Versailles : คนไร้บ้านข้างแวร์ซายส์
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
(ตีพิมพ์ครั้งแรก - นิตยสาร FINE ART ฉบับที่ 59 / กันยายน 2552)
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่มีกรุงปารีสเป็นฉากหลัง ภาพที่ปรากฏในใจของหลายคนคงเป็นภาพประเภทหนุ่มสาวแต่งตัวเก๋ไก๋นั่งอยู่ในร้านกาแฟหรูริมถนน ขณะจิบกาแฟไปพวกเขาก็จะสนทนาอย่างออกรสออกชาติ อาจเป็นการวิจารณ์ถึงหนังโรงหรือละครเวทีที่เพิ่งได้ดูเมื่อคืน หรือไม่ก็อาจเป็นเรื่องของปรัชญาชีวิต
กลุ่มชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) เป็นตัวละครที่เราพบได้เสมอในหนังฝรั่งเศส ชีวิตของพวกเขาถูกบอกเล่าในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะอย่างตรงไปตรงมาหรือเสียดสีแดกดัน แต่น้อยครั้งนักที่กลุ่มคนชั้นล่างจะมีพื้นที่ในหนังจากเมืองน้ำหอม
ในความเป็นจริงแล้วประเทศฝรั่งเศสเองก็มีปัญหาเรื่องความยากจนเช่นกัน มีรายงานว่าผู้คนกว่า 900,000 คน อยู่ในสถานะคนไร้บ้าน หรืออาศัยอยู่ในกระท่อม, เตนท์ หรืออะไรก็ตามที่พอจะเป็นที่ซุกหัวนอนได้ เมื่อปีที่แล้วเหล่าดาราดังๆ อย่าง คาโรล บูเกต์ และ เอมมานูเอล เบอาร์ต ก็เพิ่งออกมาประท้วงประเด็นนี้กับรัฐบาล
ไม่เพียงแต่ดารานักแสดงเท่านั้นที่เข้าไปมีเอี่ยวกับปัญหาคนไร้บ้าน แต่สื่อภาพยนตร์เองก็มีบทบาทเช่นกัน ในปี 2008 มีหนังอย่างน้อยสองเรื่องที่สะท้อนประเด็นที่ว่า เรื่องแรกคือ Les Enfants de Don Quichotte ซึ่งเป็นสารคดีบันทึกการประท้วงของเหล่าคนไม่มีที่อยู่ในปารีส
ส่วนอีกเรื่องคือ Versailles ของผู้กำกับ ปิแอร์ โชลเลอร์ ซึ่งเป็นหนังเล่าเรื่อง แน่นอนว่าหนังจะต้องเกี่ยวกับพระราชวังแวร์ซายส์แห่งมหานครปารีส ทว่าหนังไม่ได้เชิดชูความงดงามของพระราชวังนี้แต่อย่างใด แต่กลับเลือกเล่าถึงชีวิตของผู้คนเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในป่าบริเวณใกล้กับวังแวร์ซายส์ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าหนังเล่นกับการเสียดเย้ย (irony) ตั้งแต่ชื่อเรื่องเลยทีเดียว
Versailles เป็นงานกำกับเรื่องแรกของโชลเลอร์ โดยก่อนหน้านั้นเขารับหน้าที่เขียนบทในหนังหลายเรื่อง ตัวหนังเองได้การตอบรับที่ดีจากวงการภาพยนตร์ศิลปะ หนังได้เข้าประกวดในสาย Un Certain Regard ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ และถูกเสนอเข้าชิงรางวัลหนังเรื่องแรก และนักแสดงนำชายบนเวทีซีซาร์ (ออสการ์ของฝรั่งเศส)
โชลเลอร์ให้สัมภาษณ์ว่าเขาได้แรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้จากสองเหตุการณ์ด้วยกัน หนึ่ง-คือการไปพบข่าวของชายเร่ร่อนคนหนึ่งที่เสียชีวิจจากพายุรุนแรงในปี 2000 ในป่าบริเวณข้างวังแวร์ซายส์ และสอง-คือการที่เขาไปเดินเล่นในป่า ซึ่งทำให้โชลเลอร์ได้ภาพที่ชัดเจนของตัวละครเอกในเรื่อง
Versailles เริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึง นีน่า คุณแม่ยังสาว และ เอนโซ่ ลูกชายวัยห้าขวบของเธอ ทั้งคู่เร่ร่อนไปมาตามที่ต่างๆ อย่างไม่มีจุดหมาย พวกเขานอนริมถนนบ้าง บนม้านั่งบ้าง หนังไม่ได้ให้ข้อมูลเลยว่าสองแม่ลูกเป็นใครมาจากไหน หรือเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเด็ก ในฉากถัดมานีน่าและลูกชายถูกเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์พาไปที่พักชั่วคราวแห่งหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะถูกปล่อยตัวออกมาแล้วกลับสู่วงจรชีวิตแบบเดิมๆ ในที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจที่นีน่าจะดูไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ที่มาสอบถามประวัติจากเธอนัก หนังบอกเป็นนัยว่าเธอผ่านเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ดูเหมือนนีน่าจะรู้แก่ใจว่าระบบเช่นนี้นั้นล้มเหลว และเธอไม่อาจพึ่งพามันได้
