http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
23 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
Fallen Angels – คนตกสวรรค์ในวันฟ้าเปิด

โดย merveillesxx




เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไมมนุษย์เราเวลาทุกข์ใจถึงชอบแหงนหน้ามองท้องฟ้ากันนัก?

บ้างก็ว่าสีครามของท้องฟ้าทำให้เรารู้สึกดี บ้างก็ว่าความกว้างใหญ่ของแผ่นฟ้านั้นมอบสัมผัสถึงอิสรภาพแก่ผู้จ้องมอง …แล้วก็มีอีกความเชื่อหนึ่งที่ว่าการมองท้องฟ้านั้นก็คือการจ้องมองดินแดนแห่งเดิมของเรา เพราะมนุษย์นั้นคือเทวดาต้องสาปที่ถูกไล่ลงมาจากสวรรค์

ตัวละครในหนังทุกเรื่องของหว่องกาไวล้วนแต่เป็น “คนต้องสาป” ไม่เว้นกระทั่งหนังอย่าง Fallen Angels (1995) ถึงแม้ว่าชื่อเรื่องของมันจะพูดถึง “นางฟ้า” หรือ “เทวดา” ก็ตาม




1. เมืองใหญ่ของคนตกสวรรค์

ว่ากันตามจริงแล้ว Fallen Angels นั้นเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของหว่องกาไวที่ถ่ายทอดภูมิทัศน์ของฮ่องกงอย่างเต็มรูป เพราะหลังจากนั้นแล้วหนังของเขาก็แปรสภาพกลายเป็นหนังที่ยอกย้อนทั้งด้านสถานที่และกาลเวลา (Happy Together (1997) ถ่ายทำในอาร์เจนติน่าและฮ่องกง, In the Mood for Love (2000) เป็นหนังพีเรียดฮ่องกงในยุค 60 แต่ที่จริงแล้วมันถ่ายทำในเมืองไทย ส่วน 2046 (2004) ไปไกลที่สุดเพราะกลายเป็นดินแดนสมมติ)

ดังนั้นแล้ว “สังคมเมือง” ใน Fallen Angels จึงถูกปรุงแต่งอย่างสุดโต่ง ฮ่องกงเต็มไปด้วยแสงสีที่ฉูดฉาด กระแสเวลาถูกขับเคลื่อนด้วยภาพ fast motion แถมซ้ำด้วยการให้บ้าน (?) ของนักฆ่าอย่างหวังจื่อหมิง (หลี่หมิง) อยู่ขนาบข้างกับรถไฟฟ้าที่ไม่เคยวิ่งด้วยความเร็วปกติเลยสักครั้ง

ควบคู่ไปกับภาพของเมืองใหญ่ การขาดห้วงของการสื่อสารของเหล่ามนุษย์ถูกกล่าวถึงเสมอในงานของหว่องกาไว ตัวละครใน Fallen Angels พรรณาพรั่งพรูถึงคลื่นเสียงล่องลอยแห่งความคิด (voice over) มากมายยิ่งกว่าคำพูดและบทสนทนา (dialogue) เป็นทวีหลายเท่าตัว

ซ้ำร้ายอุปสรรคขัดขวางการสื่อสารยังถูกส่งคลื่นรบกวนออกมาตลอดเวลา โดยเฉพาะในคู่ของ หวังจื่อหมิงและมิเชล (หลี่เจียซิน) ยามทั้งสองอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยจะได้อยู่ในห้วงความคิดท่ามกลางความสงัดเงียบ เสียงรถราจากท้องถนน และเสียงข่าวสารไร้สาระจากโทรทัศน์โอบรัดรอบตัวอยู่เสมอ (แต่หากมองอีกนัยหนึ่งพวกเขาอาจจะเป็นคนที่อยู่ “เงียบๆ คนเดียว” ไม่เป็น)

มนุษย์พรรณหนังของหว่องกาไวไม่เคยจะนั่งลงจิบน้ำชาแล้วพูดคุยกันตรงไปตรงมา กลับชอบจินตนาการใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วตอบโต้ความรู้สึกไปมาในห้วงสำนึก เป็นกิจกรรมที่ทำซ้ำวนเวียนไปมาจนเป็นการ “ยึดติด”

ความยึดติดในอะไรบางอย่างของผู้คนถูกส่งผ่านเชิงรูปธรรมด้วย กลิ่นน้ำหอมของหวังจื่อหมิง, ผมสีทองของสาวผมบลอนด์ (ม่อเหวินเว่ย) และรอยกัดที่เธอมอบให้หวังจื่อหมิง …ที่สำคัญคือ “ตัวเลข” โดยหวังจื่อหมิงจำได้ว่าเขาร่วมงานกับ “คู่หู” มาเป็นสัปดาห์ที่ 155, มิเชลชอบฟังเพลงหมายเลข 0718 และได้รับเพลง “บอกลา” หมายเลข 1818 จากคู่หู่, หนุ่มใบ้เหอจื้ออู่ (ทาเคชิ คาเนชิโร่) จดจำวันพบรักแรกคือวันที่ 30 พฤษภาคม 1995 และแม้แต่หว่องกาไวเองก็ทำหนังเกี่ยวกับตัวเลขจริงๆ อย่าง 2046

