ตอบจดหมายผู้อ่าน : ปริศนาห้วงรักของ In the Mood for Love
โดย merveillesxx
ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมเพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่มาครับ...
ก่อนจะเปิดเทอมผมมีเวลาว่างอยู่พักนึง ก็เลยจัดระเบียบไฟล์ทั้งหลายในคอมตัวเองดู ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ข้อมูลเกี่ยวกับหนังหรือเพลง ก็จะเป็นพวกไฟล์รูปภาพอย่างโปสเตอร์หนัง ไม่ก็รูปบอลลูน, แตงโม และน้องปอย (รายหลังนี่รูปกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ)
ในวันนั้นเอง ผมบังเอิญไปเจอไฟล์ .doc อันนึงที่พิมพ์ตอบอีเมลผู้อ่านท่านหนึ่ง เกี่ยวกับหนังเรื่อง In the Mood for Love ของหว่องกาไว (นอกจากคำถามที่ว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่าแล้ว คำถามที่ส่งมาถึงผมมากรองลงมาก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังเนี่ยแหละครับ)
ที่น่าเสียดายก็คือในไฟล์นั้นไม่ได้ระบุไว้ว่า คำถาม คืออะไร รวมถึงไม่มีรายละเอียดของผู้อ่านท่านนั้นเลย (แล้วผมก็ลบอีเมลฉบับนั้นทิ้งไปแล้วด้วย เพราะปกติผมไม่เคยเก็บอีเมลไว้เลยครับ) ผมจำได้คร่าวๆ เพียงว่าอีเมลฉบับนี้ส่งมาเมื่อปีที่แล้ว เกี่ยวกับหนังเรื่อง Spirited Away และ In the Mood for Love
แต่สิ่งที่ผมจำได้แม่นก็คือ หลังจากผมตอบกลับไปแล้ว ผู้อ่านท่านนั้นก็ส่งข้อความขอบคุณกลับมา พร้อมกับประโยคว่า เอาคำตอบของคุณไปลงบล็อกด้วยสิคะ อยากให้คนอื่นๆ ได้เห็นด้วยค่ะ
แม้จะผ่านมานานเป็นปี ...แต่ผมก็ทำตามสัญญาแล้วนะครับ
ปล.1 หากผู้อ่านท่านนั้นแวะเวียนมาอ่านเจอบล็อกนี้ โปรดแสดงตัวด้วยนะครับ
ปล.2 หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะมีบทความลง BIOSCOPE ฉบับเดือนกรกฎาคม ในคอลันม์ symbolic corner ครับ
(ต่อไปนี้เป็นเนื้อความจากจดหมายที่ตอบผู้อ่าน ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ที่ยังไม่เคยดู In the Mood for Love เป็นอย่างยิ่ง)
สวัสดีครับ
ก่อนอื่นต้องขออภัยนะครับ ที่ตอบเมลช้ามากๆ พอดีช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอมครับ และก็ขอบคุณนะครับที่เข้าในอ่านบล็อกของผม
Spirited Away
เรื่อง Spirited Away นี่ก็ชอบครับ แต่ไม่ได้ชอบมาก คือ การ์ตูนของ Ghibli เนี่ยโดยคร่าวๆแล้ว ผมคิดว่าเนื้อหามันแบ่งได้เป็น 2 แบบ
1. จิตวิญญาณ-ธรรมชาติ-สรรพสิ่ง เช่น Nausicaa, Laputa, Princess Mononoke, Spirited Away, etc
