http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
8 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
Prime + Summer Palace : Best of Times / Changes of Life

โดย merveillesxx




-1-

สองสามวันก่อนผมโทรคุยกับเพื่อนสาวคนสนิท เราก็คุยอัพเดทชีวิตของกันและกันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่ก็เรื่องเดิมๆ งาน ความรัก และการนินทาชาวบ้าน (ฮา) แต่คราวนี้ไม่ธรรมดา เพราะเธอมีเรื่องที่ทำให้ผมแปลกใจเอามากๆ นั่นคือ เธอเพิ่งไปเดทมา แถมไม่ใช่คนไทย แต่เป็นหนุ่มเกาหลี

เรื่องของเธอจะว่าไปมันก็เพ้อเจ้อพอๆ กับหนังเกาหลี โดยมันเริ่มจากว่าเธอไปขึ้นรถเมล์ที่สยาม โดยปกติแล้วเธอจะขึ้นรถกลับบ้านที่ฝั่งพารากอน แต่วันนั้นเธอลองเปลี่ยนวิธีกลับมาขึ้นที่ฝั่งสยามสแควร์บ้าง ที่ป้ายรถเมล์เธอก็เจอกับผู้ชายเกาหลีคนหนึ่ง หน้าตาโอเค (ดีกว่า “นายเจี๋ยมเจี้ยม” แน่นอน) แต่งตัวเด็กแนวนิดๆ หูเสียบไอพ็อด ตัวก็เต้นตามจังหวะเพลงฮิปฮ็อปไปเรื่อย เพื่อนผมก็แอบมองด้วยความงุนงงเล็กๆ ว่า ไอ้นี่เป็นอะไรของมัน

แต่อยู่ดีๆ ไอ้หนุ่มเกาหลี ก็เดินเข้ามาหาเพื่อนผม แล้วก็ถาม (เป็นภาษาอังกฤษ) ว่าจะไปตรงนี้ๆ ต้องนั่งรถสายไหน แล้วมันก็บังเอิญว่ามันเป็นสายที่เธอรออยู่พอดี เธอก็ตอบๆ ไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่เธอเริ่มรู้สึกแหม่งๆ ก็ตอนขึ้นรถเมล์ เพราะรถมันก็โล่งๆ แต่อีตาผู้ชายคนนี้ก็ดันมายืนใกล้ๆ ตรงที่เธอนั่ง ในที่สุดมันก็ชวนเพื่อนผมคุย แล้วก็ถามเพื่อนผมว่า “ไปกินข้าวกันมั้ย”

และเพื่อนผมตอบว่า “ไป”

ผมออกจะแปลกใจมากอยู่เหมือนกัน เพราะเท่าที่รู้จักนิสัยกันมา ตามปกติแล้วเธอจะต้อง “เซย์โน” กับสถานการณ์แบบนี้แน่ๆ (อยู่ดีๆ ใครก็ไม่รู้ที่เพิ่งเจอกัน มาชวนไปกินข้าว) ที่จริงแล้วเธอเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว (หรืออาจจะดีมากก็ได้ - เพราะผมก็เคยจีบเธอ 5555) แต่ติดว่าออกจะขี้อายไปหน่อย ซึ่งบางทีมันก็เลยกลายเป็นการปิดตัวเองกลายๆ

เธอบอกว่า เธอก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันที่ตัดสินใจแบบนั้น แต่เราช่วยกันสันนิษฐานว่า มันคงมาจาก 2 สาเหตุหลักๆ หนึ่งคือ ความเครียดจากการทำงาน (เธอทำงานธนาคาร นั่งหน้าคอมทั้งวัน วันจันทร์ถูกบังคับให้ใส่เสื้อเหลือง และทุกห้าโมงเย็นที่ทำงานก็จะเปิดเพลง “อัครศิลปิน....บลาบลาบลา”) และสองคือ อาการที่เพิ่งมา “คิดได้” หลังเรียนจบว่า ไอ้การเรียน 4 ปีแล้วไม่เคยมีแฟนเลย (ซึ่งเพื่อนๆผู้หญิงของผมถือเป็นโศกนาฏกรรมชนิดมหากาพย์) สาเหตุหนึ่งมันก็มาจากการไม่ค่อยยอมเปิดตัวเองนี่แหละ

เท่าที่คุยกัน หลังจากไปเดทมาด้วยกัน 2 ครั้ง เธอก็ดูแฮปปี้กับหนุ่มเกาหลีคนนี้ดี เธอบอกว่าการตัดสินใจในเย็นวันนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต (สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนสองต่อสองกับผู้ชายอย่างเธอ) เธอบอกว่าการที่นั่งคุยกับผู้ชายในร้านอาหารจนถึงเที่ยงคืนถือว่าเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อมากแล้วสำหรับเธอ

ผมมาลองนั่งคิดดูแล้ว จุดเปลี่ยนในชีวิตคนเราน่าจะมีจากอย่างน้อย 2 ปัจจัยหลักๆ คือ โชคชะตา และการตัดสินใจ / การเลือกของตัวเราเอง




-2-

หลายคนน่าจะเคยดูหนังเรื่อง Sliding Doors (1998) ที่นำแสดงโดย กวินเน็ธ พัลโทรว หนังแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์เพียงเล็กๆน้อยๆ สามารถทำให้ชีวิตแยกออกไป 2 ทางอย่างเส้นขนาน ถ้านางเอกขึ้นรถไฟใต้ดินทัน เธอจะกลับบ้านเร็ว และจับได้ว่าแฟนตัวเองมีชู้ แต่ถ้าเธอขึ้นไม่ทัน เธอก็จะไม่รู้ความลับนั้น และคบกับแฟนต่อไป ซึ่งก็คล้ายกับเพื่อนผม ถ้าเธอกลับบ้านด้วยวิธีเดิมๆ เธอก็คงไม่ได้พบกับหนุ่มเกาหลีคนนั้น