ในรูปแบบของตัวเลข “นาฬิกา” อาจเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญ (สิ่งนี้เคยถูกใช้เปิดประเดิมความสัมพันธ์ของหยกไจ๋ (เลสลี่ จาง) และโซวไหล่เจิน (จางมั่นอวี้) มาแล้วใน Days of Being Wild (1991)) ห้องพักร่วมของหวังจื่อหมิงและมิเชล มีนาฬิกาเรือนกลมแขวนอยู่ (มีฉากหนึ่งที่มิเชลหมุนวนเคลื่อนเข็มนาฬิกาโดยไม่รู้ว่าเป็นทีเล่นหรือทีจริง) ทั้งสองส่งผ่านกำหนดแห่ง “ภารกิจ” ด้วยเวลาจำเพาะเจาะจง แต่ไม่เคยนัดเจอกันได้ เพราะแม้หวังจื่อหมิงจะเป็นนักฆ่าผู้ตรงต่อเวลา แต่ก็ไม่ใช่กับการนัดกับพาร์ทเนอร์สาว (เขาเบี้ยวนัดเธอในที่สุด)

ความเป็นนามธรรมของกับดักการยึดติดใน Fallen Angels ก็ยังอยู่พื้นฐานของโศกนาฏกรรมที่ “มนุษย์นั้นทุกข์เพราะมีความจำดีเกินไป” โดยก่อนหน้าที่หว่องกาไวจะทำทัณฑ์ทรมานกับชายช้ำรักอย่างโจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) ข้ามปีข้ามชาติจากอดีต (ยุค 60 ใน In the Mood for Love) ถึงอนาคตแสนไกล (2046) เขาก็เคยทำกับ “ผู้หญิง” อย่างมิเชล และชาร์ลี (ชาร์ลี หยาง) มาก่อนแล้วในหนังเรื่องนี้

มนุษย์เรามีวิธีการตอบโต้กับความทรงจำต่างกันไป ในขณะที่ชาร์ลีใช้วิธีแบบ “ขำขัน” ปน “ขำขื่น” ด้วยการออกตามล่าหา “นังหลิงผมทอง” ที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร อยู่ที่ไหน หรือกระทั่งมีตัวตนจริงหรือเปล่า ส่วนมิเชลนอกจากจะเสพติดข้าวของกองขยะของหวังจื่อหมิงแล้ว เธอก็กลับไปไขว่คว้าหาตัวตนอันเลือนรางของเขาที่ห้องนั้นอีก และจุดนี้เองความทรมานของเธอก็ถูกขับเน้นด้วยชั้นเชิงด้านสัญลักษณ์ ทั้งผ้าปูที่นอนและพื้นห้องลายตารางหมากรุก รวมถึงถุงน่องตาข่ายที่สวมใส่ อันล้วนสื่อความไปถึงคำว่า “พันธนาการ”

หากปรายสายตามองรอบแรก Fallen Angels อาจเป็นหนังที่รูปแบบนำหน้าเนื้อหา ด้วยสไตล์และเทคนิคที่ฉูดฉาดบาดตาดั่งที่กล่าวมาทั้งหมดในข้างต้น แต่แท้จริงแล้วความประดิษฐ์ในทุกด้านล้วนต้องการสื่อถึงเนื้อความเดียวกัน ในที่นี้ก็คือพฤติกรรมป่วยไข้ของบรรดาคนตกสวรรค์ หรืออาการ “ปีกหัก” ของเหล่านางฟ้า อันซ่อนอยู่ในความฉาบฉวยที่ครอบคลุมตัวหนัง และถือเป็นความท้าทายต่อคนดูอย่างที่สุด




2. กระจก

ใน In the Mood for Love เคยมีประโยคเปรียบเปรยที่ว่า “การเพ่งพิจไปยังอดีตนั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากการมองผ่านกระจกที่เคลือบคลุมไปด้วยฝุ่นหนาทึบ” มันเป็นดั่งสรุปที่ปรากฏขึ้นในอนาคตต่อตัวละครในหนังเรื่องนี้ เพราะพวกเขาล้วนใช้สายตามองอีกฝ่ายผ่านกระจก

2.1 มิเชลมองผ่านกระจกไปยังบ้านของหวังจื่อหมิงในขณะอยู่บนรถไฟฟ้า

2.2 เหอจื้ออู่บันทึกภาพของพ่อด้วยกล้องวิดีโอ (และรวมถึงซาโต้ที่บันทึกคำอวยพรวันเกิดส่งไปให้ลูกที่ญี่ปุ่น)

2.3 ชาร์ลีพยายามกระโดดโลดเต้นในสนามฟุตบอลเพื่อให้จอห์นนี่ (แฟนเก่าของเธอ) เห็นเธอทางโทรทัศน์

ทั้งสามข้อนี้ล้วนมี “กระจก” มาเป็นสิ่งกั้นกลางระหว่างบุคคล ในสองข้อแรกเป็นเรื่องของการ “ลอบมอง” นั่นคือ มิเชลมองเข้าไปในบ้านของหวังจื่อหมิง (ซึ่งแน่นอนว่าเธอจะไม่เห็นตัวเขา เธอต้องการเพียงแค่แสงไฟนีออนที่ยืนยันว่าเขาอยู่ในบ้านหลังนั้น) ส่วนพ่อของเหอจื้ออู่ก็ลุกขึ้นมาแอบดูวิดีโอที่ลูกถ่ายไว้ตอนกลางดึก ในทางกลับกันเหอจื้ออู่ก็นั่งดูวิดีโอนั้นเมื่อพ่อเสียชีวิตไปแล้ว

ในกรณีของชาร์ลีคือ ความต้องการให้อีกฝ่าย “มอง” มาที่ตนเอง หากแต่เธอเองก็รู้แก่ใจว่านั่นเป็นเพียงการหวังต่อปาฏิหาริย์อย่างโง่งม (เธอบอกว่า “เขาจะมาหาฉันได้อย่างไร พรุ่งนี้เขาจะแต่งงานแล้วนี่นะ”) ว่ากันตามจริงแล้ว เธอไม่ต้องไปตามล่านังหลิงผมทองหรือทนนั่งดูฟุตบอลก็ได้ วิธีที่ทำได้ง่ายที่สุดคือการไปหาจอห์นนี่ที่บ้านของเขา แต่แน่นอนว่าเธอไม่กล้า