2. จิตนาการ-วัยเด็ก-ความทรงจำอันงดงาม เช่น The Ocean Wave, Only Yesterday, Whisper of the Heart, Cat Return, Totoro, etc
ซึ่งผมยอมรับว่า Ghibli มีแนวคิดที่ดีและสร้างสรรค์มากๆ สำหรับงานประเภทแรก แต่ส่วนตัวแล้วผมจะชอบงานในแบบที่สองมากกว่า โดยเรื่องที่ผมชอบที่สุดคือ Whisper of the Heart ครับ
Whisper of the Heart
Millennium Actress
แต่ตามจริงแล้วการ์ตูนของ Ghibli ไม่ค่อยถูกชะตากับผมนัก เพราะบางทีมันก็ดูจะ ใสสะอาด และ feel good จนเกินไป ผมจึงชอบการ์ตูนของฝั่ง G.I. Studio (Ghost in the Shell 1,2) หรือ Satoshi Kon มากกว่า โดยคนหลังนี่ชอบเรื่อง Millennium Actress มากๆ แต่งานล่าสุดของเขาเรื่อง Tokyo Godfather (เข้าฉายที่ house ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา) ไม่ค่อยถูกใจผมนัก
มาที่เรื่อง In the Mood for Love นะครับ
ไม่แปลกหรอกครับ ที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วจะเกิดอาการงงเง็ง ขอสารภาพว่าตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกผมก็มึนเอาการเลยครับ
คำตอบของคำถามที่ว่า หนังเรื่องกำลังพูดถึงอะไร (หรือถามว่า Theme ของหนังเรื่องนี้คืออะไร นั่นเอง) เรามาดูกันที่กุญแจที่ใกล้ตัวและชัดเจนที่สุดก่อนดีกว่าครับ นั่นก็คือ ชื่อ ของหนังเรื่องนี้ที่ว่า In the Mood for Love หรือก็คือ ในห้วงแห่งรัก นั่นเอง
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหนังพูดถึง คนสองคน โจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) และโซวไหล่เจิน (จางมั่นอวี้) ที่กำลังตกในห้วงแห่งอารมณ์รักใคร่ แต่บทหนังที่ชาญฉลาดก็เล่นสถานการณ์ประหลาดให้สองคนนี้มาตกหลุมรักกันเพราะ คนรักของทั้งคู่ดันเป็นชู้กันเสียเอง!
ทีนี้ลองมาพิจารณาถึง เทคนิคภาพยนตร์ (Film Technique) ในด้านต่างๆ ของหนังเรื่องนี้
1. การเล่าเรื่อง
หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนและดีมากๆของการ พูดไม่ชัด กล่าวคือ หนังเล่นกับอารมณ์และความฉงนสงสัยของคนดูด้วย ศิลปะแห่งความคลุมเครือ ใครที่ดูหนังเรื่องนี้ก็ต้องเกิดคำถามในใจว่า ตกลงไอ้สองคนนี้มันมีอะไรกันหรือเปล่า? (ซึ่งผมเชื่อว่า มี) การเล่าเรื่องแบบนี้อาจสร้างความสับสนกับคนดูจนพาลดูหนังไม่รู้เรื่องและเกลียดหนังไปเลย แต่ในขณะเดียวกันมันคือการกระตุ้นให้คนดูไตร่ตรองนึกคิด และเป็นการเว้นช่องว่างในผู้ชมเติมเต็มมันลงไปตามร่องรอยที่หนังทิ้งไว้ให้ บวกกับจินตนาการส่วนตัว
