|
House of Flying Daggers ความจริง ความลวง ตัวจริง ตัวปลอม ความรัก
โดย merveillesxx
(หมายเหตุ - ออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 ส.ค. 2547 pantip.com กระทู้ A2949133)
House of Flying Daggers (ในชื่อไทยคือ จอมใจบ้านมีดบิน จนเกิดคำถามสุดฮิตในช่วงที่ผ่านมาว่าหนังเรื่องนี้เป็นอะไรกับ ฤทธิ์มีดสั้น) คือผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของผู้กำกับชาวจีนที่เรียกได้(แล้ว)ว่า "ผู้ยิ่งใหญ่ นามว่าจางอี้โหมว หนังเข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ครั้งล่าสุดในสายนอกการประกวด (Out of Competition) มีกระแสมาว่าหากหนังเรื่องนี้เข้าสายประกวดคงมีอาการหนาวๆร้อนๆ ต่อหนังเรื่องอื่นเลยทีเดียว
หลังจากที่ทำหนังวิพากษ์สังคม-ประเทศ-ชาติบ้านเกิดของตัวเองมานาน (แต่ในสายตาของรัฐบาลจีน การวิพากษ์ของเขานั้นดูจะเป็นการ ซ้ำเติม ประเทศเสียมากกว่า) ดูเหมือนจางอี้โหมวจะยังติดใจกับการท่องไปในยุทธจักรกำลังภายในจากหนังมหากาพย์-มหาปรัชญาอย่าง Hero (2002) คราวนี้เขาจึงกลับมาพร้อมกับกระบวนท่าชุดใหญ่ของบ้านมีดบิน
หนังเล่าถึงจีนในปลายสมัยราชวงศ์ถัง สภาวะบ้านเมืองระส่ำระส่าย มีหมู่ชนรวมตัวกันก่อกบฏ หนึ่งในนั้นก็คือสำนัก บ้านมีดบิน เหลียว (หลิวเต๋อหัว) และจิน (ทาเคชิ คาเนชิโร่) 2 ชายฉกรรจ์ (มากและน้อยตามลำดับ) คือทหารหลวงของแผ่นดิน ซึ่งกำลังจับตามองหญิงงามตาบอดแห่งสำนักโคมเขียว เสี่ยวเม่ย (จางจื่ออี้) ที่ทั้งสองสงสัยว่านางเป็นคนของบ้านมีดบิน ดังนั้นแผนการ-กลลวง-ความลวง ชนิดซับซ้อนซ่อนเงื่อน (ส่วนจะ เพื่อนทรยศ มั้ยต้องไปดูกันเองในโรง) จึงถูกคิดค้นขึ้น
ในเมื่อหนังมีตัวละคร 3 ตัว ชายสอง หญิงหนึ่ง แน่นอนว่าเรื่องราวของหนังจึงต้องพัวพันกันในชนิด รักสามเส้า และต้องพบจุดจบในแบบ โศกนาฏกรรม อันมีปัจจัยสำคัญคือ ความตาย
ฟังดูซ้ำซากน่าเบื่อ แต่เพราะนี่คือผู้กำกับที่ชื่อจางอี้โหมว หนังจึงไม่ได้เน้นการเปรียบเปรยปรัชญาทางการเมืองเหมือน Hero แต่กลับเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสามได้อย่างมีชั้นเชิง โดยผ่านกระบวนการของแผนการ-กลลวง-ความลวงที่กล่าวไว้ในข้างต้น นั่นคือผู้กำกับสามารถหา ทางไป และ ทางออก ให้กับหนังด้วยกระบวนท่าที่สวยงาม
อีกสิ่งที่อดจะชื่นชมไม่ได้ก็คงเป็นความดีแบบเดิมๆที่ปรากฏใน Hero คือฉากที่แสนวิจิตรบรรจง งามตระการตา ชนิดไม่รู้ว่าเอาอะไรมาคิด ไม่ว่าจะเป็นการฉากนางรำ(และเนื้อขาวๆ)ของจางจื่ออี้, ฉากต่อสู้ดวลดาบทั้งหลาย, ฉากต่อสู้ในป่าไม้ไผ่ที่แม้แต่ภาพซี่ไม้ไผ่แตกก็ยังดูดี! หรือฉากเสี่ยวเม่ยในชุดสีเขียวท่ามกลางป่าฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถสะท้อนอารมณ์ของตัวละครได้ชัดแจ้งเป็นที่สุด ส่วนการแสดงของทั้งสามนั้นคงไม่ต้องเป็นห่วง โดยเฉพาะจางจื่ออี้ที่เล่นเป็นคนตาบอด จนเชื่อแล้วว่าความรักทำให้คนตาบอด
ท่ามกลางความจริง-ความลวง (ของแผนการ) และตัวจริง-ตัวปลอม (ของตัวละครทั้งในแง่ บทบาท จินต้องปลอมตัวเป็น วายุ ตามแผนการ และ ตัวตน - เสี่ยวเม่ยถามจินว่าตัวท่านใช่ตัวท่านจริงหรือไม่) จางอี้โหมวยังใส่ประเด็นต่างๆเข้าไปอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความหลง, ความใคร่, ความเสียสละ, ความตาย, หน้าที่ ซึ่งทุกอย่างในหนังมีแกนกลางร่วมกันอยู่ที่ ความรัก ดังนั้นหนังจึงนำเสนอเรื่องราวของ ความรัก-ความหลง, ความรัก-ความใคร่, ความรัก-ความเสียสละ, ความรัก-ความตาย, ความรัก-หน้าที่ หรือแม้แต่ใน ความจริงและความลวงก็เกิด ความรัก ขึ้นมา จนทำให้ประโยคที่เหลียวกล่าวเตือนจินว่า อย่าทำให้ความลวงกลายเป็นความจริง กลายเป็น ความจริง ขึ้นมาจนได้
