BIOSCOPE #100
นิตยสาร BIOSCOPE เล่มล่าสุด ดำเนินมาถึงฉบับที่ 100 แล้วครับ
ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าดีใจนะครับ ที่หนังสือลักษณะนี้ยังคงอยู่ได้ในแผงหนังสือบ้านเรา (ครั้งหนึ่งเพื่อนผมเ้คยออกปากชมว่า "ไบโอ ดีนี่จังเลย ไม่มีหน้าโฆษณาเลย" ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนตอบไปว่า "นั่นไม่ใช่เรื่องน่าดีใจเท่าไรหรอกนะ")
จำได้ว่าตัวเองซื้อหนังสือเล่มนี้ฉบับแรกที่เป็นหน้าปก 15 ค่ำเดือน 11 มาจากสยามสแควร์ หลังจากนั้นผมก็อ่านนิตยสารฉบับนี้มาตลอด ตอนยังอยู่มัธยมก็รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง อ่านบ้าง เปิดข้ามบ้าง พอมาสมัยเรียนมหาลัยถึงเข้าใจอะไรมากขึ้น
และไปๆ มาๆ ผมก็เขียนและทำงาน (แบบฟรีแลนซ์) ให้กับนิตยสารมาได้เกือบ 5 ปีแล้ว คงไม่เกินไปหรอกนะครับที่จะผมจะพูดประโยคทำนองว่า BIOSCOPE กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว
ในเมื่อเป็นฉบับที่ 100 ทั้งที ทางนิตยสารเลยมีสกู๊ปพิเศษ นั่นคือ การสรุป 100 หนังไทยแห่งทศวรรษ ซึ่งผมก็ร่วมเสนอชื่อเล็กๆ น้อยๆ ในส่วนของหนังสั้น
สำหรับในฉบับที่ 100 ผมก็มีส่วนร่วมเขียนสกู๊ปแนะนำถึงผู้กำกับชาวญี่ปุ่นชื่อ ซิออน โซโนะ ที่โด่งดังจากเรื่อง Suicide Club หนังอื้อฉาวที่เปิดฉากด้วยภาพนักเรียนหญิง 54 คนกระโดดให้รถไฟทับตาย
ความน่าสนใจของโซโนะคือ ช่วงก่อนหน้านี้เขามักจะทำแต่หนังแรงๆ หลุดๆ คนก็เลยบอกว่าอีตานี่เป็นผู้กำกับ 'เกรียน' แต่พอปี 2008 เขาทำหนังเรื่อง Love Exposure ที่มีความยาวถึง 4 ชั่วโมง สถานะของเขาก็พลิกเป็นผู้กำกับ 'เก๋' ทันที
นับจากงานชิ้น (500) Days of Summer ผมห่างหายจากการเขียนสกู๊ปไปเกือบๆ 6 เดือน ถ้าเป็นที่อื่นนี่เขาคงตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว (ฮา) ดังนั้นผมต้องขอบคุณทาง BIOSCOPE อย่างยิ่งที่ัยังกรุณาเรียกใช้บริการผมอยู่ :-)
. . . . . . . . . . . . . . .
ก่อนหน้านี้ ผมค่อนข้างห่างหายจากการอัพบล็อกไป ด้วยภาระหน้าที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานสอนหนังสือ (ที่ตอนนี้ส่งเกรดไปแล้วเรียบร้อย ปรากฏว่าทั้งหมดมีคนได้ A เพียง 3 คน และผมแจก D กับ D+ ไปกว่าครึ่งห้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน 555) และงานพ็อคเก็ตบุ๊ค (เป็นหนังสือรวมบทสัมภาษณ์และเรื่องราวของคุณมะเดี่ยว ผกก. รักแห่งสยาม ที่ชื่อว่า WAKE MY DREAM UP ซึ่งผมทำหน้าที่เรียบเรียงและเขียนให้บางส่วน แต่ไม่แน่ใจว่าหนังสือจะออกเมื่อไร เพราะผมส่งต้นฉบับล่าช้าไปมาก T_T)
ช่วงซัมเมอร์ผมคิดว่าจะรับงานให้น้อยลง เพื่อหาเวลาเติมทรัพยากรให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง ดูละครเวที ดูนิทรรศการศิลปะ หรืออ่านหนังสือ และหวังว่าจะมีโอกาสกลับมาเขียนบล็อกให้บ่อยขึ้น ส่วนเทอมหน้า (เทอมหนึ่ง) ผมก็มีงานสอนหนังสือรออยู่อย่างน้อยหนึ่งวิชา