ตามจริงแล้วพล็อตของหนังเรื่องนี้มันไม่มีอะไรเลย เล่าแค่ 3 ประโยคก็จบแล้วว่า ชายหญิงสองคนถูกคนรักของตัวเองหักหลัง ทั้งคู่ตกอยู่ในสถานการณ์และอารมณ์เดียวกัน จึงตกหลุมรักกันในที่สุด แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องพรากจากกัน แต่หว่องกาไวก็ขยายประโยคสั้นๆ ประโยคนี้ให้เป็นหนัง 90 นาทีกว่าๆได้
การทำหนังเรื่องนี้ก็เหมือนการใช้วิธีการของศิลปะแบบ Impressionist คือการ ตัดส่วนที่ไม่จำเป็น เลือกเล่าแต่สิ่งที่สำคัญหรือสิ่งที่รู้สึก ซึ่งหว่องกาไวอาจจะคิดว่า ไอ้ฉากสองคนนี้มีอะไรกันเนี่ยมันไม่จำเป็นต้องใส่มาให้เกะกะในหนัง
สิ่งที่หนังเน้นย้ำและแทบจะเป็นทั้งหมดของเรื่องก็คือ ตัวละครชาย-หญิงทั้งสองตัว ตัวละครอื่นมีบทบาทเพียงน้อยนิด (แต่ก็มีความสำคัญในเชิงบริบท) และที่ชัดเจนที่สุดคือ เราไม่ได้เห็นหน้าของคนรักของทั้งสองคนเลย ทั้งๆ ที่ไอ้สองคนนี้แหละที่เป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด
ความคลุมเครือในหนังเรื่องนี้ยังมีอีกหลายตอน เช่น
- ทำไมนางเอกโทรไปหาพระเอกที่สิงคโปร์แล้วไม่ยอมพูด
- นางเอกเข้าไปในห้องของพระเอกที่สิงคโปร์หรือเปล่า
- ลูกของนางเอกตอนท้ายคือลูกของใคร สามีของนางเอก หรือโจวมู่หวัน
- แล้วตอนท้ายของเรื่องนางเอกยังอยู่กับสามีหรือเปล่า
- แล้วอีตาพระเอกดั้นด้นไปถึงนครวัตทำไมหว่า
ฯลฯ
เพราะฉะนั้น หนังเรื่องนี้อาจจะไม่สามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมดในการดูรอบแรก หากดูรอบที่สองและสามแล้ว น่าจะเข้าถึงมันได้มากขึ้นครับ
2. ภาพ
หนึ่งในภาพที่เราเห็นบ่อยที่สุดคือ ชายหญิงเดินสวนกันในตรอกเล็กๆ เมื่อถึงฉากนี้ทีไร ฝนจะต้องตก, ดนตรีสุดเศร้าจะคลอมา และภาพต้องเชื่องช้าอ้อยอิ่งไปในทันที
ฉากนี้ต้องการบอกอะไรเรา? เท่าที่ผมรู้สึกก็คือ
2.1 ตอนที่นางเอกกับพระเอกเดินสวนกันที่บันไดแคบๆ ผมว่ามันน่าเจ็บปวดมาก ทั้งสองต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน และภาพนี้ยังบอกถึงความรักของทั้งสองด้วยว่า พวกเขาอยู่ใกล้กันเพียงนิดเดียว (ทั้งสองอยู่ในบ้านเช่าเดียวกัน) แต่กลับมีช่องว่างมาแทรกระหว่างทั้งสองคน (พวกเขาต่างมีสามีภรรยาแล้ว / พวกเขาต้องระแวงกับสายตาของเพื่อนบ้าน / พวกเขาไม่อยากมีอะไรกัน เพราะไม่งั้นก็จะกลายเป็นชายโฉดหญิงชั่วเหมือนคู่ของตัวเอง / พวกเขากำลังสับสนและสั่นคลอนด้วยกรอบศีลธรรม ฯลฯ)
2.2 ประโยคหนึ่งที่ผมเศร้ามากๆคือ ตอนที่เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูดถึงนางเอกว่า เธอแต่งตัวสวย ออกไปซื้อบะหมี่ทุกคืนเลยนะ ทำไมนางเอกต้องออกไปซื้อบะหมี่ทุกคืน?