ซึ่งประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ดูเหมือนว่าเรา(ในฐานะคนดู)จะมี หน้าที่ ต้องค้นหาด้วย ความ(ใจ)รัก จึงจะบรรลุถึง ความจริง ที่หนังบอกไว้
ความจริง ที่ผมพบค้นพบก็คือ ประโยคของ Albert Camus ที่ว่า "There is no love of life without despair of life" นั้นเป็นจริงเสมอว่าไม่ยุคสมัยใดก็ตาม
และหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า จางอี้โหมวยังคงเป็น ตัวจริง ในโลกภาพยนตร์
ความรักฉีกตัวเราให้แหลกแตกเป็นเสี่ยง แต่เราก็พร้อมยอมสละทุกอย่างเพื่อมัน - จางอี้โหมว
ประเด็นต่อยอดกับภาพยนตร์เรื่อง House of Flying Daggers
ในส่วนนี้ผมก็พูดถึงหนังในแง่มุมต่างๆ ดังนั้นจึงมีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง-ฉากต่างๆ ดังนั้นผู้ใดยังไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ควรอ่านข้อความต่อจากนี้นะครับ
ความรัก อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วว่าหนังเรื่องน่าจะมีแก่นสำคัญที่ ความรัก (ชื่อเดิมอีกชื่อของหนังคือ Lovers ในที่สุดก็เป็นชื่อเพลง Theme ของหนัง) โดยความรักในหนังนำเสนอในสองรูปแบบคือ การกั้นกลาง และ การก่อเกิด
การกั้นกลาง ผมหมายถึง ความสัมพันธ์ในชุดของ ความรัก-ความตาย, ความรัก-ความหลง, ความรัก-หน้าที่ โดยทั้งสามคู่เป็นเหมือนสิ่งที่อยู่ใกล้กันมาก (อีกนัยคือมีความใกล้เคียงกันมาก) มีเพียงเส้นบางๆกั้นอยู่ เส้นบางๆที่ว่าบางทีก็ยากนักที่จะฝ่าทะลวงไป บางทีก็ขาดสะบั้นเสียง่ายๆ
ความรักกับความตายนั้นไม่ใช่สิ่งที่ไกลกัน ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความตายได้ทุกเวลา ไม่ต้องอะไรเอาง่ายๆดูข่าวหน้าหนึ่งทุกวันนี้ก็ได้ ฆ่ากันเพราะรักเพราะหึงเพราะหวง ส่วนตัวละครทั้งสามล้วนได้รู้จัก ความรัก และได้พบ(หรือเฉียดใกล้) กับ ความตาย ทั้งสิ้น ดังนั้นความรักกับความตายจึงมิใช่สิ่งคู่ตรงข้าม แต่ดำรงร่วมกัน
ความรักกับความหลง ถูกแสดงผ่านตัวละครของจินกับเสี่ยวเม่ยว่าทั้งสองรักกัน หรือเป็นเพียงความหลง ส่วนประเด็นที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ ความรักกับหน้าที่ ตัวละครทั้งสามล้วนแต่ถูกบททดสอบที่ต้อง เลือก ระหว่างสองสิ่ง
ส่วน การก่อเกิด ก็คือ ความรักนั้นเกิดขึ้นระหว่าง ความจริงและความลวงในแผนการต่างๆนานา จนน่าสับสนว่าความรักอันใดที่เป็นจริงหรือเป็นเพียงการแสร้งทำ (ในคู่ของจินและเสี่ยวเม่ย)
การก่อเกิดอีกอย่างหนึ่งคือ ความรักทำให้เกิด ความเสียสละ จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกความรักถูกนำเสนอในรูปแบบของ ความเห็นแก่ตัว แต่ในฉากสุดท้าย (หิมะขาวโพลน) จางอี้โหมวสามารถสรุปว่าความรักที่แท้จริงคือการเสียสละได้โดยการใช้แค่เพียงฉากเดียว ผ่านการกระทำของ 3 ตัวละคร คือ 1. เสี่ยวเม่ยกล่าวว่าหากเหลียวสังหารจิน เธอจะดึงมีดที่ปักอยู่กลางอกมาใช้สังหารเหลียว นั่นคือเธอยอมสละชีวิต 2. จินทิ้งดาบเดินเข้าไปใกล้เหลียวกล่าวกับเสี่ยวเม่ยว่า ข้าเข้าใกล้เขาถึงเพียงนี้แล้ว ยังไงเขาก็ฆ่าข้าได้ มีดของเจ้าไม่มีทางช่วยข้าทัน (ประโยคนี้เล่นงานผมจนเกิดอุทกภัยในดวงตาเลยทีเดียว) นั่นคือจินปกป้องเสี่ยวเม่ย แต่ยอมสละชีวิตตนเอง 3. เหลียวแสร้งทำเป็นปามีด เพื่อให้เสี่ยวเม่ยสังหารเขา และอีกนัยคือการปลิดชีพเสี่ยวเม่ย ในแง่นี้ผมมิอาจรู้ได้ว่าเขาตั้งใจสละชีวิตเพื่อความสุขของทั้งสอง ของตัวเองหรือเพื่อใคร
นอกจากวงจรการกระทำของตัวละครทั้งสามจะแสดงถึง ความเก๋า ของจางอี้โหมวแล้ว ในนัยหนึ่งหนังอาจจะมีแง่บวกถึงความรักก็ได้ แต่ที่สุดแล้ว ความรักที่เป็นการเสียสละของตัวละครทั้งสาม ล้วนแต่เป็นการเสียสละชีวิต จึงยิ่งตอกย้ำประเด็นของ ความรัก-ความตาย และการลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม
