|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Fallen Angels คนตกสวรรค์ในวันฟ้าเปิด
โดย merveillesxx
เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไมมนุษย์เราเวลาทุกข์ใจถึงชอบแหงนหน้ามองท้องฟ้ากันนัก?
บ้างก็ว่าสีครามของท้องฟ้าทำให้เรารู้สึกดี บ้างก็ว่าความกว้างใหญ่ของแผ่นฟ้านั้นมอบสัมผัสถึงอิสรภาพแก่ผู้จ้องมอง
แล้วก็มีอีกความเชื่อหนึ่งที่ว่าการมองท้องฟ้านั้นก็คือการจ้องมองดินแดนแห่งเดิมของเรา เพราะมนุษย์นั้นคือเทวดาต้องสาปที่ถูกไล่ลงมาจากสวรรค์
ตัวละครในหนังทุกเรื่องของหว่องกาไวล้วนแต่เป็น คนต้องสาป ไม่เว้นกระทั่งหนังอย่าง Fallen Angels (1995) ถึงแม้ว่าชื่อเรื่องของมันจะพูดถึง นางฟ้า หรือ เทวดา ก็ตาม
1. เมืองใหญ่ของคนตกสวรรค์
ว่ากันตามจริงแล้ว Fallen Angels นั้นเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของหว่องกาไวที่ถ่ายทอดภูมิทัศน์ของฮ่องกงอย่างเต็มรูป เพราะหลังจากนั้นแล้วหนังของเขาก็แปรสภาพกลายเป็นหนังที่ยอกย้อนทั้งด้านสถานที่และกาลเวลา (Happy Together (1997) ถ่ายทำในอาร์เจนติน่าและฮ่องกง, In the Mood for Love (2000) เป็นหนังพีเรียดฮ่องกงในยุค 60 แต่ที่จริงแล้วมันถ่ายทำในเมืองไทย ส่วน 2046 (2004) ไปไกลที่สุดเพราะกลายเป็นดินแดนสมมติ)
ดังนั้นแล้ว สังคมเมือง ใน Fallen Angels จึงถูกปรุงแต่งอย่างสุดโต่ง ฮ่องกงเต็มไปด้วยแสงสีที่ฉูดฉาด กระแสเวลาถูกขับเคลื่อนด้วยภาพ fast motion แถมซ้ำด้วยการให้บ้าน (?) ของนักฆ่าอย่างหวังจื่อหมิง (หลี่หมิง) อยู่ขนาบข้างกับรถไฟฟ้าที่ไม่เคยวิ่งด้วยความเร็วปกติเลยสักครั้ง
ควบคู่ไปกับภาพของเมืองใหญ่ การขาดห้วงของการสื่อสารของเหล่ามนุษย์ถูกกล่าวถึงเสมอในงานของหว่องกาไว ตัวละครใน Fallen Angels พรรณาพรั่งพรูถึงคลื่นเสียงล่องลอยแห่งความคิด (voice over) มากมายยิ่งกว่าคำพูดและบทสนทนา (dialogue) เป็นทวีหลายเท่าตัว
ซ้ำร้ายอุปสรรคขัดขวางการสื่อสารยังถูกส่งคลื่นรบกวนออกมาตลอดเวลา โดยเฉพาะในคู่ของ หวังจื่อหมิงและมิเชล (หลี่เจียซิน) ยามทั้งสองอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยจะได้อยู่ในห้วงความคิดท่ามกลางความสงัดเงียบ เสียงรถราจากท้องถนน และเสียงข่าวสารไร้สาระจากโทรทัศน์โอบรัดรอบตัวอยู่เสมอ (แต่หากมองอีกนัยหนึ่งพวกเขาอาจจะเป็นคนที่อยู่ เงียบๆ คนเดียว ไม่เป็น)
มนุษย์พรรณหนังของหว่องกาไวไม่เคยจะนั่งลงจิบน้ำชาแล้วพูดคุยกันตรงไปตรงมา กลับชอบจินตนาการใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วตอบโต้ความรู้สึกไปมาในห้วงสำนึก เป็นกิจกรรมที่ทำซ้ำวนเวียนไปมาจนเป็นการ ยึดติด
ความยึดติดในอะไรบางอย่างของผู้คนถูกส่งผ่านเชิงรูปธรรมด้วย กลิ่นน้ำหอมของหวังจื่อหมิง, ผมสีทองของสาวผมบลอนด์ (ม่อเหวินเว่ย) และรอยกัดที่เธอมอบให้หวังจื่อหมิง
