http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
เมษายน 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
27 เมษายน 2548
 
All Blogs
 

21 Grams – น้ำหนักจิ๊กซอว์ที่ปะต่อชีวิต

โดย merveillesxx



(คำเตือน – บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของภาพยนตร์)

หลังจากดูหนัง 21 Grams จบลงแล้ว ในสมองของผมเกิดห้วงคิดคำนึงหลายอย่าง…
อย่างแรกที่คิดได้ก็คือ ผมพบกับหนังเรื่องนี้ช้าไปหน่อย ผมเชื่อว่าถ้าผมได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนที่เข้าฉาย (หนังเข้าฉายในช่วงเดือนมีนาคม 2547 อันเป็นช่วงเก็บตกหนังออสการ์ เท่าที่จำได้ในโปรแกรมนั้นมีหนัง 3 เรื่องคือ 21 Grams, Monster และ Lost in Translation) ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะต้องติดอันดับหนังยอดเยี่ยมปี 2004 ในใจผมแน่นอน

ถัดมาก็คือ ฌอน เพนน์ควรจะได้ออสการ์จากหนังเรื่องนี้มากกว่า Mystic River เสียอีก สงสัยว่าออสการ์อยากจะให้รางวัลนี้กับพระเอกที่รับบทเลวๆบ้าง*(1) (หลังจากให้แต่พวกคนดี๊คนดีมาหลายปี) หรือไม่ก็คงเพราะว่าปีนี้เพนน์อุตส่าห์มางานแล้วออสการ์เลยรีบๆให้เขาไปเสีย*(2) …ส่วนรายของนาโอมิ วัตส์นั้นสมศักดิ์ศรีแล้วที่เธอได้เข้าชิงนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม แต่มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เธอจะพ่ายให้แก่รูปลักษณ์สุดสยองและการแสดงอันน่าเหลือเชื่อของชาร์ลิซ เธียรอนจาก Monster และเบนนิซิโอ เดลโตโร่ก็เหมาะสมเช่นกันกับการเข้าชิงดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ซึ่งตามจริงแล้ว 21 Grams คือหนังที่แสดงถึง ‘มาตรฐานการแสดงอันสูงส่ง’ ของวงการภาพยนตร์ในรอบหลายปีนี้ทีเดียว เพราะนักแสดงในเรื่องทุกคนให้การแสดงอันวิเศษเหลือล้น

สุดท้ายก็คือ ผมรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง จริงอยู่ว่าทุกวันนี้สื่ออย่างดีวีดีนั้นแสนสะดวกสบาย เพราะทุกคนสามารถเปิดโรงหนังในบ้านตัวเองได้ แต่มันก็ทำให้เรามักง่าย นิสัยเสีย และลืมไปว่า ‘ภาพยนตร์’ นั้นควรจะถูกสื่อและถ่ายทอดที่ในสถานที่ที่ชื่อว่า ‘โรงภาพยนตร์’ หนังอย่าง 21 Grams ที่มีรายละเอียดทางด้านภาพอย่างสูงนั้นก็เข้าข่ายกรณีนี้เช่นกัน (อ่านประเด็นเรื่องภาพของหนังเรื่องนี้ใน BIOSCOPE ฉบับที่ 26)

นอกจากจะก่อมวลความคิดมากมายให้หลั่งไหลในสมองแล้ว 21 Grams ยังกระตุ้นหลากหลายความรู้สึกในหัวใจของผมด้วย แต่มันก็ยากจะถ่ายทอดเป็นคำพูดหรือตัวอักษรอย่างเป็นระบบ เพราะในขณะที่หนังเรื่องนี้นำเสนอในรูปแบบ ‘เรื่องเล่าที่ต้องปะติดปะต่อ’ ความรู้สึกของผมที่มีต่อหนังเรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้น ดังนั้นบทความนี้อาจจะปรากฏร่องรอยแห่งความสับสนอยู่ก็เป็นได้ เพราะมันคือการ ‘ต่อจิ๊กซิอว์ความรู้สึก’ ของตัวผมเอง …หากคุณพร้อมแล้ว ก็เชิญหยิบจิ๊กซอว์ชิ้นแรกขึ้นมาเลยครับ

จิ๊กซอว์ชิ้นแรก: ชีวิตที่ไม่ไร้น้ำหนัก
ตัวอย่างหนังในทุกวันนี้คือแผนประชาสัมพันธ์ทางธุรกิจ ที่ทำอย่างไรก็ได้ให้คนดูยอมเสียเงินและเวลาไปดูหนังในโรง*(3) แต่ 21 Grams มีตัวอย่างหนังที่ดีกว่ามาตรฐานทั่วไปคือ นอกจากมันทำให้เราอยากดูหนังแล้ว มันยังทำให้เรา ‘คิด’ ตามไปด้วย นั่นคือการใช้ ‘คำถาม’ กระตุ้นโจมตีต่อมสงสัยใคร่รู้ของผู้ชมว่า
“อันว่าชีวิตนั้นมันมีน้ำหนักสักเท่าไร ?”
“แล้วความรักล่ะ ความผิดมลทินในใจล่ะ และความแค้นล่ะ มันหนักเท่าไร ?”


ยิ่งไปกว่านั้นหนังยังไม่บอกถึงน้ำหนักแน่นอนของชีวิต แต่กลับบอกถึงสิ่งที่ ‘เสียไป’ ในเวลาที่เราตาย
“เมื่อเราตาย เราจะสูญเสียน้ำหนักไป 21 กรัม ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตาม” *(4)
หนังเหมือนจะยั่วล้อคนดู ด้วยการบอกแต่ตอนจบ ไม่บอกตอนต้น ก็เพราะว่า ‘น้ำหนักของชีวิตคืออะไรนั้น’ คือสิ่งที่เราจะต้องค้นหาจากการดูหนังเรื่องนี้นั่นเอง

หนังเรื่องนี้เล่าถึง 3 ชีวิตที่ต่างตกอยู่ในห้วงสถานการณ์ที่ทำให้ไม่อาจดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขต่อไป และทั้งสามคนนี้เองที่จะบอกกับเราว่า ‘องค์ประกอบของน้ำหนักชีวิต’ นั้นคืออะไร หากลองพิจารณาดูแล้วตัวละครทุกตัวนั้นเจือชีวิตตัวเองอยู่ในอารมณ์ของ*(5)
1. ความรัก
2. ความแค้น
3. ความศรัทธา
ต่างไปกันที่ว่าแต่ละคนอาจจะอยู่กับสิ่งนั้นมากน้อยไม่เท่ากัน หากกล่าวโดยสรุปแล้วทั้งสามสิ่งนี้ก็คือ ‘น้ำหนัก’ ที่เราจะต้องแบกรับไว้ในชีวิต เช่น วันจันทร์คุณอาจจะรู้สึกรักใครคนหนึ่ง วันอังคารคุณรู้สึกแค้นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบหน้า วันพุธคุณอาจจะรู้สึก ‘ศรัทธา’ หรือ ‘เสียศรัทธา’ กับใครบางคน แต่คุณอาจจะแบกรับความรู้สึกทั้งสามนี้ไปตลอดสัปดาห์หรืออาจจะตลอดชีวิตเลยก็ได้ ไม่มีสูตรคำนวณแน่นอนว่า ‘น้ำหนัก’ เหล่านี้ จะหายไปเมื่อไร จะคงอยู่ไปอีกนานเท่าไร และส่วนใดที่จะหายไปก่อน

