http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
2 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
ตอบจดหมายผู้อ่าน : ปริศนาห้วงรักของ In the Mood for Love

โดย merveillesxx

ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมเพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่มาครับ...

ก่อนจะเปิดเทอมผมมีเวลาว่างอยู่พักนึง ก็เลยจัดระเบียบไฟล์ทั้งหลายในคอมตัวเองดู ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ข้อมูลเกี่ยวกับหนังหรือเพลง ก็จะเป็นพวกไฟล์รูปภาพอย่างโปสเตอร์หนัง ไม่ก็รูปบอลลูน, แตงโม และน้องปอย (รายหลังนี่รูปกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ)

ในวันนั้นเอง ผมบังเอิญไปเจอไฟล์ .doc อันนึงที่พิมพ์ตอบอีเมลผู้อ่านท่านหนึ่ง เกี่ยวกับหนังเรื่อง In the Mood for Love ของหว่องกาไว (นอกจากคำถามที่ว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่าแล้ว คำถามที่ส่งมาถึงผมมากรองลงมาก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังเนี่ยแหละครับ)

ที่น่าเสียดายก็คือในไฟล์นั้นไม่ได้ระบุไว้ว่า “คำถาม” คืออะไร รวมถึงไม่มีรายละเอียดของผู้อ่านท่านนั้นเลย (แล้วผมก็ลบอีเมลฉบับนั้นทิ้งไปแล้วด้วย เพราะปกติผมไม่เคยเก็บอีเมลไว้เลยครับ) ผมจำได้คร่าวๆ เพียงว่าอีเมลฉบับนี้ส่งมาเมื่อปีที่แล้ว เกี่ยวกับหนังเรื่อง Spirited Away และ In the Mood for Love

แต่สิ่งที่ผมจำได้แม่นก็คือ หลังจากผมตอบกลับไปแล้ว ผู้อ่านท่านนั้นก็ส่งข้อความขอบคุณกลับมา พร้อมกับประโยคว่า “เอาคำตอบของคุณไปลงบล็อกด้วยสิคะ อยากให้คนอื่นๆ ได้เห็นด้วยค่ะ”

แม้จะผ่านมานานเป็นปี ...แต่ผมก็ทำตามสัญญาแล้วนะครับ

ปล.1 หากผู้อ่านท่านนั้นแวะเวียนมาอ่านเจอบล็อกนี้ โปรดแสดงตัวด้วยนะครับ

ปล.2 หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะมีบทความลง BIOSCOPE ฉบับเดือนกรกฎาคม ในคอลันม์ symbolic corner ครับ





(ต่อไปนี้เป็นเนื้อความจากจดหมายที่ตอบผู้อ่าน ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ที่ยังไม่เคยดู In the Mood for Love เป็นอย่างยิ่ง)


สวัสดีครับ

ก่อนอื่นต้องขออภัยนะครับ ที่ตอบเมลช้ามากๆ พอดีช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอมครับ และก็ขอบคุณนะครับที่เข้าในอ่านบล็อกของผม



Spirited Away


เรื่อง Spirited Away นี่ก็ชอบครับ แต่ไม่ได้ชอบมาก คือ การ์ตูนของ Ghibli เนี่ยโดยคร่าวๆแล้ว ผมคิดว่าเนื้อหามันแบ่งได้เป็น 2 แบบ

1. จิตวิญญาณ-ธรรมชาติ-สรรพสิ่ง เช่น Nausicaa, Laputa, Princess Mononoke, Spirited Away, etc

2. จิตนาการ-วัยเด็ก-ความทรงจำอันงดงาม เช่น The Ocean Wave, Only Yesterday, Whisper of the Heart, Cat Return, Totoro, etc

ซึ่งผมยอมรับว่า Ghibli มีแนวคิดที่ดีและสร้างสรรค์มากๆ สำหรับงานประเภทแรก แต่ส่วนตัวแล้วผมจะชอบงานในแบบที่สองมากกว่า โดยเรื่องที่ผมชอบที่สุดคือ Whisper of the Heart ครับ



Whisper of the Heart



Millennium Actress


แต่ตามจริงแล้วการ์ตูนของ Ghibli ไม่ค่อยถูกชะตากับผมนัก เพราะบางทีมันก็ดูจะ ‘ใสสะอาด’ และ feel good จนเกินไป ผมจึงชอบการ์ตูนของฝั่ง G.I. Studio (Ghost in the Shell 1,2) หรือ Satoshi Kon มากกว่า โดยคนหลังนี่ชอบเรื่อง Millennium Actress มากๆ แต่งานล่าสุดของเขาเรื่อง Tokyo Godfather (เข้าฉายที่ house ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา) ไม่ค่อยถูกใจผมนัก








มาที่เรื่อง In the Mood for Love นะครับ

ไม่แปลกหรอกครับ ที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วจะเกิดอาการงงเง็ง ขอสารภาพว่าตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกผมก็มึนเอาการเลยครับ

คำตอบของคำถามที่ว่า หนังเรื่องกำลังพูดถึงอะไร (หรือถามว่า “Theme ของหนังเรื่องนี้คืออะไร” นั่นเอง) เรามาดูกันที่กุญแจที่ใกล้ตัวและชัดเจนที่สุดก่อนดีกว่าครับ นั่นก็คือ ‘ชื่อ’ ของหนังเรื่องนี้ที่ว่า In the Mood for Love หรือก็คือ ’ในห้วงแห่งรัก’ นั่นเอง

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหนังพูดถึง ‘คนสองคน’ โจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) และโซวไหล่เจิน (จางมั่นอวี้) ที่กำลังตกในห้วงแห่งอารมณ์รักใคร่ แต่บทหนังที่ชาญฉลาดก็เล่นสถานการณ์ประหลาดให้สองคนนี้มาตกหลุมรักกันเพราะ คนรักของทั้งคู่ดันเป็นชู้กันเสียเอง!

