-- รู้สึกเหมือนกันว่าหนังเรื่อง The Child จบแบบให้ความหวัง เรายังไม่เคยดู The Promise กับ Rosetta นะ แต่ได้ข่าวว่า Rosetta หดหู่น่าดู (โอย หดหู่แบบสมจริงจากพี่น้องดาร์เดนน์ น่ากลัวมากกก ฮ่าๆๆๆ) แต่ถ้าลองคิดเล่นๆ โดยเอา Rosetta เป็นจุดตัดในชีวิตการทำงานของพี่น้องคู่นี้ งานหลังจากเรื่อง Rosetta อย่าง The Son และ The Child ดูจะจบแบบมีความหวังนะ (เราว่า The Son ก็จบแบบสว่างๆ)
เราดู War of the World แล้วเหมือนกัน (พ่อบังคับให้ดู) ที่จริงสงครามมนุษย์ต่างดาวเนี่ย เหมือนสงครามโลกของมนุษย์เลย เพราะนองไปด้วยเลือดคนบริสุทธ์เหมือนกัน และผู้นำประเทศก็ไม่เคยช่วยอะไรได้
จุดเด่นของ GARDENS IN AUTUMN รวมถึงการที่ MICHEL PICCOLI (BELLE DE JOUR, BELLE TOUJOURS, IM GOING HOME) มารับบทเป็นผู้หญิง โดยรับบทเป็น แม่ ของพระเอก
อ่านบทวิจารณ์ GARDENS IN AUTUMN ได้ที่ //filmref.com/journal/
Iosseliani's familiar aesthetic of medium shots, muted humor, near wordless scenarios, and endearing, representational characterizations proves especially suited to the film's timeless, modern fable of a person's fall from grace, transforming the humiliation of the vanquished into the humble victory of the everyday hero, reinvigorated and impassioned by the quotidian pleasures found in the often overlooked minutiae of quiet self-liberation.
เห็นด้วยกับทั้งคุณเก้าอี้มีพนัก และคุณแมดเดอลีนครับ เพราะผมก็ชอบเรื่อง The Child น้อยกว่า Rosetta และ The Son เหมือนกัน เหอๆ (ส่วน La Promesse ยังไม่เคยดูครับ)
ไปดู another sound in the room มา slur เล่นดีมากกกกกกกกกกก (goose กับ doas ก็ดีอยู่แล้ว) ขอเป็นหน้าม้าหน่อย เพราะชอบมาก (แต่เห็นคนเฉยๆ หรือไม่ชอบอัลบั้มของ slur เยอะเหมือนกันแฮะ)
ผมเองก็ไม่ใช่คนได้ดูหนังมากมายอะไรครับ ง่ายๆ เลย เรื่อง The 400 Blows ของทรุฟโฟต์นี่ผมยังไม่ได้ดูครับ (เคยดูแต่ What Time is it There? ของพี่ไหมิงเลี่ยง ที่อินสไปร์มาจากเรื่องนี้อีกที แหะๆ) ส่วน Blue Gate Crossing ชอบครับ ชอบฉากที่ผลักกันไปผลักกันมาในห้องประชุม (ที่เก้าอี้เยอะๆ อ่ะ)
ผมชอบคำว่า blue ครับ เพราะว่าความเศร้าแบบ blue มันดูมีเสน่ห์ดี มันดูไม่ฟูมฟาย แต่ดูมีมิติ เหมือนที่ Hikaru Utada ร้องในเพลงว่า "Darling, Darling, Questions only male me blue..."
1. Blue (2001, Hiroshi Ando)
2. The Child (2005, Jean-Pierre and Luc Dardenne, A+++++++++++)
-------------------------------------
ช่วงนี้ผมสอบแล้วนะครับ อาจจะหายหน้าไปบ้าง สอบตัวแรก (International Financial Management) เมื่อวาน ...หายนะชัดๆ เลยครับ ทำแทบไม่ได้เลย แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจ เพราะอาจารย์ชอบพูดเสมอว่า "ถ้าข้อสอบไม่ยาก จะออกทำไมล่ะฮึ"
สอบเสร็จ 16 ตุลา นู่นเลยครับ (มหาลัยอื่นเค้าสอบเสร็จกันแล้ว ฮือๆๆๆ)
ช่วงสอบผมจะดูละครโทรทัศน์ครับ เพราะมันช่วยคลายเครียดได้เยอะ มีสองประเด็นที่อยากพูดถึง
1. วิธีเปลี่ยนหุ่นยนต์มารให้เป็นเหยื่อมาร
ผมพอรู้วิธีที่จะเปลี่ยนนางเอกในเรื่อง "เหยื่อมาร" จากหุ่นยนต์ให้เป็นผู้เป็นคนแล้วครับ นั่นก็คือ...ส่งเธอไปเล่นหนังกับพี่น้องดาร์เดนน์!! (ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
2. เกือบสอบตกเพราะ เป้ย-ปานวาด
เมื่อคืนวันพุธ จณะกำลังอ่านหนังสืออยู่ดีๆ ผมเบื่อๆ เลยเปิดช่อง 5 ดูละคร พอเจอเป้ย-ปานวาด ผมแทบช็อคเลยครับ เพราะชุดที่เธอใส่มัน...มาก (มันดันนมแทบจะถึงปากอยู่แล้ว) ผมมารู้ตอนหลังว่าเธอเล่นเป็นเลขาพระเอก...เลขาบ้าอะไรเนี่ย แต่งชุดราตรีไปทำงานทุกวัน
อีกฉากที่ฮามากๆ คือตอนที่ มิว เดอะสตาร์ (นางเอก...เอ่อ นางเอกจริงๆนะ) เดินผ่านกล้องแวบๆ แล้วมีตัวละครนึงชมขึ้นมาว่า "อุ๊ย เด็กคนนั้นใครเนี่ย หน้าตาดีจังเลย"
หน้าตาดีจังเลย??!!!
หล่อนเห็นแค่แวบๆ หยั่งกะผีผ่านกล้องเนี่ยนะ??
แถมยังบอกว่า หน้าตาดี...ดีจังเลยด้วย??
โอ๊ย ชั้นไม่เชื่อ!!! (บอกว่า อ.ยิ่งศักดิ์ เป็นผู้ชายชั้นยังเชื่อมากกว่าเลย)