พันธการและการหลุดพ้น หนังแสดงประเด็นไว้มากเกี่ยวกับเรื่อง พันธนาการ ทั้งพันธนาการแห่งภาระหน้าที่ และพันธนาการแห่งความรัก
จะเห็นได้ว่าบ่อยครั้งมีฉากตัวละครถูกมัดด้วยเชือกและในที่สุดก็จะหลุดพ้นด้วยการใช้ดาบตัดเชือก วินาทีที่เสี่ยวเม่ยจะ ตัดเชือก เพื่อปล่อยตัวจินไป ในจิตใจเธอคงคำนึงถึงการ ตัดใจ จากชายหนุ่มผู้นี้ จนในที่สุดก็ลงมือตัดเชือกเพื่อเป็นตัวแทนของการตัดใจ (แต่แล้วจางอี้โหมวก็หักหลังพวกเราด้วยฉากเลิฟซีนร้อนแรงและหลังขาวๆของจางจื่ออี้) ในที่สุดเสี่ยวเม่ยก็มิอาจหลุดพ้นจากพันธนาการ
วินาทีที่เหลียวปามีดเพื่อสังหารเสี่ยวเม่ย เขาคงจะคิดว่าความตายของเธอจะทำให้เขาหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งรักนี้ไปได้ แต่ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าแม้แต่ช่วงวินาทีสุดท้ายของเธอ เขาก็ยังมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบจากเธอ เขามิอาจหลุดพ้น
(ในเมื่อเจ้ารู้ตัวอยู่แล้ว ว่าหากเจ้าตามมันไป ข้าจะฆ่าเจ้าแล้วทำไมเจ้ายังจะตามมันไป
ฉากนี้หลิวเต๋อหัวทำเอาน้ำตาคลอเบ้าเลย)
แม้แต่วินาทีที่เหลียวตัดสินใจแสร้งทำเป็นปามีดในฉากสุดท้าย เพื่อกำหนดวินาทีสุดท้ายของชีวิตตัวเอง เพื่อให้ความตายทำให้ ตัวเอง หลุดพ้น (เลิกใช้ความตายของผู้อื่น แต่ใช้ความตายของตนเอง จุดนี้จะพลิกผันกับฉากข้างบน นี่แหละผมถึงคิดว่าบทมันฉลาดมาก) แต่เขาก็มิอาจทำได้สำเร็จ
บางทีรอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวเม่ยอาจจะเกิดขึ้นเพราะการกระทำของเหลียว (สังเกตว่า เธอหันไปยิ้มให้กับเหลียวก่อน แล้วจึงหันมาทางจิน) แต่รอยยิ้มของเธอก็มิอาจช่วยให้เขาหลุดพ้น
เขาได้แต่เดินไปอย่างไร้จุดหมาย
ใบหน้าที่ไร้ซึ่งทุกสิ่งของเหลียวคงเพราะการกระทำของเสี่ยวเม่ย แทนที่เธอจะใช้มีดปลิดชีวิตของเขาตามที่กล่าวไว้ เธอกลับใช้มีดปกป้องจิน
(วิถีของมีดไม่ได้พุ่งไปทางเหลียว แต่พุ่งไปทางที่มีดของเหลียวจะมาทางจิน) เหลียวคงเจ็บปวดเพราะในห้วงสุดท้ายหญิงที่เขารักมา 3 ปีก็ยัง ปันใจ ให้ชายอื่น
ส่วนจินนั้นไม่มีการกระทำใดๆที่เขาแสดงว่าต้องการหลุดพ้น มิใช่ว่าเขาไม่มีพันธนาการ แต่สิ่งนั้นได้อยู่ล้อมรอบตัวเขาตลอดเวลา และดูเหมือนเขาจะยิ่งทำให้มันผูกรัดแน่ขึ้นทุกที
ในบทสรุปสุดท้าย ทั้งสามก็ยังมิอาจหลุดพ้นไปได้ และไม่มีใครได้อะไรจากการกระทำทั้งปวง (แม้แต่บ้านมีดบิน เพราะในที่สุดคงโดนพวกทหารหลวงถล่มยับ) นอกจากความโศกเศร้าและความเจ็บปวด
บางทีพายุหิมะในฉากสุดท้ายก็คือ พันธนาการแห่งความรัก ที่ทำให้เรามองเห็นความรักอย่างเลือนรางนั่นเอง
เลข 3 กับ House of Flying Daggers หนังเรื่องนี้มีตัวละคร 3 ตัว เป็น รักสามเส้า
ประโยคเด็ดอีกอันของเรื่องนี้ คือที่เหลียวกล่าวว่า ข้าเสียสละเวลาและชีวิตเพื่อเจ้ามา 3 ปี แต่เจ้ากลับพลีใจให้กับผู้ชายที่อยู่ด้วย 3 วัน ขณะที่พูดประโยคนี้เหลียวมีมีดปักอยู่กลางหลัง แต่ผมคิดว่า ณ ตอนนั้นเหลียวไม่รู้สึกเจ็บแผลที่หลัง แต่เหลียวเจ็บที่ใจเมื่อเห็นสีหน้าของเสี่ยวเม่ยเมื่อเค้าถามว่า เจ้ารักเขาใช่ไหม
. แผลในใจทำให้ไม่รับรู้แผลทางกาย
เช่นเดียวกันคนดูคงอาจจะรู้สึกเจ็บที่หลังเมื่อเห็นมีดบินมาปักหลังเหลียว แต่คนดูยิ่งรู้สึกเหมือนมีดนั้นเสียบเข้ามากลางใจมาเหลียวพูดประโยคที่ว่าออกมา
ถ้าให้โมเมเรื่องเลข 3 ต่อ ก็คือ ในหนังเรื่องนี้ในตอนท้ายๆ จางจื่ออี้ฟื้นมาทั้งหมด 3 รอบ (แหะ แหะ)
