ตะลุยเทศกาล 4th World Film Festival (PART 1)
โดย merveillesxx
เทศกาลหนัง 4th World Film Festival เริ่มขึ้นแล้วจ้า!!
งานจะจัดขึ้นช่วง 11-23 ต.ค. 2549 ที่ Grand EGV (สยามดิส), Paragon Cineplex (สยามพารากอน) และ Major Central World Plaza
ราคาบัตร 100 บาท และบัตรนักศึกษาลดเหลือ 50 บาท
ดูรายละเอียดของงานได้ที่ //www.worldfilmbkk.com/
รายละเอียดหนังที่น่าสนใจก็อ่านได้ใน bioscope เล่มล่าสุดจ้ะ
ข่าวแจ้งให้ทราบ
-- World Film ปีนี้เค้าปรับปรุงระบบให้ซื้อตั๋วออนไลน์ข้ามโรงได้ครับ ไม่ต้องวิ่งกันหูตูบแล้วนะ
-- มีหนังสือของงานขาย (เล่มสีเขียวๆ) ราคาเล่มละ 50 บาท
-- ที่หน้าโรงพารากอนที่นิทรรศการแสดงโปสเตอร์ของ Rafal Olbinski และถ่ายภาพของ เคียสลอฟสกี้ ด้วยครับ ผมไปดูมาแล้ว ชอบงานโปสเตอร์ของ Olbinski มากเลยครับ ผมคิดว่าถ้ามีเวลานานๆ เราสามารถจ้องงานชิ้นหนึ่งของเขาได้ไปเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายนาทีเลยล่ะ
12 Oct 2006
วันนี้เป็นวันแห่งความทรหด เพราะตอนเช้าผมก็มีสอบ แถมไม่ได้นอนด้วย แล้วยังต้องมาดูหนังอีก 3 เรื่อง สุดท้ายก็คือ ต้องกลับมาปั่นรายงาน post 9/11 film ต่อที่บ้านให้เสร็จภายในหกโมงเช้า
สำหรับวันแรกของเทศกาลผมก็รู้สึกดีครับ โดยเฉพาะตอนที่ staff (รู้สึกจะเป็นคุณดุสิต ศิลากอง) อุตส่าห์นั่งเขียนบัตร student discount card ให้ผมเกือบตั้ง 20 กว่าใบรวดเดียวจบเลย (เกรงใจมากๆ แต่สัญญาว่าจะไม่มารบกวนอีกแล้ว)
มีแต่คนเข้าใจว่าผมดู Paris, Je Taime แต่ผมไม่ได้ดูฮะ (เสียดายมาก ฮือๆๆๆ) เพราะถ้าผมไม่ได้ดูหนังของเคียสลอฟสกี้วันนี้ผมก็จะอดดูไปเลย เนื่องจากวันเสาร์ผมติดเรียน TOEFL ก็เลยต้องได้อย่างเสียงอย่าง
คิดว่ารอบฉายของ Paris, Je Taime ถือเป็น งานรวมดาว และ วันพบญาติ (ฮา)
หนังที่ได้ดูวันนี้
1. Konigs Sphere (2002, Percy Adlon, Germany + USA, C+)
เลือกดูเรื่องนี้เพราะมันเกี่ยวกับ 9/11 (ซึ่งกำลังทำรายงานเรื่องนี้พอดี) แต่ก็เป็นสารคดีที่ค่อนข้างน่าเบื่อมากๆ ผลก็คือ หนังเรื่องนี้ทำให้ผมได้นอนเอาแรงไปโดยปริยาย
2. Anastasia (2005, Dimitris Apostolou, Greece, B)
รู้สึกว่าหนังสั้นเรื่องนี้มัน ง่อย มากเลยครับ หนังเดาเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ 15 วินาทีแรก และพล็อตไม่ต่างอะไรจากละครของรายการ ชั่วโมงพิศวง ที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ เลย แต่ผมชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้ เกรดหนังเรื่องนี้ก็เลยไม่ได้ออกมาย่ำแย่เท่าไรนัก
3. Just Do It (2002, Francesco Apolloni, Italy, A-)