เช่นนั้น กระจกในหนังก็ยังย้ำถึงประเด็นเดิม แม้กระจกอาจจะเป็นสื่อส่งผ่านข้อความ, ภาพและเสียง (กล้องและโทรทัศน์) แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการส่งต่อที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน

ภาพที่ปรากฏในหนังยังมีหลายครั้งที่เป็นการถ่าย “ภาพสะท้อน” จากกระจก อันเป็นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิด “ภายใน” ที่ตรงข้ามกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาของเหล่าตัวละครปากแข็ง โดยเฉพาะในฉากที่หวังจื่อหมิง (และมิเชล) นั่งอยู่ในบาร์ (กระจกสะท้อนถึงความรู้สึกของตัวละครในขณะฟังเพลง) และฉากที่เหอจื้ออู่กับพ่อนอนข้างกัน (ภาพสะท้อนความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ไม่เคยปรากฏในยามตื่น)

พูดถึงกระจกแล้ว ก็อดนึกถึงการใช้ภาพใน Fallen Angels ไม่ได้ หนังถ่ายทำด้วยภาพมุมกว้าง (Wide Angle) เป็นส่วนใหญ่ วิลเลี่ยม จาง (โปรดักชั่นดีไซน์คู่บุญของหว่องกาไว) ให้เหตุผลว่าฮ่องกงนั้นมีพื้นที่คับแคบ ในการจะเก็บภาพให้ครบถ้วนจึงต้องใช้เลนส์กว้าง

นั่นจึงเป็นที่มาของภาพหน้าตัวละครที่บิดเบี้ยว ที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึง “ความว้าวุ่นใจ” ของคนเหล่านั้น ถึงแม้พวกเขาจะเดินบนถนนไปมาด้วยความเท่-เริ่ด-เชิด-หยิ่งขนาดไหนก็ตาม และการถ่ายหน้าตัวละครแบบเดี่ยวๆ นั้นก็เน้นถึงความเป็น ”ปัจเจก” ระดับสูงอันสอดคล้องกับเสียง voice over ที่คลอไปทั้งเรื่อง

จะว่าไปแล้ว คำว่า Angle (มุม) หรือ Angel (เทวดา, นางฟ้า) ก็สะกดต่างกันเพียงนิดเดียว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดคำทั้งสอง และเลนส์กระจกของกล้องต่อจากผู้กำกับภาพอีกที ก็คือ “ผู้กำกับ” อย่างหว่องกาไว กระจกกล้องจึงเปรียบเสมือน “ตา” ของผู้กำกับที่ทำตัวเสมือน “พระเจ้า” ผู้คอยสอดส่องและควบคุมชะตากรรมผู้คนมากมายในเมืองนี้ ไม่ต่างอะไรไปจาก “ผู้พิพากษา” ที่เป็นตัวแทนของคริสตอฟ เคียสลอฟสกี้ ในไตรภาคสามสี Blue, White, Red




3. เดินสวนกันในวันฟ้าเปิด

หว่องกาไวจัดที่ทาง (หรืออีกนัยคือบังคับ) ให้ตัวละครของเขา “เดินสวน” กันอยู่เสมอ ในปลายทางที่สว่างใสที่สุดของการเดินสวนกัน ปรากฏอยู่ในหนังเหงารสลูกวาดอย่าง Chungking Express (1994) เพราะการแนบชิดในระยะ 0.01 เซนติเมตร ทำให้เพจเจอร์ของตำรวจรหัส 223 (ทาเคชิ คาเนชิโร่) ดังขึ้นท่ามกลางสายฝน และทำให้เฟย์ (เฟย์ หว่อง) แทนที่แฟนเก่าของตำรวจรหัส 633 (เหลียงเฉาเหว่ย) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ (เฟย์ได้เป็นแอร์โฮสเตทในที่สุด)

อีกฝั่งปลายแห่งความเจ็บปวด ปรากฏใน In the Mood for Love โจวมู่หวันและโซวไหล่เจินเดินสวนในตรอกและทางเดินแคบๆ ทั้งคู่ไม่อาจพูดจากันได้ ทำได้เพียงแค่เมียงมองและทักทายในชนิดแค่ “คนรู้จักกัน”

หากให้จัดระดับแล้ว การเดินสวนกันใน Fallen Angels คงอยู่ในชนิดกลางๆ ไม่ขาว ไม่ดำ และคงจะเป็นสีเทา เพราะอย่างน้อยมันก็ให้ความหวังน้อยๆ กับเราในตอนจบ

(ต่อจากนี้ไปมีการเปิดเผยตอนจบของหนัง)

เหอจื้ออู่พูดไว้ว่า “ทุกๆ วันเราเดินสวนกับคนมากมาย บางคนอาจกลายมาเป็นเพื่อนคุณหรือคนที่คุณรัก ดังนั้นผมจึงไม่เคยทิ้งโอกาสที่จะเดินสวนกับคนอื่นๆ” ประโยคของเขาสะท้อนทั้งความเป็นทฤษฎี, ตรรกะ, ความเชื่อ หรือการเล่นตลกของพระเจ้า เพราะสุดท้ายเขาได้พบกับมิเชล (ผู้เคยอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของพ่อเขา) อีกครั้ง

ทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ยังคงอยู่ในสภาพนางฟ้าปีกหัก เหอจื้ออู่ถูกซ้อมปางตาย ส่วนมิเชลกำลังพยายามทำตัวให้เคยชินกับการทำงานคนเดียว (พร้อมกับความคลุมเครือว่าเธอให้ “ภารกิจสุดท้าย” หรือ “วันสุดท้าย” กับหวังจื่อหมิงกันแน่) ทั้งคู่ยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย ก่อนที่จะซ้อนมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยกัน

แม้จะไม่ได้แสดงว่าทั้งคู่นั่งพูดคุยกันอย่างจริงจัง (ถึงอยากทำก็คงไม่ได้ เพราะเหอจื้ออู่เป็นใบ้) แต่ประโยคสุดท้ายที่มิเชลพูดว่า “ช่วงเวลานี้มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน” นั้นทำให้เราคาดการณ์ถึง “อะไรบางอย่าง” ที่กำลังก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งสอง มันอาจจะไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่อย่างน้อยที่สุด วันนี้ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว

ภาพสุดท้ายของ Fallen Angels เป็นภาพมุมเงยจับไปยังท้องฟ้าสีครามหม่น มันเป็นภาพที่สวยจับใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในหนังที่เราเห็น “ท้องฟ้า” โดยก่อนหน้านี้สิ่งที่เราเห็นมีเพียงแสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง (หนังเรื่องนี้เป็นฉากกลางคืนตลอดทั้งเรื่อง) แต่อีกนัยภาพตึกสูงที่เสียดแทงไปยังแผ่นฟ้าก็ชวนน่าเศร้า เพราะมันอาจแฝงความหมายถึงความเป็นสังคมเมืองที่รุกรานไปถึงถิ่นที่มาของมนุษย์ นั่นก็คือสวรรค์

สายตาที่มองไปยังท้องฟ้าไม่น่าจะใช่ของตัวละครใดในหนัง พวกเขาล้วนไม่เคยแหงนมองท้องฟ้า ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีความทุกข์ พวกเขาทุกข์มากด้วยซ้ำ …ถึงกระนั้นมุมมองปริศนานี้ยังคงระบุไม่ได้ถึงที่มา แต่มันคล้ายจะเป็นสายตากล่าวคำอำลาถึงดินแดนที่มนุษย์เราจากมา และไม่มีวันกลับขึ้นไปได้อีก

ในขณะที่ภาพยังคงค้างอยู่ที่ท้องฟ้า มอเตอร์ไซค์ของเหอจื้ออู่และมิเชลคงวิ่งจากไปไกล นั่นแสดงถึงการที่ทั้งสองพร้อมจะสละปีก และก้าวต่อไปในฐานะมนุษย์เดินดิน






หมายเหตุจากผู้เขียน

1. เมื่อปี 2004 บริษัท Accent ได้ผลิต DVD หนัง Fallen Angels ฉบับ REMASTERED ออกมา ซึ่งให้ภาพที่คมชัดกว่าฉบับดั้งเดิมเป็นอย่างมาก สมควรแก่การหามาดูอย่างยิ่ง

2. เพลงตอนจบของหนังคือเพลง Only You ของวง Flying Pickets (เป็นวงแนวอะแค็ปเปลล่า) ซึ่งเพลง “วันฮิตวอนเดอร์” ของวงนี้

3. บทความนี้จงใจที่จะละทิ้งการสืบสาวร่องรอยระหว่าง Chungking Express และ Fallen Angels เพราะผมเชื่อว่า Fallen Angels ไม่ควรจะเป็นแค่ “หนังภาคต่อของ Chungking Express” แต่มันควรจะเป็น “หนังที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของหว่องกาไว” (อย่างไรก็ตาม สามารถหาอ่านได้ในบทวิจารณ์ของคุณมโนธรรม)

4. ในบรรดาหนังทั้งหมดของหว่องกาไว ผมชอบ Fallen Angels เป็นอันดับสอง ส่วนอันดับหนึ่งคือ Happy Together

5. ความคืบหน้าของหว่องกาไว

5.1 หนังเรื่อง The Lady from Shanghai (นำแสดงโดย นิโคล คิดแมน) เลื่อนไปเปิดกล้องปี 2007 เพราะหาพระเอกไม่ได้ และคิดแมนติดถ่ายทำหนังเรื่องใหม่ของบาซ เลอห์มานน์

5.2 หว่องจึงหันไปทำอีกโปรเจคต์หนึ่งชื่อ My Blueberry Night ซึ่งนำแสดงโดย นอร่า โจนส์ (กรี๊ด!), ราเชล ไวซ์ และจู๊ด ลอว์ โดยหว่องออกมาปฏิเสธแล้วว่านี่ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมพายุเฮอร์ริเคนแคทรีน่า

5.3 ส่วนหนังอาจารย์กังฟูของบรู๊ซ ลี เหลียงเฉาเหว่ย (ที่จะรับบทนั้น) ให้สัมภาษณ์ว่า “หว่องขอให้ผมไปฝึกกังฟูตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเขามาคุยอะไรเพิ่มเติมเลย” (ฮา) ส่วนหว่องดันบอกว่าต้องเลื่อนไปปี 2007 เพราะเหลียงยังฝึกวิชากังฟูไม่พอ (อ้าว!)

6. บทวิจารณ์เพิ่มเติมของ Fallen Angels

6.1 บทวิจารณ์ในหนังสือ “เดียวดายอย่างโรแมนติก โลกของหว่องกาไว” โดย คุณมโนธรรม เทียมเทียบรัตน์

6.2 บทวิจารณ์ในหนังสือ “ลมตะวันออก” โดย คุณสิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์




Create Date : 23 มีนาคม 2549
Last Update : 23 มีนาคม 2549 23:37:21 น. 25 comments
Counter : 7475 Pageviews.

