เทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 11 (PART 1)
โดย merveillesxx
เทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 11 เริ่มขึ้นแล้วครับ!
งานจะมีวันที่ 17-26 สิงหาคม 2550 จัดที่ โรงหนังแกรนด์ อีวีจี ชั้น 6 สยามดิสคัฟเวรี่
ราคาตั๋วรอบละ 60 บาท หากซื้อบัตรชุด 10 รอบ ราคา 500 บาท รับฟรีทันที สูจิบัตรงาน 1 เล่ม (มูลค่า 100 บาท)
ติดตามรายละเอียดได้ที่ //www.thaishortfilmfestival.com/11/
17 AUGUST 2007
วันนี้ไปพิธีเปิดงานหนังสั้น ก็อบอุ่นดี เจอแต่คนหน้าคุ้นๆ เห็นมีเด็กนักเรียนกลุ่มนึงยกพวกกันมาดูด้วย ดีใจจัง (ทำไมสมัยตูไม่เห็นมีเพื่อนแบบนี้ !?) ไอ้รอบพิธีเปิดก็คนเยอะดีหรอกนะ แต่ไหงพอฉายหนังจริงรอบถัดมา เหลือ 20 คนไม่รู้ ฮือๆๆๆ ไปดูกันเยอะๆ หน่อยนะ
หนังที่ได้ดูวันนี้
Opening Film
01. Festival Title (2007, อโนชา สุวิชากรพงศ์, A-)
02. Free Thai Cinema Movement Campaign (2007, พิมพกา โตวิระ) ขำเป็นเอกในโฆษณานี้มากๆ
03. The Anthem (2006, อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล, A)
04. A Midnight Story (2005, Wong Hoi-chung, Hong Kong, B+)
05. My Day (2006, Bela Lukac, South Africa, B-)
06. The Crossing (2006, Maeva Poli, France, A-)
07. Rabbit (2005, Run Wrake, UK, A+++++++++) ขอยืมคำพูดของ พี่แมดเดอลีน "นี่เป็นหนังที่สวยและทรามมากในเวลาเดียวกัน" (จริงๆ เคยดูไปแล้วรอบนึงที่ Flip Cafe)
Tres Courts a Bangkok
หนังแนวไหนก็ได้ คนเล่น แอนิเมชั่น ทดลอง แต่มีโจทย์ว่า ต้องยาวไม่เกิน 3 นาที
01. Roadkill (2003, Jeroen Annokkee, Netherlands, A)
02. How to Fly (Tibor Nadas, Hungary, B+)
03. Goodbye to the normal (2006, Jim Field Smith, UK, B+)
04. Les petits sables (Chloe Micout, France, B+)
05. Tas un Geranium
(Also, France, B+)
06. The Cage (Gilles Lepore, Switzerland, A+) ชอบไอเดียในแอนิเมชั่นเรื่องนี้มาก มันตรงกับชีวิตเราทุกคนสุดๆ
07. Commuter (2003, Martin Pickles, UK, A-)
08. How to cope with death (2002, Ignacio Ferreras, UK, A) ฮามากๆ ทำให้นึกถึงการ์ตูนทรามๆ อย่าง Grim The Reaper (ที่เป็นยมฑูต กับเด็กโง่ๆ ฉายทาง UBC)
09. Under there (2007, Jeremy Lanni, USA, B+)
10. Pour maman (Matthieu Rouget, Canada, A+)
11. Welcome back (S. Schmidt + F. Becker, Germany, A++++++) เป็นหนังทดลองที่เอาภาพการทิ้งระเบิดทางอากาศมารีเพลย์ย้อนกลับ ไอเดีย simple มากๆ แต่ด้วยเสียง ภาพ หรืออะไรก็แล้วแต่ ดูแล้วจะร้องไห้
12. Transfert (Alexandre Marcheguet, France, A-)
13. Tarzanse (Torben Meyer, Germany, B)
14. Atomic space sheep (Guillaume David, France, B+)
15. Barking tie (2001, Sophie Lagues, Czech Republic, A-) หนังเฟมินิสต์สุดขีด เมื่อผู้หญิงเอาผู้ชายมาจูงหมา มีฉากนึงที่ชอบมากๆ คือ ตอนที่นางเอกตกใจจนหัวตั้ง แต่เห็นชัดๆ เลยว่าหนังถ่ายทำด้วยการให้นักแสดงห้อยหัว แล้วเอาภาพมากลับ ขำดี