อย่างไรก็ดี ในขั้นสุดท้ายแล้ว เธอก็จะต้องตัดสินใจเองว่า เธอจะเลือก “ไป” หรือ “ไม่ไป” กินข้าวกับผู้ชายคนนี้ ลองคิดกลับดูเล่นๆ ว่าถ้าเธอเลือกไม่ไป เธอและเขาก็คงลงจากรถ แล้วเดินแยกจากกันไป ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้แลกเบอร์กัน ไม่ได้ทำความรู้จักกัน และก็อาจจะไม่ได้พบกันอีกเลยก็ได้ ในที่สุดเหตุการณ์วันนั้นก็จะลบเลือนไปจากสมองเธอในเวลาอันรวดเร็ว

ผมเข้าใจว่ามีหนังหลายเรื่องที่พูดประเด็น “การตัดสินใจที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล” ผมพยายามนึกถึงหนังที่พูดถึงเรื่องนี้ในแง่ดี หรือเรื่องรักๆใคร่ๆ แต่ก็นึกไม่ออกเสียที และก็อย่างที่ทราบกันว่าผมชอบหนัง Feel Bad ดังนั้นเรื่องแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาก็คือ หนังจีนเรื่อง Summer Palace (2006)



Summer Palace กำกับโดย โหลว เย่ (Suzhou River, Purple Butterfly) ผู้กำกับจีนรุ่นที่ 6 หนังได้เข้าสายประกวดที่คานส์ แต่ก็ถูกทางการจีนสั่งให้ถอนตัว เพราะหนังไม่ได้ผ่านกองเซ็นเซอร์ (ในประเทศจีน หนังที่ไปเดินสายตามเทศกาล ต้องผ่านการตรวจพิจารณาก่อน) ผลสุดท้าย โหลว เย่ ถูกลงโทษ ห้ามทำหนังในประเทศไป 5 ปี

หนังเล่าถึง ยู่หง หญิงสาวผู้ทิ้งทุกอย่าง (ครอบครัว, บ้านเกิด, แฟนเก่า) เพื่อมาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปักกิ่ง เธอได้พบ โจวเหว่ย หนุ่มหน้าตาดี ทั้งคู่ตกหลุมรักกัน ออกเดทกัน แล้วก็มีเซ็กส์กัน บรรยากาศของปักกิ่งช่วงยุคปลายทศวรรษ 80 เต็มไปด้วยความรื่นเริง จีนเริ่มเปิดประเทศมากขึ้น เหล่าหนุ่มสาวดื่มด่ำกับความทันสมัยแบบตะวันตกอย่างเต็มที่ (มีฉากกลุ่มนักศึกษาเต้นระบำในผับไปพร้อมกับเพลง Can't Take My Eyes Off You) เสรีภาพเป็นสิ่งที่หอมหวาน และเซ็กส์ก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการประกาศอิสรภาพ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หนังเต็มไปด้วยฉากเซ็กส์โจ่งแจ้ง

ฉากสำคัญของหนังคือ ตอนที่นักศึกษายกขบวนกันไปประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน (นี่คือสาเหตุหลักที่ทางการจีนไม่พอใจหนังเรื่องนี้) ยู่หง และโจวเหว่ย ก็ขึ้นรถไปกับเพื่อนๆด้วย แต่มันคือการประท้วงอันไร้เดียงสา สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความระรื่น พวกเขาสนุกสนานราวกับว่ากำลังจะออกไปปิกนิคกัน โดยที่ไม่รู้ว่าอะไรรออยู่ข้างหน้า

หลังจากรอดชีวิตจากเหตุการณ์นองเลือดมาได้ ชีวิตของทั้งคู่ก็เหมือนเส้นขนาน โจวเหว่ยหนีไปอยู่ที่เบอร์ลิน ส่วนยู่หงอยู่ในเมืองจีนต่อไป ทั้งคู่ได้พบกับอะไรมากมาย ได้เจอคนรักใหม่ ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ในใจก็ยังคงต้องแบกรับอดีตอันปวดร้าวเอาไว้



ฉากที่ดีที่สุดของเรื่องคือ ตอนที่ยู่หง และโจวเหว่ย กลับมาเจอกันอีกครั้ง มันเป็นฉากที่แทบไม่มีคำพูดอะไรออกมาเลย แต่สิ่งที่เรารู้คือ จิตวิญญาณของพวกเขาทั้งสองได้ตายไปแล้ว มันแหลกสลายไปตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น ทั้งคู่ไม่มีทางกลับมาเป็นอย่างเดิมได้

ถ้า ยู่หง และโจวเหว่ย ไม่ขึ้นรถคันนั้น ชีวิตของพวกเขาจะดีกว่านี้หรือเปล่า

หรือถ้าวันนั้นพวกเขาตายไปเสียเลย อะไรๆ มันจะง่ายขึ้นมั้ย

คงไม่มีใครตอบได้...




-3-

อย่างไรก็ดี การเลือกไปเดทกับหนุ่มเกาหลีของเพื่อนผมคงไม่ได้ทำให้ชีวิตของเธอพบกับความหายนะอย่างในเรื่อง Summer Palace เพราะอย่างน้อยมันก็คงไม่ได้ชวนเธอไปประท้วงที่ไหน (ฮา) จนถึง ณ ตอนนี้ที่เธอสานสัมพันธ์ต่อยอดมาเรื่อยๆ เธอก็ยังแฮปปี้กับการตัดสินใจของตัวเองอยู่

ถึงอย่างนั้น มันก็มีปัญหาอยู่ดี เพราะฝ่ายชายเขาจะต้องบินไปฟิลิปปินส์ต่อเร็วๆนี้แล้ว ปัญหาที่มากกว่านั้นก็คือ หมอนี่ใช้ยุทธวิธี “รุกจีบ” ที่หนักหน่วงเอาการ นอกจากชวนไปเที่ยวนู่นนี่ ก็ยังชวนไปห้อง พูดบอกรักเป็นภาษาไทย แอบจับมือ แต่ที่ฮาที่สุดคือ มันบอกว่าจะเอาชื่อเพื่อนผม (ภาษาไทย) ไปสัก! (คิดได้ไงเนี่ย)