 
Flying Pickets - Only You

Looking from a window above
It's like a story of love
Can you hear me
Came back only yesterday
We're moving farther away
Want you near me
All I needed was the love you gave
All I needed for another day
And all I ever knew
Only you

Sometimes when I think of your name
When it's only a game
And I need you
Listening to the words that you say
It's getting harder to stay
When I see you
All I needed was the love you gave
All I needed for another day
And all I ever knew
Only you

All I needed was the love you gave
All I needed for another day
And all I ever knew
Only you

This is gonna take a long time
And I wonder what's mine
Can't take no more
Wonder if you'll understand
It's just the touch of your hand
Behind the closed door

All I needed was the love you gave
All I needed for another day
And all I ever knew
Only you


โดย: merveillesxx วันที่: 23 มีนาคม 2549 เวลา:23:54:14 น.  

 
พี่ได้ดูนานมากแล้ว จนลืมไปแล้วด้วยว่าเรื่องเป็นอย่างไร

ถ้าหนังของหว่อง พี่ชอบ In the mood for love ที่สุดครับ ความรักที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ ต้องเก็บไว้แต่ในจิตใจ จนคนดูรับรู้และอึดอัดตามไปด้วย

ดูแล้วอึดอัดตามอารมณ์เรื่องมากครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 24 มีนาคม 2549 เวลา:12:18:20 น.  

 
เราดูหนังของหว่องยังไม่ครบ

แต่หนังที่ติดอยู่ในสมองมากที่สุดคือ Happy Together


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 24 มีนาคม 2549 เวลา:18:01:31 น.  

 
แวบมาเยี่ยม เดี๋ยวนี้ไม่เห็นเจอเลย หรือว่างอนโอ๋ไปแล้ว

แต่ไม่สนหรอกนะ อิอิ

ไว้คุยกันคะ


โดย: โอ๋เอง IP: 61.91.143.190 วันที่: 24 มีนาคม 2549 เวลา:22:25:47 น.  

 
^
^
^
ไม่สนจริงง่ะ


โดย: merveillesxx วันที่: 24 มีนาคม 2549 เวลา:22:49:34 น.  

 
จริงสิ เชอะ ๆ


โดย: โอ๋ IP: 61.91.143.190 วันที่: 24 มีนาคม 2549 เวลา:23:00:04 น.  

 

หนังที่ได้ดูวันนี้



1. Where the Truth Lies (2005, Atom Egoyan, A+/A)

ชอบสีหน้าของ เควิน เบคอน ในฉากที่เขาร้องไห้มากๆ รู้สึกว่าเป็นสีหน้าที่ให้อารมณ์อย่างรุนแรง และกระทบใจตัวเองสุดๆ เหมือนสีหน้าของเขาในตอนท้ายเรื่อง Mystic River (2003, Clint Eastwood, A+)


2. My Girl & I (2005, Jeon Yun-su, A-)

ไม่ค่อยชอบช่วงแรกๆ ของหนัง เพราะรู้สึกว่าไม่อินกับหนังเลย โดยอาจจะเพราะความรู้สึกต่อต้านที่พล็อตหนังเรื่องนี้ถูกรีเมคซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแน่นอนด้านโทนอารมณ์ฉบับเกาหลีเทียบฉบับญี่ปุ่นไม่ติด (My Girl & I รีเมคจาก Crying Out Love, At the Center of the World)

จากนั้นก็เลยเดาเอาไว้ว่า ช่วงท้ายของหนังจะต้องยิ่งดิ่งเหว เพราะมันเข้าสู่โซน "ฟูมฟาย" แต่ผิดคาด เพราะถึงแม้มันจะฟูมฟายจริงๆ แต่รู้สึกดีที่หนังสรรหา "มุก" ใหม่ๆ มาโจมตีคนดูได้

คงต้องยกความดีให้คนเขียนบท นั่นก็คือ กวักแจยอง (ผู้กำกับ My Sassy Girl, The Classic, Windstruck) และรู้สึกว่าเขาตัดสินใจถูกแล้วที่ตัดพล็อตส่วนพระเอกตอน "ปัจจุบัน" ออกไปหมดเลย

แต่วันนี้ได้ดูตัวอย่างหนังเรื่อง Daisy (ล่าหัวใจ...ยัยตัวร้าย) รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร กลัวเหลือเกินว่า กวักแจยองจะทำบทหนังห่วยๆ เหมือน windstruck ออกมาอีก


3. The Pink Panther (2006, Shawn Levy, B+)

------------------------------

เพลงที่ได้ฟังช่วงนี้

1. Placebo: MEDS (2006, A+)
ติดอันดับ 1 ใน 10 อัลบั้มของปีนี้แน่นอน

2. Massive Attack: Collected (2006, A+)

3. Tiesto: Just Be (2004, A+)



โดย: merveillesxx วันที่: 24 มีนาคม 2549 เวลา:23:06:08 น.  

 
ชอบหนังเฮียหว่องมากมายมหาศาล
เราชอบดู happy 2geter เรียกกำลังใจ
บางครั้งก้ออยากได้ดีวีดีเรื่องนี้ เพราะดูทีไรพันธมิตรทุกที



โดย: fofo IP: 125.24.10.90 วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:3:11:29 น.  

 
เรื่องนี้ของหว่องกาไว เราได้ดูเพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่อยากดูหนังที่เขากำกับทุกเรื่อง และก็ได้ดูเกือบทุกเรื่องแล้วจริงๆ ยกเว้นเรื่อง 2046 ที่มี DVD แล้วแต่ยังไร้อารมณ์ที่จะหยิบมาดู

fallen angels เนี่ยเราดูแล้วทำไมได้อะไรกลับมาน้อยกว่า จขบ จริงๆนะเนี่ย จับอะไรไม่ค่อยได้เลย จขบ เก่งอะ ดูแล้วเก็บรายละเอียดได้ (จริงๆ จขบ ก็เก่งกับทุกหนังที่ดู)

หนังของหว่องกาไว ดูมาทั้งหมดยังไม่นับ 2046 เราก็ชอบ Chungking Express ที่สุด รองลงมาก็ In the mood for love แต่ที่จะบอกว่าเกลียดที่สุดคือ ash of time ซึ่งสำหรับเราแล้วไม่สนุกและชวนปวดหัวกับกล้องที่ส่ายไปมาตอนถ่ายฉากต่อสู้ จนต้อง fwd และก็ไม่ได้ดูจนจบเลย

ขอบคุณ จขบ สำหรับรีวิวเยี่ยมๆเช่นเคย


โดย: cottonbook วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:8:46:49 น.  