เพราะเธอชอบกินมันมาก? เพราะเธอไม่อยากร่วมโต๊ะกินข้าวกับบรรดาเพื่อนบ้านจอมจุ้น? หรืออาจจะเพราะเธออยากจะไปพบโจวมู่หวันที่ร้านนั้น (พระเอกก็ไปกินแถวนั้นประจำ) ที่น่าเศร้าก็คือเขาและเธอหลบสายตาของเพื่อนบ้านได้
แต่แม้จะพบเจอกันข้างนอก เขาและเธอก็มิอาจพูดจากันได้อยู่ดี
3. สี
ลองคิดดูว่า สีอะไรที่เราเห็นบ่อยที่สุดในหนังเรื่องนี้
ติ๊กต่อก
ติ๊กต่อก ไม่ต้องคิดนานก็พอจะนึกออกใช่มั้ยครับ ว่ามันคือ สีแดง หนังหลายเรื่องที่มักจะใช้สีเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกอะไรสักอย่าง สีแดงก็เช่นกัน สีแดงในหนังเรื่อง Hero อาจจะให้ความรู้สึกถึงอารมณ์แห่งความโกรธแค้นชิงชัง (ผมใช้คำว่า ให้ความรู้สึก นะครับ ไม่ใช่การ แทนค่า), อุโมงค์สีแดงในหนังเรื่อง Irreversible ให้ความรู้สึกที่อันตรายไม่น่าวางใจ ส่วน In the mood for love สีแดงก็น่าจะหมายถึง อารมณ์ในห้วงแห่งความรัก นั่นเอง
และห้องที่ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันก็คือ ห้องแดง ที่มีหมายเลขหน้าห้องว่า 2046 ที่หว่องกาไวเอาไปแถเป็นหนังเรื่องถัดมา (ฮา)
4. เสียง / เพลงประกอบ
4.1 ไม่ว่าใครที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็จะต้องหลงรักเพลง Quizar, Quizar, Quizar แน่นอน และความหมายของเพลงนี้ก็เข้ากับชีวิตของโจวมู่หวันดี
English translation of original Spanish lyrics: "Perhaps, Perhaps, Perhaps"
I am always asking you When, how and where You always tell me Perhaps, perhaps, perhaps
The days pass this way And I am despairing And you, you always answer Perhaps, perhaps, perhaps
You are wasting time Thinking, thinking That which you want most Until when? Until when?
4.2 เพลงบรรเลงเพลงหนึ่ง (เพลงเดียวกับโฆษณาปูนตราเสือพลัส) ถูกใช้บ่อยมากในหนังเรื่องนี้ มันเป็นเพลง Theme ที่ปรากฏเสมอเมื่อชายหญิงทั้งสองพบเจอกัน แต่มันเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกที่เจ็บปวดทรมาน
มันคือเพลงที่เป็นลางบอกเหตุว่าความรักครั้งนี้เป็นดั่งรักต้องห้ามที่จะนำมาซึ่งความเจ็บปวด
ทีนี้มาว่าถึงตอนจบของหนังเรื่องนี้กัน ซึ่งผมถือว่าเป็นหมัดเด็ดของหนังที่ซัดผมตายคาที่ทีเดียว
ตอบจบของหนังเราจะเห็นนายโจวมู่หวันเดินดุ่มๆ ไปที่นครวัต จากนั้นเขาก็ขึ้นไปบนเนินเขา
เจาะรูต้นไม้
และก็พูดอะไรสักอย่างกับมัน
แล้วหนังก็จบ
การกระทำของเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับเรื่องที่เขาเคยพูดไว้กับอาปิงว่า
คนสมัยก่อนเวลาเขามีความลับสำคัญที่ไม่อยากให้ใครรู้ พวกเขาจะขึ้นไปบนภูเขา หาต้นไม้สักต้น...เจาะรูบนต้นไม้ และกระซิบบอกความลับทั้งหมดของตัวเองลงไป เสร็จแล้วก็เอาดินเหนียวอุดไว้ ความลับของเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