แต่ผมกับเพื่อนไม่ได้มองเรื่องหลังเป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก มันก็เป็นลักษณะ (หรือจะใช้คำว่านิสัย / สันดาน ก็ตามสะดวก) ของผู้ชายทั่วไป เป็นมุกจีบผู้หญิงระดับสากลโลก อย่างที่ผมพูดกับเธอบ่อยๆว่า “เวลาผู้ชายใช้สมองส่วนล่างคิด มันก็ทำได้ทุกอย่างแหละ” เรื่องแบบนี้รับมือไม่ยากนัก ถ้ารู้จัก save ตัวเอง

ประเด็นมันอยู่ที่เรื่องจิตใจมากกว่า ผมเตือนเพื่อนไปว่า อย่าไปคาดหวังอะไรกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากนัก ที่สำคัญก็คือ อย่าเผลอ “ให้ใจ” เขามาก/เร็วเกินไป

ให้คอยร้องเพลง For What It’s Worth ของวง The Cardigans เตือนตัวเองไว้

“For what it's worth I love you
And what is worse I really do”


มันก็แอบเศร้าอยู่ลึกๆ เรื่องของเพื่อนผมเริ่มต้นเหมือนหนังสูตรๆ ฮอลลีวู้ดเรื่องหนึ่ง แต่เราก็ไม่อยากให้มันถึงตอนจบ เพราะช่วงกลางเรื่องมันช่วงที่ตัวละครแฮปปี้กันที่สุด

เราทำอะไรไม่ได้มากกว่า "เก็บมันเป็นความทรงจำที่ดีครั้งหนึ่งของชีวิต" เหมือนกับที่หนังเรื่อง Prime (2005, เบน ยังเกอร์) บอกเราไว้


คำว่า Prime นั้นแปลว่า ดีเลิศ อย่างที่เราได้ยินคำว่า Prime Time บ่อยๆ (ไพรม์ไทม์ คือ ช่วงเวลาหลังข่าว ซึ่งมีเรทติ้งสูงสุด) ผมรู้สึกว่าชื่อเต็มๆ ของ Prime ก็คือ Prime Time นี่แหละ

Prime ไม่ใช่หนังที่ดีเลิศอะไรแบบชื่อของมันหรอก แต่ก็มีประเด็นที่ผมชอบมาก หนังว่าด้วยความสัมพันธ์ป่วงๆ ของสาวใหญ่ (อูม่า เธอร์แมน) กับหนุ่มที่อายุอ่อนกว่า (ไบรอัน กรีนเบิร์ก) จุดขายของหนังอยู่ที่นางเอกไปปรึกษากับนักจิตบำบัด (เมอรีล สตรีฟ) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับแฟนละอ่อน แต่ไปๆมาๆ กลับกลายเป็นว่าที่ปรึกษาของเธอดันเป็นแม่ของแฟน

ผมว่าหนังมีข้อดีตรงที่ตัวละครของเมอรีล สตรีฟ ดูมีมิติดี แน่นอนว่าเธอขัดขวางความสัมพันธ์ข้ามรุ่นของลูกชาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีฉากที่เธอคุยอย่างเปิดอกกับนางเอก ในแง่หนึ่งนั้นเธอก็เข้าใจนางเอกในฐานะของ “ผู้หญิง” แต่อีกแง่เธอก็ต้องขอจัดการกับสถานการณ์นี้ด้วยบทบาทของ “แม่”


ฉากที่น่าประทับใจมาก คือตอนที่ตัวละครแม่พยายามอธิบายพระเอกด้วยเหตุผลร้อยแปดประการว่า การคบกับผู้หญิงที่แก่กว่ามันไม่ดียังไง และราวกับเธอรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์นี้จะไปไม่รอด ในตอนท้ายสุดเธอพูดกับลูกว่า

“You love, you learn…and you move on”

สังเกตตรง “….” ดีๆ ตรงนั้นคือจังหวะที่เธอชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะพูดต่อ นั่นคือเธอเลี่ยงที่จะพูดถึงการเลิกรา และข้ามไปพูดเรื่อง “การก้าวต่อไป” ซึ่งก็คือ โครงสร้างการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ หนังไม่กล่าวถึงตอนที่ทั้งสองเลิกรากันแม้แต่นิดเดียว แต่เราก็รู้อยู่ใจ

ราวกับหนังเลือกจะเล่า “ช่วงเวลาที่สุดของความสัมพันธ์” ให้เราดู




-4-

บางทีผมก็นึกสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมผมกับเพื่อนคนนี้ยังคุยกันอยู่ ทำไมเราสองของคนถึงยังโทรหากัน แม้ว่าจะเรียนจบกันไปแล้ว แม้ว่าจะแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง

อาจจะเป็นเพราะ เรา "เลือก" จะเป็นแค่เพื่อนกัน เราก็เลยยังรักษา “ช่วงเวลาที่ดีที่สุด” ของกันและกันไว้ได้

เวลาเราพูดคุยกัน เนื้อหาหลักก็หนีไม้พ้นเรื่องความรักของแต่ละฝ่าย ผมพบว่าไม่บ่อยครั้งนัก ที่เราจะเล่าเรื่องความรักหรือความสัมพันธ์ของตัวเองให้คนอื่นฟัง อย่างสะดวกใจ สบายใจ และรู้สึกดี

หลังๆมา ผมหลีกเลี่ยงที่จะเล่าเรื่องพรรค์นี้ให้เพื่อนๆ ฟัง เพราะมันจะทำให้ตัวเองยิ่งฟุ้งซ่าน เพราะพอเราเล่าซ้ำบ่อยๆ เราก็ยิ่งจมปลักกับมัน อีกอย่างก็คือ เรื่องที่เล่ามันไม่ค่อยจะมีเรื่องดีๆ หรอก เวลามีความสุขเราก็อยู่กับตัวเอง และเวลาทุกข์เราก็วิ่งเข้าหาเพื่อน

แต่เพื่อนคนนี้เป็นข้อยกเว้น ผมรู้สึกดีเสมอที่ได้เล่าเรื่องรักๆใคร่ๆ ให้เธอฟัง ไม่ว่ามันจะดี จะร้าย แค่ไหนก็ตาม

เราพูดเรื่องความรัก และอวยพรให้แต่ละฝ่ายโชคดีในความรัก

“We’ll love, we’ll learn…and we have to move on”

เราพูดประโยคนี้ให้แก่กันและกัน






"Prime" Movie Clip




"Summer Palace" Trailer













The Cardigans
For What It's Worth


One, two, three, four

Hey baby come round
Keep holding me down
And I'll be keeping you up tonight.