ทีนี้ลองมาพิจารณาถึง ‘เทคนิคภาพยนตร์’ (Film Technique) ในด้านต่างๆ ของหนังเรื่องนี้

1. การเล่าเรื่อง

หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนและดีมากๆของการ ‘พูดไม่ชัด’ กล่าวคือ หนังเล่นกับอารมณ์และความฉงนสงสัยของคนดูด้วย ‘ศิลปะแห่งความคลุมเครือ’ ใครที่ดูหนังเรื่องนี้ก็ต้องเกิดคำถามในใจว่า “ตกลงไอ้สองคนนี้มันมีอะไรกันหรือเปล่า?” (ซึ่งผมเชื่อว่า ‘มี’) การเล่าเรื่องแบบนี้อาจสร้างความสับสนกับคนดูจนพาลดูหนังไม่รู้เรื่องและเกลียดหนังไปเลย แต่ในขณะเดียวกันมันคือการกระตุ้นให้คนดูไตร่ตรองนึกคิด และเป็นการเว้นช่องว่างในผู้ชมเติมเต็มมันลงไปตามร่องรอยที่หนังทิ้งไว้ให้ บวกกับจินตนาการส่วนตัว

ตามจริงแล้วพล็อตของหนังเรื่องนี้มันไม่มีอะไรเลย เล่าแค่ 3 ประโยคก็จบแล้วว่า “ชายหญิงสองคนถูกคนรักของตัวเองหักหลัง ทั้งคู่ตกอยู่ในสถานการณ์และอารมณ์เดียวกัน จึงตกหลุมรักกันในที่สุด แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องพรากจากกัน” แต่หว่องกาไวก็ขยายประโยคสั้นๆ ประโยคนี้ให้เป็นหนัง 90 นาทีกว่าๆได้ …การทำหนังเรื่องนี้ก็เหมือนการใช้วิธีการของศิลปะแบบ Impressionist คือการ ‘ตัดส่วนที่ไม่จำเป็น เลือกเล่าแต่สิ่งที่สำคัญหรือสิ่งที่รู้สึก’ ซึ่งหว่องกาไวอาจจะคิดว่า ไอ้ฉากสองคนนี้มีอะไรกันเนี่ยมันไม่จำเป็นต้องใส่มาให้เกะกะในหนัง

สิ่งที่หนังเน้นย้ำและแทบจะเป็นทั้งหมดของเรื่องก็คือ ตัวละครชาย-หญิงทั้งสองตัว ตัวละครอื่นมีบทบาทเพียงน้อยนิด (แต่ก็มีความสำคัญในเชิงบริบท) และที่ชัดเจนที่สุดคือ เราไม่ได้เห็นหน้าของคนรักของทั้งสองคนเลย ทั้งๆ ที่ไอ้สองคนนี้แหละที่เป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด

ความคลุมเครือในหนังเรื่องนี้ยังมีอีกหลายตอน เช่น

- ทำไมนางเอกโทรไปหาพระเอกที่สิงคโปร์แล้วไม่ยอมพูด

- นางเอกเข้าไปในห้องของพระเอกที่สิงคโปร์หรือเปล่า

- ลูกของนางเอกตอนท้ายคือลูกของใคร สามีของนางเอก หรือโจวมู่หวัน

- แล้วตอนท้ายของเรื่องนางเอกยังอยู่กับสามีหรือเปล่า

- แล้วอีตาพระเอกดั้นด้นไปถึงนครวัตทำไมหว่า

ฯลฯ

เพราะฉะนั้น หนังเรื่องนี้อาจจะไม่สามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมดในการดูรอบแรก หากดูรอบที่สองและสามแล้ว น่าจะเข้าถึงมันได้มากขึ้นครับ


2. ภาพ

หนึ่งในภาพที่เราเห็นบ่อยที่สุดคือ ชายหญิงเดินสวนกันในตรอกเล็กๆ เมื่อถึงฉากนี้ทีไร ฝนจะต้องตก, ดนตรีสุดเศร้าจะคลอมา และภาพต้องเชื่องช้าอ้อยอิ่งไปในทันที …ฉากนี้ต้องการบอกอะไรเรา? เท่าที่ผมรู้สึกก็คือ

2.1 ตอนที่นางเอกกับพระเอกเดินสวนกันที่บันไดแคบๆ ผมว่ามันน่าเจ็บปวดมาก ทั้งสองต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน และภาพนี้ยังบอกถึงความรักของทั้งสองด้วยว่า พวกเขาอยู่ใกล้กันเพียงนิดเดียว (ทั้งสองอยู่ในบ้านเช่าเดียวกัน) แต่กลับมีช่องว่างมาแทรกระหว่างทั้งสองคน (พวกเขาต่างมีสามีภรรยาแล้ว / พวกเขาต้องระแวงกับสายตาของเพื่อนบ้าน / พวกเขาไม่อยากมีอะไรกัน เพราะไม่งั้นก็จะกลายเป็นชายโฉดหญิงชั่วเหมือนคู่ของตัวเอง / พวกเขากำลังสับสนและสั่นคลอนด้วยกรอบศีลธรรม ฯลฯ)

2.2 ประโยคหนึ่งที่ผมเศร้ามากๆคือ ตอนที่เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูดถึงนางเอกว่า “เธอแต่งตัวสวย ออกไปซื้อบะหมี่ทุกคืนเลยนะ” ทำไมนางเอกต้องออกไปซื้อบะหมี่ทุกคืน? …เพราะเธอชอบกินมันมาก? เพราะเธอไม่อยากร่วมโต๊ะกินข้าวกับบรรดาเพื่อนบ้านจอมจุ้น? หรืออาจจะเพราะเธออยากจะไปพบโจวมู่หวันที่ร้านนั้น (พระเอกก็ไปกินแถวนั้นประจำ) ที่น่าเศร้าก็คือเขาและเธอหลบสายตาของเพื่อนบ้านได้ …แต่แม้จะพบเจอกันข้างนอก เขาและเธอก็มิอาจพูดจากันได้อยู่ดี





3. สี

ลองคิดดูว่า สีอะไรที่เราเห็นบ่อยที่สุดในหนังเรื่องนี้…ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก ไม่ต้องคิดนานก็พอจะนึกออกใช่มั้ยครับ ว่ามันคือ ‘สีแดง’ หนังหลายเรื่องที่มักจะใช้สีเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกอะไรสักอย่าง สีแดงก็เช่นกัน สีแดงในหนังเรื่อง Hero อาจจะให้ความรู้สึกถึงอารมณ์แห่งความโกรธแค้นชิงชัง (ผมใช้คำว่า ‘ให้ความรู้สึก’ นะครับ ไม่ใช่การ ‘แทนค่า’), อุโมงค์สีแดงในหนังเรื่อง Irreversible ให้ความรู้สึกที่อันตรายไม่น่าวางใจ ส่วน In the mood for love สีแดงก็น่าจะหมายถึง อารมณ์ในห้วงแห่งความรัก นั่นเอง … และห้องที่ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันก็คือ “ห้องแดง” ที่มีหมายเลขหน้าห้องว่า 2046 ที่หว่องกาไวเอาไปแถเป็นหนังเรื่องถัดมา (ฮา)


4. เสียง / เพลงประกอบ

4.1 ไม่ว่าใครที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็จะต้องหลงรักเพลง Quizar, Quizar, Quizar แน่นอน และความหมายของเพลงนี้ก็เข้ากับชีวิตของโจวมู่หวันดี

English translation of original Spanish lyrics:
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"

I am always asking you
When, how and where
You always tell me
Perhaps, perhaps, perhaps

The days pass this way
And I am despairing
And you, you always answer
Perhaps, perhaps, perhaps

You are wasting time
Thinking, thinking
That which you want most
Until when? Until when?