ดังนั้น รัก/แค้น/ศรัทธา คือสามน้ำหนักที่เราต้องแบกรับเอาไว้ทั้งชีวิต รูปการณ์ของชีวิตมนุษย์คนหนึ่งจะดำเนินไปอย่างไรนั้นก็ขึ้นกับว่าเขาจะถ่ายเทน้ำหนักของชีวิตตัวเองไปทางไหน ดังนั้น ‘ความสมดุลของชีวิต’ จึงน่าจะเกิดจากการถ่ายเทชีวิตไปแต่ละส่วนอย่างพอดี และตัวละครอย่างคริสติน่า (นาโอมิ วัตส์) และแจ็ค (เบนนิซิโอ เดล โตโร่) ก็คือตัวอย่างที่ชัดเจนของชีวิตที่ ‘เสียสมดุล’ …คริสติน่าแค้นคนที่พรากสามีและลูกสาวไปจากชีวิตเธอ จนอยากจะฆ่าเขา ส่วนแจ็คศรัทธาในพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง เพราะแรงความรู้สึกเหล่านี้เธอและเขาจึงไม่ใช่ ‘คนที่ตัวเองเคยเป็น’ อีกต่อไป …เช่นนั้นแล้วหนังเรื่องนี้อาจจะมีชื่อเล่นล้อกับนิยายของมิราน คุนเดอร่าว่า “ความหนักอึ้งเหลือทนของชีวิต” ก็เป็นได้*(6)

ตัวละครในหนังตอกย้ำซ้ำเติมให้ตัวเองให้น้ำหนักของชีวิตทวีคูณมากขึ้น จนมิสามารถทนแบกรับไว้อีกต่อไป เพราะพวกเขาล้วนติดกับ ‘อดีต’ (กล่าวได้ว่า 21 Grams เป็นหนังที่เล่าถึงความน่ากลัวของอดีตได้รุนแรงในระดับเดียวกับ 2046 ของหว่องกาไว) หนทางในการแบ่งเบาลดทอนความหนักอึ้งนั้นจึงออกมาในแบบที่ ‘บิดเบี้ยว’ (คริสติน่าหันไปเสพยา ส่วนแจ็คหนีลูกเมียไปทำงานในถิ่นกันดาร) เขาเลือกวิถีทางชีวิตของตัวเองเหมือนการบินของนกฮัมมิ่งเบิร์ด–นกที่บินถอยหลังได้ เขาและเธอล้วนแต่ย้อนคิดถึงแต่สิ่งที่ผ่านมา ซึ่งแท้จริงแล้วพวกเขาคือนกฮัมมิ่งเบิร์ดที่บินลอยในอากาศอยู่กับที่ และรอวันร่วงหล่นลงมาตาย! (สังเกตดูว่าตัวอย่างหนังจะมีรูปเงาของนกฮัมมิ่งเบิร์ดที่กระพือปีกอยู่กับที่)

แต่ชีวิตก็มิได้ให้เราจมอยู่ในห้วงอารมณ์อยู่เพียงคนเดียว ผู้คนมากมายหลายหน้าที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตเรา และพวกเขาทั้งสามก็เช่นกัน เขาและเธอล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน (จากอุบัติเหตุรถยนต์ครั้งนั้น) และต่างก็ถ่ายทอด ‘น้ำหนักของตัวเอง’ ให้ซึ่งกันและกัน เพราะนี่คือวิถีของโลกมนุษย์ วิถีของการดำเนินชีวิต นั่นคือการถล่มปัญหาของตัวเองให้กับผู้อื่น*(7)

แต่ใช่ว่าชีวิตของเหล่ามนุษย์จะโหดร้ายถึงเพียงนั้น เพราะคนบางคนก็พร้อมที่จะช่วยบรรเทาทุกข์ปัญหาของเรา จิ๊กซอว์ชิ้นถัดๆไปจะบอกเล่าถึงเรื่องนั้น…

จิ๊กซอว์ชิ้นที่สอง: ชีวิตที่ยึดติด
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าตัวละครในหนังล้วนยึดติดกับอะไรบางอย่าง หากกล่าวในเชิงนามธรรมนั้นสิ่งที่พวกเขายึดติดก็คือ ‘อดีต’ และ ‘น้ำหนักชีวิตทั้งสาม = รัก/แค้น/ศรัทธา’

ส่วนในด้านรูปธรรมนั้นหนังก็แสดงให้เห็นเช่นกัน
พอล (ณอน เพนน์) หลงระเริงยินดีไปกับ ‘หัวใจดวงใหม่’ ที่เขาจะได้มันมา (หลังจากผ่าตัดเสร็จเขาก็เลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆทันที) แต่แล้วหัวใจเจ้ากรรมก็ทำตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้าของร่างกาย (หัวใจใหม่ของเขาไม่เข้ากับร่างกาย พอลต้องผ่าตัดใหม่อีกครั้ง) ก็เพราะมันไม่ใช่ ‘ของๆเขา’ หรืออาจจะเพราะเขาดันอุตริไปหลงรักคริสติน่าก็ได้ (อย่าลืมว่าเจ้าของหัวใจคือ สามีของคริสติน่า!)

แต่ดูเหมือนว่าพอลจะเป็นคนที่ ‘ตาสว่าง’ เร็วกว่าคนอื่น เขาพูดกับหมอว่า “ผมจะไม่นอนรอความตายเป็นซากศพอยู่ที่โรงพยาบาลหรอกนะ!” เพราะเขารู้ว่า เขามีสิ่งที่ต้องทำรออยู่ และเขาก็ก้าวออกไปทำสิ่งนั้นอย่างไม่รอช้า

ด้านคริสติน่าก็หันไปเล่นยาเพื่อที่จะลืมความเจ็บปวด แต่นั่นก็เป็นความลืมเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ผมคิดว่าเมื่อเธอฟื้นขึ้นจากอาการเมายาและส่องกระจกดูสภาพของตัวเอง ความทุกข์และสมเพชเวทนาตัวเองคงถาโถมเข้ามาหาเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า …หนังเปิดเผยว่าความจริงแล้วคริสติน่าก็เคยเป็นพวก ‘สาวฮิปปี้ขี้ยา’ มาก่อน แต่ก็เพราะคนรัก (สามีของเธอ)และลูกๆ จึงทำให้เธอมีชีวิตใหม่อีกครั้ง มันน่าตกใจเหลือเกินว่าแม่และภรรยาในอุดมคติอย่างเธอจะดิ่งเหวไปสู่วงจรอุบาทว์อีกครั้งได้ ณ ตอนนั้นเธอลืมแล้วซึ่ง ‘ความเป็นแม่’ และ ‘ความศรัทธา’ ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะรวมถึง ‘ความเป็นมนุษย์’ ด้วย

และแจ็คนั้นก็ศรัทธาและลุ่มหลงในพระเจ้าอย่างบ้าคลั่งและเกินขอบเขต (ผลในเชิงรูปธรรมของแจ็คคือ การสักรูปไม้กางเขนที่แขน) สำหรับแจ็คแล้วพระเจ้าไม่ใช่แค่ที่ยึดเหนี่ยวทางใจ แต่เป็น ‘ทุกสิ่งทุกอย่าง’ แม้แต่การอบรมสั่งสอนลูกเขาก็ไม่ได้ทำในฐานะ ‘พ่อ’ แต่เป็น ‘สาวกผู้เคร่งครัดต่อศาสนา’ เสียมากกว่า แต่แล้วพระเจ้าที่เขาสร้างขึ้นมาก็พังทลายไปด้วยมือของเขาเอง ชีวิตที่พลิกผันทำให้เขาก็กล่าวโทษพระเจ้าอย่างไม่ไยดี …ผมคิดว่าการ ‘ศรัทธา’ ในอะไรบางอย่างจนเกินไปนั้นน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ ‘การเสียศรัทธา’ จากสิ่งนั้น และแจ็คคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด

สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อน่าจะเป็นว่าสิ่งที่เรายึดติดนั้นล้วนเป็นเป็นเพียงภาพลวงตา การจมอยู่กับมันนั้นล้วนนำมาซึ่งการดำดิ่งและความว่างเปล่า สิ่งที่สุดท้ายที่เราควรจะผูกยึดกับมันมากที่สุดนั้นคือ ‘ตัวเราเอง’ มากกว่า เราจะต้องลุกขึ้นและก้าวชีวิตต่อไปด้วยขาของเราเอง ไม่ใช่เพราะ หัวใจของคนอื่น / ยาเสพติด หรือแม้กระทั่งพระเจ้า