ที่สำคัญคือ ตัวเลข โดยหวังจื่อหมิงจำได้ว่าเขาร่วมงานกับ คู่หู มาเป็นสัปดาห์ที่ 155, มิเชลชอบฟังเพลงหมายเลข 0718 และได้รับเพลง บอกลา หมายเลข 1818 จากคู่หู่, หนุ่มใบ้เหอจื้ออู่ (ทาเคชิ คาเนชิโร่) จดจำวันพบรักแรกคือวันที่ 30 พฤษภาคม 1995 และแม้แต่หว่องกาไวเองก็ทำหนังเกี่ยวกับตัวเลขจริงๆ อย่าง 2046
ในรูปแบบของตัวเลข นาฬิกา อาจเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญ (สิ่งนี้เคยถูกใช้เปิดประเดิมความสัมพันธ์ของหยกไจ๋ (เลสลี่ จาง) และโซวไหล่เจิน (จางมั่นอวี้) มาแล้วใน Days of Being Wild (1991)) ห้องพักร่วมของหวังจื่อหมิงและมิเชล มีนาฬิกาเรือนกลมแขวนอยู่ (มีฉากหนึ่งที่มิเชลหมุนวนเคลื่อนเข็มนาฬิกาโดยไม่รู้ว่าเป็นทีเล่นหรือทีจริง) ทั้งสองส่งผ่านกำหนดแห่ง ภารกิจ ด้วยเวลาจำเพาะเจาะจง แต่ไม่เคยนัดเจอกันได้ เพราะแม้หวังจื่อหมิงจะเป็นนักฆ่าผู้ตรงต่อเวลา แต่ก็ไม่ใช่กับการนัดกับพาร์ทเนอร์สาว (เขาเบี้ยวนัดเธอในที่สุด)
ความเป็นนามธรรมของกับดักการยึดติดใน Fallen Angels ก็ยังอยู่พื้นฐานของโศกนาฏกรรมที่ มนุษย์นั้นทุกข์เพราะมีความจำดีเกินไป โดยก่อนหน้าที่หว่องกาไวจะทำทัณฑ์ทรมานกับชายช้ำรักอย่างโจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) ข้ามปีข้ามชาติจากอดีต (ยุค 60 ใน In the Mood for Love) ถึงอนาคตแสนไกล (2046) เขาก็เคยทำกับ ผู้หญิง อย่างมิเชล และชาร์ลี (ชาร์ลี หยาง) มาก่อนแล้วในหนังเรื่องนี้
มนุษย์เรามีวิธีการตอบโต้กับความทรงจำต่างกันไป ในขณะที่ชาร์ลีใช้วิธีแบบ ขำขัน ปน ขำขื่น ด้วยการออกตามล่าหา นังหลิงผมทอง ที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร อยู่ที่ไหน หรือกระทั่งมีตัวตนจริงหรือเปล่า ส่วนมิเชลนอกจากจะเสพติดข้าวของกองขยะของหวังจื่อหมิงแล้ว เธอก็กลับไปไขว่คว้าหาตัวตนอันเลือนรางของเขาที่ห้องนั้นอีก และจุดนี้เองความทรมานของเธอก็ถูกขับเน้นด้วยชั้นเชิงด้านสัญลักษณ์ ทั้งผ้าปูที่นอนและพื้นห้องลายตารางหมากรุก รวมถึงถุงน่องตาข่ายที่สวมใส่ อันล้วนสื่อความไปถึงคำว่า พันธนาการ
หากปรายสายตามองรอบแรก Fallen Angels อาจเป็นหนังที่รูปแบบนำหน้าเนื้อหา ด้วยสไตล์และเทคนิคที่ฉูดฉาดบาดตาดั่งที่กล่าวมาทั้งหมดในข้างต้น แต่แท้จริงแล้วความประดิษฐ์ในทุกด้านล้วนต้องการสื่อถึงเนื้อความเดียวกัน ในที่นี้ก็คือพฤติกรรมป่วยไข้ของบรรดาคนตกสวรรค์ หรืออาการ ปีกหัก ของเหล่านางฟ้า อันซ่อนอยู่ในความฉาบฉวยที่ครอบคลุมตัวหนัง และถือเป็นความท้าทายต่อคนดูอย่างที่สุด
2. กระจก
ใน In the Mood for Love เคยมีประโยคเปรียบเปรยที่ว่า การเพ่งพิจไปยังอดีตนั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากการมองผ่านกระจกที่เคลือบคลุมไปด้วยฝุ่นหนาทึบ มันเป็นดั่งสรุปที่ปรากฏขึ้นในอนาคตต่อตัวละครในหนังเรื่องนี้ เพราะพวกเขาล้วนใช้สายตามองอีกฝ่ายผ่านกระจก