วันหนึ่งนีน่าและลูกพยายามจะเดินผ่านวังแวร์ซายส์ด้วยการทะลุลัดผ่านป่าข้างๆ ทั้งคู่หลงทางและได้พบกับชายหนุ่มลึกลับที่ชื่อ เดเมียง (นำแสดงโดย กิโยม เดอร์ปาดิเยอ*) หนังบอกกับเราว่าเดเมียงอาศัยอยู่ในกระท่อมป่านี้มาพักใหญ่แล้ว เขาไม่ได้ทำงานทำการเหมือนคนทั่วไป และพยายามจะหลีกให้ไกลจากตัวเมือง
นีน่าตัดสินใจค้างคืนที่กระท่อมของเดเมียง และแน่นอนในเมื่อนี่เป็นหนังฝรั่งเศส จึงเดาได้ไม่ยากว่าทั้งคู่จะมีเซ็กส์กัน แต่เรื่องราวก็เกิดความพลิกผลันขึ้น เมื่อเดเมียงตื่นขึ้นมาพบว่านีน่าหายไปแล้ว แต่เธอกลับทิ้งเด็กน้อยเอนโซ่ไว้กับเขา
แน่นอนว่าเดเมียงทั้งช็อค โกรธ และหัวเสียอย่างรุนแรง คนที่ปลีกตัวออกจากสังคมอย่างเขาคงไม่ต้องการรับเลี้ยงเด็กไว้แน่ เดเมียงถึงขั้นปล่อยเอนโซ่ไว้ที่ป้ายรถเมล์คนเดียว และให้หนูน้อยหาทางไปต่อเอง แต่ท้ายสุดเอนโซ่ก็กลับมาหาเขา จึงทำให้เดเมียงต้องยอมรับสถานะพี่เลี้ยงเด็กและพ่อคนไปอย่างกลายๆ
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าเดเมียงกับเอนโซ่ก็จะเข้ากันได้ดีทีเดียว โดยในขณะที่หนังให้เราเห็นถึงพัฒนาการในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ หนังก็เริ่มเปิดเผยถึงสภาพการใช้ชีวิตในป่าของเดเมียง นั่นคือเดเมียงไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในป่าแห่งนี้ เขามีเพื่อนบ้านอีกมากมายที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
นั่นหมายความว่ามีสิ่งที่เรียกว่า ‘ชุนชม’ เกิดขึ้นในป่า เหล่าชายหญิงกลุ่มนี้จงใจอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ห่างไกลความเจริญ หนังเปิดเผยว่าบางคนเต็มใจจะอยู่ที่นี่ บางคนเคยมีประวัติเข้าคุกมาก่อน (แต่แน่นอนว่าหนังเก็บภูมิหลังของเดเมียงไว้เป็นความลับ) พวกเขามีอุดมการณ์ร่วมกันในการหนีห่างให้ไกลจากระบบของสังคม แต่พร้อมกันนั้นก็ต้องคอยระแวงอำนาจรัฐในรูปของตำรวจที่อาจมากวาดล้างพวกเขา
ฟังดูแล้วชุมชนในป่านี้ก็เหมือนโลกยูโทเปีย แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางคงอยู่ได้ตลอดกาล หนังในช่วงหลังเพิ่มสถานการณ์ตึงเครียดเข้ามา เริ่มจากผู้นำชุมชนป่าถูกฆ่า, กระท่อมของเดเมียงถูกไฟไหม้ และตัวเขาเองก็เจ็บป่วยอย่างหนักจนต้องเดินทางไปยังโรงพยาบาลในเมือง นั่นคือการแสดงให้เห็นว่าชุมชนอุดมคติได้ถูกทำลายแล้ว และตัวของเดเมียงเองก็ยังต้องพึ่งพาระบบสังคมอยู่
หนังเน้นย้ำถึงการกลับมาพึ่งพิงในระบบของเดเมียง ด้วยการที่เขาตัดสินใจพาตัวเองและเอนโซ่กลับมาอยู่ที่บ้านของครอบครัวอีกครั้ง ราวกับเดเมียงจะเริ่มตระหนักได้ว่าโลกที่เขาฝันไว้ไม่มีอยู่จริง เขาส่งเอนโซ่เข้าศึกษาในโรงเรียนตามแบบเด็กคนอื่นๆ ส่วนตัวเขาเองก็รับจ้างทำงานก่อสร้างอย่างแข็งขัน
ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับเข้าสู่ครรลองที่ถูกที่ควร แต่ในฉากหนึ่งเอนโซ่ก็พูดกับเดเมียงว่าอยากกลับไปที่ ‘บ้าน’ -กระท่อมในป่า- อีกครั้ง เดเมียงไม่พูดโต้ตอบอะไรทั้งสิ้น เขานิ่งเงียบ และสายตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าอันว่างเปล่า
นี่คืออีกคำถามสำคัญที่ Versailles ฝากไว้กับคนดู นั่นคือการคิดคำนึงถึงนิยามอันแท้จริงของบ้าน เพราะดูเหมือนว่าสิ่งปลูกสร้างที่มีหลังคาคลุมหัวนั้นอาจไม่เพียงพอที่จะเรียกว่าบ้านได้อย่างเต็มปาก
* กิโยม เดอร์ปาดิเยอ : นักแสดงคนสำคัญของวงการหนังฝรั่งเศส เขาเพิ่งเสียชีวิตจากโรคปวดบวมเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว นักวิจารณ์ตั้งข้อสังเกตว่าเขาเก่งกาจมากในการแสดงบทเศร้าโศกอมทุกข์ หนังสำคัญของเขา ได้แก่ Pola X (1999, ลีโอ การากซ์) และ Don't Touch the Axe (2007, ฌาคส์ รีแว็ตต์)
Create Date : 29 ตุลาคม 2552 |
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 1:18:59 น. |
|
7 comments
|
Counter : 5730 Pageviews. |
|
|
|
น่าดูๆ