The four letter word got stuck in my head
The dirtiest word that I've ever said
It's making me feel alright.

For what it's worth I love you
And what is worse I really do
Oh what is worse I'm gonna run run run
'Till the sweetness gets to you
And what is worse I love you!

Hey please baby come back
There'll be no more loving attack
And I'll be keeping it cool tonight.

The four letter word is out of my head
Come on around get back in my bed
Keep making me feel alright.

For what it's worth I like you
And what is worse I really do
Things have been worse
And we had fun fun fun
'Till I said I love you
And what is worse I really do!

For what it's worth I love you
And what is worse I really do.
Oh

For what it's worth I love you
And what is worse I really do.
Oh

For what it's worth I love you
And what is worse I really do....



Create Date : 08 ตุลาคม 2550
Last Update : 11 ตุลาคม 2550 2:03:16 น. 34 comments
Counter : 3605 Pageviews.

 

Things I have experienced between 1 – 10 Oct 2007


FILMS

01. Shindo (2007, Koji Hagiuda, A)
At first, I think I will not like this film because I’m so bored of the leading actor (I will never remember his name but he played “L” in Death Note) and the actress was not attractive at all. But I may be too pessimistic, the film is quite good and both actors did a good job. I like the ending very much even it is hard to believe but sometimes I have to say to myself “it’s just a film”.


02. Life is Short 2 (2003-2006, ทศพล บุญสินสุข, A)
Like I have said before screened this films to the audiences, Tossapol always made a meaning to every little things in this world or universe. This film is another potential evidence to insist my words.


03. Penguin (2007, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A+)
Second viewing


04. Tomie (1999, Ataru Oikawa, C+)
I have heard it was a cult film, but not for me at all. (I’ve watched it from cable TV.)



MUSIC

01. Interpol: Our Love to Admire (2007, A-)

02. Nelly Furtado: Loose (2006, A-)

03. The Jesus and Mary Chain: 21 singles 1984-1998 (2002, B+)
I think I prefer My Bloody Valentine to this band.

04. Requiem for a Dream (Soundtrack) (2000, A)
I bought this album from Doreme Shop (770 baht), I have found it for 3 years.


05. Radiohead: In Rainbows (2007, A+++++++++++)
They are the greatest band in the world, but they again do the greatness in their new album. I think there are not any innovations in this one (since they have contributed them in OK Computer and Kid A). But the music still has its depth, something that we should call “Radiohead-esque”. In Rainbows may be my most favorite album of this year. Others nominees are Britney Spears’s Black Out or Kylie Minogue’s X. (55555555555555555)



BOOKS

01. จดหมายจากฆาตกร (2003, Keigo Higashino, A+)
The ending was so powerful and it made me cry. I hope I can write about it soon.



AND I’M WAITING FOR THIS ALBUM!!


KYLIE MINOGUE : X


You can watch her new single “2 HEARTS” at here


โดย: merveillesxx วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:2:04:05 น.  

 
เอ่อ เม้นท์ไม่ค่อยออกแฮะ
พอพูดเรื่องของความสัมพันธ์ ชักอึ้งๆ 5 5 5

...
เพลงเกี่ยวกับความรักที่พี่ชอบที่สุด คือ เพลง "รักนั้น" ของพจนาถ พจนาพิทักษ์
แต่คิดว่า อาจจะไม่โดน น้องเมอร์ เพราะมันเป็นเพลง
อะคูสติกที่เรียบง่าย

The Cardigans ก็ชอบนะ ล่าสุดนี้ชอบเพลง I need some fine wine and you need to be nicer ของคาร์ดิแกน รวมทั้งเพลง love fools อันโด่งดังอันนั้นด้วยเช่นกัน จริงๆ ดิ คาร์ดิแกนนี่ชอบหมดเลย

บล็อกวันนี้เขียนดีนะ ดู "นิ่งๆ " ดี








โดย: grappa IP: 58.9.187.251 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:9:58:13 น.  

 
Blog วันนี้ Cool มากเลยพี่ต่อ
เพราะส่วนหนึ่งคือปอชอบคิดอยู่เสมอๆ ว่า "ถ้าเรา...เราคงจะไม่..."
ทำนองพวกชอบคิดถึงสิ่งที่เคยทำไปในอดีตตลอดเวลา (และมีเรื่องผิดพลาดมากมายเสียด้วย)

และปอก็คิดอยู่เสมอว่า ทุกอย่างที่เราประสบพบเจอในชีวิต ก็เหมือนเฟืองตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ถ้าขาดมันไปสักตัว ชีวิตเราอาจไม่ได้เป็นอยู่อย่างในปัจจุบันก็ได้

แต่มีคนเขาบอกว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดีเสมอ" เพราะฉะนั้นบางที การที่เรามัวแต่นั่งคิดว่า "ถ้าเรา...เราคงจะไม่..." ก็คงไม่ได้เรื่องแล้วล่ะ แบบนั้นมันทำให้ยึดติดกับอดีตเกินไป

แต่อย่างไรก็เห็นด้วยกับ Blog วันนี้อย่างที่สุด...

ปล.สอบเสร็จซะที เย้! แต่ต้องแก้งานส่งอีกงาน เฮ้อ!...

ปล2. สอบ TOEFL กี่บาทนะพี่ต่อ จำได้ว่าแพงมาก แต่อยากรู้อ่ะ


โดย: Tenjo_Utena IP: 161.246.1.34 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:10:31:48 น.  