การซ้อนทับ หนังมีการเล่าเรื่องแบบซ้อนทับกันมากมายหลายคู่ หรือการเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นการย้ำประเด็น ความจริง-ความลวง ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดลวง
อย่างแรกคือฉากที่เสี่ยวเม่ยปัดป้องมิให้ตัวละครชายจูบ สังเกตได้ว่าขณะที่เธอปฏิเสธฝ่ายชาย ใบหน้าของเธอดูเหม่อลอยเหมือนจะคิดคำนึงถึงใครอยู่ ในตอนแรกที่เธอปฏิเสธจินคงเพราะเธอคิดถึงเหลียวในฐานะคนที่รักเธอมา 3 ปี อีกฉากเธอปฏิเสธเหลียวเพราะเธอคิดถึงจิน-ผู้ชายที่เธอรู้จักได้ 3 วันและเธอก็รักเขา! (ถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าเรานั่งดูฉากพลอดรักของจินกับเสี่ยวเม่ยมาตลอด ประหนึ่งเราดูทั้งสองดูดดื่มกันมา 3 ชั่วโมงจนรับรู้ถึงความรักอันร้อนแรงได้ แต่ในขณะที่เหลียวโผล่ออกมาพบกับเสี่ยวเม่ยแค่ 3 นาที เราก็รู้สึกได้ว่าเขารอเธอมา 3 ปีจริงๆ! นี่คือความเก๋าอีกอย่างของจางอี้โหมวล่ะ เห็นมั้ยเราได้ประเด็นเรื่องเลข 3 มาอีกข้อนึงแล้ว ^^;;) การซ้อนทับนี้นอกจากจะมีมุมกลับในเรื่องของตัวละครที่ฝ่ายหญิงคิดคำนึงถึง ยังมีเรื่องของอารมณ์โดยฉากของจินกับเสี่ยวเม่ยที่ถูกถ่ายทอดด้วยอารมณ์ร้อนแรง เธอกลับคิดถึงความรักอันเยือกเย็นของเหลียว แต่ในฉากรักของเหลียวกับเสี่ยวเม่ยที่ดูเยือกเย็น (โดยใช้โทนสีเขียว) เธอกลับคิดถึงความรักที่ร้อนแรงของจิน (โอย! เอาเข้าไป)
ฉากที่ตัดเชือกที่มัดคนอยู่ก็เห็นกันอยู่บ่อยๆ อันนี้อ่านในข้อหัว พันธการและการหลุดพ้น
ต่อมาคือฉากการขี่ม้าของจินกับเสี่ยวเม่ย ตอนแรกเมื่อเสี่ยวเม่ยหนีจากจินไป ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายขี่ม้าตามเธอมา (ที่เข้าไปช่วยในป่าไม้ไผ่) แต่ในตอนหลังจินเป็นฝ่ายที่ไปก่อน และคราวนี้เสี่ยวเม่ยกลายเป็นฝ่ายที่ตามไป ฉากนี้น่าสนใจมากคือฉากก่อนที่เสี่ยวเม่ยจะตัดสินใจขึ้นม้า จางจื้ออี้ในชุดสีเขียวท่ามกลางป่าฤดูใบไม้ร่วง ภาพถ่ายจากด้านหลังมุมระยะไกลดูเวิ้งว้าง ตัดกับภาพที่จินขี่ม้าไกลออกไปเรื่อยๆ จางอี้โหมวใช้เวลากับฉากนี้นานทีเดียว ซึ่งก็บรรลุผลในการปลุกเร้าอารมณ์ เพราะในฉากนี้มันเหมือนกับมีสารจากตัวละครเสี่ยวเม่ยมาถึงคนดูว่า ยิ่งเสียงฝีเท้าม้าของจินไกลออกไปเท่าไร เสียงหัวใจของข้าก็ยิ่งเต้นแผ่วเบา แต่คำว่ารักกลับยิ่งดังก้องกังวาน
นั่นแหละเธอจึงตัดสินใจตามเขาไป
การซ้อนทับสุดท้ายนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับการฟื้นๆตื่นๆของเสี่ยวเม่ยที่จะมองว่าน่ารำคาญก็คงไม่ผิดอะไร แต่ผมคิดว่ามันมีความสำคัญต่อตัวหนังมากเอาการ นั่นคือ 1. เสี่ยวเม่ยฟื้นขึ้นมาบอกจินว่า ระวัง
หลัง ฉากนี้ตื่นเต้นดี และเป็นการเปิดเผยความจริง (ต่อจิน) ว่าชายผู้รักเสี่ยวเม่ยก็คือเหลียวนั่นเอง (เป็นไคลแมกซ์ของจิน แต่ไม่ใช่ของคนดู) ตรงนี้น่าคิดว่าทั้งสองมีความเป็นเพื่อน-มิตรภาพกันมาขนาดไหน ก็รู้สึกอย่างไรที่ต้องมาฆ่าฟันกันเพราะรักผู้หญิงคนเดียวกัน 2. เสี่ยวเม่ยฟื้นขึ้นมา จะสังหารเหลียว อ่านในหัวข้อ ความรัก 3. สุดท้ายเสี่ยวเม่ยฟื้นขึ้นมาพูดกับจิน เป็นการเน้นประเด็นเรื่องการซ้อนทับ
เสี่ยวเม่ย เจ้าไม่น่ากลับมาเลย จิน ข้ากลับมาเพื่อดวงใจของข้า ผู้หญิงที่ข้ารัก
จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ตรงนี้ซ้อนทับการตอนที่ทั้งสองติดอยู่ในดงไม้ไผ่ เสี่ยวเม่ยพูดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นจินพูดว่า ข้ากลับมาเพื่อผู้หญิงของข้า ประโยคสองประโยคกับการใช้คำที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่มีความหมายยิ่งนัก บางทีความหลงเมื่อครั้งก่อนอาจจะการเป็นความรักแล้วก็ได้
(นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สนับสนุนว่าบทฉลาด)