4.2 เพลงบรรเลงเพลงหนึ่ง (เพลงเดียวกับโฆษณาปูนตราเสือพลัส) ถูกใช้บ่อยมากในหนังเรื่องนี้ มันเป็นเพลง Theme ที่ปรากฏเสมอเมื่อชายหญิงทั้งสองพบเจอกัน แต่มันเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกที่เจ็บปวดทรมาน…มันคือเพลงที่เป็นลางบอกเหตุว่าความรักครั้งนี้เป็นดั่งรักต้องห้ามที่จะนำมาซึ่งความเจ็บปวด


ทีนี้มาว่าถึงตอนจบของหนังเรื่องนี้กัน ซึ่งผมถือว่าเป็นหมัดเด็ดของหนังที่ซัดผมตายคาที่ทีเดียว

ตอบจบของหนังเราจะเห็นนายโจวมู่หวันเดินดุ่มๆ ไปที่นครวัต จากนั้นเขาก็ขึ้นไปบนเนินเขา…เจาะรูต้นไม้…และก็พูดอะไรสักอย่างกับมัน…แล้วหนังก็จบ

การกระทำของเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับเรื่องที่เขาเคยพูดไว้กับอาปิงว่า…

“คนสมัยก่อนเวลาเขามีความลับสำคัญที่ไม่อยากให้ใครรู้
พวกเขาจะขึ้นไปบนภูเขา หาต้นไม้สักต้น...เจาะรูบนต้นไม้
และกระซิบบอกความลับทั้งหมดของตัวเองลงไป
เสร็จแล้วก็เอาดินเหนียวอุดไว้
ความลับของเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้”

มันน่าเศร้าที่เขาเป็นคนบอกเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง แต่สุดท้ายคนที่ต้องมาทำแบบนี้ก็คือตัวเขาเอง

เขาทำแบบนั้นก็คงเพราะมีความอัดอั้นอะไรในใจ มีความลับบางอย่างที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ เขาจึงต้องฝากมันไว้กับรูต้นไม้ …เดาได้ไม่ยากว่าสิ่งที่เขาพูดต้องเป็นเรื่องของโซวไหล่เจินแน่นอน (ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากเก็บซ่อนความลับไว้ในต้นไม้ แล้วเขาจะลืมเธอได้มั้ย คำตอบอยู่ในหนังเรื่อง 2046)

ไม่รู้ว่าพี่ได้ดูหนังเรื่อง 2046 หรือยัง แต่ฉากเปิดของหนังเรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะมันคือ ภาพของหุ่นแอนดรอยด์สาว (เฟย์ หว่อง) กำลังกระซิบกับรูต้นไม้อนาคต ประหนึ่งหว่องกาไวกำลังจะ ‘เปิดรู’ ความลับของโจวมู่หวันขึ้นมาอีกครั้ง (อันนี้เป็นไอเดียของคุณไกรวุฒิ จุลพงศธร - BIOSCOPE)

คุณนันทขว้าง สิรสุนทร เคยเขียนถึงฉากจบของ in the mood for love ไว้น่าสนใจว่า สภาพซากปรักหักพังของนครวัตก็ไม่ต่างอะไรกับจิตใจอันแตกสลายของโจวมู่หวัน และเสียงที่สะท้อนก้องกับกำแพงผนังก็ไม่ต่างอะไรกับ ‘คำสาปแห่งรัก’ ที่จะติดตามตัวเขาไปชั่วนิรันดร์





ทีนี้…ทำไมต้องเป็นนครวัต?

1. นครวัตเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ มีความเป็นมาแต่ช้านานใน ‘อดีต’ …สถานที่แห่งนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งกับ ‘คนมีอดีต’ อย่างโจวมู่หวัน

2. หากจำได้ก่อนจะมาถึงฉากสุดท้ายที่นครวัต หว่องกาไวได้ใส่ภาพฟุตเทจการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศกัมพูชาลงไปด้วย ในแง่หนึ่งมันคือการปูพื้นเราไปสู่ฉากถัดไปที่นครวัต แต่ในอีกแง่หนึ่งมันคือ การพูดถึง ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ที่สอดคล้องกับประโยคที่ขึ้นมาในหนังตอนท้ายว่า

“That era has passed. Nothing that belonged to it exists anymore.
เมื่อยุคสมัยนั้นได้ผ่านพ้น ไม่มีสิ่งใดในยุคนั้นจะคงอยู่สืบไปได้”

กาลเวลาที่ผ่านเลยได้คร่า ‘ห้วงรัก’ นั้นไปจากโจวมู่หวันแล้ว ทุกคนย่อมต้องก้าวต่อไปข้างหน้า ซึ่งตอนท้ายของหนังก็แสดงให้เห็นว่า โซวไหล่เจินเป็นคนที่เลือกอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ นั่นก็คือลูกของเธอ

แต่ดูเหมือนว่าโจวมู่หวันนั้นจะเลือกจมฝังตัวเองอยู่กับ ‘อดีต’ ตามที่หนังมีประโยคขึ้นมาว่า

“He remembers these vanished years. As though looking through a dusty window pane, the past is something he could see but not touch. And everything he sees is blurred and indistinct.
ชายผู้นั้นยังคงจดจำกาลเวลาที่สูญสลายหายไป เปรียบดั่งเพ่งพิศมองบานกระจกที่ปกคลุมด้วยฝุ่น
อดีตนั้นคือสิ่งมองเห็นได้ แต่มิอาจสัมผัส และสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน”

ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะหลุดพ้นจากอดีตของตัวเองได้มั้ยนั้น ก็หาคำตอบได้จากหนังเรื่อง 2046 เช่นกัน...


สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะบอกก็คือ In The Mood For Love และ 2046 เป็นหนังที่บีบหัวใจของผมอย่างร้ายกาจ รุนแรง แต่มันก็ช่างงดงาม

นี่คงเป็นเหตุผลที่ผมรักหว่องกาไวเหลือเกิน…

มีความสุขกับการดูหนังครับ

ปล. เคยเขียนถึงหว่องกาไวไว้ ที่นี่ ครับ






Create Date : 02 กรกฎาคม 2549
Last Update : 2 กรกฎาคม 2549 19:11:02 น. 25 comments
Counter : 11320 Pageviews.