 
ความเซ็งของน้อง mer

1. เพื่อน SMS มาบอกเมื่อคืนตอนประมาณ 00.30 ว่า คืนนี้รายการ J-ZONE (โห ยังอยู่อีกเรอะ) จะเปิดมิวสิกวิดีโอของ Ayumi Hamasaki แต่ปรากฏน้อง mer มาเปิดมือถือดูตอนตีห้าครึ่ง ...สรุปอดดูตามระเบียบ


2. รายการ J-POP (เปิดเพลงญี่ปุ่น) ทางคลื่น 98.5 ยุบกลางอากาศไปเสียแล้ว น้อง mer ล่ะเซ้งงงงงงงงง...เซ็ง

รายการ J-POP นี่มีประวัติยาวนานมากครับ ผมฟังรายการนี้ตั้งแต่สมัย ม.3 แล้ว รายการนี้ก็ย้ายคลื่นไปเรื่อย หายไปบางช่วง อุตส่าห์กลับมาได้ไม่เท่าไร ก็ยุบอีกแล้ว

ก็ได้แต่หวังว่าสักวันรายการนี้จะกลับมาอีก



โปรดระวัง!

วันที่ 29-30 มีนาคม ม็อบของกลุ่มพันธมิตรประชาชน (เพื่อใคร?) จะเคลื่อนไปที่ห้าง SIAM PARAGON น้อง mer พนันเลยว่างานนี้มหาฉิบหาย แน่ๆ ค่ะ

ตัวใครตัวมันนะคะงานนี้

ปล. เอียนกลิ่น Rotiboy ที่สยามมาก ลงรถไฟฟ้าปุ๊บ กลิ่นลอยมาปั๊บ จะอ้วกแล้วโว้ยยย

--------------------------

ตอบ คุณ fofo

ดู Happy Together ครั้งแรก ก็ดู VCD พากย์ไทยของแมงป่องครับ (ชื่อไทยคือ "โลกนี้รักใครไม่ได้นอกจากเขา" ส่วน Fallen Angels รู้สึกชื่อไทยคือ "นักฆ่าตาชั้นเดียว") พันธมิตรพากย์เสียง เลสลี่ จาง ได้สาวแตกมากๆ แล้วก็มีประโยคนึงที่เหลียงเฉาเหว่ยพูดว่า "ก็เธอน่ะ มันแร่ด!" (ฉบับออริจินอลไม่เห็นจะมีเล้ยยย)


ตอบ คุณ cottonbook

ผมก็ดู 2046 ไปรอบเดียวเหมือนกันครับ (รอบการกุศลบ้าบออะไรไม่รู้ในงานบางกอกฟิล์ม บัตรตั้ง 300 บาท) ซื้อ DVD มานานแล้ว แต่เซ็งหน้าปกแผ่นค่าย CVD มากๆ ไม่รู้ใช้ตีนเขี่ยมาเหรอไง หยั่งกะเอาภาพในอินเตอร์เน็ตมาแสกนขยาย (นี่ขนาดค่ายที่ทำแผ่นคุณภาพดีอันดับต้นๆ ของเมืองไทยแล้วนะเนี่ย)


โดย: merveillesxx วันที่: 27 มีนาคม 2549 เวลา:1:51:50 น.  

 
ดู Where the truth lies? แล้วใช่มั้ยคะ?

ถามนิดหนึ่ง

ตกลงศพของสาวคนนั้นเค้าใส่ไว้ในลังล็อบสเตอร์ตั้งแต่โรงแรมเดิม แล้วก็ให้ขนส่งไอ้ทั้งลังนี่ไปที่โรงแรมใหม่เนี่ยนะ?

ตกลงรูเบนก็ตั้งใจจะแบล็กเมล์เลนนี่อยู่แล้วเหรอคะ? ไม่ได้เพื่อปกป้องทั้งคู่แต่แรก (เห็นพี่กรัปป้าไปบอกไว้ประมาณนั้น)

บทสนทนาเยอะมาก เลยตามเรื่องไม่ค่อยทันในบางจุดอะค่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 27 มีนาคม 2549 เวลา:12:19:26 น.  

 
แวะมาบอกว่าคิดถึง จากคนไกลผจญภัยในปักกิ่ง (ชื่อเหมือนนิยายน้ำเน่าเลย 555)


โดย: Mint@da{-"-} IP: 221.221.32.60 วันที่: 27 มีนาคม 2549 เวลา:19:39:21 น.  

 
ตอบ พี่สาวไกด์ใจซื่อ

ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ เพราะวันนั้นดูหนัง 3-4 เรื่อง ก็เลยปนๆ กันไปหมด แต่คิดว่าพี่สาวไกด์เข้าใจถูกแล้วครับ

จริงๆ แล้วผมคิดว่าความน่าสนใจของ Where the Truth Lies นอกจากการปลิ้นปล้อนพลิกลิ้นตลอดเวลาของหนังผ่านบทสนทนา/คำพูดของตัวละคร อันว่าด้วย "ความจริง" ที่กลายเป็น "คำโกหก" ในอีกแง่หนึ่งความจริงก็ทำร้ายผู้คน และบางทีก็อาจจะดีกว่าถ้าเราเก็บงำความจริงนั้นไว้ (แน่นอนว่าเป็นการโกหกแบบหนึ่งเหมือนกัน) เหมือนที่นางเอกบอกไว้ตอนจบว่า เธอจะเขียนหนังสือออกมาก็ต่อเมื่อแม่ของสาวเสิร์ฟคนนั้นตายไปแล้ว

"...เพราะความจริงของฉันไม่ควรจะทำร้ายใคร..."