16. Fetch (2006, Dana Dorian, Scotland, B)
17. SuperMan va en baver (Frog & Rosbeef, France, A) หนังว่าด้วยหอยทากที่พยายามปฏิบัติภารกิจใหญ่หลวง ดูแล้วนึกถึงคอนเสิร์ต Pru & Moderndog เมื่อปี 2002 ตอนนั้นเพลงนึงของโมเดิร์นด็อก มีวิดีโอประกอบเป็น "หอยทากร่วมรักกัน"
18. Paystation (Also, France, B-)
19. Stong (Dang-Thai Duong, France, B+)
20. E-motion capture (Alex Feil, Germany, B+)
21. Daddys little helper (2005, Daniel Wilson, UK, B+)
22. Not so small talk (2005, K. Roeters + S. Kelly, USA, B+)
23. Carcan (2003, Stephane Levallois, France, A++++++++) เป็นหนังที่ชอบที่สุดของวันนี้ ภาพสวยมาก แล้วประเด็นก็ดีมาก (ว่าด้วยผู้หญิงคนนึงใส่ชุดหนังรัดติ้วสวยงาม แต่อยู่ดีๆ ร่างเธอก็บวมปริจนแทบระเบิด) อยากเอาหนังเรื่องนี้ไปให้พวกเพื่อนผู้หญิงดูกัน จะได้เลิกฟุ้งซ่านเสียที
หนังเด็ดประจำวัน
Rabbit
Carcan
18 AUG 2007
ข้อสังเกตฮาๆ วันนี้คือ ผมได้เห็นภาพหัวลำโพงไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง พล็อตหนังแนว เมือง/ชนบท ก็คงมีการผลิตอย่างต่อเนื่อง (ถ้าไม่ใช่ หนุ่ม/สาวบ้านนอกดั้นด้นเข้ามาทำงานในกรุงเทพ ก็จะเป็น หนุ่ม/สาวที่ทนสภาพชีวิตคนเมืองไม่ไหว หนูกลับบ้านไปหาแม่ที่บ้านนอกดีกว่า) และ หัวลำโพง ก็ราวกับเป็น symbolic ของหนังแนวนี้ (อย่างไรก็ดี ผมชอบหนังเรื่อง หัวลำโพง ของน้องเข้มาก - พิมพ์ชื่อจริงเค้าไม่ถูกอ่ะ)
ส่วนหนังที่ได้ดูวันนี้ ขอเรียงตามลำดับที่ดูนะครับ เพื่อกันความสับสนของผมเอง
ขอย้ำ เกรดข้างล่างไม่ได้ขึ้นกับคุณภาพของหนัง แต่ขึ้นกับความชอบส่วนตัวของผม ผู้กำกับท่านใดที่ผ่านมาอ่านโดยบังเอิญ โปรดอย่าได้ใส่ใจอะไรกันมันนัก
COMPETITION 1 (รางวัลช้างเผือก + โกดัก)
01. วันสุดท้าย (The Last Day) (2007, ชาคร ไชยปรีชา, B+) ถ้าผมเป็นพระเอกในหนังเรื่องนี้ ผมก็อาจจะคิดฆ่าตัวตายแบบเขา แต่ก่อนตายผมจะต้องปล้ำแฟนเก่าสักรอบก่อน (ฮา) อนึ่ง นักแสดงที่รับบทเป็น (คล้ายๆ) บก. ตอนโผล่มาครั้งแรกในหนัง ผมนึกว่าเค้าเป็น...ช่างสัก 555555
02. ความ(น่า)เชื่อ (Convince) (2007, สุรวัฒน์ ชูผล, B+)
03. 2:29 (2006, รัฐธิการ เจาะใจดี + สันดุษิต กลิ่นเอี่ยม, B-) เบื่อ โจ๊ก-ธีรดนัย สุวรรณหอม
04. ตั๋วรักพลิกล็อค (2007, เกรียงไกร วชิรธรรมพร, A-) จริงๆ แล้วหนังมันแอ๊บแบ๊ว แต่มันก็น่ารักจริงๆ มันเป็นอะไรที่เราไม่สามารถกลับไปทำได้อีกแล้ว นักแสดงทั้งสองก็เล่นได้น่ารักมากๆ อีกอย่างที่รู้สึกดีกับหนังก็คือ พระเอกนางเอกเรียน ม.ต้น โรงเรียนเดียวกับเรา (ตามเนื้อเรื่อง) อย่างไรก็ดี โรงเรียน ม.ปลาย ของพวกเค้า เป็นโรงเรียนที่เราไม่ค่อยจะถูกชะตาด้วยนัก (ฮ่าๆๆๆ)
COMPETITION 2 (รางวัลช้างเผือก + โกดัก)
01. สมมุติสถาน (Imagined Landscape) (2007, วรรณนิศา เอี่ยมละออง, A-/B+)