2.1 มิเชลมองผ่านกระจกไปยังบ้านของหวังจื่อหมิงในขณะอยู่บนรถไฟฟ้า
2.2 เหอจื้ออู่บันทึกภาพของพ่อด้วยกล้องวิดีโอ (และรวมถึงซาโต้ที่บันทึกคำอวยพรวันเกิดส่งไปให้ลูกที่ญี่ปุ่น)
2.3 ชาร์ลีพยายามกระโดดโลดเต้นในสนามฟุตบอลเพื่อให้จอห์นนี่ (แฟนเก่าของเธอ) เห็นเธอทางโทรทัศน์
ทั้งสามข้อนี้ล้วนมี กระจก มาเป็นสิ่งกั้นกลางระหว่างบุคคล ในสองข้อแรกเป็นเรื่องของการ ลอบมอง นั่นคือ มิเชลมองเข้าไปในบ้านของหวังจื่อหมิง (ซึ่งแน่นอนว่าเธอจะไม่เห็นตัวเขา เธอต้องการเพียงแค่แสงไฟนีออนที่ยืนยันว่าเขาอยู่ในบ้านหลังนั้น) ส่วนพ่อของเหอจื้ออู่ก็ลุกขึ้นมาแอบดูวิดีโอที่ลูกถ่ายไว้ตอนกลางดึก ในทางกลับกันเหอจื้ออู่ก็นั่งดูวิดีโอนั้นเมื่อพ่อเสียชีวิตไปแล้ว
ในกรณีของชาร์ลีคือ ความต้องการให้อีกฝ่าย มอง มาที่ตนเอง หากแต่เธอเองก็รู้แก่ใจว่านั่นเป็นเพียงการหวังต่อปาฏิหาริย์อย่างโง่งม (เธอบอกว่า เขาจะมาหาฉันได้อย่างไร พรุ่งนี้เขาจะแต่งงานแล้วนี่นะ) ว่ากันตามจริงแล้ว เธอไม่ต้องไปตามล่านังหลิงผมทองหรือทนนั่งดูฟุตบอลก็ได้ วิธีที่ทำได้ง่ายที่สุดคือการไปหาจอห์นนี่ที่บ้านของเขา แต่แน่นอนว่าเธอไม่กล้า
เช่นนั้น กระจกในหนังก็ยังย้ำถึงประเด็นเดิม แม้กระจกอาจจะเป็นสื่อส่งผ่านข้อความ, ภาพและเสียง (กล้องและโทรทัศน์) แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการส่งต่อที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ภาพที่ปรากฏในหนังยังมีหลายครั้งที่เป็นการถ่าย ภาพสะท้อน จากกระจก อันเป็นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ภายใน ที่ตรงข้ามกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาของเหล่าตัวละครปากแข็ง โดยเฉพาะในฉากที่หวังจื่อหมิง (และมิเชล) นั่งอยู่ในบาร์ (กระจกสะท้อนถึงความรู้สึกของตัวละครในขณะฟังเพลง) และฉากที่เหอจื้ออู่กับพ่อนอนข้างกัน (ภาพสะท้อนความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ไม่เคยปรากฏในยามตื่น)
พูดถึงกระจกแล้ว ก็อดนึกถึงการใช้ภาพใน Fallen Angels ไม่ได้ หนังถ่ายทำด้วยภาพมุมกว้าง (Wide Angle) เป็นส่วนใหญ่ วิลเลี่ยม จาง (โปรดักชั่นดีไซน์คู่บุญของหว่องกาไว) ให้เหตุผลว่าฮ่องกงนั้นมีพื้นที่คับแคบ ในการจะเก็บภาพให้ครบถ้วนจึงต้องใช้เลนส์กว้าง
นั่นจึงเป็นที่มาของภาพหน้าตัวละครที่บิดเบี้ยว ที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึง ความว้าวุ่นใจ ของคนเหล่านั้น ถึงแม้พวกเขาจะเดินบนถนนไปมาด้วยความเท่-เริ่ด-เชิด-หยิ่งขนาดไหนก็ตาม และการถ่ายหน้าตัวละครแบบเดี่ยวๆ นั้นก็เน้นถึงความเป็น ปัจเจก ระดับสูงอันสอดคล้องกับเสียง voice over ที่คลอไปทั้งเรื่อง