 
ชอบบล็อกที่น้องต่อเขียนวันนี้นะคะ

จำได้ว่า ตอนเข้าปีหนึ่ง อาจารย์ที่คณะเคยพูดในวันปฐมนิเทศว่า "สิ่งสุดท้ายที่อาจารย์อยากให้พวกเราพูดกันก็คือประโยคที่ว่า 'ถ้ารู้อย่างงี้ ....' เพราะมันหมายความว่า พวกคุณได้พลาดอะไรไปบางอย่างแล้ว ถึงได้พูดมันออกมา"


หลังจากนั้น เราก็ทำตามสิ่งที่อาจารย์บอกบ้าง (ทดลองอะไรบางอย่าง) ละเลยในสิ่งที่อาจารย์บอกบ้าง (แล้วก็มานั่งเสียใจพร้อมกับพูดว่า 'ถ้ารู้อย่างนี้')

แต่หลังจากเรียนจบ เราก็ได้มานั่งทบทวนกับเพื่อนๆ และพบว่า หลายสิ่งที่เราเคยทำ และได้ละทิ้ง มันได้ประกอบเป็นเรา ตัวตนของเรา และชีวิตของเราในวันนี้

ไม่ว่ามันจะร้ายหรือดี (จริงๆ คือร้ายมากกว่าดี)

...

แม้อยากจะรู้เหมือนกันว่า "ถ้าวันนั้น ........"

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์ และกับชีวิตเราบ้าง?


ปล. เคยเขียนเรื่องคล้ายๆ กับเพื่อนของน้องกับเด็กเกาหลี ไว้เหมือนกันค่ะ แต่เป็นเรื่องที่ไปเจอกับตัวเองที่หลวงพระบาง :)


Wish you'll love, learn, and ... move on happily as most as you can :)


โดย: tiktokthailand IP: 58.137.68.4 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:10:52:31 น.  

 
"Prime" เราได้ดูน่าเรื่อง มีอยู่ฉากหนึ่งตอนท้ายเรื่องที่ทั้งสอบตัดสินใจแยกกัน

แล้วพระเอกบังเอิญไปเจอนางเอกที่ร้านอาหาร แต่พวกเขาก็ไม่ได้คุยกัน ได้แต่มองผ่านกระจกแล้วสบตา ทำให้เรารู้สึกว่าบางทีความรักไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันหรอก แค่บังอิญเจอกันแล้วอมยื้มให้กันก็มีความสุขแล้ว


โดย: penguinbear (penguin_bear ) วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:14:46:37 น.  

 
อยากดู Summer Palace อะ....

ชอบบล๊อกวันนี้เหมือนกัน นิ่งๆ เรียบๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก ชอบวรรคนี้อะ..

"หลังๆมา ผมหลีกเลี่ยงที่จะเล่าเรื่องพรรค์นี้ให้เพื่อนๆ ฟัง เพราะมันจะทำให้ตัวเองยิ่งฟุ้งซ่าน"
อ่านแล้วตรงกับตัวเองดี คือช่วงนี้ก็พยายามจะไม่พูด แต่เมื่อก่อนคือเจอใครก็นั่งเล่าๆๆๆๆๆ เหมือนเราชอบอยู่ในอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตตกยังไงก็ไม่รู้ สงสัยช่วงนั้นจะนึกว่าตัวเองเป็นนายเจี๋ยมเจี้ยม 555555555


โดย: nanoguy วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:15:57:03 น.  

 
This entry touch my heart........

I'm trying not to love someone now It's very hard TT^TT

Miss you naja Jubzzzzzzz


โดย: oHMu IP: 195.70.143.209 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:17:07:53 น.  

 
วันหลัง...หนูจะหาทางขึ้นรถเมล์กลับรังสิต จากหน้าสยามฯ บ้าง ^^"

"....ประเด็นมันอยู่ที่เรื่องจิตใจมากกว่า ผมเตือนเพื่อนไปว่า อย่าไปคาดหวังอะไรกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากนัก ที่สำคัญก็คือ อย่าเผลอ “ให้ใจ” เขามาก/เร็วเกินไป...."

เห็นด้วย...สุดสุด(ถึงตัวเองจะพลาดแบบนี้มาแล้วก็ตาม)

ปล.แต่ถ้าหนูเป็นเพื่อนพี่ จะชวนหนุ่มเกาหลีนั่นไปประท้วงนะ...ฮา


โดย: psycho patch วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:17:30:23 น.  

 
เราเคยพาสาวฟิลิปปินส์หลบฝนอยู่ที่อนุสาวรีย์ เดือนก่อน แลกเบอร์กันนะ แต่ไม่โทรหากัน


โดย: ตุ้ย IP: 58.10.158.20 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:20:29:25 น.  

 
: ) ขอบใจมากนะต่อที่รู้สึกดีเวลาคุยเรื่องรักๆ กัน สำหรับเรา ต่อก็เป็นคนที่เรารู้สึกสะดวกใจที่สุดเวลาคุยหรือปรึกษาเรื่องความรักเหมือนกัน

...

ชอบที่ต่อเขียนวันนี้มาก ๆ ชอบอารมณ์ที่ต่อถ่ายทอดออกมานะ พออ่านจบแล้วยิ้มเลยอ่ะ

อ้อ...แล้วก็ขอบคุณที่เลือกเพลง For What It’s Worth มานะ เพิ่งเคยฟังครั้งนี้ครั้งแรกแต่ชอบมากๆ อ่ะ แล้วก็จะคอยเตือนตัวเองไว้ตามที่ต่อบอกไว้

"For what it's worth I love you
And what is worse I really do"


โดย: เราเอง (",) IP: 58.9.150.104 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:21:25:03 น.  

 
ในช่วงที่ยังว้าวุ่นกับการเรียน เคยคุยกันกับเพื่อนในรถ

เรา: เเกชอบคณะที่เรียนอยู่เปล่าวะ
เขา: ไม่อ่ะ วิชาก็น่าเบื่อ เรียนไปวันๆ อย่างนั้นเอง รู้งี้ไปเรียนนิเทศน่าจะดีกว่า
เรา: เเกว่าถ้าเราไม่เรียนคณะนี้ชีวิตเราจะเป็นไงต่อวะ
เขา: ไม่รู้ เเต่ฉันไม่ชอบความคิดนี้ว่ะ มันเหมือนเราเสียดายมันมากเกินไป คิดอย่างนี้มันเท่ากับไม่เต็มที่กับปัจจุบันน่ะ ไม่รู้ว่ะ ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่า

เเล้วเราก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น เเล้วเราก็เเยกย้ายกันไปหลังเรียนจบ

เเล้วเราก็อยู่ต่อไป เรื่อยๆ..