 
หนังที่ได้ดูช่วงนี้

01. Superman Returns (2006, Bryan Singer, A+/A)

จริงๆ แล้วตัวหนังมีอะไรที่ไม่ค่อยถูกใจตัวเองเยอะเหมือนกัน เช่น นางเอกที่ไม่สวยเลย หรือบทของเควิน สเปซีย์ที่ดูตลกล่องลอยไปหน่อย แต่ก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีสัญลักษณ์ที่สื่อ superman ในฐานะพระเจ้าหรือพระเมสซิอาห์ให้ได้ขบคิดเยอะดี รวมถึงประเด็น "จากพ่อสู่ลูก" และฉากจบที่ซูเปอร์แมนบินล่องลอยไปในอวกาศก็เป็นฉากที่สวยงามมาก


02. The Year of the Yao (2004, Adam Del Deo + James D. Stern, A+)

ดูที่โรงสยาม วันพฤหัสรอบ 20.45 ทั้งโรงมีอยู่ 3 คน

ดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับหนังมากเลยครับ อาจจะเพราะความรู้สึกที่คอนเน็คกันได้ ในฐานะคนเอเชียเหมือนกัน หรือเรื่องที่เพื่อนๆ เล่าให้ฟังว่าเวลาไปอเมริกาบางทีก็ถูกคนที่นู่นเหยียดอยู่เนืองๆ

ฉากแข่งบาสในหนงมันส์มากเลยครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบดูบาสมากกว่าฟุตบอลอยู่แล้ว มันเร็วดี

สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ว่า โคโค่ลี จะไปปรากฏตัวที่ไหน เธอก็ยังคงเสร่อไม่เสื่อมคลาย (ฮา)


03. The Wooden Camera (2003, Ntshaveni Wa Luruli, A)

ตอนแรกไม่ค่อยอยากดูหนังเรื่องนี้เท่าไร เพราะนึกว่าจะออกมาแรงๆ เหมือน City of God แต่ก็รู้สึกดีที่หนังค่อนข้างนุ่มนวลกว่ามาก

สิ่งที่ชอบมากคือการตัดสินใจของตัวละครทั้งสองในตอนท้ายเรื่อง

ฉากที่ฮามา คือห้องของนางเอกมีรูปของ Marilyn Manson ติดอยู่ (แต่ฮาอยู่คนเดียว)


04. A Stranger of Mine (2005, Kenji Uchida, A+)

รู้สึกผิดคาดอยู่เหมือนกัน เพราะตอนแรกคิดว่าหนังจะออกมาทางติสต์ๆ หน่อย แต่ปรากฏว่าหนังฮามาก

ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดถึงพวกทฤษฎี butterfly effect ที่แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าใครต่อใครเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเรา แต่แท้จริงแล้วการกระทำของทุกคนล้วนส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน

-----------------------

เพลงที่ได้ฟังช่วงนี้

1. Utada Hikaru: Ultra Blue (2006, A+)

2. The Verve: This is Music The Singles 92-98 (2004, A+)

3. Every Little Things: commonplace (2004, A-)

4. Tiesto: parade of the athletes (2004, A)

5. Keane: Under the Iron Sea (2006, A++++++)
เป็นอันดับหนึ่งของอัลบั้มปี 2006 ณ ตอนนี้ (รอตัดเชือกกับกอล์ฟ-ไมค์ ชุดสองละกัน ฮ่าๆๆๆ)



โดย: merveillesxx วันที่: 2 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:21:13 น.  

 
ดู IMFL นานมากแล้ว
เลือนๆ เลย ไม่มีคอมเมนท์
จำได้แต่ว่า ชอบฉากจบมากๆ
ที่พระเอกกระซิบกับโพรงไม้นั่นแหล่ะ

แปลกใจแฮะ แมกเวยxx ไม่ได้ดู The Bow
ของคิม คี ดุ๊ก เหรอ


โดย: grappa วันที่: 2 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:36:06 น.  

 

กระทู้รวมรูปพี่เหลียง ดูที่นี่จ้ะ
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A4500429/A4500429.html

------------------

ตอบ พี่ grappa




The Bow (2005, Kim Ki-Duk, A-) ดูแผ่นเถื่อนไปนานแล้วอ่ะครับ ความจริงก็ตั้งใจจะไปดูในโรงอีกที แต่ช่วงนี้เวลาว่างมีน้อย ก็เลยตัดทิ้งไป

เรื่อง The Bow นี่ผมไม่ค่อยชอบนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเริ่มซ้ำ, เริ่มจับทางหนังของคิมคีด็อคได้แล้ว

แต่ Time หนังเรื่องใหม่ของเขาก็น่าสนใจดี (เกี่ยวกับผู้หญิงที่ทำศัลยกรรม) โปสเตอร์ก็สวยมากๆ


โดย: merveillesxx วันที่: 2 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:57:52 น.  

 
เหอๆ ช่วงนี้ยุ่งมากถึงมากที่สุดครับ
แค่ถ่ายรูป + ซ้อมรับปริญญาเมื่อวานก็จะเป็นลมละ
ทำให้ไม่มีเวลาดูหนังเลย
(รวมถึงเทศกาลหนังฝรั่งเศสด้วย ที่คาดว่าปีนี้ คงไม่มีเวลาดูซักเรื่อง)
แต่เห็นด้วยกับความเห็นเรื่อง The Bow ครับ
เพราะรู้สึกว่าทางหนังค่อนข้างซ้ำ และเริ่มจับทางหนังของ Kim Ki-Duk ได้แล้ว

อย่างไรก็ดี ผมก็ยังชอบหนังของเค้าอยู่นะ
เรื่องนี้ให้ A ครับ
(ชอบน้อยกว่า 3-Iron นิดนึง)


โดย: it ซียู IP: 202.57.156.186 วันที่: 3 กรกฎาคม 2549 เวลา:8:54:30 น.  

 
มาอ่านการตอบจดหมาย

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดูหนังเลย

สุดสัปดาห์นี้จะไปเที่ยวแล้วก็เลยเก็บเงินไว้ก่อนน่ะนะ


เฮ้อ..อยากรวยจัง จะได้ดูหนัง อ่านหนังสือ เที่ยวได้เยอะๆ พร้อมๆ กันโดยไม่ต้องกังวล


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 3 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:09:03 น.  

 
หวัดดีครับ คุณ เมอร์ รู้ว่าชอบฟังเพลงญี่ป่น เหมือนกัน เลยอยากถามว่า รายการ A POP ของพี่เอ็ดดี้ หายไปไหน อีกแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่มีรายการ

ใครรู้ ช่วบอกที

ปล. ตอนนี้ ชอบ ULTRA BLUE ของ HIKKI มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกครับ


โดย: ck IP: 199.67.140.83 วันที่: 4 กรกฎาคม 2549 เวลา:11:16:15 น.  