จะว่าไปแล้ว คำว่า Angle (มุม) หรือ Angel (เทวดา, นางฟ้า) ก็สะกดต่างกันเพียงนิดเดียว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดคำทั้งสอง และเลนส์กระจกของกล้องต่อจากผู้กำกับภาพอีกที ก็คือ ผู้กำกับ อย่างหว่องกาไว กระจกกล้องจึงเปรียบเสมือน ตา ของผู้กำกับที่ทำตัวเสมือน พระเจ้า ผู้คอยสอดส่องและควบคุมชะตากรรมผู้คนมากมายในเมืองนี้ ไม่ต่างอะไรไปจาก ผู้พิพากษา ที่เป็นตัวแทนของคริสตอฟ เคียสลอฟสกี้ ในไตรภาคสามสี Blue, White, Red
3. เดินสวนกันในวันฟ้าเปิด
หว่องกาไวจัดที่ทาง (หรืออีกนัยคือบังคับ) ให้ตัวละครของเขา เดินสวน กันอยู่เสมอ ในปลายทางที่สว่างใสที่สุดของการเดินสวนกัน ปรากฏอยู่ในหนังเหงารสลูกวาดอย่าง Chungking Express (1994) เพราะการแนบชิดในระยะ 0.01 เซนติเมตร ทำให้เพจเจอร์ของตำรวจรหัส 223 (ทาเคชิ คาเนชิโร่) ดังขึ้นท่ามกลางสายฝน และทำให้เฟย์ (เฟย์ หว่อง) แทนที่แฟนเก่าของตำรวจรหัส 633 (เหลียงเฉาเหว่ย) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ (เฟย์ได้เป็นแอร์โฮสเตทในที่สุด)
อีกฝั่งปลายแห่งความเจ็บปวด ปรากฏใน In the Mood for Love โจวมู่หวันและโซวไหล่เจินเดินสวนในตรอกและทางเดินแคบๆ ทั้งคู่ไม่อาจพูดจากันได้ ทำได้เพียงแค่เมียงมองและทักทายในชนิดแค่ คนรู้จักกัน
หากให้จัดระดับแล้ว การเดินสวนกันใน Fallen Angels คงอยู่ในชนิดกลางๆ ไม่ขาว ไม่ดำ และคงจะเป็นสีเทา เพราะอย่างน้อยมันก็ให้ความหวังน้อยๆ กับเราในตอนจบ
(ต่อจากนี้ไปมีการเปิดเผยตอนจบของหนัง)
เหอจื้ออู่พูดไว้ว่า ทุกๆ วันเราเดินสวนกับคนมากมาย บางคนอาจกลายมาเป็นเพื่อนคุณหรือคนที่คุณรัก ดังนั้นผมจึงไม่เคยทิ้งโอกาสที่จะเดินสวนกับคนอื่นๆ ประโยคของเขาสะท้อนทั้งความเป็นทฤษฎี, ตรรกะ, ความเชื่อ หรือการเล่นตลกของพระเจ้า เพราะสุดท้ายเขาได้พบกับมิเชล (ผู้เคยอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของพ่อเขา) อีกครั้ง
ทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ยังคงอยู่ในสภาพนางฟ้าปีกหัก เหอจื้ออู่ถูกซ้อมปางตาย ส่วนมิเชลกำลังพยายามทำตัวให้เคยชินกับการทำงานคนเดียว (พร้อมกับความคลุมเครือว่าเธอให้ ภารกิจสุดท้าย หรือ วันสุดท้าย กับหวังจื่อหมิงกันแน่) ทั้งคู่ยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย ก่อนที่จะซ้อนมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยกัน
แม้จะไม่ได้แสดงว่าทั้งคู่นั่งพูดคุยกันอย่างจริงจัง (ถึงอยากทำก็คงไม่ได้ เพราะเหอจื้ออู่เป็นใบ้) แต่ประโยคสุดท้ายที่มิเชลพูดว่า ช่วงเวลานี้มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน นั้นทำให้เราคาดการณ์ถึง อะไรบางอย่าง ที่กำลังก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งสอง มันอาจจะไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่อย่างน้อยที่สุด วันนี้ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว
ภาพสุดท้ายของ Fallen Angels เป็นภาพมุมเงยจับไปยังท้องฟ้าสีครามหม่น มันเป็นภาพที่สวยจับใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในหนังที่เราเห็น ท้องฟ้า โดยก่อนหน้านี้สิ่งที่เราเห็นมีเพียงแสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง (หนังเรื่องนี้เป็นฉากกลางคืนตลอดทั้งเรื่อง) แต่อีกนัยภาพตึกสูงที่เสียดแทงไปยังแผ่นฟ้าก็ชวนน่าเศร้า เพราะมันอาจแฝงความหมายถึงความเป็นสังคมเมืองที่รุกรานไปถึงถิ่นที่มาของมนุษย์ นั่นก็คือสวรรค์
สายตาที่มองไปยังท้องฟ้าไม่น่าจะใช่ของตัวละครใดในหนัง พวกเขาล้วนไม่เคยแหงนมองท้องฟ้า ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีความทุกข์ พวกเขาทุกข์มากด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้นมุมมองปริศนานี้ยังคงระบุไม่ได้ถึงที่มา แต่มันคล้ายจะเป็นสายตากล่าวคำอำลาถึงดินแดนที่มนุษย์เราจากมา และไม่มีวันกลับขึ้นไปได้อีก ในขณะที่ภาพยังคงค้างอยู่ที่ท้องฟ้า มอเตอร์ไซค์ของเหอจื้ออู่และมิเชลคงวิ่งจากไปไกล นั่นแสดงถึงการที่ทั้งสองพร้อมจะสละปีก และก้าวต่อไปในฐานะมนุษย์เดินดิน
หมายเหตุจากผู้เขียน
1. เมื่อปี 2004 บริษัท Accent ได้ผลิต DVD หนัง Fallen Angels ฉบับ REMASTERED ออกมา ซึ่งให้ภาพที่คมชัดกว่าฉบับดั้งเดิมเป็นอย่างมาก สมควรแก่การหามาดูอย่างยิ่ง
2. เพลงตอนจบของหนังคือเพลง Only You ของวง Flying Pickets (เป็นวงแนวอะแค็ปเปลล่า) ซึ่งเพลง วันฮิตวอนเดอร์ ของวงนี้
3. บทความนี้จงใจที่จะละทิ้งการสืบสาวร่องรอยระหว่าง Chungking Express และ Fallen Angels เพราะผมเชื่อว่า Fallen Angels ไม่ควรจะเป็นแค่ หนังภาคต่อของ Chungking Express แต่มันควรจะเป็น หนังที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของหว่องกาไว (อย่างไรก็ตาม สามารถหาอ่านได้ในบทวิจารณ์ของคุณมโนธรรม)
4. ในบรรดาหนังทั้งหมดของหว่องกาไว ผมชอบ Fallen Angels เป็นอันดับสอง ส่วนอันดับหนึ่งคือ Happy Together
5. ความคืบหน้าของหว่องกาไว
5.1 หนังเรื่อง The Lady from Shanghai (นำแสดงโดย นิโคล คิดแมน) เลื่อนไปเปิดกล้องปี 2007 เพราะหาพระเอกไม่ได้ และคิดแมนติดถ่ายทำหนังเรื่องใหม่ของบาซ เลอห์มานน์
5.2 หว่องจึงหันไปทำอีกโปรเจคต์หนึ่งชื่อ My Blueberry Night ซึ่งนำแสดงโดย นอร่า โจนส์ (กรี๊ด!), ราเชล ไวซ์ และจู๊ด ลอว์ โดยหว่องออกมาปฏิเสธแล้วว่านี่ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมพายุเฮอร์ริเคนแคทรีน่า
5.3 ส่วนหนังอาจารย์กังฟูของบรู๊ซ ลี เหลียงเฉาเหว่ย (ที่จะรับบทนั้น) ให้สัมภาษณ์ว่า หว่องขอให้ผมไปฝึกกังฟูตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเขามาคุยอะไรเพิ่มเติมเลย (ฮา) ส่วนหว่องดันบอกว่าต้องเลื่อนไปปี 2007 เพราะเหลียงยังฝึกวิชากังฟูไม่พอ (อ้าว!)
6. บทวิจารณ์เพิ่มเติมของ Fallen Angels
6.1 บทวิจารณ์ในหนังสือ เดียวดายอย่างโรแมนติก โลกของหว่องกาไว โดย คุณมโนธรรม เทียมเทียบรัตน์