ปล.In rainbows ชอบเสียงเปียโนในเพลง videotape มาก ว่าเเต่มึงไปโหลดมาจากที่ไหนรือ ครบทุกเพลงเลยปะ


โดย: eawdead IP: 124.120.200.251 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:23:00:13 น.  

 
อย่าลืมโทรศัพท์
บอกใครบางคน ว่าได้รับของแล้ว


โดย: พี่แป๊ด IP: 58.9.193.94 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:23:52:42 น.  

 
55มาอัพเดทข่าว
บางที บางเรื่อง รู้ไปก็ไม่ได้ทำให้เราได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา(อีอ๋องเคยว่าไว้)

แต่เรื่องของแกนี่มันพิเศษอ่ะ
เล่าได้น่าฟัง เมามัน เหมือนดูละครช่องเจ็ด
แล้วที่สำคัญ ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกเศร้าถ้าแกแป้กในความรัก

แต่ยังไงก็ยินดีกับเพื่อนที่ได้เจอกับสิ่งดีๆ

หวังว่าจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดกับสาวกอไผ่บ้าง


โดย: ส้มโอ IP: 58.9.139.123 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:2:15:51 น.  

 

FAT FILM #5

หมายเหตุ: เรื่องที่ 1-13 เรียงความชอบ (ย้ำว่า “ความชอบ”)

01. มุม (2007, ธนชาติ ศิริภัทราชัย, A-)
ตอนจบหักมุมทำให้หัวเราะเกือบตกเก้าอี้ ชอบหน้าคนบรรยายด้วย ตลกมาก คือมันคอยเบรกอารมณ์ของเรื่องอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีจุดนี้อาจจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้เลย

02. กำแพง (2007, ลิขิต สิทธิพันธุ์, A-)
ชอบมากกว่า “หายไป” (แชมป์ปีที่แล้ว)

03. จอมยุทธ (2007, ปฐมพงษ์ ลมชาย, A-)
ฮามาก สนุก ฉากบู๊ยอดเยี่ยม และดีกว่า “ตุ้มยำกุ้ง”

04. Kamen Rider (หมัน!) (2007, กฤติน ตั้งอนุกูลกิจ, A-)
มันตลกดี แต่บางทีเรารู้สึกว่ามัน copy-paste มากเกินไป อย่างเช่นฉากใน “แฟนฉัน” ที่ยกมาแทบทั้งฉาก เลยทำให้เรารู้สึกว่าผู้กำกับไม่ได้ contribute อะไรขึ้นมาเท่าไร

05. จินตนาการ (2007, นที สโมสร, B+)
บทสนทนามันย้ำคิดย้ำทำเกินไป เราแทบจะนับเลยว่ามันพูดคำว่า “จินตนาการ” ทั้งหมดกี่ครั้ง อย่างไรก็ดี นี่อาจจะเป็นหนังที่น่าสนใจที่สุดในงานนี้

06. กุญแจ (2007, สมปอง ตั้งกิจรักษ์พงศ์, B+)
ชอบการแสดงแข็งๆ ฮาๆ ของเด็กๆ ในเรื่องนี้มาก มันเลยทำให้หนังดูมีเสน่ห์ดี

07. ใครบางคนจากบนฟ้า (2007, ตินกานต์ เชาว์ดี, B)
เราว่าหนังมันมีประเด็นแข็งแรงมาก แต่เสียงบรรยายมันไม่เข้ากับหนัง แล้วเพลงบรรเลงก็เชยด้วย

08. Rock&Roll Worm (2007, B)
ในขณะที่หนังมันพยายามพูดเรื่อง anti-fashionism แต่ตัวมันเองก็เป็น fashion เหมือนกัน

09. แผ่นดิน (2007, คมจักร ทองจิบ, B-)

10. จี๊ด (2007, มีชัย ตลับเพชร, B-)

11. 14 อีกครั้ง (2007, ไกรศักดิ์ กาญจน์เกรียงไกร, B-)

12. ทำไม (2007, ธนทัต สกุลคุณาทิพย์, C+)

13. ความทรงจำ (2007, สิทธิพงษ์ ปัดชากาว, C)
นึกว่ากำลังดูหนังเรื่อง Be With Me

14. เพื่อเธอ 1 (2007, B)
หนังใช้เพลงประกอบคุ้มค่าแห่งปี

15. เพื่อเธอ 2 (2007, B)
หนังเหมือนตบหน้าคนดูนิดๆ แต่ยังไม่ทรงพลังพอ

16. เพื่อเธอ 3 (2007, C)
นึกว่ากำลังดูสารคดีช่อง 11 โดยเฉพาะ Narrator นี่ใช่เลย

17. Spot เพื่อเธอ (2007, D+)
ทำให้อยากออกเดินจากโรง แล้วไปดูหนังเรื่อง The Witnesses ที่ลิโด้แทน

---------------------------------

ตอบ Tenjo_Utena

สอบโทเฟล 140 US ตอนพี่ก็ประมาณ 4900 เพราะค่าเงินแข็ง


ตอบ eawdead

In Rainbows โหลกที่ //www.inrainbows.com จ้ะ

-------------------------

อย่าลืม BIOSCOPE ของหนูนะค้า (ขายของ)



โดย: merveillesxx วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:4:28:20 น.  

 
เรายังไม่ได้ดูสองเรื่องนี้เลยอะ
แต่เหมือนจะอ่านเรื่องย่อกับบทวิจารณ์ไปเยอะละ

จุดเปลี่ยนที่ต่อบอก เราว่ามันโคดจริงอะ
บางทีโชคชะตาก็ชอบเล่นตลก
การตัดสินใจผิดครั้งเดียวอาจส่งผลต่อชีวิตเราไปตลอดกาล
บางทีก็เสียดายอยู่บ่อยๆ กับบางสิ่งบางอย่างที่ผ่านมา
แต่เราก็ต้องก้าวต่อไปใช่ไหม?