 

ข่าวประชาสัมพันธ์

1. BIOSCOPE เล่มใหม่ออกแล้ว! (เค้าว่าเป็น "ฉบับจับทางหนังโลก")

บทความน่าสนใจในฉบับนี้

1.1 CANNES 2006: กระจกสะท้อนของโลกแห่งความมืดมน

1.2 ความเบาหวิวเหลือทนของการเซ็นเซอร์

1.3 BIO THEATRE เดือนนี้ ชวนดู surprise film 2 เรื่องรวด

นอกจากนั้นเวบไซต์ของ bioscope เวอร์ชันใหม่ไฉไลกว่าเดิมก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญชมที่ //www.bioscopemagazine.com


2. สัมมนาทางวิชาการประจำปี 2549 ของคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์

หัวข้อคือ “เศรษฐกิจไทยในกระแสการเปลี่ยนแปลงสังคมเศรษฐกิจโลก” มีวันที่ 6 ก.ค. เวลา 08.00-17.00 ที่หอประชุมเล็ก มธ.ท่าพระจันทร์

รายละเอียด //www.econ.tu.ac.th/symposium/symposium49.htm

--------------------------

ตอบ คุณ it

ปีนี้ก็ไม่ได้ไปดูหนังฝรั่งเศสเหมือนกัน ไม่ค่อยว่างเลยง่ะ

ยินดีด้วยกับปริญญาที่กำลังจะได้มาครับ

อ้อ วันนี้ซื้อ CD+DVD ชุด I'm going to tell you a secret ของ madonna มาแหละ ยังไม่ได้ดูตัว DVD นะ แต่บันทึกการแสดงสดก็มันส์และเปรี้ยวดี arrange เพลงโดดเด้งได้ชัย (ซื้อชุดนี้มีลุ้นไปดู Confession Tour ที่โตเกียวด้วย จะได้มั้ยเนี่ย ฮ่าๆๆๆ)


ตอบ คุณ ck

ผมก็งงเหมือนกันว่าเมื่อวันอาทิตย์รายการ A-POP หายไปไหน อุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาฟัง ในห้อง J-MUSIC ก็มีคนมาตั้งกระทู้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้เลยครับ

ล่าสุดได้ยินมาว่าทาง UBC ก็เลิกฉายเทปของ Music Station ไปแล้ว ...ท่าทางเพลงญี่ปุ่นในเมืองไทยคงถึงยุคล่มสลายแล้วล่ะ...


โดย: merveillesxx วันที่: 4 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:48:03 น.  

 
สวัสดีต่อ

พี่ดองทำรายงานส่งวิชา Cinematography สมัยเรียน ป.ตรี ณ มอเฌองดอย ด้วยหนังเรื่อง In the Mood For Love นี้แหละ

เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ เป็นหนังของหว่องกาไวที่เราชอบที่สุดแล้ว

ความรู้สึกในหนังเรื่องนี้ช่างบีบรัดและอึดอัดเสียเหลือเกิน เพียงแค่สิบห้านาทีแรกก็ประหนึ่งเหมือนปาเข้าไปค่อนชั่วโมง

อย่างที่ต่อบอก หนังเรื่องนี้เน้นอารมณ์ (เป็นการใช้ Emotional Function เป็นตัวนำมากกว่าหน้าที่อื่น ๆ ) ไอ้ความคลุมเคลือที่ปรากฎในเรื่อง ตาหว่องแกคุมได้ดีจริง ๆ คุมได้ถึงขนาดที่คนดูมีความรู้สึกเท่ากับตัวละคร จนพาลให้ใครหลายคนเดินออกจากโรงไปก่อนเวลา

สิ่งที่ชอบมากอีกอย่างในหนังเรื่องนี้คือ เรื่องเครื่องแต่งกายครับ กี่เพ้าของจางม่านหวี่แต่ละชุดนี้สวย ๆ ทั้งนั้น มนุษย์เราเมื่อมีความทุกข์ระทมในจิตใจ ก็จะพยายามปิดบังด้วยเปลือกภายนอกเอาไว้ ยิ่งงดงามเท่าไร ในจิตก็ยิ่งปวดร้าวมากเท่านั้น.....

สำหรับหนังเรื่องนี้ พี่ให้เป็นหนังรักประจำใจพี่อีกหนึ่งเรื่อง นอกจาก จางม่านอวี้ ที่เป็นนักแสดงหญิงในดวงใจตลอดกาลอยู่แล้วครับ

ป.ล. ต่อฟัง Red Twenty ยัง เยี่ยมมิใช่เล่น ๆ เลยละ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 5 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:04:56 น.  

 
สวัสดีนะ พี่ซื้อ Bioscope เล่มใหม่มาแล้วนะ (ตกกาใจเหมือนกันว่า ถ้าสมัครสมาชิกงวดนี้...ได้ตั๋วหนังเมเจอร์ฟรีตั้ง 12 ใบต่อความเป็นสมาชิก 1 ปีแน่ะ)

ได้เห็นบทความของน้องแล้วด้วยนะ..เป็นยังไงบ้าง โก่งค่าตัวไว้เยอะหรือเปล่า อย่ายั้งนะ...โกยได้โกยไป (เอาเป็นเลขหลายๆหลักไปเลยยยยยย อิอิอิ) จริงๆ พี่ก็อยากเขียนยาวๆวิเคราะห์วิจารณ์เหมือนน้องบ้างนะ (แต่ไม่ค่อยมีเวลา แค่งานก็ปวดเศียรเวียนเฮดแล้ว เลยไม่เอาดีกว่า ขอดูเพลินๆแล้วกัน) สงสัยถ้าจะเขียนแบบน้องบ้าง...พี่คงขุดประวัติศาสตร์มาเล่า (จนผวากันไปเลยมั๊ง )

อ้อ A Stranger Of Mine น่ารักดีนะ พี่ชอบความ "กวนเท้า" ของหนังเรื่องนี้ สงสัยผู้กำกับหน้าใหม่คนนี้ เคนจิ อุชิดะ ต้องเป็นที่จดจำอีกคนแล้ว (เมื่อก่อนดู Pulp Fiction กับ Memento ก็ชอบ...พอมาเจอเรื่องนี้ก็ชอบอีก) ตอนดูหนังเรื่องนี้อยู่ พี่กลับนึกว่า ตัวเองกำลังเกิดอาการ เดจาวู อยู่ในโรงหนังคนเดียวหรือเปล่า (แต่พอมีคนหัวเราะพร้อมกับพี่...พี่ก็ค่อยเบาใจไปหน่อย)

อ้อ...สงสัยนิดนึงว่า ไม่ทราบว่า น้องเรียนคณะอะไรหรือครับ ถึงเห็นมีวิชาเกี่ยวกับพวกภาพยนตร์ เวลาสอบด้วย (เรียนนิเทศศาสตร์หรือเปล่า)

สุดท้ายนะ หนัง The Wind That Shakes the Barley ที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำสูงสุดของเทศกาลหนังเมืองคานส์ (เกี่ยวกับสงครามไอริช) จะเข้าฉายวันที่ 24 สิงหาคมนี้แล้วนะ ถ้าว่าง...ก็อย่าลืมไปดูด้วยล่ะ เข้าแบบจำกัดโรงเหมือนเดิมนะ


โดย: ตี๋หล่อมีเสน่ห์ วันที่: 6 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:00:34 น.  