มันน่าเศร้าที่เขาเป็นคนบอกเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง แต่สุดท้ายคนที่ต้องมาทำแบบนี้ก็คือตัวเขาเอง
เขาทำแบบนั้นก็คงเพราะมีความอัดอั้นอะไรในใจ มีความลับบางอย่างที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ เขาจึงต้องฝากมันไว้กับรูต้นไม้
เดาได้ไม่ยากว่าสิ่งที่เขาพูดต้องเป็นเรื่องของโซวไหล่เจินแน่นอน (ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากเก็บซ่อนความลับไว้ในต้นไม้ แล้วเขาจะลืมเธอได้มั้ย คำตอบอยู่ในหนังเรื่อง 2046)
ไม่รู้ว่าพี่ได้ดูหนังเรื่อง 2046 หรือยัง แต่ฉากเปิดของหนังเรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะมันคือ ภาพของหุ่นแอนดรอยด์สาว (เฟย์ หว่อง) กำลังกระซิบกับรูต้นไม้อนาคต ประหนึ่งหว่องกาไวกำลังจะ เปิดรู ความลับของโจวมู่หวันขึ้นมาอีกครั้ง (อันนี้เป็นไอเดียของคุณไกรวุฒิ จุลพงศธร - BIOSCOPE)
คุณนันทขว้าง สิรสุนทร เคยเขียนถึงฉากจบของ in the mood for love ไว้น่าสนใจว่า สภาพซากปรักหักพังของนครวัตก็ไม่ต่างอะไรกับจิตใจอันแตกสลายของโจวมู่หวัน และเสียงที่สะท้อนก้องกับกำแพงผนังก็ไม่ต่างอะไรกับ คำสาปแห่งรัก ที่จะติดตามตัวเขาไปชั่วนิรันดร์
ทีนี้
ทำไมต้องเป็นนครวัต?
1. นครวัตเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ มีความเป็นมาแต่ช้านานใน อดีต
สถานที่แห่งนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งกับ คนมีอดีต อย่างโจวมู่หวัน
2. หากจำได้ก่อนจะมาถึงฉากสุดท้ายที่นครวัต หว่องกาไวได้ใส่ภาพฟุตเทจการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศกัมพูชาลงไปด้วย ในแง่หนึ่งมันคือการปูพื้นเราไปสู่ฉากถัดไปที่นครวัต แต่ในอีกแง่หนึ่งมันคือ การพูดถึง ความเปลี่ยนแปลง ที่สอดคล้องกับประโยคที่ขึ้นมาในหนังตอนท้ายว่า
That era has passed. Nothing that belonged to it exists anymore. เมื่อยุคสมัยนั้นได้ผ่านพ้น ไม่มีสิ่งใดในยุคนั้นจะคงอยู่สืบไปได้
กาลเวลาที่ผ่านเลยได้คร่า ห้วงรัก นั้นไปจากโจวมู่หวันแล้ว ทุกคนย่อมต้องก้าวต่อไปข้างหน้า ซึ่งตอนท้ายของหนังก็แสดงให้เห็นว่า โซวไหล่เจินเป็นคนที่เลือกอยู่กับ ปัจจุบัน นั่นก็คือลูกของเธอ
แต่ดูเหมือนว่าโจวมู่หวันนั้นจะเลือกจมฝังตัวเองอยู่กับ อดีต ตามที่หนังมีประโยคขึ้นมาว่า
He remembers these vanished years. As though looking through a dusty window pane, the past is something he could see but not touch. And everything he sees is blurred and indistinct. ชายผู้นั้นยังคงจดจำกาลเวลาที่สูญสลายหายไป เปรียบดั่งเพ่งพิศมองบานกระจกที่ปกคลุมด้วยฝุ่น อดีตนั้นคือสิ่งมองเห็นได้ แต่มิอาจสัมผัส และสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะหลุดพ้นจากอดีตของตัวเองได้มั้ยนั้น ก็หาคำตอบได้จากหนังเรื่อง 2046 เช่นกัน...
สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะบอกก็คือ In The Mood For Love และ 2046 เป็นหนังที่บีบหัวใจของผมอย่างร้ายกาจ รุนแรง แต่มันก็ช่างงดงาม
นี่คงเป็นเหตุผลที่ผมรักหว่องกาไวเหลือเกิน
มีความสุขกับการดูหนังครับ
ปล. เคยเขียนถึงหว่องกาไวไว้ ที่นี่ ครับ
Create Date : 02 กรกฎาคม 2549 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2549 19:11:02 น. |
|
25 comments
|
Counter : 11320 Pageviews. |
|
|
|
01. Superman Returns (2006, Bryan Singer, A+/A)
จริงๆ แล้วตัวหนังมีอะไรที่ไม่ค่อยถูกใจตัวเองเยอะเหมือนกัน เช่น นางเอกที่ไม่สวยเลย หรือบทของเควิน สเปซีย์ที่ดูตลกล่องลอยไปหน่อย แต่ก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีสัญลักษณ์ที่สื่อ superman ในฐานะพระเจ้าหรือพระเมสซิอาห์ให้ได้ขบคิดเยอะดี รวมถึงประเด็น "จากพ่อสู่ลูก" และฉากจบที่ซูเปอร์แมนบินล่องลอยไปในอวกาศก็เป็นฉากที่สวยงามมาก
02. The Year of the Yao (2004, Adam Del Deo + James D. Stern, A+)
ดูที่โรงสยาม วันพฤหัสรอบ 20.45 ทั้งโรงมีอยู่ 3 คน
ดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับหนังมากเลยครับ อาจจะเพราะความรู้สึกที่คอนเน็คกันได้ ในฐานะคนเอเชียเหมือนกัน หรือเรื่องที่เพื่อนๆ เล่าให้ฟังว่าเวลาไปอเมริกาบางทีก็ถูกคนที่นู่นเหยียดอยู่เนืองๆ
ฉากแข่งบาสในหนงมันส์มากเลยครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบดูบาสมากกว่าฟุตบอลอยู่แล้ว มันเร็วดี
สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ว่า โคโค่ลี จะไปปรากฏตัวที่ไหน เธอก็ยังคงเสร่อไม่เสื่อมคลาย (ฮา)
03. The Wooden Camera (2003, Ntshaveni Wa Luruli, A)
ตอนแรกไม่ค่อยอยากดูหนังเรื่องนี้เท่าไร เพราะนึกว่าจะออกมาแรงๆ เหมือน City of God แต่ก็รู้สึกดีที่หนังค่อนข้างนุ่มนวลกว่ามาก
สิ่งที่ชอบมากคือการตัดสินใจของตัวละครทั้งสองในตอนท้ายเรื่อง
ฉากที่ฮามา คือห้องของนางเอกมีรูปของ Marilyn Manson ติดอยู่ (แต่ฮาอยู่คนเดียว)
04. A Stranger of Mine (2005, Kenji Uchida, A+)
รู้สึกผิดคาดอยู่เหมือนกัน เพราะตอนแรกคิดว่าหนังจะออกมาทางติสต์ๆ หน่อย แต่ปรากฏว่าหนังฮามาก
ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดถึงพวกทฤษฎี butterfly effect ที่แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าใครต่อใครเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเรา แต่แท้จริงแล้วการกระทำของทุกคนล้วนส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน
-----------------------
เพลงที่ได้ฟังช่วงนี้
1. Utada Hikaru: Ultra Blue (2006, A+)
2. The Verve: This is Music The Singles 92-98 (2004, A+)
3. Every Little Things: commonplace (2004, A-)
4. Tiesto: parade of the athletes (2004, A)
5. Keane: Under the Iron Sea (2006, A++++++)
เป็นอันดับหนึ่งของอัลบั้มปี 2006 ณ ตอนนี้ (รอตัดเชือกกับกอล์ฟ-ไมค์ ชุดสองละกัน ฮ่าๆๆๆ)