02. บางกอกอีลัซสเตชั่น (Bangkok Illustration) (2006-2007, เอกภูมิ หรรษาภิรมย์โชค, A) ฉากเปิดของหนัง (ที่เป็นท้องฟ้า + พระอาทิตย์) เป็นฉากที่ทรงพลังมากๆ เสียงประกอบในฉากนี้ก็สุดยอดมากๆ เสียดายว่าช่วงกลางๆ หนังแผ่วๆ ลงไป (อาจจะเพราะมีการไปถ่ายพวกวัด, พระพุทธรูป ซึ่งเรา allergic กับอะไรแบบนี้) อย่างไรก็ดี ชอบเพลงประกอบในหนังมาก (ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงหนังตระกูล Qatsi)
03. สารวัตรเยมาร์กับคดีฆาตกรรมปริศนา (Yemar2 ) (2007, ธเนศ ลิ้มเจริญ, A-) ฮามากๆ ตอนดูหนังเรื่องนี้เราหัวเราะอย่างเสียสติ โดยเฉพาะ 1. หุ่นกะโหลกที่อยู่ในห้องของสารวัตร 2. ฉากที่มีผู้หญิงสามคนนั่ง + ยืน นิ่งๆ อยู่ตลอดเวลาที่พวกพระเอกคุยกัน (ไม่ต้องรู้เรื่องอะไรกันอีกแล้ว) และหนังก็เสียดสีเรื่องจตุทราม เอ๊ย จตุคามรามเทพ ได้ดี
04. ก้อนเมฆสีขาว (The White Clouds in Blue Sky) (2006, สุรวัฒน์ ชูผล, B-)
COMPETITION 3 (รางวัลรัตน์ เปสตันยี)
01. Hush Up (2007, โสภณ ศักดาพิศิษฏ์, A-) ชอบหนังเกือบตลอดเรื่อง แต่ไม่ค่อยชอบที่มีผีพยาบาลออกมา หนังสั้นเรื่องนี้ยังทำให้นึกถึงเรื่องสั้น กระถางชะเนียงริมหน้าต่าง ที่อยู่ในหนังสือ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ของคุณวินทร์ เลียววาริณ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่เราชอบที่สุดในชีวิต
02. ห่านน้อยคอยรัก (Brothers) (2007, จิราพร ใจแปง + ไพสิฐ พันธุ์พฤกษชาติ, B-) เราเกลียดเด็ก และเราก็เกลียดเสียงเด็กด้วย เราจึงรำคาญเสียง voice over ในหนังมากๆ แต่ลูกเป็ดกับลูกหมาน่ารักดี
03. กระสอบ (2006, นิติพงศ์ ถิ่นทัพไทย, A-) 04. เด็กชายจากต่างแดน (2007, ทศพร มงคล, B+) ชอบพล็อตหนังส่วนที่เป็นหนังเพลง-แฟนตาซีมากๆ โดยเฉพาะฉากที่ไปเต้นกันบนสะพานลอย แต่การที่หนังจบด้วยการผูกประเด็นกับพุทธศาสนา ก็เลยทำให้เรารู้สึกต่อต้านหนังเรื่องนี้ทันที อย่างไรก็ดี เราเข้าใจว่าเขามีวัตถุประสงค์ที่ดีในการสร้างหนังเรื่องนี้
05. กิ่งอ่อนที่บ้านเก่า (little plant at the old house) (2007, ศศิกานต์ สุวรรณสุทธิ, A-) ภายใต้ความเรียบง่าย หนังมันมีความรู้สึกมากมายแฝงอยู่ในหนังยาวเพียง 5 นาทีเรื่องนี้ ชอบที่หนังเป็นเพียงบทบันทึกการสนทนาธรรมดา การปรุงแต่งอาจมีเพียงเล็กน้อย แค่การถ่ายภาพต้นอ่อนเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่ริมบ้าน ซึ่งมันก็สื่อความหมายกับประโยคของแม่ในหนังได้ดีเหลือเกิน
06. Memories (2006, ธีระพล สุเนต์ตา, A-)
หนังเรื่องนี้อาจจะถือเป็นหนังที่ดี ทำให้ผู้ชมมากมายประทับใจ (เราได้ยินคนดูคนนึงร้องไห้ดังมาก ขนาดเรานั่งอยู่กลางๆ โรงนะ) และถ้าจะได้รางวัลอะไร (เช่น ขวัญใจมหาชน) เราก็เห็นสมควร แต่สำหรับเรา เรารู้สึกไม่อินกับหนังเลย อาจจะต่อต้านด้วยซ้ำ เพราะเรา ไม่เชื่อ อะไรแบบนี้เลย ยิ่งหนังบิวด์มากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้สึกถอยห่างจากตัวหนังมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ เราแอบฮาด้วยซ้ำว่า เออ เดี๋ยวนะ เดี๋ยวพ่อมันจะต้องไปหยิบกล่อง ขวด สมบัติบ้าโบราณอะไรสักอย่างมา แล้วลูกมันก็จะสำนึก แล้วทีนี้ล่ะก็ได้โฮกันทั้งโรง แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ อีกสองอย่างที่รู้สึกติดใจก็คือ 1. นางเอกดูสวยเกินไป (แต่โอเค เธอแสดงดี) 2.การแสดงมันดู ละคร ไปหน่อย