ช่วงแรกๆ รู้สึกไม่ชอบหนังเรื่องนี้เลย ตามอารมณ์ของหนังไม่ทัน เพราะตัวละครก็เอาแต่พูดๆๆๆ กัน ซับไตเติ้ลก็แปลเป็นภาษาแสลงหมดเลย แถมคนดูคู่ข้างหลังยังเป็นผู้ชายที่คอยนั่งแปลให้แฟนตัวเองฟังอีก (แต่แปลแต่ประโยคง่ายๆ ฮ่าๆๆๆ) แต่ช่วงกลางเรื่องที่หนังเริ่มมีเนื้อเรื่องให้จับต้องได้ ก็รู้สึกดีกับหนังขึ้นมา
Just Do It เป็นหนังแนว หลายชีวิต หนึ่งเมือง หนึ่งวัน และความพัวพันกันของตัวละคร หนังอาจจะไม่ได้ดูแปลกใหม่อะไรนัก แต่ก็ดูสนุกดี และให้อารมณ์ feel-good ที่ไม่ได้เลี่ยนเกินไป สิ่งที่ชอบมากอีก 2 อย่างก็คือ ตัวละครเด็กหญิง (ที่เล่นบทน่าหมั่นไส้ได้ดูน่ารักกว่า ดาโกต้า แฟนนิ่ง เยอะ) และเพลงประกอบในหนัง ซึ่งมีเพลงเพราะๆ เยอะมาก ถึงแม้จะดูทำให้อารมณ์ของหนังโดดไปบ้างก็ตาม
** Just Do It ฉายอีกที 14 ต.ค. 2549 รอบ 19.00 (พารากอน) **
4. First Love (1974, Krzysztof Kieslowski, Poland, A-)
ดูหนังเรื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกว่า เคียสลอฟสกี้ เก่งกาจเรื่องการติดตามชีวิตมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หนังเรื่องนี้เล่าถึงหญิงสาวจนหนึ่งที่ตั้งท้องและแต่งงานตั้งแต่อายุ 17 สิ่งที่ชอบก็คือ หนังไม่ได้โบยตีตัวละครด้วยการโหมใส่ชะตากรรมอันโหดร้ายใส่เธอ แต่หนังถ่ายทอดความทุกข์ของเธอด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของเรา จนเรารู้สึกว่าหนังดูสมจริง
สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือ พระเอกของเรื่องนี้น่ารักดี (ใครก็ไม่รู้ หาข้อมูลไม่ได้เลย)
5. Underground Passage (1973, Krzysztof Kieslowski, Poland, A+)
หนังเรื่องนี้เหมือน 5x2 เวอร์ชั่น เล่าไปข้างหน้า
** First Love + Underground Passage ฉายอีกที 14 ต.ค. 2549 รอบ 13.00 (Grand EGV) **
นอกเรื่อง: วันนี้ได้ซีดีมือสองของ Garbage ชุด BLEED LIKE ME (2005) มา ฟังแล้วชอบมาก ถึงแม้จะเป็นอัลบั้มที่ธรรมดามาก และแทบไม่มีอะไรให้พูดถึงเลย แต่ก็ชอบกว่าชุด Beautiful Garbage (2001) ประมาณล้านเท่า และขอนิยามอัลบั้ม BLEED LIKE ME ว่าเป็นอัลบั้มของ ผู้หญิงที่ถูกผัวทิ้ง แล้วมาออกเทป (อย่างไรก็ตาม อัลบั้มที่ชอบที่สุดของ Garbage ก็ยังคงเป็น Version 2.0 (1998) อยู่ดี และนี่เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ชอบที่สุดในชีวิตจ้ะ)
13 OCT 2006
-- เพิ่งทราบจากคุณแมดเดอลีนว่า Olga Kurylenko นางเอกคนโปรดของผม ร่วมเล่นในหนังเรื่อง Paris, I Love You ด้วย ก็เลยยิ่งเสียดายเข้าไปใหญ่ที่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง (รู้สึกเธอเล่นเป็นแวมไพร์ในตอน Quartier de la Madeleine ของ Vincenzo Natali ที่เคยทำเรื่อง Cube)