6.2 บทวิจารณ์ในหนังสือ ลมตะวันออก โดย คุณสิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์
Create Date : 23 มีนาคม 2549 |
Last Update : 23 มีนาคม 2549 23:37:21 น. |
|
25 comments
|
Counter : 7475 Pageviews. |
|
|
|
โดย: โอ๋เอง IP: 61.91.143.190 วันที่: 24 มีนาคม 2549 เวลา:22:25:47 น. |
|
|
|
โดย: โอ๋ IP: 61.91.143.190 วันที่: 24 มีนาคม 2549 เวลา:23:00:04 น. |
|
|
|
โดย: fofo IP: 125.24.10.90 วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:3:11:29 น. |
|
|
|
โดย: cottonbook วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:8:46:49 น. |
|
|
|
โดย: Mint@da{-"-} IP: 221.221.32.60 วันที่: 27 มีนาคม 2549 เวลา:19:39:21 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 27 มีนาคม 2549 เวลา:23:34:51 น. |
|
|
|
โดย: quin toki วันที่: 28 มีนาคม 2549 เวลา:21:53:59 น. |
|
|
|
โดย: fawnv ที่ blospot IP: 198.45.18.37 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:4:32:23 น. |
|
|
|
โดย: initial A IP: 203.209.109.146 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:10:32:07 น. |
|
|
|
โดย: initial A IP: 203.209.109.146 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:10:33:27 น. |
|
|
|
โดย: initial A IP: 203.209.96.221 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:18:08:09 น. |
|
|
|
โดย: quin toki วันที่: 31 มีนาคม 2549 เวลา:11:54:40 น. |
|
|
|
โดย: Moeye IP: 210.246.75.197 วันที่: 24 มิถุนายน 2550 เวลา:1:30:27 น. |
|
|
|
โดย: อนุสรณ์ IP: 119.31.126.141 วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:20:39:27 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Looking from a window above
It's like a story of love
Can you hear me
Came back only yesterday
We're moving farther away
Want you near me
All I needed was the love you gave
All I needed for another day
And all I ever knew
Only you
Sometimes when I think of your name
When it's only a game
And I need you
Listening to the words that you say
It's getting harder to stay
When I see you
All I needed was the love you gave
All I needed for another day
And all I ever knew
Only you
All I needed was the love you gave
All I needed for another day
And all I ever knew
Only you
This is gonna take a long time
And I wonder what's mine
Can't take no more
Wonder if you'll understand
It's just the touch of your hand
Behind the closed door
All I needed was the love you gave
All I needed for another day
And all I ever knew
Only you