แต่ดูเหมือนว่าคนบางคนจะอ่อนแอและมืดบอดเกินไปที่จะมองเห็นตัวเอง โลกจึงส่ง ‘ใครบางคน’ ที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีของชีวิตให้เข้าสู่ทางที่ควรจะเป็น และสำหรับคริสติน่ากับแจ็ค คนๆนั้นอาจจะมีชื่อว่า ‘พอล’

จิ๊กซอว์ชิ้นที่สาม: ชีวิตจิ๊กซอว์
คำถามประจำใจของทุกคนที่มีต่อหนังเรื่อง 21 Grams คงจะหนีไม่พ้นว่า “ทำไมต้องเล่าเรื่องสลับไปมาด้วย(วะ)” ทั้งๆที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำจริงตามลำดับเวลา แล้วทำไมต้องมาเสียเวลานั่งตัดต่อหนังใหม่อีก (หนังเรื่องนี้มีจำนวนคัทเยอะมาก)

คำตอบในเชิงของการเล่าเรื่อง (Narrative) นั้นน่าจะคล้ายกับหนังอย่าง Memento ที่ตามจริงแล้วเนื้อเรื่องของมันธรรมดามาก แต่การย้อนเล่าจากหลังมาหน้าก็ทำให้หนังพิศวงจนคนเอาไปถกต่อกันเป็นเดือนๆ หรือการเล่าเรื่องย้อนหลังใน Irreversible ก็ทำให้คนดูแสนเจ็บปวดเมื่อพบว่าฉากไคลแม็กซ์ของหนังไม่ใช่ฉากข่มขืนลองเทค 9 นาทีแต่เป็นฉากจบของหนัง (= จุดเริ่มต้นของเนื้อเรื่อง) ต่างหาก

ตามจริงแล้วการทำหนังเรื่อง 21 Grams นั้น เหมือนกับว่าผู้กำกับ อเลฮานโดร กอนซาเลซ อีนาร์รีตู กำลังย้อนรอยหนัง Amores Perros ผลงานเรื่องแรกของเขา นั่นคือการเล่าเรื่องผ่านตัวละคร 3 คน ที่ถูกเชื่อมโยงด้วยจุดร่วมเดียวกัน (ซึ่งทั้งสองเรื่องคือ อุบัติเหตุรถยนต์เหมือนกันอีกต่างหาก) เพียงแต่ว่าหนังเรื่องแรกนั้นเป็นดั่งหนังวัยรุ่นเลือดร้อน แต่ 21 Grams คือหนังแบบผู้ใหญ่ที่สุขุมและลุ่มลึกมากขึ้น นี่จึงเป็นการย้อนรอยที่ประสบความสำเร็จ (ส่วนตัวอย่างการย้อนรอยที่ล้มเหลวก็คือ หนังเรื่อง Windstruck ของกวักแจยอง)

มีผู้กล่าวเปรียบเปรยไว้ว่าการดูหนังเรื่อง 21 Grams นั้นเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ที่บนกล่องไม่มีภาพบอกมาให้ว่าเรากำลังต่อรูปอะไรอยู่ …การตัดต่อของหนังเรื่องนี้นอกจากจะโดดเด่นในด้านเทคนิคแล้ว มันส่งผลให้คนดูต้องมาปะติดปะต่อความคิดต่อเองด้วย ความท้าทายต่อคนดูอย่างแรกก็คือในด้านเนื้อเรื่องของมัน ซึ่งผมคิดว่า 21 Grams ไม่มีปัญหาติดขัดในจุดนี้ กล่าวคือแม้จะสลับเหตุการณ์จนปวดเศียรเวียนเกล้าแต่เมื่อดูจนจบแล้ว เราพอจะจับเรื่องราวโดยคร่าวๆได้ แต่ความท้าทายที่น่าลิ้มลองขึ้นไปอีกก็คือ สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อสารกับเรา

หากจะพิจารณาโดยอิงบริบทจากหนังแล้ว ผมคิดว่า ‘กุญแจหลัก’ อันเป็นสาเหตุของมหกรรมการตัดต่อครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะอยู่ฉากสนทนาที่พอลกับคริสติน่าไปกินกาแฟด้วยกัน (Chapter 8 ในดีวีดี – รอยยิ้มของนาโอมิ วัตส์ในฉากนี้ ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกอีกคนหนึ่ง) พอลเป็นนักคณิตศาสตร์ที่เชื่อว่า “สมการ, ตัวเลขและตัวแปรทั้งหลายนั้นจะเป็นประตูไปสู่ความเข้าใจต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรามากมาย เหมือนกับคนแปลกหน้าสองคนที่มาเจอะเจอกัน” และเขาก็ย้ำต่อด้วยบทกลอนของกวีชาวเวเนซูเอล่า*(8) ที่ว่า
“โลกหมุนไป เพื่อให้เราได้มาใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
มันหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบตัวเรา
จนกระทั่งนำพาเราไปพบกับห้วงแห่งความฝัน”


ดังนั้นถ้าเราเปรียบเทียบ 21 Grams ในเชิงคณิตศาสตร์แล้ว เราอาจแทนค่าได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแต่ละบุคคลในหนังนั้นมันก็คือ ‘สมการ’ ชุดหนึ่ง โดยเหล่าตัวละครผู้เป็นเจ้าของเหตุการณ์คือ ‘ตัวแปรหลัก’ ในสมการ (เช่น พอล=X, คริสติน่า=Y และแจ็ค=Z) และบางช่วงของหนังก็มีสถานการณ์ที่ตัวละครสองตัวอยู่ร่วมกัน ก็คือ ‘การแก้ระบบสมการสองตัวแปร’ (เช่น ฉากของพอลและคริสติน่า ก็คือการแก้ X กับ Y) และท้ายสุดทั้งสามชีวิตก็จะมาเจอกันในที่สุด ซึ่งนั่นก็คือ ‘การแก้ระบบสมการสามตัวแปร’ (X, Y และ Z) อันเป็นการคลี่คลายหาคำตอบทั้งหมดของเรื่อง เพื่อที่จะพบกับ ‘ประตู’ ที่พอลกล่าวไว้

เราอาจจะแทนภาพของทั้งสามด้วยจิ๊กซอว์ก็ได้ พอล คริสติน่า และแจ็ค เป็นจิ๊กซอว์สามชิ้นสำคัญให้กับหนัง และกับคนดู แต่แท้จริงแล้วพวกเขาทั้งสามก็เป็น ‘จิ๊กซอว์’ ให้แก่และกัน นอกจากจะถ่ายเททั้งความรักและสาดใส่ความแค้นต่อกันแล้ว (ดังที่กล่าวไปข้างต้น) ด้วยกลไกการหมุนเวียนของโลก พวกเขาล้วนต้องมาบรรจบพบเจอกัน เขาและเธอจะ ‘แลกเปลี่ยน’ และ ‘เรียนรู้’ ด้วยกัน เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่คนดูเท่านั้นที่ต้องปะติดปะต่อความคิดต่อหนัง แต่เหล่าตัวละครก็ต้อง ‘ปะติดปะต่อ’ ชีวิตของตัวเอง ด้วยการเรียนรู้จากคนอื่นด้วย …เพราะทั้งสามล้วนเป็น ‘คนแปลกหน้า’ ที่ขับเคลื่อนชีวิตให้แก่กัน