 
ซื้อไบโอสโคปแล้ว เห็นบทความพี่ด้วยเหมือนกันอ่ะ

ใกล้จะสอบตรงแล้ว ไม่ค่อยมีเวลาดูหนังเลย sad มากๆๆๆ

อ่านในไบโอที่วิจารณ์เรื่อง antoinette แล้วอยากดูมากๆอ่ะ (สงสัยว่าหนังที่คนด่ามากสุดจะเป็นหนังที่ดีที่สุด จริง?) เรื่อง superman ก็ดูแล้ว(คือชอบ smallville อ่ะ) รู้สึกเหมือนเรื่องมันศาสนาๆยังไงไม่รู้อ่ะ (สงสัยคิดไปเอง) คือชอบสไปเดอร์แมนมากก่า


โดย: โทยะ อากิระ IP: 124.121.30.190 วันที่: 6 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:47:42 น.  

 

ตอบ พี่ดอง

ตอนนี้ต่อก็ต้องทำรายงานส่งวิชา International Film ของ อ.บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา เหมือนกัน คาดว่าอาจจะมีเรื่องต้องปรึกษา ทั่นอ.ดอง เล็กน้อย อิอิอิ ...ตอนแรกก็กะจะทำเกี่ยวกับความเป้นปัจเจกในหนังเอเชีย (ตามแนวถนัดตัวเอง) เนี่ยแหละ แต่พออ่านบทความเรื่องคานส์ใน bio เล่มใหม่แล้ว ก็อยากเปลี่ยนล่ะ อาจจะไปทำเรื่องหนัง post 9/11 แทน (เดาว่าอจ.ผู้สอนน่าจะชอบนะ)

หนังของหว่องที่ต่อชอบที่สุดคือ Happy Together อ่ะ ยิ่งอ่านไบFอแล้วเจอบ็อกซ์ควายครบรอบ 10 ปีหนังเรื่องนี้แล้วกรี๊ดมาก แต่ซื้อไม่ไหวอ่ะมันแพง (แล้วมันจะแถมกางเกงในเหลียงเฉาเหว่ยมาทำไม???)

ชอบจางมั่นอวี้เหมือนกัน เธอไม่ใช่คนสวยมาก แต่เธอดูมี "รัศมี" ดี อยากดูหนังเรื่อง Center Stage ของแสตนลี่ย์ กวาน มากๆ ได้ข่าวว่าเรื่องนี้เธอเล่นดี

Red Twenty ยังไม่ได้ซื้ออัลบั้มเลย แต่ติดตามวงนี้มาหลายปีแล้ว (จาก compilation ของค่ายแพนด้า) นี่อาจจะเป็นวงอินดี้ที่ "อินดี้" จริงๆ วงสุดท้ายของประเทศไทยแล้วมั้ง



ตอบ พี่ตี๋หล่อ

เวลาดูหนังที่โรงหนัง house ก็หลอนตัวเองบ่อยๆ เหมือนกัน เพราะเก้าอี้โรงหนังนี้เป็นสีดำ บางทีเลยไม่แน่ใจว่าข้างหน้าเรานั้นเป็นเก้าอี้หรือ "หัวคน" กันแน่!

ดูหนังที่ House มาหลายที มีคนดูเกิน 10 คนไม่ถึง 2 ครั้ง (มีตอน Kamikaze Girls รอบวันเสาร์ แล้วก็ A Stranger of Mine รอบศุกร์ค่ำเนี่ยแหละ) เคยดูคนเดียวทั้งโรงตอนเรื่อง Waiting for the Cloud ส่วนคนดูเต็มโรงเคยเจอแค่ตอน Happy Berry (รอบปฐมทัศน์, รอบเดียวและรอบสุดท้ายในโลก ฮ่าๆๆๆ)

ผมเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ครับ แต่ที่มีวิชาเกี่ยวกับหนังนี่ไปลงเป็นเสรีบ้าง ลงเกินบ้าง ตอนนี้ก็เรียนไปสองตัว (Man & Literature through Modern Media, General Knowledge of Film) เทอมนี้กำลังเรียน International Film ส่วนเทอมหน้ากะว่าจะเรียน Film Critism กับ Film Theory จ้า

ไม่ได้เรียนคณะนิเทศจ้ะ แต่มีแฟนเก่าอยู่คณะนี้ (เกี่ยวไรเนี่ย???) แล้วก็เคยไปอาศัยห้องที่นิเทศ จุฬา เรียนคอร์สอบรมกับ อ.แดง เมื่อปีที่แล้ว (เพื่อนๆ ร่วมรุ่นหายไปไหนกันโม้ดดดด)

ไม่ค่อยรู้สึกอยากดู The Wind That Shakes the Barley อยากดูหนังปาล์มทองคำปีที่แล้วมากกว่า (The Child ของพี่น้องดาร์เดน) ส่วนคานส์ปีนี้ยังขอยืนยันเชียร์ Southland Tales ขาดใจ (น้องเมอร์รับประกันว่าหนังเรื่องนี้ดูไม่รู้เรื่องแน่นอน ฮ่าๆๆๆ)



ตอบ น้องโทยะ

น้องไปสอบตรงคณะอะไรอ่ะคับ ถ้าเป็นเสดสาด มธ. ก็ปรึกษาได้นะ เมลมาละกัน ช่วงนี้พี่ไม่ได้ออน MSN เลย (แต่พี่ว่าแนวข้อสอบมันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วมั้ง)

พี่ก็อยากดูเรื่อง Marie Antoinette (เวอร์ชันร็อคแอนด์โรล) มากๆ เหมือนกัน เพราะพี่ชอบหนังสองเรื่องก่อนของโซเฟีย คอปโปล่ามากๆ

ส่วน Superman Returns พี่เคยพิมพ์ไว้ที่เฉลิมไทยดังนี้

"สิ่งที่ทำให้ผมชอบ Superman Returns มากๆ ก็คือ สัญลักษณ์หรือนัยยะต่างๆ ที่สื่อว่า Superman คือพระเจ้า (หรือจริงๆ น่าจะเรียกว่าพระเมสซิอาห์มากกว่าตามชื่อว่า "Returns") เนี่ยแหละครับ และถึงแม้จะไม่ได้สังเกตกับสิ่งเหล่านี้ตัวหนังก็ยังถือว่าดูสนุกในระดับหนึ่ง

มีตรงนึงที่ผมอาจจะคิดไปเองคนเดียว แต่ตอนที่พาดหัวข่าวว่า Superman is dead นั้น ทำให้ผมนึกถึงประโยคอมตะของนีทเช่ที่ว่า "พระเจ้าตายแล้ว" (เพราะในที่นี้เราน่าจะสามารถแทนคำว่า Superman = God ได้)