ขอบคุณทุกท่าน สำหรับการติดตามตลอดมา
ขอแนบท้ายด้วยหนังและเพลงที่ผมประทับใจช่วงที่ผ่านมา
Love Exposure (2008, Sion Sono, A+)
หนังยาว 4 ชั่วโมง แต่เป็น 4 ชั่วโมงที่ไม่เบื่อเลย สนุกดี หนังมีอยู่ทุกอารมณ์ - แรง ซึ้ง เศร้า จิตหลุด เสื่อม ตลก ฯลฯ แล้วประเด็นที่เล่นก็ล้วนสุดโต่งทั้งนั้น - ศาสนาคริสต์, ลัทธิประหลาด, ชมรมแอบถ่ายใต้กระโปรง ฯลฯ ผมว่าผู้กำกับเก่งมากที่นำเสนอทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่่าออกมาได้ ถือว่านี่เป็นหนังที่ยิ่งใหญ่มากของเขา
หนังของ ซิออน โซโนะ ยังน่าสนใจตรงการกำกับนักแสดง โดยหนังทุกเรื่องของเขาจะต้องมีฉากแนว Catharsis และในเรื่องนี้ทุกคนก็ทำได้ดีมาก พระเอกของเรื่องเป็นนักร้องวง AAA (วงเจป็อปชื่อดังของญี่ปุ่น) ซึ่งเขาไม่เคยเล่นหนังมาก่อนเลย ดูแล้วก็ทึ่งว่า เฮ้ย มึงเล่นเข้าไปได้ยังไง แล้วบทก็ค่อนข้างเสื่อมมาก เล่นหนังเรื่องนี้ไม่รู้แฟนคลับจะหายหมดหรือเปล่า 555
อย่างไรก็ดี เจ๊ที่ถือนกแก้วเขียวในโปสเตอร์ ที่คนที่แรงที่สุดในหนัง (หนังเรื่องนี้สามารถหาดูได้ใน YouTube ที่คนอัพไว้ทั้งเรื่องเลย)
The Squid and the Whale (2005, Noah Baumbach, A+++++++++)
หน้าหนังอาจจะดูเหมือนหนังครอบครัวป่วยๆ แบบอเมริกันอินดี้ทั่วไป แต่ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีบรรยากาศเฉพาะตัวมาก ตัวละครในหนังดูแปลกแยกกับคนดูอย่างมาก แต่ไม่รู้ทำไมว่าคนดูหลายคนถึงรู้สึกไปกับพวกเขาด้วย
ผมอาจจะชอบหนังเป็นพิเศษ เพราะชอบ ลอร่า ลินนี่ย์ เป็นทุนเดิม บวกกับการที่หนังใช้เพลง Hey You ของ Pink Floyd เป็นเพลงหลักของหนังด้วย
ดูหนังเรื่องนี้แล้ว อยากหาเรือง Margot at the Wedding ของ ผกก. คนนี้มาดูทันที
After the Wind (รอลม) (2009, ตุลพบ แสนเจริญ, A+/A)
หนังเรื่องนี้เป็นโปรเจ็คต์จบการศึกษาของตุลพบ โดยตุลพบเรียนด้านภาพยนตร์ที่ The Art Institute of Chicago ซึ่งผู้กำกับหลายคนเรียนจบจากที่นี่ เช่น อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ ไมเคิล เชาวนาศัย
จุดที่ผมชอบมากของหนังคืองานด้านภาพ โดยหนังเรื่องนี้ถ่ายด้วยฟิล์ม 16 มม. และตากล้องคือ Ming Kai Leung (คนถ่ายเรื่อง Graceland และ เจ้านกกระจอก ของ อโนชา สุวิชากรพงศ์)
ส่วนเรื่องเนื้อหา คงต้องบอกกันตรงๆ ว่าผมอาจจะไม่เข้าใจนัก หนังเว้นช่องว่างไว้มากมาย แต่ดูเหมือนมันจะใหญ่เกินไปสำหรับผม คล้่ายๆ กับว่าหนังมีแค่องก์ 1 แต่ไม่มีองก์ 2 และ 3 อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหนังที่มีเสน่ห์ชวนให้ค้นหาต่อ และไม่จบไปจากใจเราได้ง่ายๆ
Pry & May-T Project : Poetic Part (2010, A)
โปรเจคต์พิเศษของ พราย ปฐมพร และ เมธี วงโมเดิร์นด็อก อาจสรุปง่ายๆ ว่านี่คือส่วนผสมของ พราย, โมเดิร์นด็อก, Radiohead และบทกวี โดยเฉพาะเพลงที่สองที่ชื่อ 'เพลงพราย' ที่ชวนให้นึกถึงเพลง Paranoid Android อย่างมาก