ท้ายสุดหนังก็ตอกย้ำประเด็นด้วยการเอาฉากสุดท้ายมาซ้อนทับการฉากตอนต้นเรื่องนั่นคือ การที่จินร้องเพลงในฉากนางระบำ สตรีงาม เหลียวมองครั้งแรกเมืองพินาศ เมื่อเหลียวมองอีกคราชนชาติต้องวอดวาย (ไม่ถูกแน่ๆ เลย คือจำไม่ได้แล้ว)
ณ ตรงนี้ประโยค "There is no love of life without despair of life" ก็ดังก้องสะท้อนอยู่ไหนหัวผม และ end credit ของเรื่องก็ขึ้นมาบนจอ
ลม หนังเรื่องนี้พูดถึงลมอยู่บ่อยครั้ง
เสี่ยวเม่ยตอบคำถามของเหลียว ในเมื่อเจ้ารู้ตัวอยู่แล้ว ว่าหากเจ้าตามมันไป ข้าจะฆ่าเจ้าแล้วทำไมเจ้ายังจะตามทันไป ว่า อยากเป็นอิสระ
อิสระดั่งลม
เสี่ยวเม่ยคงไม่รู้ว่าการเป็นดั่งลมนั้นทำให้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งภาระหน้าที่ได้ แต่ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งความรัก หรือบางทีอาจจะรู้แก่ใจ
แต่ก็ทำลงไปเพราะความรัก
หากภาพยนตร์เรื่อง House of Flying Daggers เป็นดั่งลม
ก็จะมิใช่ลมที่พัดผ่านมาแล้วผ่านไป แต่เป็นลมที่โหมพัดกระหน่ำความรู้สึกและอารมณ์ของเราให้สั่นไหว
และมิอาจลืม
Create Date : 22 มีนาคม 2548 |
Last Update : 22 มีนาคม 2548 13:49:26 น. |
|
19 comments
|
Counter : 4981 Pageviews. |
|
|
|
โดย: hunjang (ไม่ล๊อคอิน) IP: 202.57.156.183 วันที่: 22 มีนาคม 2548 เวลา:15:28:25 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 22 มีนาคม 2548 เวลา:23:49:53 น. |
|
|
|
โดย: it ซียู IP: 161.200.255.162 วันที่: 23 มีนาคม 2548 เวลา:10:53:56 น. |
|
|
|
โดย: V-FAN วันที่: 25 มีนาคม 2548 เวลา:20:15:28 น. |
|
|
|
โดย: ดานัง IP: 203.151.140.111 วันที่: 17 เมษายน 2548 เวลา:1:18:34 น. |
|
|
|
โดย: myrmidon วันที่: 23 เมษายน 2548 เวลา:23:56:41 น. |
|
|
|
โดย: ... IP: 203.151.140.112 วันที่: 8 พฤษภาคม 2548 เวลา:11:39:56 น. |
|
|
|
โดย: ...... IP: 202.47.231.182 วันที่: 22 มิถุนายน 2548 เวลา:17:12:41 น. |
|
|
|
โดย: Cheap Snapbacks IP: 94.23.252.21 วันที่: 2 สิงหาคม 2557 เวลา:7:24:41 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ชอบตอนหักมุมแบบ double มากๆ
ปล. หลังของเสี่ยวเม่ย ขาวมากๆๆๆๆ O_o
จากคุณ : all around the world - [ 7 ส.ค. 47 08:31:52 ]
ความคิดเห็นที่ 6
ข้าขอซูฮกท่าน merveillesxx (ทำมือซูฮก o\\ )
จากคุณ : joblovenuk - [ 7 ส.ค. 47 13:28:54 ]
ความคิดเห็นที่ 7
วิจารณ์เยี่ยมมากเลยครับ
จากคุณ : Love@here - [ 7 ส.ค. 47 13:52:15 ]
ความคิดเห็นที่ 9
วิจารณ์ได้ดีมากเลยค่ะ
คุณมองหนังได้ลึกมากเลย
จนเราอยากกลับไปดูอีกรอบแล้วลองคิดตาม
จากที่รอบแรกไปดูแค่ จินเฉินอู่หล่อ ฉากสวย เพลงเพราะ
หนังน่าเบื่อ
แต่ถ้าดูได้ลึกอย่างคุณ จขกท แล้ว คงจะไม่น่าเบื่อดังเดิม
ขอบคุณที่เติมอรรถรสในการดูรอบ2ให้แก่เราด้วยนะคะ
จากคุณ : แหนมมัด - [ 7 ส.ค. 47 15:46:45 ]
ความคิดเห็นที่ 10
สุดยอดมากครับ....วิจารณ์ได้สุดยอดจริงๆ
เปิดประเด็นทางความคิดได้อีกหลายมุมมองขึ้นเยอะ....
ใครจะนึก....ว่าหนังที่มีธีมหลักแค่เรื่องชิงรักหักสวาท....
จาง อี้ โหม่ว กลับทำออกมาได้อย่างลุ่มลึกและมีมิติมากขนาดนี้....
ผมว่า ถ้าหากดูหลายๆรอบ....อาจจะได้มุมมองของการชมที่แตกต่างไปจากเดิม....
และเป็นประตูสู่การแตกประเด็นทางความคิดแบบที่เคยเกิดมาแล้วกับเรื่อง hero ก็ได้นะครับ....
เผลอๆ ผมว่า อาจจะมากกว่า hero ด้วยซ้ำ...
เพราะคราวนี้ daggers จับเอาสิ่งที่อยู่กับจิตวิญญาณของพวกเราทุกคนมาพูด....
นั่นก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง ตามที่คำโบราณจีนบอกว่า 4 อย่างนี้ ล้วนทำให้วังวนแห่นการปฏิสัมพันธ์ระหว่า ผู้คนไม่มีวันจบสิ้น....