Olga Kurylenko เป็นนางแบบชาวยูเครนผู้มีช่วงขาและเท้าสวยงามที่สุด เธอเป็นนางเอกหนังเรื่อง The Ring Finger (2005, Diane Bertrand, A+) หนังหลอน เพลงเพราะ ซึ่งน่าจะติดอันดับหนังท็อปเท็นปี 2006 ของผม
รู้สึกว่า Olga Kurylenko เธอเฮี้ยนดี และเห็นด้วยกับคุณแมดเดอลีนว่าเธอกำลังจะเป็น Yekaterina Golubeva คนต่อไป (นางเอกเรื่อง Pola x, Twenty Palms และ The Intruder เธอเป็นนางแบบชาวลิธัวเนีย) -- วันนี้ช่วงบ่ายคอมพิวเตอร์ของเมเจอร์เซ็นทรัลเวิลด์เจ๊งครับ ผมก็เลยซื้อตั๋วหนังข้ามโรงไม่ได้ แต่พนักงานสาขานี้อธิบายได้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย และพูดจาน่ารักมากครับ ขอชมเชยจากใจจริง
หนังที่ได้ดูวันนี้
1. Arizona Sur (2005, Miguel Angel Rocca + Daniel Pensa, Argentina, A-)
ช่วงแรกดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องเลย เพราะหนังเรื่องนี้ชอบตัดเอา เหตุการณ์ข้างหน้า มาให้เราดูอยู่เรื่อยๆ แต่พอดูไปแล้วเริ่มรู้เรื่องขึ้นมาบ้างก็รู้สึกชอบหนังเรื่องนี้ ติดตรงที่ว่าช่วงท้ายของหนังดูอารมณ์หลุดๆ ไปหน่อยและตัวละครบางตัวก็ดูการ์ตูนมากๆ แต่คิดว่าถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้ซ้ำอีกรอบคงชอบหนังมากกว่าเดิม
ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงหนังบราซิลเรื่อง The House of Sand (2005, Andrucha Waddington, A+) หนังทั้งสองเรื่องนี้ถ่ายทอดบรรยากาศของทะเลทรายออกมาได้ดูหลอนๆ เหมือนกัน แต่ House of Sand นั้นพูดถึง ความเป็นแม่ ส่วน Arizona Sur พูดถึง ความเป็นพ่อ
Nazareno Casero พระเอกหนังเรื่องนี้ (ที่เวลาไว้เคราแล้วคล้ายๆ อั้ม-อติชาติ) น่าสนใจดี เขาเล่นในหนังเรื่อง Buenos Aires, 1977 (2006, Adrian Caetano) ที่ชิงปาล์มทองคำปีนี้ด้วย
Nazareno Casero //www.cinenacional.com/personas/index.php?persona=11819
** Arizona Sur ฉายอีกที 17 ต.ค. รอบ 15.00 (Major Central World) **
2. Tale of Three Friends (2006, Abhijit Guha + Sudeshna Roy, India, B-)
จริงๆ ผมพยายามหลีกเลี่ยงหนังอินเดียอยู่แล้ว เพราะดูมากี่เรื่องๆ ก็ไม่เคยชอบเลย แต่วันนี้โปรแกรมมันบังคับให้ดู (เพราะ Heavens Meadow มี DVD ขาย ส่วน Grizzly Man ก็จะเข้าโรงเดือนหน้า) และก็เป็นตามคาดว่าไม่ชอบหนังนี้
3. Personnel (1975, Krzysztof Kieslowski, Poland, A)
4. The Calm (1976, Krzysztof Kieslowski, Poland, A)