อย่างไรก็ดี ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความผิดทั้งหนัง หรือของผู้กำกับแต่อย่างใด อาจจะผิดที่เราเองที่โตมาเป็นคนใจบาปหยาบช้าเช่นนี้ (ดิฉันคงไม่ทนตรากตรำแบบนางเอกในหนังแน่ๆ)
COMPETITION 4 (รางวัลช้างเผือก + โกดัก)
01. เด็กบาป (Child of sin) (2007, เสรีย์ หล้าชนบท, A-)
02. FAT GIRL (2007, ชัญชนา + ชญานุช อรรฆจิรัตฐิกาล, A+) ดูแล้วตื่นตาตะลึงใจทุกวินาที และคิดว่าหนังเรื่องนี้มีความแรงน้องๆ Fat Girl ของ แคทเธอรีน เบรลญาต์
03. หนาวเหนือ (North Cold) (2006, วีรมน ลิปตวัฒน์, B+) ดูแล้วขนลุก จั๊กจี้ รู้สึกหยึ๋ยๆ ตลอดเวลา เราไม่เชื่อในตัวละครของหนังเอาเสียเลย และบทสนทนาแสนวิจิตรพิสดาร (และลิเก) ก็ทำให้เราแทบเป็นลมบ้าหมูกลางโรงหนัง 04. Living doll or a dead (2006, กมลพันธุ์ โชติวิชัย, A-) 05. เวลา ลาน (Somewhere-in-time) (2007, ไพรัช คุ้มวัน, A+++++++)
เป็นหนังที่ชอบที่สุดของวันนี้ ชอบการถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้มาก มันถูกใจเราเกือบทุกช็อต สิ่งหนึ่งที่โดนใจก็คือ ออฟฟิศที่นางเอกทำงาน มันคือ FAST ENGLISH สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว (ซึ่งพนักงานก็มาเล่นในหนังด้วย) ที่เราไปเรียนอยู่เกือบทุกอาทิตย์ จริงๆ แล้วสถานที่แห่งนี้มันไม่มีอะไรเลย แต่หนังก็ถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างมีเสน่ห์และน่าทึ่ง ส่วนฉากที่นางเอกจ้องมองมดที่ริมหน้าต่าง ก็ถือเป็นฉากที่ทรงพลังมาก
เราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า หนังเรื่องนี้มี message อะไร/อย่างไร แต่ตามความเข้าใจของเรา หนังตัดภาพสองเหตุการณ์ของนางเอก ช่วงชีวิตที่เธอดีสุดๆ (เธอได้ตำแหน่งพนักงานดีเด่น) กับช่วงชีวิตที่แย่สุดๆ (เธอถูกปล้นรถ และมาปล่อยตัวกลางป่า) มันคือการเล่นตลกของสิ่งที่เรียกว่าเวลา การผลัดเปลี่ยนของเข็มวินาทีเพียงเล็กน้อย อาจนำเราไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่เกินจะรับ เราโดนใจกับฉากที่นางเอกพูดว่า เมื่อไรจะหกโมงเช้าซะทีวะ มาก เพราะถ้าจำไม่ผิด ตอนต้นเรื่องมีขึ้นประโยคประมาณว่า ไม่มีพลวัตรในเวลา เราคิดว่าประโยคนี้มันจริงมากๆ ในช่วงเวลาที่เรามี ความทุกข์
ตอนจบของหนังเรื่องนี้ก็มีการเกี่ยวโยงกับพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านเหมือนเรื่องอื่นๆ เพราะมันไม่มีนัยยะสั่งสอนอะไรมากนัก หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ เพราะฉากจบนี้ถูกถ่ายทอดในรูปแบบ เรื่องนี้ จบลงที่ว่า ไม่ใช่ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของนักศึกษา ม.เกษตรศาสตร์ ซึ่งเราไม่เคยดูหนังของมหาลัยนี้เลย ไม่เหมือนกับ นิเทศ จุฬา หรือ ฟิล์ม ม.รังสิต ที่เคยดูจำนวนหนึ่ง และจับลักษณะบางอย่างของมหาลัยนั้นๆ ได้
COMPETITION 5 (รางวัลรัตน์ เปสตันยี)