ข้อสันนิษฐานต่อการสลับชุดเหตุการณ์นั้นอาจจะพิจารณาจากตัวของ ‘พอล’ หากจำกันได้ฉากเปิดแรกๆ จะเป็นฉากที่พอลนอนรอความตายอยู่ในโรงพยาบาล (จากการที่เขาเอาปืนยิงหัวใจตัวเอง) เสียงวอยซ์โอเวอร์ของพอลนั้นลอยละล่องเหมือนคนใกล้สิ้นสติ จากนั้นหนังก็ตัดสู่ภาพ ‘ฝูงนกที่บินขึ้น’ เป็นดั่งบทโหมโรงสู่ชะตาชีวิตของมนุษย์ทั้งสาม ผมคิดว่าภาพในหนังเรื่องนี้เหมือนห้วงความคิดของคนใกล้ตาย (ในที่นี้ก็คือพอล) จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันจึงสับสนวุ่นวายได้ถึงเพียงนั้น

หลังจากเล่าถึงชีวิตทั้งสามมาได้เกือบสองชั่วโมง หนังก็ตัดเข้าสู่ภาพฝูงนกอีกครั้ง แต่คราวนี้มันคือ ‘ฝูงนกที่บินลง’ (ดนตรีปิดม่าน) หรืออาจจะเป็นเหล่านกที่บินกลับรัง เพราะใครคนหนึ่งกำลังจะกลับบ้านเก่า นั่นก็คือพอลนั่นเอง …ท้ายสุดหนังก็ตัดมาที่พอลอีกครั้ง ห้วงคิดคำนึงของเขาค่อยๆช้าลง แต่นิ่งสุขุมมากขึ้น สิ่งที่เขาคิดได้คือเรื่องของ ‘น้ำหนัก 21 กรัมที่สูญเสียไป’ และคำถามของเขาคือ “แล้วเราได้กลับมาเท่าไร?” แล้วหนังก็จบลง …แต่ไม่ใช่สำหรับคนดูที่จะจบเพียงแค่นั้น เพราะนี่คือคำถามที่หนังตั้งไว้ให้เราไปขบคิดกันต่อ

“แล้วสิ่งที่เราได้มาคืออะไร” ผมว่าคำถามนี้มันคงไม่เกิดประโยชน์ต่อชีวิตนักถ้าหากเราจะถามมัน ‘หลังจาก’ ที่เราสูญเสียสิ่งสุดท้ายในชีวิต -น้ำหนัก 21 กรัม- ไปแล้ว สิ่งที่ควรก็คือคำถามนี้ควรปรากฏต่อตัวเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ …ผมคิดว่าการที่เราจะได้ซึ่งสิ่งใดมานั้นมันก็น่าจะมาจาก ‘การกระทำ’ ของเรา ดังนั้นถ้าเทียบเคียงกับหลักพุทธศาสนาแล้วดูเหมือน ‘สิ่งที่เราได้มา’ ในที่นี้ก็คือ ‘ผลกรรม’

เช่นนั้นแล้วถ้าเราจะตอบคำถามแก่พอลว่าเขาได้อะไร เราก็น่าจะพิจารณาที่ว่าเขาได้ ‘ทำอะไร’ ไปบ้าง โดยสรุปแล้วก็เข้าไปพัวพันกับชีวิตของคริสติน่า (โดยที่แท้จริงเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้) และตามด้วยแจ็คในภายหลัง สิ่งที่เขาทำลงไปนั้นส่งผลอย่างไร หนังก็สรุปให้เราเห็นอย่างชัดเจนแล้วตอนท้าย (Chapter 11 ในดีวีดี) ภาพที่ปรากฏต่อสายตาเราก็คือ
1. สามีและลูกของคริสติน่ากำลังจะก้าวออกร้านอาหาร
2. แจ็คอำลาเพื่อนด้วยท่าทีร่างเริง เขากำลังจะขึ้นรถ / คริสติน่าหันไปยิ้มให้กับน้องสาว (ฉากสระว่ายน้ำ)
4. แจ็คกับคริสติน่ามองหน้ากัน ทั้งสอง ‘ให้อภัย’ แก่กัน (โดยไม่ต้องพูดกันแม้แต่คำเดียว)
5. แจ็คเดินกลับเข้าบ้าน เมียของเขารออยู่ / คริสติน่ากลับไปที่บ้าน (คาดว่าที่เธอถืออยู่คือของเล่นของลูกสาว)
สงสัยใช่ไหมครับว่าทำไม ข้อ 3 หายไป ผมไม่ได้เมานะครับ …สังเกตไหมครับว่าในฉากนี้สิ่งที่หายไปคือ ‘เหตุการณ์ที่อยู่ตรงกลาง’ (ซึ่งผมขอแทนด้วยข้อ 3) ซึ่งเรารู้แล้วว่ามันช่วงเลวร้ายเหลือทน มันไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ เพราะเนื้อเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมดของหนังก็คือการเล่าถึงเหตุการณ์ในข้อ 3 นั่นเอง

ผมคิดว่าในฉากนี้ หนังพาเราไปดูช่วงชีวิตของทั้งสองก่อนที่จะเกิด ‘เหตุการณ์นั้น’ ขึ้น ว่าเขาและเธอมีความสุขขนาดไหน แล้วหนังก็เลือกตัดความเลวร้ายตรงกลางทิ้งไป แล้วตัดเข้าสู่บทสรุปของทั้งสองทันที…พวกเขาได้กลับไปที่ ‘โลกเดิม’ ที่เคยจากมาแล้วครับ

ซึ่งที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะไม่ใช่เลยนอกจากพอล ลองคิดดูว่าหากพอลไม่เข้าไปชีวิตของคริสติน่า เธอก็คงตายเพราะเล่นยาไปแล้วแน่ๆ และพอลก็เป็นคนทำให้แจ็ครื้อฟื้นความทรงจำในอดีตขึ้นมาอีกครั้ง จนตระหนักคิดได้ว่าเขากำลังวิ่งหนีความเป็นจริง …ดังนั้นกับคำถามที่ว่าสิ่งที่พอลได้รับคืนมาเป็นเท่าไร ผมก็คงมิอาจจะตอบได้ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เขาได้ทำลงไปนั้นมันแสนจะยิ่งใหญ่

และในที่สุดหัวใจของพอลก็หยุดเต้น…หัวใจดวงใหม่ที่พอลได้ไปไม่ได้ให้ชีวิตใหม่แก่เขา แต่ให้ชีวิตใหม่แก่คริสติน่าและแจ็ค

ฉากสุดท้ายของ 21 Grams ทำให้ผมคิดถึงหนังเรื่อง Blue (หนึ่งในไตรภาคสามสีของ คริสซ์ตอฟ เคียสลอฟสกี้) และ Requiem for a Dream หนังทั้งสามเรื่องปิดท้ายด้วยการฉายภาพชะตากรรมที่ดำเนินต่อไปของเหล่าตัวละครในเรื่อง หากจะถามว่าใครที่เป็นเจ้าของสายตาที่มองมายังพวกเขาเหล่านั้น คำตอบก็คงไม่พ้น ‘พระผู้เป็นเจ้า’ แต่หนังทั้งสามเรื่องนั้นไม่มีการยื่นมือช่วยเหลือจากพระเจ้า ตัวละครในหนังจะลุกขึ้นยืนและล้มตายก็ด้วยเพราะ ‘ตัวของเขาเอง’ ดังนั้นนี่น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าพระเจ้าอาจจะเฝ้ามองเราจากเบื้องบน แต่ก็มิได้มีอำนาจจะช่วยเหลือเราได้ในทุกเรื่อง

ตามจริงแล้วใน 21 Grams มีมนุษย์คนหนึ่งที่ทำตัวเหมือนดั่งพระเจ้า เขาก็คือพอล เพราะพอลมีความรักในเพื่อนมนุษย์ (พอลอยากช่วยคริสติน่า / พอลไม่ยิงแจ็คแต่ปล่อยเขาไป) อันเป็นสิ่งที่ศาสนาคริสต์เน้นย้ำที่สุด และเขาก็คือผู้เรียก ‘ศรัทธา’ ในการใช้ชีวิตของคริสติน่าและเจ็คให้กลับคืนมา …ดังนั้นผมคิดว่าหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่หนังที่เชื่อในพระเจ้า แต่เชื่อในความศรัทธาและความรักในเพื่อนมนุษย์