จากใจจริง
จากคุณ : โนอาห์บ้านมีดบิน (PB ลูกพ่อ Kahn) - [ 7 ส.ค. 47 16:05:17 ]
ความคิดเห็นที่ 11
มีเพื่อนแล้ว นึกว่าเป็นคนเดียวซ่ะอีก แอบบ่อน้ำตาแตกไปสองตอน(ถ้าจำไม่ผิด)
ตอนที่ จิน กลับมาช่วยเสี่ยวเหม่ย ตอนที่แยกทางกันแล้ว
ภาพตอนที่เสี่ยวเหม่ยยิ้มดีใจที่จินมาช่วยทำเอาเราแอบดีใจไปด้วย
กับตอนสุดท้าย ที่จินตะโกนบอกว่าอย่าดึงมีดออกมาน่ะ แล้วเดินเข้ามาหาเหลียว
ที่สำคัญไปดูเรื่องนี้เพราะ พี่เหลียว กับน้องเหม่ย แต่พอ จินออกมาฉากแรก ก็ลังเลซ่ะแล้ว
จากคุณ : ใบไม้สีเหลือง - [ 7 ส.ค. 47 17:01:07 A:203.209.112.115 X: ]
ความคิดเห็นที่ 12
คุณเจ้าของกระทู้ คิดและเรียบเรียง เขียนออกมาได้ชัดเจนมากครับ นับถืออย่างแรง
จากคุณ : คน-ทำ-มะ-ดา - [ 7 ส.ค. 47 21:32:04 ]
ความคิดเห็นที่ 13
วิจารณ์ได้เยี่ยมมากค่ะ สุดยอดจริงๆ ^^ เราเองก็ร้องไห้ให้กับหนังเรื่องนี้เยอะเหมือนกันคะ แถมหัวเราะตอนท้ายๆด้วย ^^" ตอนนางเอกฟื้นนี่แหละ
จากคุณ : LamiaAzure - [ 7 ส.ค. 47 23:19:05 ]
ความคิดเห็นที่ 14
เอ่อ ผมอยากรู้อ่ะว่าคนทำเค้าคิดขนาดคนวิจารณ์ไหม
จากคุณ : อุอุ - [ 8 ส.ค. 47 01:10:01 A:203.150.193.201 X: ]
ความคิดเห็นที่ 15
3. เหลียวแสร้งทำเป็นปามีด เพื่อให้เสี่ยวเม่ยสังหารเขา ในแง่นี้ผมมิอาจรู้ได้ว่าเขาตั้งใจสละชีวิตเพื่อความสุขของทั้งสอง หรือเพื่อใคร
"เอ่อ เฮียแอนดี้ แกตั้งใจปามีดหลอกๆเพื่อให้นางเอกดึงมีดออกจากร่างเพื่อขว้างมาปกป้อง ทาเคชิไม่ใช่เหรอครับ (มีดไม่ได้พุ่งมาเพื่อฆ่าฌฮีย แต่พุ่งไปเพื่อกันทาเคชิ ดูได้จากเลือดที่พุ่งมาแทนมีด) เพื่อที่จะทำให้นางเอกตายอย่างจริงๆจังๆมากกว่า เพราะเฮียแกพูดเองว่า เธอเป็นของชั้น ถ้าชั้นไม่ได้คนอื่นก้อต้องไม่ได้ อะไรประมาณนี้มากกว่าอ่ะคับ"
จากคุณ : นายฮ้อย แห่ง หงซิ่ง - [ 8 ส.ค. 47 02:09:09 ]
ความคิดเห็นที่ 16
>ผมอยากรู้อ่ะว่าคนทำเค้าคิดขนาดคนวิจารณ์ไหม
นี่ก็เป็นคำถามที่เคยอยู่ในใจผมมาตลอดเกือบ 4 ปีเต็มๆครับ
แต่บัดนี้มันจางหายไปจนสิ้นแล้วล่ะครับ ในความคิดของผมก็คือการคิดต่อยอดจากหนังเป็นสิ่งดีและไม่เป็นพิษเป็นภัยหรือผลเสียแก่ "คุณค่า" ของตัวหนัง แต่อย่างใดครับ
และไม่ว่าคนคิด (ผู้เขียน, นักวิจารณ์, คนดู) กับ คนทำ (ผกก., คนเขียนบท) จะ "คิด" เหมือนกันหรือไม่เหมือนกันอย่างไร ก็ไม่มีฝ่ายใดถูกหรือผิด ผกก.ต้องยอมรับและเคารพในความคิดของคนดูเพราะหมายความว่าดูหนังมีสื่อหรือการชี้นำให้คนดูคิด-เห็น-เป็นเช่นนั้น อีกทางกลับคนดูน่าจะ(พยายาม)ยอมรับและซึบซับต่อสารของหนัง
ตัวอย่างก็คือ หนังเรื่อง Last Life in the Universe (ใครยังไม่ได้ดูข้ามไปเลยนะครับ)
ที่อยู่ดีๆ พลอย-ไลลา ที่ในหนังตายแหงแก๋ไปแล้ว ดันมาเดินเฉิดฉายในหนังให้เราใจสั่นซะงั้น ... ก็เกิดการต่อยอดประเด็นขึ้นมามากมาย แต่สุดท้ายคุณเป็นเอกกลับตอบว่า "พลอย (ไลลา บุญยศักดิ์) นั้นแสนจะเซ็กซี่ เราอยากเอาเธอกลับมาอยู่ในกองถ่ายอีกวันสองวัน..." แหม ทำไปได้
อนึ่ง ผมไม่ขอเรียกการเขียน(พิมพ์)ของผมว่าบทวิจารณ์ มันก็คือการเขียนเชียร์หนัง หรือการแสดงมุมมองของผมต่อหนังเท่านั้นเองครับ ^^
แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 47 02:48:13
จากคุณ : merveillesxx - [ 8 ส.ค. 47 02:15:36 ]
ความคิดเห็นที่ 17
กลับมาที่หนัง House of Flying Daggers นะครับ
- สำหรับเวอร์ชันพากย์ไทย จะไม่มีแปลตอนที่ร้องเพลงนะครับ น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
ส่วนเรื่อการกระทำของเหลียว (เฮียหลิว) นั้นผมว่าน่าสนใจมาก สามารถแตกความคิดได้อีกมากครับ
คุณโนอาห์เคยเขียนไว้น่าสนใจมากว่าการกระทำของเฮียหลิวถือเป็นการ "ลงทัณฑ์" คนที่ตนรัก ด้วยโทษแห่ง "ความตาย" ถ้าคิดว่าเฮียหลิวแกล้งปามีดเพื่อตั้งใจ "ฆ่า" เสี่ยวเม่ย
แต่การตัดสินใจเช่นนั้นก็ถือว่าเขาได้ "ฆ่า" จิตใจของตัวเองไปด้วย
แต่อีกนัยนะครับ เฮียหลิวแกจะรู้จริงๆหรือครับว่า เสี่ยวเม่ยจะไม่ปามีดมาฆ่าตัว แต่กลับจะใช้มีด-สละชีวิต-ปกป้องจิน ถ้าเป็นกรณีนี้ ถึงแม้เขาจะต้องการฆ่าเสี่ยวเม่ย แต่ก็ตัดสินใจ "ฆ่าตัวตาย" ไปพร้อมกันด้วย
หรือกรณีที่เหลียวรู้แก่ใจว่ายังไง เสี่ยวเม่ยก็จะไม่ฆ่าตน แต่จะใช้มีดปกป้องจิน แบบนี้เขาก็จะยังเลือกเสียสละด้วย "ความตาย" อยู่ดีแหละครับ แต่เป็นการใช้ "จิตใจ" แลกกับความตาย ไม่ใช่การใช้ "ชีวิต"
จะเห็นได้ว่า ยังไงธีมของความรักคือการเสียสละ คือความตาย คือโสกนาฎกรรม ก็ยังจะคงอยู่ต่อไป
ถ้ารอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าของเสี่ยวเม่ยเกิดจากกระทำของเหลียว ... บางทีใบหน้าที่ไร้สิ้นซึ่งทุกอย่างของเหลียวก็คงมีผลมาจากการกระทำของเสี่ยวเม่ยนั่นเอง
และบทสรุปตามหนังก็คือ แม้เสี่ยวเม่ยจะใช้ความตายของตนเองปกป้องชีวิตของจินและเหลียวได้
...แต่เธอก็ไม่อาจปกป้องทั้งสองได้จากการ "ตายทั้งเป็น"
จากคุณ : merveillesxx - [ 8 ส.ค. 47 02:36:32 ]
ความคิดเห็นที่ 18
"เล่าด้วยภาพ"
อย่างที่เรารับรู้กันครับว่า ภาพในเรื่องนี้ล้วนสื่อความหมายทิ้งสิ้น ฉากหนึ่งที่ผมเขียนไปแล้วก็คือ ฉากที่กล่าวถึงในหัวข้อการซ้อนทับ
มีผู้ตั้งกระทู้เกี่ยวกับงานภาพของหนังเรื่องนี้ไว้ได้น่าสนใจครับ (แต่เวลาอ่านต้องเปลี่ยนจาก ทาเคชิ คิตาโน่ เป็น ทาเคชิ คาเนชิโร่ ก่อนนะ ^^;;)
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A2949841/A2949841.html
ส่วนนี่เป็นอีกฉากที่ผมอยากจะพูดถึง (ดูภาพประกอบ)
ฉากที่ จินกับเสี่ยวเม่ยนอนอยู่กลางทุ่งหญ้า หลังจากผ่านการระเริงรักอันเร่าร้อนมาแล้ว ฉากหลังที่เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวดูเย็นสบายตา แต่อารมณ์-ความรู้สึกของตัวละครทั้งสองกลับมีความทุกข์ปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างแจ้งชัด คือการเล่นภาพ contrast ที่เฉียบมาก ... สารจากภาพน่าจะเป็นว่า ทั้งสองมีความสุขจากการ "ระเริงรัก" แต่ต้องพบความทุกข์จาก "ความรัก"
จากคุณ : merveillesxx - [ 8 ส.ค. 47 02:43:35 ]
ความคิดเห็นที่ 19
แวะมาทักทายเจ้าของกระทู้ค่ะ ไม่รู้จะเขียนอะไรเพิ่มเติมเพราะ merveillesxx ก็เขียนไปหมดแล้ว (วิจารณ์ได้เยี่ยมเลยค่ะน้อง)
ชอบมาก ๆ เหมือนกันค่ะ เรื่องนี้ ...