01. เพียงบางอย่างยังวนเวียนกับเวลาที่เนิ่นนานและไร้กาล (The everlasting replication of time) (2007, ศาตร์ ตันเจริญ, A+) ภาพสวยๆ เหงาๆ + การสื่อสารของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ + ความสัมพันธ์ที่ไปไม่ถึงกัน + จังหวะที่ของหนังที่เชื่องช้ายาวนาน + เพลงของอัศจรรย์จักรวาล = หนังที่ถูกจริตของเราเป็นอย่างที่สุด
02. คิด
ถึงพ่อ (Thinking
of My Father!) (2006, ทิพย์ แซ่ตั้ง + ธีระ ประชุมของ + ชัชชัย ชาญธนวงศ์, B) 03. "___" (2006, ตุลพบ แสนเจริญ, A-)
04. เหงา (ALONE) (2006, ธีระ ประชุมของ, A-)
ช่วงแรกที่หนังยังทำตัวเป็นหนังผู้หญิงเหงาๆ เพ้อเจ้อๆ เรารู้สึกรำคาญเพลงประกอบของหนังมากๆ แต่พอหนังเปลี่ยนตัวเองเป็นหนังผี เราก็ชอบเพลงประกอบอย่างสุดๆ เป็นหนังที่เล่นอารมณ์กับคนดูได้เก่งมากๆ แม้จะใช้วิธีที่บ้านๆ มาก สิ่งที่ฮามากๆ ในหนังก็คือ การที่อีนางเอกมันบ้าจี้จะถ่ายรูปผีจริงๆ พอถึงฉากนั้นเราก็ฮาก๊ากออกมาเลย คิดในใจว่า อีบ้า แกบ้าไปแล้ว! ฮ่าๆๆๆ
อีกสิ่งที่ชอบก็คือ หนังไม่ได้พยายามคลี่คลายอย่างฉลาดๆ หรือหักมุม (เช่น เฉลยว่านางเอกนั่นแหละที่เป็นแฟนเก่าของผี - ซึ่งก็อาจจะมีความเป็นไปได้) แต่หนังจบลงด้วยการที่นางเอก เจอผี แถมยังเป็นวิธีที่บ้านๆ แต่ก็รุนแรงและฮามากไปพร้อมมัน
05. ผีมะขาม ไพร่ฟ้า ประชาธิปไตย ในคืนที่ลมพัดหวน (Re-presentation) (2007 , ชาย ไชยชิต + ชิษณุชา คงไว้ลาภ, A)
เป็นหนังอีกเรื่องที่ฮาบ่อยมาก เช่น ฉากที่มีเพลง เอาไปเลย ของไมโคร ดังมาจากวิทยุ ในขณะเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร, ฉากพระเอกถามว่า ถ้าวาดวัดพระแก้วไม่เหมือนจะบาปมั้ย, ฉากเสื้อเหลือง และฉากฉีกภาพตอนจบ
เราคิดว่าหนังรวบรวมประเด็นได้หลายอย่างดี แต่บางจุดก็นำเสนออย่างชัดเจนไปหน่อย อย่างตอนที่พระเอกเดินผ่านสนามหลวง แล้วหนังแทรกฟุตเทจตอน 6 ตุลา เข้ามา (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) พร้อมกับเพลงบิวด์ๆ อย่างฉากนี้เราว่ามันล้นไป
อีกสิ่งที่ชอบมากในหนังคือ casting ได้ดีมาก โดยเฉพาะนักแสดงหญิงที่เล่นเป็นรุ่นพี่ (ที่เอะอะอะไรเธอก็ สุนทรียะ ยันเต) เธอดูเป็นธรรมชาติมาก บทพูดของเธอเหมือนการด้นสดเลย โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่พระเอกกับเธอคุยกันเรื่องรัฐประหาร ประโยคที่เธอพูดเป็นอะไรที่เราได้ยินจากเพื่อนๆ (ผู้หญิง) บ่อยเหลือเกิน
เพียงบางอย่างยังวนเวียนกับเวลาที่เนิ่นนานและไร้กาล
19 AUG 2007
-- เท่าที่ดูมา 2 วัน รู้สึกว่าตัวเองชอบหนังสายช้างเผือกมากกว่า มันมีอะไรหลุดๆ เหวอๆ ออกมาดี ในขณะที่หนังสายรัตน์บางทีมันดู play safe หรือ pattern ไปหน่อย (อย่างไรก็ดี เราไม่ได้ดู Competition 9 และ 10 ซึ่งเข้าใจน่าจะมีหนังเฮี้ยนๆ เยอะ) ส่วนที่ทีมงานมูลนิธิหนังไทยบอกว่าปีนี้สายหนังสารคดี แข็ง ก็น่าจะจริง เพราะเท่าที่ดูไปวันนี้ก็ถือว่าดีมากทุกเรื่อง
หนังที่ได้ดูวันนี้ (ดูได้แค่ 3 โปรแกรม เพราะตอนเย็นไปดูคอนเสิร์ต Gwen Stefani)