เหตุเพราะว่าในตอนท้ายสุดนั้น สภาพของพอลที่ไม่ต่างอะไรไปจากซากที่นอนรอความตาย มันคือการย้ำเตือนว่าพอลก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มิอาจรอดพ้นไปจากความตายได้ แม้ว่าเขาจะเคยทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนไว้ก็ตาม…

เมื่อเขียนมาจนถึงตรงนี้ ผมก็ตระหนักคิดว่าภาพจิ๊กซอว์ที่ผมต่อได้จากหนังเรื่อง 21 Grams คืออะไร ลองดูแล้วมันประกอบด้วยภาพของความรัก/ความแค้น/ความศรัทธา, ภาพของมนุษย์ที่สูญเสีย ตายทั้งเป็น จนเกิดใหม่อีกครั้ง และภาพของเหล่ามนุษย์ที่วนเวียนมาเจอกันและจากกันในที่สุด

ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็คือภาพ ‘ชีวิต’ ของเหล่ามนุษย์โลกนั่นเอง


เชิงอรรถ

*(1) ตั้งแต่ยุค 90’s มา ออสการ์เคยให้รางวัลดารานำชายในบทคนเลวเพียงไม่กี่ครั้ง คือ เซอร์แอนโทนี่ ฮ็อฟกิ้นส์ จากบท ฮันนิบาล เล็คเตอร์ใน The Silence of the Lambs (ออสการ์ปี 1992) และเดนเซล วอชิงตันจากเรื่อง Training Day (ออสการ์ปี 2002)

*(2) ณอน เพนน์ประกาศว่า “เกลียดออสการ์” และเขาไม่เคยมางานออสการ์เลยจนกระทั่งปี 2004 แต่กระนั้นออสการ์ก็ยังแกล้งส่งเขาเข้าชิงดารานำชายถึง 3 ครั้ง (ก่อนที่จะได้จาก Mystic River) คือจากเรื่อง Dead Man Walking, Sweet And Lowdown และ I Am Sam

(1) และ (2) อ้างอิงจาก CINEMAG ฉบับที่ 180 (10 March 2002) บทความ “วิเคราะห์ออสการ์ 2002” โดย เดือนเพ็ญ สีหรัตน์

*(3) อ่านเรื่องของตัวอย่างหนังได้ในบทความ “หนังตัวอย่าง ไม่ใช่แค่ตัวอย่างของหนัง” BIOSCOPE ฉบับที่ 39 และ 40

*(4) ปี ค.ศ.1907 ดร.แม็กดูกัล ทำการทดลองโดยให้คนที่กำลังจะตายมานอนบนเตียงที่ชั่งน้ำหนักได้ ซึ่งพบว่าเมื่อคนไข้ตายแล้วน้ำหนักร่างกายของเขาจะหายไป 3/4 ออนซ์ หรือ 21 กรัม (บ้างสันนิษฐานว่าเป็นน้ำหนักของ ‘วิญญาณ’) แต่เมื่อทดลองกับสุนัขกลับพบว่าน้ำหนักไม่เปลี่ยนแปลง (ฝรั่งเลยเชื่อกันว่ามันไม่มีวิญญาณ)

*(5) องค์ประกอบน้ำหนักชีวิตได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อไทยของหนัง 21 Grams ที่ว่า “น้ำหนัก/รัก/แค้น/ศรัทธา” ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นชื่อไทยของหนังฝรั่งที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

*(6) นิยายของมิลาน คุนเดอร่ามีชื่อว่า “ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต” (The Unbearable Lightness of Being) แปลเป็นภาษาไทยโดย ภัควดี วีระภาสพงษ์, สำนักพิมพ์คบไฟ

*(7) ได้แรงบันดาลใจจากประโยคที่ว่า “วิถีของคนเราบนโลกนี้คือการยัดเยียดปัญหาให้คนอื่น” จากนิยายเรื่อง “Norwegian Wood – ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย” โดย ฮารูกิ มูราคามิ แปลเป็นภาษาไทยโดย นพดล เวชสวัสดิ์, สำนักพิมพ์มติชน

*(8) เป็นบทกลอนชื่อ La Tierra Giro para Acercarnos โดย Eugenio Montejo (ข้อมูลจาก imdb.com) โดยในดีวีดีนั้นแปลผิดว่าเป็นบทกลอนของนักเขียนชื่อ ‘วาเนซูลันต์’ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นนักเขียนชาวเวเนซูเอล่า (ประเทศนี้อยู่ตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลบ่อยๆ)




 

Create Date : 27 เมษายน 2548
29 comments
Last Update : 27 เมษายน 2548 4:17:03 น.
Counter : 9076 Pageviews.

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

- BIOSCOPE ฉบับที่ 26 (มกราคม 2547 – หน้าปก The Last Samurai) คอลัมน์เล่าด้วยภาพ “21 GRAMS ภาพที่งามและปวดร้าวของ…” หน้า 85-87
- BIOSCOPE ฉบับที่ 28 (มีนาคม 2547 – หน้าปก Lost in Translation) คอลัมน์ BIO PREVIEW “21 things you (may) never know in 21 grams” หน้า 18
- BIOSCOPE ฉบับที่ 33 (สิงหาคม 2547 – หน้าปก Windstruck) บทสัมภาษณ์ Rodrigo Prieto (ตากล้องหนังเรื่อง 21 Grams) โดย นวรัตน์ รุ่งอรุณ หน้า 55-61
- PULP ฉบับที่ 10 (เมษายน 2547 – หน้าปก Troy) คอลัมน์ DVD “21 Grams หนัก…เท่าไหร่” โดย เจ๊ง้อ ซ้อไบท์ หน้า 87
- PULP ฉบับที่ 19 (มกราคม 2547 – หน้าปก Kung Fu Hustle) PULP’s MOVIES OF THE YEAR หน้า 65
- //www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.aspx?NewsID=4765796486734 บทวิจารณ์โดย คุณธิดา ผลิตผลการพิมพ์
- //www.bioscopemagazine.com/review/index-in.php?id=6975 บทวิจารณ์โดย คุณ Lakari

-----------------------------

สารถึงผู้อ่าน

1. ต้องขออภัยที่หายไปหลายวันนะครับ นับจากบทความ 'ชัตเตอร์ - ภาพแห่งความเจ็บปวด' ผมก็หายไปเกือบ 1 สัปดาห์ทีเดียว

2. นอกจากจะเพราะภารกิจในชีวิตแล้ว (เรื่องเรียนอย่างเดียว เรื่องรักไม่มีกับเค้าหรอก) เหตุที่ทิ้งช่วงไปนานเพราะ ผมใช้เวลาเขียนบทความเรื่อง 21 Grams นี้ค่อนข้างนานมากกกกกกก โดยเฉพาะขั้นตอนการเตรียมงาน ด้านการลำดับความคิด ซึ่งงานนี้เล่นเอาหัวหงอกไปอีกหลายเส้นเลยครับ

3. ผมอาจจะหายไปอีกช่วงหนึ่งนะครับ เพราะตอนนี้ใกล้สอบ FINAL แล้ว

4. ช่วงนี้ได้ดูหนังน้อยมากๆครับ และไม่มีหนังโรงเลย
หนังที่ได้ดูช่วงนี้
- ผีช่องแอร์ (D) ดูฟรีทาง UBC ยังเสียดายเวลาเลยครับ
- Blue (A+) หนึ่งในไตรภาคสามสีอันเลื่องชื่อ เพิ่งจะมีโอกาสได้ดูครับ...แหะแหะ

 

โดย: merveillesxx 27 เมษายน 2548 4:20:24 น.  