ปล. เราชอบเพลงlovefool ของวงนี้มากๆอะ
เพลงอื่นยังไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่
ขอบคุณที่แนะนำวิธีแก้เบื่อนะ 55+
อ่านบลอกต่อช่วยได้เยอะเลย


โดย: blastnest IP: 58.64.53.101 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:7:39:04 น.  

 
อยากฟังเรนโบว์ด้วยอ่า


โดย: pick IP: 203.131.220.50 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:9:02:45 น.  

 
จะรออ่านที่แกเขียนจดหมายถึงฆาตกรนะ

ว่าแต่
(ซึ่งเพื่อนๆผู้หญิงของผมถือเป็นโศกนาฏกรรมชนิดมหากาพย์)
ชั้นก็เรียนมา 4 ปีไม่มีแฟน ต่อโทอยู่เนี่ย ก็คิดว่าคงไม่มีแฟนอีก
โคตรมหากาพย์เลยดิเนี่ย 555+

อ่านเมลแล้วนะ ... มึนงงจริงๆ

ปล. เมื่อวานบอกพี่คนนึงว่า อยากเขียนให้ได้อย่างเงี้ยๆๆๆๆๆ หมายถึง อยากเขียนหนังสือให้ได้แบบแก
ชั้นเลยจะไปอบรมการเขียนเรื่องสั้นเว้ย วันนี้วันสุดท้ายที่สมัคร
ชั้นก็รอก่อนว่า พรีเซนต์งานผ่านมั้ย เพราะถ้าไม่ผ่าน อาจจะต้องมาพรีเซน์ใหม่วันเดียวกะที่อบรม พอผ่าน ชั้นก็เลยโทรไปจองที่นั่ง เมื่อ 15 นาทีที่ผ่านมา
เค้าบอกชั้นว่าไงรู้มั้ย ...
"เต็มแล้วค่ะ" สาด...ด...ด โกรธตัวเองว่ะ เห็นข่าวตั้งแต่วันจันทร์ แต่มัวรออะไรอยู่ไม่รู้
โชคชะตา + การตัดสินใจของตัวเองจริงๆ


โดย: เสจัง IP: 124.121.164.161 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:10:19:23 น.  

 
อ่านสกู๊ปน้องเมอร์ใน Bio แล้วนะ

ตกลงจะทำประจำที่นี่เลยรึเปล่าครับเนี่ย...แต่สไตล์ของที่นี่ก็ดูเหมาะกับน้องเมอร์ดีนะ


โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:11:15:27 น.  

 
โอ๊ยยยยยยยยยยยยย โดนนนนนนนนนน
รับรองว่าถ้าเพื่อนเธอได้คุยกับชั้นมีเรื่องเมาท์กันได้สะบั้นหั่นแหลกแน่ๆ
เรื่องจุดเปลี่ยนกับหนุ่มต่างชาติเนี่ย
แต่ต่างกันของชั้นที่จุดจบไม่เคยดีเลยว่ะ

จุดเปลี่ยนแบบนี้ไม่รู้สิ ชั้นเข้าใจเพื่อนเธอ เอาซะมากๆ
ชั้นไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจเพื่อนเธอมากแค่ไหน

แต่วินาทีตรงนั้น ตั้งแต่เพื่อนเธอเตะตาผู้ชายคนนั้นแล้ว
ชั้นรู้คำตอบเลยว่า ไม่มีทางที่จะตอบว่าไม่

เพราะอะไรชั้นก็ตอบไม่ได้

เพื่อนเธอจะสานความสัมพันธ์กับเขาได้ดีหรือเปล่าชั้นก็ไม่รู้
แต่หวังว่ามันคงจะจบดีกว่าของชั้น


โดย: เพอร์รี่ IP: 58.9.150.43 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:12:20:13 น.  

 
เมื่อคืนฟัง in rainbows หลายรอบมาก

งานชุดนี้เน้นเสียงกลองมากชวนขยับมากขึ้นน่ะ

เพลงที่ชอบมาก ได้แก่ Bodysnatcher, Jigsaw falling into place แล้วก็ Nude

ยิ่งฟังมันยิ่งละลายเข้าไปในเส้นเลือด (เวอร์ไปนั่น)

สงสัยพี่แป๊ดอ่ะ ที่ว่าอัพบล็อกแบบนิ่ง ๆ มันเป็นไง 555


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:12:43:25 น.  

 
ดีจัง ผมอยากอ่านวิจารณ์แบบนี้แหละ!

อยากดู summer place เลย
มันทำให้ผมคิดถึงเถียนมี่มี่

+cardigan ผมฟังชุดแรก, ชอบ



โดย: chubbyhole IP: 125.25.153.155 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:14:16:11 น.  

 
อาจจะต่างจากพี่แป๊ดเล็กน้อย เราชอบเรื่องความสัมพันธ์ เป็นคนประโลมโลกย์

บล็อกนี้น้องเมอร์ท็อปฟอร์มจริงด้วย

โหลดคุณทอม ยอร์คและผองเพื่อนมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ฟัง มัวแต่ฟัง Duran Duran และจุ๊บ จุ๊บ ของเนโกะจัมพ์อยู่ (อภินันทนาการโดยพี่แป๊ด)

ป.ล.ชั้นอ้างอิงบล็อกเธอบ่อย มันเป็นแผนของชั้นเว่ย แผนเกาะคนดัง ชั้นจะได้ดังด้วย


โดย: iwalktheline IP: 124.121.236.210 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:15:30:42 น.  

 
โห อัพบล็อคคราวนี้ๆ นิ่งๆแต่เท่แฮะ

เรื่อง Summer Palace พี่ดูจากที่ใหนอะครับพี่มีแผ่นหรือพี่ดูจากเทศกาลอะครับ อยากดูสุดๆหาดูไม่ได้อะ ร้านแว่นก็ไม่มี


โดย: หนวดฟู IP: 210.246.74.146 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:16:25:38 น.  