ฉากที่ Superman แบกลูกโลกก็เป็นฉากที่ผมชอบมากครับ ฉากนี้ทำให้ผมนึกถึงประโยคที่ว่า "ผู้แบกโลกย่อมมีค่ามากกว่าโลก" ฉะนั้นแล้วถ้าจะบอกว่า Superman Returns เป็นหนังที่แสดงถึงศรัทธาต่อพระเจ้าก็คงไม่ผิดนัก

สภาพความวุ่นวายของเมืองในหนัง ก็ไม่ต่างอะไรไปจากอเมริกาในยุคสมัยนี้ (หรือพูดง่ายๆ หลัง 9/11) ดังนั้นประเด้นการเชิดชูทั้ง "ฮีโร่" และ "พระเจ้า" ของ Superman Returns จึงเหมาะสมเป็นอย่างดีกับยุคสมัยนี้ของอเมริกาของ เพราะพระเจ้ามิใช่หรือที่คนอเมริกันนึกถึงเป็นอย่างแรก ...เมื่อเกิดเหตุการณ์ 9/11"

อย่างไรก็ตาม พี่ก็ยังรู้สึกว่า Spider-Man (โดยเฉพาะภาค 2) ลงตัวมากกว่าหนังฮีโร่ทุกๆ เรื่องจ้ะ


โดย: merveillesxx วันที่: 6 กรกฎาคม 2549 เวลา:23:08:17 น.  

 



กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด!

//www.thaiticketmaster.com/concert/keane_eng.php

KEANE Under The Iron Sea LIVE IN BANGKOK

Venue : Impact Arena

Show Date : Wednesday 9th, August 2006

เริ่มขายบัตร 8 ก.ค. 2549

Prices :
2,200 Baht
1,500 Baht
1,000 Baht
500 Baht

เจอกันแน่นอน!!!!!


โดย: merveillesxx IP: 203.209.97.48 วันที่: 7 กรกฎาคม 2549 เวลา:0:17:13 น.  

 
เพิ่งซื้อไบโอฯ เล่มใหม่เมื่อวานนี้เอง
กรี๊ดมากๆ เพราะมีคอลัมน์ถูกใจตัวเองหลายคอลัมน์เหลือเกิน
ทั้งความเบาหวิวอันเหลือทนของการเซ็นเซอร์ หรือจะเป็นคอลัมน์ Cannes 2006 ของคุณเต้ และที่สำคัญ Symbolic Corner ที่น้องเมอร์รับจ็อบไปเขียน (ฮา!)

ป.ล. 1 แอบสะดุดกับวิทยานิพนธ์ "ฐานะประพันธกรในภาพยนตร์ของอิงมาร์ เบิร์กแมน" ของคุณก้อง พาหุรัตน์มากๆ เพราะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า ตอนไปส่งงานกับอ.ย่า เคยเห็นบทความวิเคราะห์หนังของอิงมาร์ เบิร์กแมนปึกใหญ่ วางไว้หน้าห้อง ..ซึ่งตอนนั้น ด้วยความสอดรู้สอดเห็น ก็เลยแอบอ่านไปเล็กน้อยถึงปานกลาง

แต่แค่อ่านไปนิดหน่อย ก็ยังรู้สึกชอบมากๆ เลย เพราะคนเขียน เขียนได้เจาะลึก - ละเอียดลออ และใช้คำที่น่าอ่านมากๆ ...ไม่รู้ว่าชีทที่ีตัวเองเคยเห็น เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์เล่มนี้หรือเปล่า? เอาไว้ยังไง ว่างๆ เดี๋ยวแวะไปหอกลาง ไปยืมวิทยานิพนธ์เล่มนี้มาอ่านมั่งดีกว่า หุหุ

ป.ล. 2 คอนเสิร์ต Keane จองตั๋วพรุ่งนี้แล้วหรือ กรี๊ดดๆๆๆๆ อยากซื้อบัตร 2200 อ่า แต่ตอนนี้ เงินหายไปกับเรื่องไร้สาระหมดแล้ว ฮือๆ ทำไงดี อยากได้บัตรฟรี อิอิ

ป.ล. 3 ยังไม่ได้ฟังซีดีการแสดงสดเลยครับ แต่ดู DVD I'm going to tell you a secret ไปแล้วนิดหน่อย

ชอบในส่วนของการแสดงคอนเสิร์ตมากๆ (โดยเฉพาะเพลง Lament ทั้งเสียงและแววตา กินขาดจริงๆ ครับ) อยากให้ออกดีวีดีบันทึกการแสดงสด Re-Invention Tour เต็มๆ มาเร็วๆ จัง ...เอามายั่วน้ำลายในสารคดีแบบนี้ไม่ดีนะเจ๊ เด๋วงอน เลิกเป็นสาวกซะเลย เหอๆ


โดย: it ซียู IP: 202.57.156.236 วันที่: 7 กรกฎาคม 2549 เวลา:8:52:43 น.  

 
จะรออ่านวิทยานิพนธ์ของคุณก้อง ท่าจะเลิศแฮะ

ป.ล. แล้ววิทยานิพนธ์ตรูละว่ะ ถึงไหนแล้วนี้


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 7 กรกฎาคม 2549 เวลา:18:13:42 น.  

 
สวัสดี


โดย: ใหม่ IP: 203.114.120.241 วันที่: 7 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:57:04 น.  

 
May I participate in your answered mail...

I like Ghibli's animations as well as Satoshi Kon's. I has seen his 3 directed movies which were Perfect Blue, Millennium Actress and Tokyo Godfathers. I like them anyway I was fascinated by editing in Mil-Act which was superb. I felt that I watched movie not animation.

When I watched 'In the mood for love", I didn't try to understand its detail cause I just felt that I can't truely get all his messages. I just let myself appealing to its scenes, performances and especially original soundtrack.

Can I borrow your shouting?

"กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด!"

KEANE Under The Iron Sea LIVE IN BANGKOK

Venue : Impact Arena

Show Date : Wednesday 9th, August 2006

เริ่มขายบัตร 8 ก.ค. 2549

Why why why???? do they have to go to Thailand while I won't be there???

Feel sad T_T All I can do, only wait for your concert review.


โดย: cottonbook วันที่: 8 กรกฎาคม 2549 เวลา:8:34:25 น.  

 
มีอะไรก็ถามมาละกัน เมลมาหาพี่ที่ sasawat11@yahoo.com หรือถ้าเร่งด่วนจนชวนนอนไม่หลับก็โทรมาที่เบอร์ 0-6192-4466 ช่วงกลางวันละกันนะครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 8 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:20:58 น.  