 

เรื่องนี้ ได้เข้าไปดูในโรงหนัง ( ปกติไม่ชอบดูหนังแผ่น ประกอบกับไม่มีเครื่องเล่นเลยเสียโอกาสดูหนังดีๆเยอะ ) จำได้ว่าแถวๆ สยาม แต่ไม่รู้โรงไหน

ขอคุณมากครับ ที่เขียนบทความมาให้อ่านกัน(ลืม)

 

โดย: merf1970 27 เมษายน 2548 7:52:17 น.  

 

ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้
เด๋ยวจะหามาดู
น่าสนใจดีนะคะ

 

โดย: prncess 27 เมษายน 2548 8:08:02 น.  

 

ชอบเรื่องนี้คับ
แต่มาอ่านบทวิจารณ์นี้ก็ยิ่งชอบคับ
ว่าแต่ยาวโคตร

 

โดย: nanus (nanus ) 27 เมษายน 2548 9:27:26 น.  

 

ชอบเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ สนุกอ่ะ
ตอนแรกๆดูไม่รู้เรื่องเลย
พอไปกลางๆเรื่องถึงพอเข้าใจ^^"

หนังที่ Sean Penn เล่นนี่ไม่เคยผิดหวังเลยจริงๆ

 

โดย: ซินเด๋อเหลอหลา 27 เมษายน 2548 11:50:36 น.  

 

คำสารภาพ...
ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจไปดูเรื่องนี้ เพราะกะจะไปดู In America แต่ปรากฎมันออกไปแล้ว เลยตัดสินใจ เป็นไง เป็นกัน ดู 21 Grams ก็ได้วะ หนังอะไรก็ไม่รู้ เห็นได้ชิงออสการ์ คงดีมั้ง

ปรากฎ 10 นาทีแรก งง
อะไรอ่ะ
เราโง่รึเปล่าวะ
ทำไมดูหนังไม่รู้เรื่อง
ประกอบกับวันนั้นไม่ได้เอาแว่นไปด้วย ซับก็เป็นซับตอก อ่านไม่ออก เพ่งแล้วเพ่งอีกก็อ่านไม่ออก (สั้น 350 จะอ่านออกได้ไงฟะ)

เป็นไงเป็นกัน ลงทุนเงี่ยหูฟัง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่พอดูจบ โอ้! จอร์จ หนังเยี่ยมจริงๆ ชอบการตัดต่อมากๆ (แต่เฉยๆ กับนาโอมิ วัตตส์นะ) ส่วนเนื้อเรื่องที่บอกไม่ค่อย "อิน" เพราะฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้างนี่แหละ (ฮา!)

ป.ล. เห็นคุณ grappa บอกหนังสือคุณมิลานสนุก เดี๋ยวลองไปหามาอ่านมั่ง ชอบคนปากจัด (ฮา!)

 

โดย: it ซียู 27 เมษายน 2548 15:06:11 น.  

 

ผมดูเรื่องนี้ครั้งแรก รู้สึกอึดอัดมากครับ
อาจเป็นเพราะผมดูหนังแนวนี้ไม่ค่อยรู้เรื่อง
อย่างเรื่อง Memento ใช้เวลาดูหลายรอบเลยทีเดียวกว่าจะเข้าใจและเรียงลำดับเหตุการณ์ได้

ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้ยากกว่ามาก แล้วการที่จะมาเรียบเรียงงานเขียน ผมคิดว่ายากยิ่งกว่า

งานเขียนของคุณแม้จะยาว แต่น่าติดตามอ่านมาก ว่างๆ ผมคงหยิบหนังเรื่องนี้มาดูอีกรอบครับ

 

โดย: takky_sc IP: 61.19.184.8 27 เมษายน 2548 21:36:32 น.  

 

พยายามรื้อฟื้นความทรงจำจากหนังเรื่องนี้มาแลกเปลี่ยนกับคุณแมกเวยxx ดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ฉายในโรง (เลยไม่รู้สึกผิด) จำได้ว่าชอบคำโฆษณาของหนังเรื่องนี้อยู่มากๆ

ถ้าหนังเรื่องนี้มีวิธีการนำเสนอแบบไม่ปะติดปะต่อ แต่งานรีวิวชิ้นนี้ทำสิ่งซึ่งตรงกันข้ามกับหนัง คือนำเสนออย่างเป็นระบบและต่อจิ๊กซอว์ให้คนอ่านจนเกือบจะเห็นภาพทั้งหมดของหนัง

ความฉลาดของหนังเรื่องประการหนึ่งคือบอกคนดูก่อนด้วยซ้ำถึงเหตุการณ์สำคัญในเรื่อง (คือ สปอยล์คนดูอยู่ตลอดเวลา ) แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสในการดู เพราะคนดูก็มัวแต่ต่อชิ้นส่วนการรับรู้อยู่ เห็นด้วยกับอีกหลายคนว่ากว่าจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้พูดอะไรก็ปาเข้าไปกลางเรื่องแล้ว

เหมือนๆ หนังจะบอกเราว่าถึงที่สุดของมนุษย์ก็คือการให้อภัย โดยพระเจ้าพอลนำสารนี้มาบอกกับมนุษย์ธรรมดาอย่างคริสติน่าผู้มีแรงแค้นอัดแน่น และแจ็คผู้แสนอ่อนแอ เห็นด้วยว่าบทของฌอน เพนน์เรื่องนี้ดูราวกับพระเจ้าก็ไม่ปาน แต่ว่า- - -ศพของพระเจ้าก็ถูกเคลื่อนออกไปจากฟ้านานมาแล้ว - - - (ประโยคหลังมาจากหนังสือชิทแตก )
อ้อ ไม่แน่ว่าซาตร์หรือการ์มูส์ ที่บอกว่า นรกคือผู้อื่น

สารถึงคนเขียน

- ตอนนี้เวลาอ่านงานของคุณแมกเวยxx ไม่รู้สึกว่าอ่านเล่นๆ อีกต่อไป แต่รู้สึกราวกับกำลัง "ทำงาน"อยู่

- คุนเดอร่ากับมูราคามิ มีความเหมือนกันบางประการ อย่างเช่นการสื่อสารบางอย่างกับคนอ่านด้วยฉากเซ็กซ์ กรณีคุนเดอร่าฉากเซ็กซ์ของเขามักตัดสลับบรรยากาศการเมือง หนังชื่อเดียวกับหนังสือที่คุณยกมาอ้างอิงก็สนุกไม่แพ้กัน รักชวนหัว (รวมเรื่องสั้น )หนังสือของ
คุนเดอร่าอีกเล่ม ก็สนุกมากๆคุนเดอร่าแกร้ายจริงๆ

- อย่าหายไปนาน คนอ่านคิดถึง


 

โดย: grappa 28 เมษายน 2548 0:05:56 น.  

 

>ตอนนี้เวลาอ่านงานของคุณแมกเวยxx ไม่รู้สึก>ว่าอ่านเล่นๆ อีกต่อไป แต่รู้สึกราวกับกำลัง
>"ทำงาน"อยู่
ผมไม่แน่ใจว่า อันนี้จะถือเป็นข้อดีหรือข้อเสีย (หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง) กันแน่ แต่ถ้างานเขียนของผมสามารถกระตุ้นให้ผู้อ่านรู้สึกเช่นนั้นได้ก็นับเป็นเรื่องน่ายินดีครับ

ตามจริงแล้วผมว่าคุณสมบัติที่ดีที่นักเขียนควรจะมีด้วยก็คือ 'อารมณ์ขัน' แต่กับหนังเรื่อง 21 Grams คงจะไม่เหมาะนักที่จะเจือความขำขันลงไป (หากต้องการอารมณ์ขันก็เชิญอ่านอันที่เขียนถึง Formula17 นะครับ)

คงต้องเล่าให้ฟังสักนิดว่าผมเหนื่อยเอาการกับงานชิ้นนี้ โดยเฉพาะขั้นเตรียมงาน ผมเสียกระดาษร่างโครงไปประมาณ 8 แผ่นได้เลยครับ คือตอนแรกเขียนตามคิดออกมาได้ แล้วก็มาแยกเป็นส่วนๆ แล้วก็ต้องมาเรียงลำดับอีกที ... 3-4 วันที่ผ่านมาโต๊ะของผมจึงยุ่งมาก จนหาโทรศัพท์มือถือไม่เจอเลยทีเดียว (ฮา)

วันเสาร์นี้ไปดูคอนเสิร์ต 'โจอี้ บอย' ครับ คงมีเรื่องสนุกๆมาเล่าให้ฟัง หลังจากซีเรียสมานาน แต่คงจะ 'ยาว' เหมือนเคยครับ :-)


 

โดย: merveillesxx 28 เมษายน 2548 2:11:56 น.  