จากคุณ : Seven Of Nine - [ 8 ส.ค. 47 08:51:45 ]
ความคิดเห็นที่ 20
ไม่มีใครที่จะรู้ดีไปกว่า เหลียว ว่าตอนนั้น คิดอะไรอยู่
ที่ไม่ยอมซัดมีดออกมาจริง ๆ
ทำไม เหลียว ไม่ยอมซัดมีดออกมา
ทำไม เสี่ยวเม่ย จึงไม่ยอมรักษาชีวิตตามที่ จิน อยากให้เป็น
หรือเสี่ยวเม่ย รู้ว่าเหลียวจะหลอก (ไม่งั้นคงไม่ยิ้มก่อนตาย) แต่ตั้งใจให้หลอก เพื่อให้รู้กันไป ว่าจะปกป้อง จิน ชายสุดที่รักไว้จนตัวตาย
ทำไม เหลียว จึงเดินไปอย่างซังกะตาย เขายังมีความรักต่อเสี่ยวเม่ยจริงหรือไม่ ในความรัก 3 ปี ที่เขาให้กับเสี่ยวเม่ย ทำไมไม่ไปกอดเสี่ยวเม่ยไว้
หรือเขาจะรักเสี่ยวเม่ยมาก และรู้ว่าเสี่ยวเม่ยไม่ตอบรักเขา ที่เขาเดินจากไปจะเป็นการทำตามใจเสี่ยวเม่ยใช่หรือไม่
ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าตัวตายเพื่อทดแทนเสี่ยวเม่ย หรือเขาต้องการรักษาชีวิตตัวเองไว้ เพื่อให้รับทุกข์ทางใจไปตลอดชีวิต เพราะเขาก็รักเสี่ยวเม่ยมากเหมือนกัน
โอย..งง
จากคุณ : คน-ทำ-มะ-ดา - [ 8 ส.ค. 47 11:34:10 ]
ความคิดเห็นที่ 21
บอกก่อนว่าคืนนี้ ช่อง 7 เวลา 23.55 จะมี making of "House of Flying Daggers" นะครับ
สวัสดีพี่ Seven Of Nine นะครับ ไม่ได้คุยกันนานเลย
และขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ
เรื่องของเหลียวก็คงยังเป็นปริศนาต่อไป อย่างที่ ดร.ฮันนิบาล บอกเราไว้แหละครับ "จิตใจมนุษย์คือสิ่งที่ซับซ้อนและน่ากลัวที่สุด"
บางทีนะครับ ... ความรักของเหลียวที่มีให้กับเสี่ยวเม่ยตลอด 3 ปี คงพังทลายลงสิ้น ใน 3 วินาที ที่มีดของเสี่ยวเม่ยพุ่งวิถีเพื่อปกป้องชีวิตของจิน ไม่ใช่เพื่อปลิดชีวิตของเขา
จากคุณ : merveillesxx - [ 8 ส.ค. 47 15:47:30 ]
ความคิดเห็นที่ 23
[spoiler]
คือ..คาใจเรื่องบทหนังอ่ะครับ
ตกลงหลอกกันเพื่ออะไรครับ ล่อทหารให้มาหาตัวเหรอ หรือว่าเป็นแผนจับตัวมือปราบฟง คืออุตส่าห์พยายามตั้งแยะ (ทำเป็นตาบอด ยอมให้หลิวจับ เดินทางเสี่ยงชีวิต ฯลฯ) ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรกับบ้านมีดบินเลยอ่ะครับ
แต่ก็ชอบนะครับ มากๆด้วย ^ ^
จากคุณ : มือชาหน้าเขียว (ซาดิก) - [ 9 ส.ค. 47 00:05:50 ]
ความคิดเห็นที่ 24
เย้...เจอเพื่อนแล้ว
ผมไปดูมาเมื่อคืนนี้แล้วโดนใจมากๆ ผมน้ำตาตกไปหลายรอบมากๆ ยิ่งตอนจบนี่ยิ่งโดนสุดๆ(ตอนเฮียหลิวเดินโซเซไปนี่ผมก็รู้สึกว่ามันถึงจุดจบของหนังเลยครับ แล้วมันก็ดันจบพอดีจริงๆด้วย) นับว่าเป็นหนังของอี้โหมวที่ครองความประทับใจในความคิดผมมากที่สุด
แก่นสารของเรื่องเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ยากนัก แต่ก็มีอะไรมากมายที่ลึกซึ้ง ราวกับว่านี่คือชีวิตจริง เป็นการสะท้อนอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ออกมาในรูปแบบกึ่งเปรียบเทียบ กึ่งประชด ในขณะเดียวกันก็ไม่ทอดทิ้งคนดูที่ยังไม่อาจตัดรักโลภโกรธหลงได้...
แต่เซ็งมากเลย พอมาถามเพื่อน มันบอกว่า "ห่วยว่ะ" ( 3-4 คน ) มันทำให้ผมคิดไปว่าผมเว่อร์ไปป่าววะ แต่ก็ทนไม่ไหวจนต้องมาเข้า pantip นี่แหละครับ
ขอบคุณมากที่วิจารณ์หนังเรื่องนี้คร้าบบบ
จากคุณ : Pzifrius - [ 9 ส.ค. 47 14:18:23 A:158.108.39.74 X:158.108.2.2 ]
ความคิดเห็นที่ 25
ไม่เป็นไรครับ คุณ Pzifrius เราหัวอกเดียวกัน
เวลาที่ผมบอกคนอื่นว่าผมร้องไห้เพราะหนังเรื่องนี้สายตาที่มองกลับมา ... หึหึหึ คงรู้กันอยู่นะครับ (ครือๆกับที่ผมบอกคนอื่นว่า Last Life in the Universe เป็นหนังที่ดีมาก ฮ่าๆ)
แต่มันก็เป็นธรรมดาโลกแหละครับ เรื่อง คิด-เห็น ไม่ตรงกัน
ดังนั้นผมจึงตระหนักอีกหนุ่งเหตุผลที่ผมเล่น pantip.com ได้ยังไงล่ะครับ ว่าบางทีเราก็ต้องหาคนใน "โลกอื่น" คุย ... เพราะคนใน "โลกปกติธรรมดา" ของเรามันคุยด้วยไม่รู้เรื่อง ...
ส่งท้ายด้วยคำเชือดเฉือนของ จางอี้โหมว
"ความรักฉีกตัวเราให้แหลกแตกเป็นเสี่ยง แต่เราก็พร้อมยอมสละทุกอย่างเพื่อมัน..."
จากคุณ : merveillesxx - [ วันแม่แห่งชาติ 01:52:48 ]
ความคิดเห็นที่ 26
ผมไม่ชอบ Last Life in the Universe
แต่ชอบ House of Flying Daggers
จากคุณ : kOn_bA - [ วันแม่แห่งชาติ 20:40:47 ]
ความคิดเห็นที่ 27
เมื่อกี๊ไป DL เพลง Soundtrack ของ Flying Daggers มาฟัง น้ำตาคลอตามอยู่หลายเพลงเหมือนกันครับ มันให้อารมณ์สงบแบบตะวันออกมาก(โดยเฉพาะกลิ่นอายแบบจีนโบราณ) ใครที่ชอบเรื่องนี้น่าจะหามาฟังกันดู
จากคุณ : Pzifrius - [ 13 ส.ค. 47 02:52:29 A:158.108.39.45 X:158.108.2.2 ]