ดูหนังเรื่อง Personnel แล้วก็ทำให้รู้ว่านักพากย์เมืองไทยนี่เจ๋งที่สุดแล้ว เพราะตอนที่ฉายหนังเรื่องนี้ มีเสียงพากย์อังกฤษออกมาอีก channel นึงด้วย ซึ่งเป็นเสียงผู้ชายคนเดิม ที่พูดด้วยระดับเสียงเท่าเดิมตลอด และเสียงพากย์นี้ก็ทำให้ดูหนังช่วงแรกไม่รู้เรื่องเลย (แยกประสาทไม่ออก)
รู้สึกว่าหนัง 2 เรื่องนี้สะท้อนตัวตนของเคียสลอฟสกี้ในช่วงแรกได้ดี ดูเหมือนเขาจะสนใจที่จะถ่ายทอดชีวิตของชนชั้นแรงงาน โดยถึงแม้พระเอกเรื่อง Personnel จะได้ทำงานด้านศิลปะ แต่เขาก็จัดเป็น แรงงาน อยู่ดี (นิทรรศการภาพถ่ายของเขาที่แสดงอยู่ที่ Paragon ก็เป็นภาพของกลุ่มคนงานเป็นส่วนใหญ่) และตัวละครหลักทั้งสองเรื่องยังต้องเผชิญกับ ทางเลือก อันยากลำบากในช่วงท้ายของเรื่องด้วย ในจุดนี้ก็ทำให้ชอบ Personnel กว่านิดนึง ตรงที่ปล่อยให้คนดูคิดต่อเอาเองว่า ตัวละครจะเลือกทางไหน และเขาจะได้รับผลอย่างไร ส่วน The Calm นั้นแสดง ผลของการเลือก อย่างชัดเจน
ในเรื่อง The Calm นั้น ผมคิดว่าตัวละครที่น่าสงสารที่สุดก็คือ หญิงสาวเจ้าของบ้านที่พระเอกไปอยู่ ดูฉากที่เธอแต่งตัวให้พระเอกในวันแต่งงานแล้วเศร้ามาก โดยเฉพาะตอนที่เธอพูดว่า บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉัน... แล้วเธอก็เงียบไป
นอกเรื่อง: วันนี้ได้ซีดีเพลง The Four Seasons ของ Vivaldi มาครับ (ที่ใช้ในหนังเรื่อง Season Changes ไง) ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่ามีขายด้วย (เป็นแผ่นลิขสิทธิ์ของ S.Stack ครับ 190 บาทเอง) ส่วนเรื่องของ Vivaldi ก็อ่านได้ใน Bioscope หน้าปก The Departed จ้า
วันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 14-15 ต.ค. นี้ ผมลาหยุดจากเทศกาลเวิลด์ฟิล์ม 2 วันนะครับ เนื่องจากวันเสาร์ติดเรียนโทเฟล ส่วนวันอาทิตย์ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบของวันจันทร์ (วิชาสุดท้ายแล้ว!) อย่างไรก็ตาม ยังรออ่านความเห็นของทุกคนด้วยใจระทึกครับ
อ่านต่อ PART 2
Create Date : 13 ตุลาคม 2549 |
Last Update : 17 ตุลาคม 2549 1:25:04 น. |
|
21 comments
|
Counter : 2761 Pageviews. |
|
|
|
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ทำรายงาน POST 9/11 FILM เสร็จแล้วค่า~~~
เพิ่งเสร็จสดๆ เมื่อกี้เลย ทั้งหมด 36 หน้า 60,153 อักขระ พิมพ์เองล้วนๆ ภูมิใจยิ่งกว่าได้เมีย เอ๊ย แฟน เป็นแตงโม
รออ่านเร็วๆ นี้ในบล็อกละกัน
ขอฉลองให้ตัวเองด้วยเพลงนี้
Pride - Ayumi Hamasaki
//www.youtube.com/watch?v=DZ93oDJL0Wk
ไปนอนละ เดี๋ยว 14.00 ดูเวิลด์ฟิล์มต่อ (โอ้ว ชีวิต!)