 

โอย ยังไม่ได้ดูเลยครับ

 

โดย: underdog (พ่อน้องโจ ) 28 เมษายน 2548 2:43:34 น.  

 

คงได้ดูจากดีวีดีครับ เพราะวีซีดีไม่มีซับไทยเลย มีให้เช่าตั้งหลายแผ่น แต่เป็นพากย์ไทยซะหมด -_-"
เอาไว้ถ้าได้ดูจะกลับมาอ่านรอบที่ 2 นะครับ

 

โดย: Mint@da{-"-} 28 เมษายน 2548 3:42:03 น.  

 

>ผมไม่แน่ใจว่า อันนี้จะถือเป็นข้อดีหรือข้อเสีย (หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง)

ไม่ใช่ทั้งสองอย่างค่ะ
แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่างานเขียนชิ้นนี้ต้องเจืออารมณ์ขันลงไปนะคะ

 

โดย: grappa 28 เมษายน 2548 12:06:09 น.  

 

อา..อ่านจบในที่สุด
ยาว...แต่ก็คุ้มค่าเวลาที่เสียไปกว่าดูผีช่องแอร์(หลงดูไปเหมือนกัน)
..เขียนดี(เหมือนเคย)อีกแล้วค่ะคุณเมอฯ

ชอบวิธีการตัดต่อหนังเรื่องนี้ ตอนดูรู้สึกเหมือนได้ปล่อยสมองให้ว่าง ...เก็บชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ไปเรื่อยๆ พอดูจบก็มาคิดๆๆ ประทับใจกับประเด็นที่หนังสื่อ

ทีมนักแสดงเจ๋งโคตรจริงๆ

ขอบคุณละกันนะคะที่อุตสาห์เหน็ดเหนื่อยเขียนงานชิ้นนี้ออกมา

>“แล้วสิ่งที่เราได้มาคืออะไร” ผมว่าคำถามนี้มันคงไม่เกิดประโยชน์ต่อชีวิตนักถ้าหากเราจะถามมัน ‘หลังจาก’ ที่เราสูญเสียสิ่งสุดท้ายในชีวิต -น้ำหนัก 21 กรัม- ไปแล้ว
...ชอบจังเลยค่ะ...

 

โดย: myrmidon 28 เมษายน 2548 22:35:12 น.  

 

อ้อ..เพิ่มเติม
ขอให้โชคดีในการสอบไฟนอลแล้งรีบๆกลับมาเขียนอีกนะคะ

 

โดย: myrmidon 28 เมษายน 2548 22:38:23 น.  

 

จะไปหามาดูค่ะ

จำได้ว่าตอนเรื่องนี้เข้าโรงหนัง มันตรงกับช่วงสอบพอดี เลยตัดใจไม่ไปดู

จนตอนนี้ก็ลืมไปแล้วว่ามีเรื่องนี้อยู่ด้วย (กำ จริงๆ) พอมาอ่านนี่แหละเลยนึกขึ้นได้ว่า ยังมีหนังของ ฌอน เพนน์ ที่ยังไม่ได้ดูนี่หว่า(?)

 

โดย: evil_kun(เด็กดื้อไม่log in ) IP: 202.183.189.164 29 เมษายน 2548 10:02:07 น.  

 

ผมชอบเรื่องนี้มากเหมือนกัน
และเห็นด้วยว่าถ้าฌอน เพนน์สมควรจะได้ออสการ์ ก็ต้องมาจากเรื่องนี้ ไม่ใช่ Mystic River
ส่วน 2 คนที่เหลือ ก็สุดยอดโดยเฉพาะราย
นาโอมิ วัตส์

จำอะไรม่ค่อยได้แล้ว แต่ดีใจที่ดูทันก่อนออก

 

โดย: เกิดมาเพื่อปืน IP: 203.146.150.228 29 เมษายน 2548 14:35:07 น.  

 

จาก //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3439153/A3439153.html

----------------------

ความคิดเห็นที่ 4

ขอบคุณครับ
อ่านบทความวิจารณ์หนังของคุณ merveillesxx แล้วผมมีความสุขดีจัง ^_^
หวังว่าหมดสอบแล้วคงได้อ่านอีกนะครับ

สำหรับ 21 Grams นี่
ผมโชคดีที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง (แถมดูฟรีซะด้วย หุหุ)
21 grams นี่ผมชอบมากพอๆกับ Traffic เลยครับ
สำหรับผมแล้วสองเรื่องนี้เหมือนมันเป็นพี่น้องคนละฝา
ยังไงยังงั้นเลย
ส่วนที่ต่างกัน
-Traffic เล่าเรื่องสังคม ส่วน 21 Grams เล่าเรื่องชีวิต
-Traffic เล่าเรื่องเรียงลำดับตามเวลา แต่ 21 Grams ไม่เรียง

ที่เหมือนกัน
-เบนนิซิโอ เดล โตโร่ เล่นทั้งสองเรื่อง
-เล่าเรืองจากชีวิตของคน3คน
ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันแต่ก็มาเกี่ยวกันจนได้


จากคุณ : สายน้ำฟ้า - [ 27 เม.ย. 48 04:34:52 ]






ความคิดเห็นที่ 5

ยาวจัง เดี๋ยวขอกลับมาอ่านอีกทีนะ
แต่ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆๆ ครับ
ชอบวิธีการเล่าเรื่อง
แต่เนื้อหาไม่ค่อยอินเท่าไหร่

จากคุณ : it ซียู - [ 27 เม.ย. 48 08:08:05 ]






ความคิดเห็นที่ 6

ยาวมากเลยครับ แต่ว่าเป็นบทวิจารณ์ที่ดีมากๆอีกแล้ว
วิธีการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ บางทีต้องเป็นคนมีประสบการณ์พอสมควรนะครับ ถึงจะเข้าใจแนวทางการเล่าเรื่องที่หนังจะสื่อออกมาได้ เพราะจะตัดไปตัดมาเป็นเห็นความสัมพันธ์ของคนทั้ง 3 คนที่ไม่น่าเป็นไปได้เลย แล้วแต่ละครั้งที่ตัดให้ดูก็จะมีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่เสมอ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้มันเกิดได้อย่างไร และถ้าได้ดูจนจบก็จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เข้าใจชีวิตของคน 3 คนที่ล้วนมีปัญหาต่างๆนานา...