ผมชอบพรายเวลาพูดคลอไปกับทำนองเพลง แต่อาจไม่ค่อบชอบวิธีการร้องเพลงของเขานัก อย่างตอนหนึ่งที่เขาพูดในเพลง 'เพลงพราย' ว่า "ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อเธอ ฉันเกิดมาเพื่อดูหิมะที่กำลังละลาย ฉันเกิดมาเพื่อดูต้นไม้ที่เจริญเติบโต แต่ัฉันอยากบอกเธอเหลือเกินว่า ฉันยินดีที่ฉันได้รู้จักกับเธอ"
อาจจะไม่ใช่อัลบั้มที่ผมชอบสุดๆ แต่ก็มีหลายเพลงที่น่าสนใจ และเพลงแบบนี้หาได้ไม่ง่ายนักในวงการเพลงไทยบ้านเราตอนนี้ (และตอนไหนๆ ก็ตาม)
Loscil : Endless Falls (2010, A+)
ศิลปินแนวอิเล็กทรอนิกจากแวนคูเวอร์ แคนาดา อัลบั้มชุดนี้เป็นเพลงแอมเบียนต์แบบชนิดละเมียดละไม สุ้มเสียงต่างๆ ถูกปล่อยผ่านมาอย่างแผ่วเบา บางช่วงนาทีอัลบั้มชุุดนี้ปล่อยเราไว้กับความเงียบด้วยซ้ำ ดังนั้นนี่คือเพลงที่เหมาะกับการฟังด้วยหูฟังตัวใหญ่ นอนหลับตาฟังไป แล้วปลดปล่อยจินตนาการ จากนั้นเรื่องราวจะหลั่งไหลมาเอง
อนึ่ง มีเรื่องขำๆ ว่า ผมเองก็ไม่เคยรู้จักศิลปินคนนี้มาก่อน แต่เลือกฟังเพราะรู้สึกถูกชะตากับหน้าปก
Blur: No Distance Left to Run (2010, A+++++)
ดีวีดีชุดนี้ ประกอบด้วยสองส่วนด้วยกัน แผ่นแรกคือ สารคดีเกี่ยวกับวง Blur ส่วนแผ่นที่สองเป็นบันทึกการแสดงสดที่ Hyde Park เมื่อ ก.ค. 2009 ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่ Blur กลับมารียูเนี่ยนกันครบ 4 คน
แต่แม้ว่าผมจะไม่ใช่แฟนของ Blur สักเท่าไร แต่การดูดีวีดีชุดนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกขนลุก
ในส่วนของสารคดี หนังจะตัดสลับคลิปสัมภาษณ์ของ Blur ในยุค 90 กับพวกเขาในปัจจุบัน ซึ่งการเห็น เดมอน อัลบาร์น ในวันนั้นกับวันนี้ ทำให้ผมรู้สึก...ปลง (ฮา) ปลงได้ว่าสังขารคนเรานี่มันไม่เที่ยงจริงๆ อย่างไรก็ดี ผมรู้สึกว่าเดมอนในสมัยก่อนเหมือนเด็กป่วนเมือง แต่ในตอนนี้เขาคือผู้ชายวัย 40 ที่มีความสุขดีกับชีวิต
ทางด้านส่้วนของบันทึกการแสดงสดก็ว่าถือทรงพลังมาก อาจเพราะการเล่นแบบกลางแจ้ง และจำนวนคนดูที่เยอะมาก แค่เปิดเจอตอนคนดูแหกปากร้องเพลง Girls & Boys นี่ก็พีคสุดๆ แล้ว
มีตอนหนึ่งที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ คือตอนที่เดมอนพูดว่า "ตอนนี้ (หมายถึงวันที่เล่นคอนเสิร์ตรียูเนี่ยน) ผมรู้สึกว่าตัวเองกลับมาบริสุทธิ์สดใสอีกครั้ง ยิ่งกว่าตอนที่อายุ 20 เสียอีก"
สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือตอนแสดงสด กล้องมักถ่ายจากข้างหลังของพวก Blur อยู่เสมอ ซึ่งเป็นมุมมองที่แปลกดี แต่สื่อความหมายบางอย่างที่น่าสนใจ
Create Date : 14 มีนาคม 2553 |
Last Update : 14 มีนาคม 2553 4:52:11 น. |
|
15 comments
|
Counter : 3221 Pageviews. |
|
|
|
ผมอ่านไบโอฯตั้งแต่เล่ม 2 (เล่มเล็ก)
หน้าปก ออกไซด์ แปง