ตอบ น้องบิว

พี่ว่าอาจจะดีแล้วที่น้องไปอยู่ที่อื่น เพราะตอนนี้เมืองไทยน่าเบื่อมากน่ะ


โดย: merveillesxx วันที่: 27 มีนาคม 2549 เวลา:22:40:03 น.  

 

สารกระตุ้น ออกแล้ววววว !!

นิตยสาร "สารกระตุ้น" ฉบับเดือนมีนาคม ออกแล้วนะจ๊ะ

หน้าปก พี่ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง โยนลูกเต๋า เท่มากๆ

ฉบับนี้มี "บันทึกของคนบ้าหนัง" พาตะลุย Bangkok International Film Festival 2006 โดย น้อง mer เอง

นอกจากนั้นน้อง mer ยังเปิดเผยโฉมหน้าเป็นครั้งแรกในเล่มนี้ด้วย!! (โอ โปรดอย่าคาดหวังอะไรนัก)

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจในเล่ม

- สัมภาษณ์พี่ต้อม-เป็นเอก เกือบ 10 หน้า

- มิวสิกวิดีโอเพลง "ซากอ้อย" ของวง SO COOL ใครทำ? คิดได้ไง?

- "7 เพลงบอกรัก" จาก ดีเจบ๊อบบี้ โบ๋เต๋ (ผู้ตั้งชื่อเพลง Truly Madly Deeply ของ Savage Garden ว่า "จริงๆนะ จะบ้าเหรอ สุดๆไปเลยนะ")

- การ์ตูนสุดแสบจาก พงษ์สรวง คุณประสพ ว่าด้วย "ชีวิตรักคนออนไลน์" (โดนใจสุดๆ)

- คำถามโดนใจ "เกิดเป็นคนสวยมันซวยตรงไหน?"

- THE X RAY STORY จากวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนดับเบิ้ลซีไรต์

- และอื่นๆ อีกมากมาย

ทุกแผงแล้ววันนี้!



อีกเรื่องที่ขอแจ้งให้ทราบ (วันนี้ขายของสุดๆ)

นิตยสาร ESQUIRE ฉบับเมษายน จะเป็นเล่มที่ว่าด้วยภาพยนตร์ (FILM ISUUE)

แล้วก็มีบทสัมภาษณ์น้อง mer ด้วยจ้า

โปรดติดตาม...


โดย: merveillesxx วันที่: 27 มีนาคม 2549 เวลา:22:57:42 น.  

 
วุ้ย ขายของจริงๆ นะหล่อน
วันนี้เห็นหนังสือสารกระตุ้นแล้ว
มีการ์ตูนพงษ์สรวงด้วยเหรอ
พลาดไม่ได้แล้ว
เด๋ว พรุ่งนี้ไปซื้อแล้วกัน

นางฟ้าตกสวรรค์
นี้ยังไม่ได้ดูเลย

-อันนี้ตอบที่ไปเม้นท์
Eight below นี้ไม่ใช่หนังแนวเธอหรอก
ชั้นรู้ เธอไปดูก็ไม่หนุกหรอก
เผลอๆ อาจผื่นขึ้นเหมือนที่เธอบอก
แต่ชั้นดูเพราะอยากดูหมาๆ น่ะ
อยากกอดพวกมันเจงๆ


โดย: grappa วันที่: 27 มีนาคม 2549 เวลา:23:34:51 น.  

 
... ชอบหนังของหว่องกาไวนะครับ แต่ไม่รู้เป็นอะไร ผมเป็นต้องได้งีบหลับระหว่างทางทุกเรื่องไป (จะมียกเว้นก็เรื่องสั้นที่เขากำกับในชุด BMW หรือ ใน Eros) เรื่องนี้ก็มีเป็นแผ่นอยู่แต่ยังไม่มีโอกาสได้ดูเลยครับ

...วันนี้เพิ่งกลับมาจาก Where the Truth Lies วาบหวาม วาบหวิว สยิวกิ้วดีเหลือเกิน สองนักแสดงนำชายเล่นดีจริงๆ บรรยากาศของหนังก็เย้ายวนรัญจวนใจ กับ การตามล่าหาความจริง ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องหนู Alison Lohman จะใจกล้าเล่นได้ถึงขนาดนี้(แต่ไม่เป็นไร ยอมรับได้)


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 28 มีนาคม 2549 เวลา:1:33:23 น.  

 
น่าอุดหนุนมาดูหน้าน้องเมอร์จริงๆ

แต่ว่าอิฉันจะไปม้อบด้วยค่า


โดย: quin toki วันที่: 28 มีนาคม 2549 เวลา:21:53:59 น.  