ส่วนตัวชอบการแสดงของ 3 คนนี้ในหนังเรื่องนี้มากเลยครับ เป็นการแสดงที่มีพลังมากจริงๆ แต่เสียดายที่แทบจะไม่มีใครได้รางวัลใหญ่ๆสาขาทางการแสดง จากภาพยนตร์เรื่องนี้เลย คงเป็นเพราะช่วงนั้น คู่แข่งแต่ละคนล้วนเขี่ยวกันทั้งนั้น

จากคุณ : *omega* - [ 27 เม.ย. 48 08:32:27 ]






ความคิดเห็นที่ 7

หนังอยากจะให้คนดูสับสน

แล้วเค้าก็ใช้การปะติดปะต่อให้มันสับสนได้จริงๆครับ

ดูเรื่องนี้ ใช้สมาธิน่าดู

จากคุณ : kkool - [ 27 เม.ย. 48 09:08:27 ]






ความคิดเห็นที่ 8

เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชอบมาก ทั้งการแสดงและวิธีการเล่าเรื่อง



ขอบคุณสำหรับบทวิจารณ์ที่มีคุณค่ามาก ๆ คับ : )

จากคุณ : Griffin - [ 27 เม.ย. 48 09:20:12 A:210.246.162.12 X: TicketID:058613 ]






ความคิดเห็นที่ 9

โชคดีที่ได้ดูในโรง
แต่กว่าจะรู้เรื่อง ว่าอะไรเป็นอะไร
ก็ไปได้ครึ่งเรื่องแล้วมั้ง แหะแหะ

จากคุณ : xx SlipNOTE Kevin Theater xx - [ 27 เม.ย. 48 09:35:50 ]






ความคิดเห็นที่ 10

ไม่ชอบเลยอ่ะ ดูแล้วเครียดเลย แต่ยอมรับว่า ณอน เพนท์เล่นเรื่องนี้ได้สุดยอดจริงๆ

จากคุณ : Niceguy_C - [ 27 เม.ย. 48 11:07:34 A:61.91.143.195 X: TicketID:004452 ]






ความคิดเห็นที่ 11

"น้ำหนัก/รัก/แค้น/ศรัทธา”

เพิ่งรู้ชื่อไทยของเรื่องนี้นี่แหละครับ


เป็นหนังที่ดูแล้วชวนคิดจริงๆครับ

จากคุณ : wahahahaha - [ 27 เม.ย. 48 12:59:20 ]






ความคิดเห็นที่ 12

เป็นที่น่าเสียดายมาก เรายังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลย ทั้งที่ตั้งใจเต็มที่ตั้งแต่ตอนโน้นว่าจะดูให้ได้
เข้ามาชมค่ะ เขียนได้ดีมาก ข้อมูลเพียบเลย ขยันมาก
เอาไว้เราดูแล้ว อาจจะเข้าไปคุยที่เว็บบล็อคนะ

จากคุณ : TulipOnLine - [ 27 เม.ย. 48 15:58:19 ]






ความคิดเห็นที่ 13

คนใกล้ตัวคุยเอาไว้มาก เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้

แล้วก็โชคดีที่ได้เข้าไปดูในโรง ที่ House

หนังดีจริงๆ คับ


จากคุณ : pokojung - [ 27 เม.ย. 48 20:38:59 ]

 

โดย: merveillesxx 29 เมษายน 2548 18:46:30 น.  

 

แวะมาเยี่ยมคร๊าบบ

 

โดย: idexying 29 เมษายน 2548 23:42:43 น.  

 

อยากรู้ว่าจะเขียนเรื่องส่วนตัวลงบล็อกได้มั้ย ..
.................
...........
....
ไม่เอาดีกว่า

 

โดย: Mint@da{-"-} 30 เมษายน 2548 20:16:22 น.  

 

ถ้าชอบหนังเรื่องนี้ อยากแนะนำหนังอีกเรื่องจากผู้กำกับคนเดียวกัน (Alejandro González Iñárritu) ชื่อเรื่อง Amores Perros เป็นหนังเม็กซิกัน การดำเนินเรื่องจะเป็นในแนวเดียวกับ21Grams ส่วนตัวคิดว่าเรื่อง Amores Perros มีความลึกที่น่าค้นหาอยู่ทีเดียว ลองไปหามาดูกันค่ะ

 

โดย: ไม้มลาย IP: 203.154.186.194 9 พฤษภาคม 2548 11:00:44 น.  

 

อยากดูมาก เดี๋ยวจะหาแผ่นมาดูครับ

 

โดย: underdog(พ่อน้องโจ) IP: 203.113.77.100 10 พฤษภาคม 2548 20:06:17 น.  

 

ดูจาก MPEG-4 ที่โหลดมาครับ เลยไม่เข้าใจเนื้อเรื่องเท่าที่ควร

 

โดย: myung IP: 203.188.10.37 13 พฤษภาคม 2548 1:35:24 น.  

 


ดูเรื่องนี้แล้ว ชอบคับ…. ชวนให้คนอื่นดูด้วย คนอื่นหลับ เขาบอกว่าปวดหัว ไม่รู้ปวดหัวจิง รึปลอม

ตอนเริ่มดูครั้งแรก ผมตั้งใจมาก หลังไม่ได้พิงพนักเลย ดูไปได้สัก20นาที ชักเมื่อยและจับเรื่องราวของหนังยังไม่ได้

โอว์ว์ว์ มันเป็นเศษเล็กๆ ของจิ๊กซอร์อยู่เลย ตรูจะเข้าใจได้ไงฟระ!!!

ก็เลยนั่งพิงหลังแบบหมดอาลัย หนังมันจะตัดสลับไปมายังไงยังไง ก็ช่างของมันแล้ว แต่ตาก็ยังดู และตาก็ยังอ่านซับไตเติ้ลอยู่นะ ซัก75-80%ของหนังไปแล้ว ซึ่งผมก็คิดว่าคนปกติอื่นๆ(ยกเว้น คนเก่งอย่างนักวิจารณ์)คงจะเริ่มจับเรื่องราวของหนังได้ ผมก็เช่นกัน เริ่มตื่นตัวมานั่งดูอย่างตั้งใจใหม่อีกครั้ง

แล้วก็เลยกลับมาดูใหม่อีกครั้งพร้อมเพื่อน แต่เพื่อนหลับเพราะบอกว่าปวดหัวซะนี่ ดูครั้งหลังผมก็สังเกตการแสดง การถ่ายภาพ และการตัดต่อมากขึ้น แต่เนื้อเรื่องก็พยายามจะทำความเข้าใจให้ครบกว่าครั้งก่อนคับ

เป็นหนังที่ให้อะไรดีทีเดียว ผมไม่สามารถบอกออกมาอย่างคุณmerveillesxxได้คับ แต่เป็นหนังที่จัดว่าชอบมากเรื่องหนึ่งเลย

ผมขอชมแบบไม่อ้อมค้อมคับว่า คุณmerveillesxxเตรียมข้อมูล และเขียนขึ้นมาเป็นArticleได้ครบถ้วน และน่าอ่านมากคับ

ไม่รู้ว่าคุณmerveillesxx สอบเสร็จหรือยัง ถ้ายัง ผมขอให้มีสมาธิขณะสอบ มีการระลึกถึงสิ่งที่อ่านได้ดี และเขียนคำตอบได้อย่างไหลลื่นนะคับ

 

โดย: yyswim 18 พฤษภาคม 2548 1:18:16 น.  

 

วันนี้ก็ได้ดู อาจารย์เปิดให้ดู ในวิชา br300 ของม.กรุงเทพ
แต่ยังดูไม่จบเลย อาทิตย์หน้าถึงได้สรุปตอนจบของหนัง
ก็ดีครับ แต่ผมชอบเรื่อง Memento มากกว่า

 

โดย: voodoo IP: 61.91.140.114 5 กรกฎาคม 2548 12:31:37 น.  

 

 

โดย: กวาง IP: 203.113.77.132 2 กันยายน 2548 17:58:48 น.  

 

กวาง

 

โดย: 2 กันยายน 2548 IP: 18:00:58 203.113.77.132 น.  

 

คนทำหนังเขาตั้งใจทำออกมาเเบบที่คุณ merveillesxx
พูดไว้ จริงๆเหรอเนี่ย

โอวววววว

 

โดย: u IP: 61.91.206.212 7 กันยายน 2548 10:39:51 น.  

 

ดีจังเลยฮะ พรุ่งนี้จะนำไปใช้ในการสอบ

 

โดย: naru IP: 124.121.190.99 23 กุมภาพันธ์ 2550 20:14:10 น.  

 

เพิ่งดูวีซีดีจบเมื่อตอนเย็นนะคับ หนังดีมากนะคับ ขอบคุณมากคับ

 

โดย: frank3119 23 มีนาคม 2550 23:04:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.