COMPETITION 6 (รางวัลดุ๊ก (สารคดี))
01. Admit (2007, ธนชาติ ศิริภัทราชัย, A-) รู้สึกงงๆ ว่าหนังเรื่องนี้ได้ฉายจบจริงๆ หรือเปล่า เพราะอยู่ๆ ก็เหมือนตัดไปเลย ไม่มีเครดิตขึ้น แต่ถ้าจบแบบนี้จริงๆ ก็ชอบมาก
02. คู่มือปฏิบัติการถ่ายทำวิดีโอทางอากาศเพื่อนำเสนอในงานแต่งงาน (The Instructional Manual of Aerial videography for wedding presentation) (2007, เดชา ปิยะวัฒน์กูล, A)
ไม่รู้เหมือนกันว่า เหตุผลที่เราชอบเรื่องนี้ จะเหมือน purpose ของผู้กำกับหรือเปล่า แต่เราชอบมาก เพราะการเสนองานแต่งงานในที่นี้มันดูให้อารมณ์แบบ Irony ดี คือเราไม่รู้ว่าไอ้ การถ่ายทำวิดีโอทางอากาศเพื่อนำเสนอในงานแต่งงาน นี่มันมีจริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้ามี เราก็รู้สึกว่ามันเพ้อเจ้อมาก ฉากที่ฉายวิดีโอของจริงในงาน เป็นฉากที่เราหัวเราะอย่างรุนแรงมาก ที่แน่ๆ คือ เราจะไม่ใส่อะไรแบบนี้ไปในงานแต่งงานของเราเด็ดขาด
ในความรู้สึกส่วนตัว เราคิดว่า งานแต่งงาน มันเป็น absurdity อย่างหนึ่งของมนุษย์มากๆ สิ่งที่เราชอบมากในหนังเรื่องนี้คือ หนังเลือกถ่ายเค้กแต่งงานที่เหลือบานเบอะ อันนี้แหละคือความ absurd สุดๆ ของงานแต่งงาน เราว่าหนังเรื่องนี้ทำตัวเหมือนเป็นอีกด้านหนึ่งของ วิดีโองานแต่งงาน ทั่วไป ที่มักจะเสนอภาพอันสวยหรูชวนฝัน (แต่กว่าจะได้อะไรแบบนั้นมาก็ผ่านการตบตีกันมามากมาย อารมณ์เดียวกับการที่ผู้หญิงต้องแหกขี้ตาตื่นมาแต่งหน้า ทำผม ตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปงานรับปริญญา) แต่หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพหน้าเจ้าบ่าวที่อิดโรย, ถ่ายเท้านางเอกที่ระบม เพราะใส่ส้นสูงมาทั้งวัน เป็นต้น
03. ดนตรีสนาม (The Spectrum) (2006, ญาณิน พงศ์สุวรรณ, A+++++++++++++)
เป็นสารคดีที่ทรงพลังมากๆ คือ ผู้กำกับเลือก subject ที่มันมีพลังอยู่แล้ว (วงโยธวาทิต) แต่เราว่า scale มันใหญ่มาก แต่ผู้กำกับก็เลือกได้ดีว่าจะ เจาะ หรือ เลือก ตรงไหน เช่น เด็กนักเรียนสองคนที่เลือกมา (น้องหล่อที่ชอบถอดเสื้อ, น้องกะเทยที่ดูเป็นกุลสตรี - ฮ่าๆๆ) หรือในฉากซ้อม / ฉากวันจริง ที่มีเหตุการณ์ล้านแปดเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่ผู้กำกับก็เลือกถ่าย เลือกมุมมอง ที่ดูมีพลังมาใส่ จึงทำให้เรารู้สึกผู้กำกับเรื่องนี้มี ดวงตาภาพยนตร์ (ไม่ใช่ ดวงตาพญามารนะ) หนังก็อาจจะโชคดีจาก accidental event ต่างๆ ด้วย เช่น ฉากรุ่นพี่กับรุ่นน้องจะต่อยกัน หรืออยู่ดีๆ โรงเรียนดันชนะซะงั้น แต่ถึงจะไม่ชนะ เราว่าสารคดีเรื่องนี้ก็ยังจะมีพลังของมันอยู่ดี
ชอบตรงที่หนังจบลงแบบไม่ต้องพูดอะไรต่อมากมาย (เช่น ไปสัมภาษณ์แต่ละคนว่าน้องรู้สึกยังไงคะ รุ่นพี่ดีใจมั้ยคะ บลาบลาบลา) แต่จริงๆ นี่ก็เป็นสูตรการจบ (ที่ควรจะเป็น?) ของหนังเพลงๆ แบบนี้อยู่แล้ว (เช่น Fame, Swing Girl, Linda Linda Linda, Hula Girls, etc.) จุดที่รู้สึกติดๆ หน่อยก็คงเป็นฉากประกาศรางวัลที่ดูพลังน้อยไปหน่อย แต่ก็เป็นปัญหาเพียงเล็กน้อยของหนังเรื่องนี้