 
ชอบนะ เรื่องที่ว่าต้อง เลือก น่ะ
คือ บางช่วงเวลา ชีวิตของคนเราก็มีจุดที่จะเจอกับอะไร ชีวิตจะเดินไปทางไหน ก็ตรงการเลือกนี่แหละ เลือกที่จะ "ไป กับ ไม่ไป" "ทำ กับ ไม่ทำ" อะไรทำนองนี้อะ

ปล in rainbows เจ๋งโคตร!


โดย: cottonbook วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:18:48:36 น.  

 
หนูก็คิดอย่าง พี่ penguinbear นะ แต่บางทีก็รู้สึกว่ายิ่งเราคิดแบบนี้ เราถึงไม่ได้เริ่มความสัมพันธ์กับใครอย่างจริงจังเสียที

เพราะถึงเวลาที่ต้องสู้มันก็อยากจะถอยซะทุกครั้ง

หรือบางทีคนอย่างเเหมาะกับการอยู่คนเดียวมากกว่าก็ไม่รู้


โดย: โทยะ อากิระ IP: 203.131.212.42 วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:18:57:26 น.  

 

ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ “แด่พระผู้ทรงธรรม”

(ดูด้วยความทรมานราวมหากาพย์ เพราะมันนานเหลือเกิน)

01. นรสิงหาวตาร (2007, วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง, B+)
สวยดี

02. ข่าวที่ไม่สำคัญ (2007, บัณฑิต ฤทธิ์ถกล, B-)
cliche มาก

03. เสียงเงียบ (2007, ศิวโรจน์ คงสกุล, A-)
ฮาหน้าพระเอก เพราะเค้าคือ ป็อก วง Styliosh Nonsense อืม แต่ก็เข้ากับพล็อตเรื่องดี (เพราะเค้าก็คือเจ้าแห่งเสียง) / ถ่ายภาพสวยดี

04. นิทานพระราชา (2007, พรศักดิ์ สุคงคารัตนกุล, C+)
ไม่ชอบฉากจบ

05. รักพอเพียง (2007, พุทธิพงษ์ อรุณเพ็ง, A-)
รู้สึกว่าหนังมันไม่ถูก "โจทย์" ครอบงำดี ดูแล้วไม่เลี่ยน

06. 9 ของวิเศษ (2007, อารยะ บุญเชิด, B)
น่าจะเป็นหนังที่เราฮามากที่สุดในปีนี้ (โดยที่เค้าไม่ได้ตั้งใจ) พอๆกับ เพื่อนฯ

07. นิมิต (2007, อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล, B+)
อภิชาติพ๊งงงงง อภิชาติพง

08. ทะเลของก้อย (2007, ศุภรัฐ บุญมาแย้ม + ปรามธนี วงศ์พรหมเมศร์, B)
นางเอกน่ารักดี

09. เสียงสว่าง (2007, เป็นเอก รัตนเรือง, A-)
หนังเลือก subject ได้ดี รู้วิธีที่ไม่ให้ออกมายัดเยียดเกินไป แต่งานมันดูโฆษณาไปน่อย คือถ้าบอกว่านี่เป็นโฆษณาเปียโน ชั้นก็เชื่อน่ะ


โดย: merveillesxx วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:3:46:33 น.  

 
พรุ่งนี้จะไปดูAcross the Universe
อยากดูมากกกกก รอมาประมาณสี่เดือนได้
ในที่สุดก็จะได้ดูซะที


โดย: พะยูนริวโฮเจนต้า IP: 68.122.57.107 วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:11:52:44 น.  

 
ชอบข้อเขียนบล็อควันนี้ในส่วนแรกจังเลยล่ะ ^^

ไหง ปกไบโอ มันแตกละเอียดอย่างนั้นล่ะตัว 55 - -'


โดย: BAYROCKU วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:12:02:35 น.  

 
มาอ่านล่ะครับ

บล๊อกตอนนี้ นุ่มๆนิ่งๆ จริงๆ ด้วย

แต่ก็น่ะ ในตัวเลือกของชีวิตแต่ละข้อ ก็นำเราไปสู่บทสรุปที่ต่างกัน

ถ้าเราสามารถกลับมาเริ่มใหม่ ในทุกลูปเวลาได้ก็คงดี

(นึกถึง แว่วเสียงเรไร เลย)


โดย: AguileraAnimato วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:13:57:03 น.  

 
ชอบ entry นี้มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ทุกคำที่เขียนมันเต็มไปด้วยความรู้สึก


โดย: ennisdelmar IP: 124.120.178.85 วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:14:00:06 น.  

 
in rainbows ฟังแล้วล่ะ เจ๋งจริงๆ


โดย: strawberry machine gun วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:20:04:40 น.  

 
เพลงอัลบั้มใหม่ของ kylie minouge เหมือน Goldfrapp
เลยอ่ะ แถมเอ็มวีและลุคก็เหมือน Christina Aguilera + Goldfrapp แต่ยังไงก็ชอบเธออ่ะ ยังไงมันก็ยังสนุกกว่า
เพลงของมาช่า กะเทยควรเลิกกรีีดเพลงมาช่า แล้วมา
กรี๊ด 2 heart ดีกว่านะ แต่ยังไง Gimme more ก็ดีสุด
555555555555555555555


โดย: JOJO IP: 58.9.129.104 วันที่: 14 ตุลาคม 2550 เวลา:2:11:39 น.  

 
เพลงเพราะ

ส่วนเรื่อง move on พูดง่าย ทำยากจัง


โดย: DropAtearInMyWineGlass วันที่: 14 ตุลาคม 2550 เวลา:3:22:55 น.  

 
อ่าน Rosso จบแล้ว ตั้งหลายวันแล้วหล่ะ ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่ก็ชอบนะ ไม่ได้น่าเบื่อ

แต่ที่สำคัญคือ หา Blu ไม่เจอ

เกรดหวานออกแล้ว ทำเอาหวานเครียด ฮือออ

สองตัวที่ออก ไม่มีเอเลย ทำได้ดีสุดบีบวก

ฮือออ


โดย: cheatoneself IP: 117.47.12.216 วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:9:49:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.