 



วันนี้ไปซื้อบัตรคอนเสิร์ตที่ ThaiTicketMaster เซ็นทรัลลาดพร้าวมา ...เอ่อ ไม่ได้ไปซื้อบัตร Keane หรือ Palmy หรอกนะ แต่ไปซื้อคอนเสิร์ต THE BEAT ง่ะ ...อะฮ้า งงล่ะสิ ว่ามันคือคอนเสิร์ตบ้าอะไร มันคือคอนเสิร์ตรวมดาวแดนซ์กระจาย อันได้แก่ ลุงเจ-เจตริน กับ ป้าติ๊นา นั่นเอง แอบเขินนะเนี่ย

คือ ความจริงก็ไม่ได้กะจะดูคอนเสิร์ตนี้หรอกนะ แต่พอดีพี่สาวฝากซื้ออ่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็เลยพ่วงตัวเองเข้าไปในคอนเสิร์ตนี้ซะเลย

ไปถึงห้างตอน 9.45 แบบว่าคนเยอะมากๆ เพราะวันนี้มันขายทั้งคอนเสิร์ต palmy และ The Beat ได้บัตรคิวตั้งเบอร์ 74 เลยทำใจเลยว่าคงไม่ได้ที่ดีๆ แหง ...แต่โชคดีที่พี่ผู้หญิงมาชวนเราคุย ซึ่งเค้าได้บัตรคิวเบอร์ 45 เราก็เลยพ่วงซื้อบัตรไปกับเค้าเลย ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่ผู้หญิงคนนั้นมากๆ นะคร้าบ

เมื่อกี้แอบไปดูในเวบ TTM มา คอนเสิร์ต THE BEAT นี่จะ sold out แล้วนะเนี่ย ส่วน palmy กับ keane ก็ขายดีเหมือนกัน (ยังไม่ได้ซื้อ Keane เลย คงต้องรีบแล้ว)


วันนี้ดูนั่ง DVD คอนเสิร์ตสองอัน อันแรกคือ Ayumi Hamasaki : COUNTDOWN LIVE 2005-2006 ก็อลังการดีตามสไตล์เธอนั่นแหละ มีช็อตนึงที่ชอบมากๆ คือตอนที่เธอร้องเพลง Endless Sorrow แล้วขึ้นแท่นไม้กางเขนลอยขึ้นฟ้าไปเนี่ยแหละ ไม่รู้คิดได้ยังไง ขอกราบตีนคนคิด

อันที่สอง (ซึ่งยังดูไม่จบ) คือ I'm going to tell you a secret ของเจ๊ป้า madonna จริงๆ แล้วมันเป็นสารคดีคอนเสิร์ต Re-invention tour ตั้งแต่ปี 2004 ของป้าแกน่ะ ...ดูแล้วแบบอึ้งแดกไปเลย อลังการเลิศหล้านภาลัยมไหสววรค์สุดตีน ดูแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมชาตินี้ประเทศไทยถึงไม่มีปัญญาจัดคอนเสิร์ตของเธอได้

------------------------

Little Big Film Project X: Oh, What A Love!

กลับมาอีกครั้งแล้ว โครงการหนังเล็กๆ แต่ได้ใจ จัดที่ลิโด้เหมือนเคย เริ่ม 31 ต.ค. นี้ (โห อีกตั้งนาน)

ปีนี้ฉาย 5 เรื่องดังนี้

1. Me and You and Everyone We Know
2. Queen
3. Blue
4. A Soap
5. Candy

ดูรายละเอียดที่ //www.popcornmag.com/index.php?option=content&task=view&id=616&Itemid=2


โดย: merveillesxx IP: 203.209.121.203 วันที่: 8 กรกฎาคม 2549 เวลา:23:29:01 น.  

 
ขอบคุณพี่ผู้หญิงคนนั้น

ขอบคุณน้องแม็กเวยยยย

พี่มีคำถามว่า ในคอนฯ นี้ พี่ พี่เมย์ เธอ หรือป้าติ๊นา ใครจะเป็นลมก่อนกัน ฮิฮิ


โดย: halation IP: 202.5.87.154 วันที่: 9 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:55:34 น.  

 
รู้สึกจิ๊ดๆ เวลาคนชอบ in the mood for love
เพราะว่า จากที่เจอมา (เฉพาะคนที่ผมรู้จักอะนะ)

คนที่ชอบ in the mood for love มันจะfakeๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

รวมทั้งคนที่ชอบหนัง หว่องกาไว หลายๆคน
จริงๆไม่ใช่ คอหนังเท่าไรหรอก บางทีจำรายละเอียดหนังไม่ได้ด้วยซ้ำ

แต่เอาชื่อพี่หว่องไปประดับ รสนิยม
นี่ไม่ได้ว่าพวกท่านในกระทู้นี้นะ พูดถึงชีวิตจริงที่ผมเจอเฉยๆ



โดย: thisis IP: 58.8.140.51 วันที่: 14 กรกฎาคม 2549 เวลา:14:37:31 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยแนะแนวทางในการเข้าถึงวิชา TU 115 มากขึ้น ถ้ามีปัญหาสามารถpost ตรงนี้ได้ไหมค่ะ รู้สึกอ่านบทความของพี่ (ถึงแม้จะบางส่วนเท่านั้น) แล้วรู้สึกว่าเรายังขาดอีกหลายอย่างในการมองอะไรให้กว้างมากขึ้น ประทับใจๆ ขอบคุณค่ะ


โดย: benz L'arts TU49 IP: 58.10.216.224 วันที่: 4 สิงหาคม 2549 เวลา:19:43:15 น.  

 
^
^
^
เมลมาที่ merveillesxx@hotmail.com ก็ได้ครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 6 สิงหาคม 2549 เวลา:1:33:46 น.  

 
หวัดดีคับ วันก่อนผมได้ดู music station ของยูบีซี มีผู้หญิงร้องเพลงของ ghibli เปนเพลงช้าๆๆเพราะๆๆ แต่ผมหาไม่เจออะ่ครับ ว่ามาจากเรื่องอ่ะไรครับ รบกวนช่วยตอบผมหน่อยนะครับ
ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยส่งคำตอบเข้าเมล์ผมที doc_sh_at_cbgb@hotmail.com
รบกวนด้วยนะครับ ผมมี soundtrack เกือบครบ แต่้ก้อไม่เหนมี


โดย: ฮานี IP: 124.121.129.204 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา:23:27:42 น.  

 
อ๋อพี่ครับ ไม่ต้องแล้วล่ะครับ search จนเจอแล้วครับ เรื่องใหม่จริงๆๆด้วย
เรื่อง tale from earthsea นี่เอง ถึงว่าไม่เคยดู
ขอบคุนมาดครับ


โดย: ฮานี IP: 124.121.129.204 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา:23:30:42 น.  

 
ซื้อแผ่นผีมาดู พอใกล้จบแผ่นสะดุดดูไม่ได้ กรรมตามทัน


โดย: 2047 IP: 115.67.81.171 วันที่: 25 มกราคม 2552 เวลา:2:02:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.