04. แข่งบั้งไฟ (The Rocket) (2006, อุรุพงศ์ รักษาสัตย์, A) ปกติเราไม่ค่อยจะอินหรือมีความรู้สึกร่วมไปกับหนังของคุณอุรุพงศ์เท่าไร (อาจจะเพราะเราเป็นเด็กเมืองกรุงที่ดัดจริตแต่กำเนิด) แต่ชอบเรื่องนี้มาก เพราะมันอารมณ์ขันในเรื่องนี้มันบริสุทธิ์ และเป็นธรรมชาติมาก ภาพบั้งไฟ, ท้องฟ้าก็ดูมีพลังมากด้วย
COMPETITION 7 (รางวัลรัตน์ เปสตันยี)
01. A Stranger from the South (2007, พุทธิพงษ์ อรุณเพ็ง, A-) ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด หนังเปรียบเปรยพล็อตของผู้ชายที่ไม่สนใจการตายของเจ้าของบ้าน กับคนไทยหลายคนที่ไม่ใส่ใจปัญหาภาคใต้สักเท่าไรนัก (นั่นอาจจะรวมถึงตัวเราด้วย) แต่ก็ยังงงๆ อยู่ว่า A Stranger from the South ในที่นี้คืออะไร แต่ถ้าบอกว่าพระเอกมาจาก เกาหลีใต้ เราก็คงเชื่อ เพราะหน้าให้ (ฮา)
02. Live in Bangkok (2007, อรรณพ สงวนชาติ, B+)
03. เต่า ต่าย 11 (2007, วิมลรัตน์ สระแก้ว + กุลชาติ จิตขจรวานิช, A-) ชอบไอเดียของหนังเรื่องนี้ แต่รู้สึกขัดใจเล็กน้อยกับกลอนที่ไม่ค่อยจะมีสัมผัส
04. กร่อน (The reflection remains) (2007, เดชา ปิยะวัฒน์กูล, B-) เราชอบ message และ process ของหนังเรื่องนี้ แต่ไม่ชอบกับองค์ประกอบของหนัง (โดยเฉพาะนักแสดงชาย) เราเลยไม่อินกับหนังเรื่องนี้เลย
05. ทะลุล้าน (The Green Million) (2007, ภาณุวัฒน์ อยู่ชัง, B+) อันนี้อาจจะเป็นคะแนนพิศวาสส่วนตัว พอดีคนรู้จักเล่นในหนังด้วย (จ่ายักษ์อ่ะ แหม พี่แกเล่นใหญ่มากค่ะ) เราก็เลยขำคิกคักๆ อยู่ตลอดเวลา
06. เหมือนเคย (ALWAYS) (2006, ศิวโรจณ์ คงสกุล, B) อา...มันเกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อหนังผ่านไปครึ่งนึง จิตใจอันชั่วร้ายของเราก็พูดกับเราว่า เดี๋ยวอีแก่นี่มันต้องไปหยิบสมบัติบ้า วัตถุโบราณ อะไรสักอย่างมาแน่นอน แล้วมันก็ดันเป็นจริงอีกแล้ว
COMPETITION 8 (รางวัลช้างเผือก + โกดัก)
01. The Day before revolution (2007, ภาส พัฒนกำจร, B) ชอบฉากที่ผู้ชายสองคนคุยกับบนดาดฟ้า เกี่ยวกับผู้หญิงที่เปลี่ยนชีวิตพระเอก บทสนทนาในฉากนี้อาจดูไม่เป็นธรรมชาติ 100% แต่เรารู้สึกว่านักแสดงดูมีความรู้สึกกับสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดอยู่ แล้วมันก็เป็นประเด็นที่ตรงกับประสบการณ์ส่วนตัวของเราด้วย
02. ครูครับ..ครู (2007, ภานุวัฒน์ นิลรักษ์, B-)
03. (สมัครงาน) (application) (2007, วรรณแวว + แวววรรณ หงส์วิวัฒน์, B+)
หนังมีหลายอย่างที่เราไม่ชอบ โดยเฉพาะการวน loop เสียงแม่นางเอกในตอนท้าย แต่หนังก็มีรายละเอียดเล็กน้อยมากมายที่โดนใจเรามาก เช่น 1.ตอนนางเอกกรอกใบสมัคร เธอเว้นช่องเงินเดือนที่อยากได้ หรือคำถามอะไรยากๆ เธอข้ามไปทำข้อง่ายๆ ก่อน 2.โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เธอใช้เป็น เธอเขียนว่า Word กับ Excel (เป็นคำตอบยอดฮิตของนักศึกษาประเทศนี้) แล้วเธอก็เขียนย้ำไปอีกว่า ได้พอสมควร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราได้พบเจอตลอด 4-5 เดือนนี้ เพราะเพื่อนเราก็แห่กันไปสมัครงานเหมือนกัน เราก็เลยรู้สึกว่าผู้กำกับจับตรงนี้ได้ดี และจริงๆ ประเด็นที่โดนเรามากที่สุดก็อาจจะเป็นว่า นางเอกเป็นนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่ดันมาชอบเรื่องหนัง (ช่างเหมือนชีวิตใครบางคนเหลือเกิน)