 
เพิ่งเข้ามาอ่าน วันนี้เป็นวันเเรก
(ถ้าไม่ได้ความจําเสื่อม เป็นป้าที่หลงเข้ามาก่อนหน้านี้นานมาเเล้ว)

เกิดอาการตกใจว่า ดูเรื่องนี้ไปกี่รอบเนี่ย
ถึงเขียนเจาะลึกอย่างนี้

ดูเรื่องนี้นานมาเเล้ว
เเละจําได้ว่า ไม่ค่อยชอบ
เพราะมันไม่สนุก กุ๊กกิ๊ก อย่าง chungking express
ซื่งทุกวันนี้ก็ยังเช่ามาดูอยู่ ปีละหน
(ไม่ซื้อ ซื้อเเล้วไม่ค่อยดูซ้ำ)

เเต่นั่นเป็นเรื่องเเรกๆที่เคยได้ดู ของเฮียหว่อง
ซึ่งมันก็นานมาเเล้ว

ชอบ in the mood for love
เเล้วหลังจากดู 2046 ไปนานสิบชาติ วันนึงก็เกิดชอบมากๆขึ้นมา
กําลังหาเหตุผลดีๆมาสนับสนุนตัวเองอยู่
ตอนนี้มีเเต่เหตุผลเนิร์ดๆ





โดย: fawnv ที่ blospot IP: 198.45.18.37 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:4:32:23 น.  

 
เดี๋ยวซื้อมาอ่าน
หนังที่ได้ดู

Eight Below- ต่อให้พอลวอล์ก จะโชว์ความหล่อทั้งเรื่อง แต่ผู้ที่ขโมยซีน และมีเสน่ห์มากที่สุดคือ น้องหมาพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ ทั้ง8 ที่แสดงได้น่ารัก และเอาใจช่วยมาตลอด

The Pink panther- สตีฟมาร์ติน ยังทำให้เราฮาเสมอ ดีที่เรื่องนี้ไม่ได้เล่นมุขตลกแบบเล่นของต่ำ สกปรก(หนังตลกไทยควรเอามาศึกษา)
- ชอบมุกที่ประชดอเมริกา(มุกแฮมเบอร์เกอร์) คนแปลซับไทยก็พริ้วจริงๆ(มีมุกพันธ์ทิบ และประโยคว่า"การเมืองเป็นเรื่องของความละโมภภายใต้หน้ากากศีลธรรม" )
- แต่อนาถ ชอง เรโน ที่มาดเหี้ยมใน LEON หายไปไหนหมด!!!!!!


โดย: initial A IP: 203.209.109.146 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:10:32:07 น.  

 
ขอโทษ เขียน "มุข " ผิด


โดย: initial A IP: 203.209.109.146 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:10:33:27 น.  

 
- ระยะหลัง การเมืองเนี่ย ยิ่งกว่าละครน้ำเน่าอีก
จะเครียดไปทำไม อยู่บ้านเล่นเน็ต ดูหนังที่บ้าน หรือไปดูโรงอื่นก็ได้
- เสียดายที่ ที่หนังฟอร์มดีหลายเรื่อง ตอนแรกซื้อมาฉาย แต่ปรากฏว่าตอนนี้ไม่ฉายแล้ว เลยต้องรอดีวีดี สถานเดียว เช่น จ่าเห็ด เอ๊ย Jarhead สุดหล่อเจค จิลเลนฮาลนำแสดง
ม๊อบ คันทรี่ ไม่ใช่ North Country ที่เจ๊ชวลิต นำแสดง


โดย: initial A IP: 203.209.96.221 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:18:08:09 น.  

 
ตอบ คุณผมอยู่ข้างหลังคุณ

ดูหนังของเฮียหว่องไม่หลับนะครับ เคยหลับจริงๆ ก็ตอนดู What Time is it There? (A+) ของเฮียไฉ้อ่ะ หลับคาโซฟาเลย

อีกกรณีที่หลับก็คือ ตะลุยเทศกาลหนัง (ประมาณกลางๆ เทศกาลจะเริ่มฟุบ)

----------------------------

ตอบ คุณ quin toki

ขอบคุณมากจ้า

-----------------------------

ตอบ คุณ fawnv ที่ blospot

Fallen Agnels ดูไปสอบรอบจ้า รอบแรกกดูภาพเน่าๆ รอบสองก็เพิ่งดูแบบภาพใสๆ ไป ชอบมากกว่า Chungking Express เพราะมันไม่กุ๊กกิ๊กนั่นแหละ

-------------------------------

ตอบ คุณ initial A

เรื่อง The Pink Panther ชอบฉากที่เต้นหลอกว่าเป็นแดนเซอร์ให้บียอนเซ่น่ะครับ ฮา ฌอง เรโน มากๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าทำไปได้

รู้สึกว่าเรื่อง Elizabethtown ก็ลงแผ่นเรียบร้อยโรงเรียน Pacific ไปแล้วเช่นกัน เฮ้อ...





โดย: merveillesxx วันที่: 30 มีนาคม 2549 เวลา:0:29:18 น.  

 
ไปงานหนังสือมาเมื่อวาน
แอบพลิกหาคอลัมน์น้องเมอร์
ไม่เห็นหน้าเลยอ่ะ


โดย: quin toki วันที่: 31 มีนาคม 2549 เวลา:11:54:40 น.  

 
ชอบ fallen angels เป็นอันดับหนึ่ง /เพลงประกอบยอดดดดดด ( ฟันธง , ช่วยบอกด้วยว่าเพลงชื่ออะไร/ของใคร ) chungking ex. อันดับสอง in the moon.อันดับสาม happy อันดับสี่ 2046 อันดับห้า
chompoopnthip


โดย: Moeye IP: 210.246.75.197 วันที่: 24 มิถุนายน 2550 เวลา:1:30:27 น.  

 
เขาทำไรก้านหรอ.............งง มากมากๆๆก๋ะ..............
ตกลงต้องทำไรก้านบ้างหรอ......................งง อะดิ......
เล่นพิมพ์ไรกัน.....มันยุกต์ไหนแว๋วหรอ............อนาคตหรอ...ช่างอยู่อีกตั้งไกล.......อิอิ.............อยากอยุ่โลกไหม่จิงๆๆๆๆๆๆ...มันจะเป็นอย่างไรหรอ.........555555+++


โดย: อนุสรณ์ IP: 119.31.126.141 วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:20:39:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.