต่ยุค 90s มา ออสการ์เคยให้รางวัลดารานำชายในบทคนเลวเพียงไม่กี่ครั้ง คือ เซอร์แอนโทนี่ ฮ็อฟกิ้นส์ จากบท ฮันนิบาล เล็คเตอร์ใน The Silence of the Lambs (ออสการ์ปี 1992) และเดนเซล วอชิงตันจากเรื่อง Training Day (ออสการ์ปี 2002)
*(2) ณอน เพนน์ประกาศว่า เกลียดออสการ์ และเขาไม่เคยมางานออสการ์เลยจนกระทั่งปี 2004 แต่กระนั้นออสการ์ก็ยังแกล้งส่งเขาเข้าชิงดารานำชายถึง 3 ครั้ง (ก่อนที่จะได้จาก Mystic River) คือจากเรื่อง Dead Man Walking, Sweet And Lowdown และ I Am Sam
(1) และ (2) อ้างอิงจาก CINEMAG ฉบับที่ 180 (10 March 2002) บทความ วิเคราะห์ออสการ์ 2002 โดย เดือนเพ็ญ สีหรัตน์
*(3) อ่านเรื่องของตัวอย่างหนังได้ในบทความ หนังตัวอย่าง ไม่ใช่แค่ตัวอย่างของหนัง BIOSCOPE ฉบับที่ 39 และ 40
*(4) ปี ค.ศ.1907 ดร.แม็กดูกัล ทำการทดลองโดยให้คนที่กำลังจะตายมานอนบนเตียงที่ชั่งน้ำหนักได้ ซึ่งพบว่าเมื่อคนไข้ตายแล้วน้ำหนักร่างกายของเขาจะหายไป 3/4 ออนซ์ หรือ 21 กรัม (บ้างสันนิษฐานว่าเป็นน้ำหนักของ วิญญาณ) แต่เมื่อทดลองกับสุนัขกลับพบว่าน้ำหนักไม่เปลี่ยนแปลง (ฝรั่งเลยเชื่อกันว่ามันไม่มีวิญญาณ) *(5) องค์ประกอบน้ำหนักชีวิตได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อไทยของหนัง 21 Grams ที่ว่า น้ำหนัก/รัก/แค้น/ศรัทธา ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นชื่อไทยของหนังฝรั่งที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
*(6) นิยายของมิลาน คุนเดอร่ามีชื่อว่า ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต (The Unbearable Lightness of Being) แปลเป็นภาษาไทยโดย ภัควดี วีระภาสพงษ์, สำนักพิมพ์คบไฟ
*(7) ได้แรงบันดาลใจจากประโยคที่ว่า วิถีของคนเราบนโลกนี้คือการยัดเยียดปัญหาให้คนอื่น จากนิยายเรื่อง Norwegian Wood ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย โดย ฮารูกิ มูราคามิ แปลเป็นภาษาไทยโดย นพดล เวชสวัสดิ์, สำนักพิมพ์มติชน
*(8) เป็นบทกลอนชื่อ La Tierra Giro para Acercarnos โดย Eugenio Montejo (ข้อมูลจาก imdb.com) โดยในดีวีดีนั้นแปลผิดว่าเป็นบทกลอนของนักเขียนชื่อ วาเนซูลันต์ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นนักเขียนชาวเวเนซูเอล่า (ประเทศนี้อยู่ตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลบ่อยๆ)
Create Date : 27 เมษายน 2548 |
|
29 comments |
Last Update : 27 เมษายน 2548 4:17:03 น. |
Counter : 9076 Pageviews. |
|
|
|
- BIOSCOPE ฉบับที่ 26 (มกราคม 2547 หน้าปก The Last Samurai) คอลัมน์เล่าด้วยภาพ 21 GRAMS ภาพที่งามและปวดร้าวของ หน้า 85-87
- BIOSCOPE ฉบับที่ 28 (มีนาคม 2547 หน้าปก Lost in Translation) คอลัมน์ BIO PREVIEW 21 things you (may) never know in 21 grams หน้า 18
- BIOSCOPE ฉบับที่ 33 (สิงหาคม 2547 หน้าปก Windstruck) บทสัมภาษณ์ Rodrigo Prieto (ตากล้องหนังเรื่อง 21 Grams) โดย นวรัตน์ รุ่งอรุณ หน้า 55-61
- PULP ฉบับที่ 10 (เมษายน 2547 หน้าปก Troy) คอลัมน์ DVD 21 Grams หนัก เท่าไหร่ โดย เจ๊ง้อ ซ้อไบท์ หน้า 87
- PULP ฉบับที่ 19 (มกราคม 2547 หน้าปก Kung Fu Hustle) PULPs MOVIES OF THE YEAR หน้า 65
- //www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.aspx?NewsID=4765796486734 บทวิจารณ์โดย คุณธิดา ผลิตผลการพิมพ์
- //www.bioscopemagazine.com/review/index-in.php?id=6975 บทวิจารณ์โดย คุณ Lakari
-----------------------------
สารถึงผู้อ่าน
1. ต้องขออภัยที่หายไปหลายวันนะครับ นับจากบทความ 'ชัตเตอร์ - ภาพแห่งความเจ็บปวด' ผมก็หายไปเกือบ 1 สัปดาห์ทีเดียว
2. นอกจากจะเพราะภารกิจในชีวิตแล้ว (เรื่องเรียนอย่างเดียว เรื่องรักไม่มีกับเค้าหรอก) เหตุที่ทิ้งช่วงไปนานเพราะ ผมใช้เวลาเขียนบทความเรื่อง 21 Grams นี้ค่อนข้างนานมากกกกกกก โดยเฉพาะขั้นตอนการเตรียมงาน ด้านการลำดับความคิด ซึ่งงานนี้เล่นเอาหัวหงอกไปอีกหลายเส้นเลยครับ
3. ผมอาจจะหายไปอีกช่วงหนึ่งนะครับ เพราะตอนนี้ใกล้สอบ FINAL แล้ว
4. ช่วงนี้ได้ดูหนังน้อยมากๆครับ และไม่มีหนังโรงเลย
หนังที่ได้ดูช่วงนี้
- ผีช่องแอร์ (D) ดูฟรีทาง UBC ยังเสียดายเวลาเลยครับ
- Blue (A+) หนึ่งในไตรภาคสามสีอันเลื่องชื่อ เพิ่งจะมีโอกาสได้ดูครับ...แหะแหะ