04. พื้นที่ในสำนึก (Fourth World) (2007, ชญานิษฐ์ วงษ์ทองดี + เตชนันท์ จิรโชติรวี, A++++++++++)
หนังเรื่องที่มีสิทธิลุ้นมากว่าจะเป็นหนังที่เราชอบมากที่สุดของเทศกาลนี้ ถ้าจะนิยามความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้ก็ต้องใช้คำว่า สะเทือนเลือนลั่น (ยืมสำนวนมาจากพี่ Mds อีกที) คือเราไม่เข้าใจหรอกว่าหนังเรื่องนี้ต้องการสื่ออะไร หรือมีความหมายอะไรกันแน่ แต่ภาพและเสียงในหนังมันกระทบกับความรู้สึกของเรามาก ตอนที่หนังขึ้นตัวอักษรว่า LIFE IS PAIN ถึงจะมีแค่นั้น แต่ก็ทำให้ความรู้สึกของเราพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง (มันทำให้นึกถึงเมื่อสามปีก่อน พี่ grappa เคยตอบเราในกระทู้ Lily Chou-Chou ว่า การเปลี่ยนผ่านชีวิตแต่ละวัน เหมือนเป็นการเปลี่ยนผ้าพันแผลในหัวใจ)
เพลงในหนัง (เพลง The Flames Beyond the Cold Mountain ของวง Mono) ก็สุดยอดมาก คือมันเข้ากับภาพในหนังได้ดี อย่างฉากที่หนังถ่ายรถไฟฟ้าว่างๆ เราจะรู้สึกกับมันมาก สำหรับเราแล้วมันเป็น PAIN อย่างหนึ่งของเรา (ในขณะเดียวกัน หนังเรื่อง The Day before revolution ก็มีฉากบนรถไฟฟ้า โดยใช้เพลงจากหนัง Linda Linda Linda ที่แต่งโดย James Iha ซึ่งเราชอบมาก แต่พอมาอยู่ใน context นี้ มันอาจจะเป็นเพลงประกอบที่ดี แต่เราไม่รู้สึกอะไรกับมัน) และโครงสร้างของเพลงนี้มันก็ไต่ peak ขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วย ช่วงท้ายๆ เราเลยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะระเบิด
The Spectrum
Fourth World
อ่านต่อ PART 2
Create Date : 18 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 6:09:13 น. |
|
21 comments
|
Counter : 6996 Pageviews. |
|
|
|
ยังคงขอขายของหน้าด้านๆ ต่อไป
CMYK เขียนเรื่อง 10 หนังบางกอกฟิล์ม - มีหลายคนบ่นมาว่าหนังสือหาซื้อยาก (จริงโว้ย) ขอบอกว่ามีขายที่ร้านหนังสือบนรถไฟฟ้าอ่ะ (FASTER BOOK อะไรสักอย่าง)
ส่วน a day น้องเมอร์ก็เสร่อไปเขียนไดอารี่ขี้เก๊ก
ยัง...ยังไม่พอ! มันจะยังกระแดะไปเป็น วิทยากรรับเชิญ ด้วย
ก็วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 16.30 เป็นต้นไป ณ ห้องประชุมมาลัยหุวะนันทน์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เค้าก็จะมีฉายหนังแหวกโลกเรื่อง Santa Sangre นะจ๊ะ ดูหนังจบก็มีพูดคุยกับ นายคันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง อ่ะจ้ะ (ก็ข้าพเจ้านั่นเอง)
ติดตามรายละเอียดโปรแกรมนี้ ที่นี่
และสุดท้าย...
19 สิงหานี้ น้องเมอร์ก็ WE VOTE NO ค่ะ
โหวตเสร็จแล้ว...ก็จะไปดู Gwen Stefani ฮ่ะ
ป.ล. การโหวตครั้งนี้มีอะไรฮาๆ อย่างนึง นั่นคือ "พวกซ้ายจะกาขวา" และ "พวกขวาน่าจะกาซ้าย" 5555 (ขำๆ อย่าคิดมาก)