http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
11 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
The Road : ถนนของคู่ตรงข้าม

โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง



(หมายเหตุ: บทความนี้เปิดเผยตอนจบของภาพยนตร์ / ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร FINE ART ฉบับที่ 64, กุมภาพันธ์ 2553)


วิกโก้ มอร์เตนเซน อาจนับเป็นนักแสดงชายที่น่าเห็นใจที่สุดในวงการหนังเลยก็ได้ เขาเข้าวงการช่วงกลางยุค 80 แต่มาดังเอาตอนปี 2001 จากหนังชุด The Lord of the Rings, ให้การแสดงที่ดีสุดๆ ใน A History of Violence แต่ออสการ์กลับไม่เหลียวแล, พอได้ชิงออสการ์ปี 2008 จาก Eastern Promises ก็ดันเป็นปีที่ใครๆ รู้ว่า แดเนียล เดย์-ลูว์อิส จาก There Will Be Blood จะได้แบบไม่ต้องลุ้น

ในเรื่อง The Road เป็นอีกครั้งที่มอร์เตนเซนได้รับเสียงชื่นชมด้านการแสดง แต่เหมือนกับที่ผ่านมา เขาไม่ได้ชิงสาขานำชายในลูกโลกทองคำ (ณ ตอนที่เขียนบทความชิ้นนี้ รายชื่อผู้เข้าชิงออสการ์ยังไม่ประกาศ) จะว่าไปแล้วตัวหนัง The Road เอง ก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างจากนักแสดงนำนัก แม้จะได้คำวิจารณ์แง่บวก แต่หนังถูกฉายแบบจำกัดโรงที่สหรัฐอเมริกา ส่วนบ้านเราก็ฉายเพียงสองโรงเท่านั้น

The Road สร้างจากนิยายของนักเขียนดัง คอร์แม็ก แม็กคาร์ธี (คนเขียน No Country for Old Men ฉบับหนังสือ) ซึ่งได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 2007 แม็กคาร์ธีมีชื่อเสียงด้านการบรรยายถึงโลกที่เลวร้าย งานของเขาหลายเรื่องเป็นแนวคาวบอยตะวันตก ส่วนผู้รับหน้าที่แปลง The Road เป็นภาพบนจอใหญ่คือ จอห์น ฮิลโคต ผู้กำกับชาวออสเตรเลีย งานเด่นของเขาคือ The Proposition ซึ่งเป็นหนังคาวบอย

เนื้อเรื่องของ The Road ว่าด้วยสองพ่อลูกที่ต้องเอาชีวิตรอดในโลกยุคหลังหายนะ (Post Apocalyptic) พวกเขาเดินตามท้องถนนผ่านรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาเพื่อมุ่งไปทางใต้ สภาพแวดล้อมตลอดทางเหลือเพียงซากปรักหักพัง, ต้นไม้แห้งตาย และฝุ่นผง ส่วนมนุษย์คนอื่นๆ ที่ยังมีชีวิตรอดก็กลายเป็นพวกมนุษย์กินคนไปเสียแล้ว

เป็นที่สังเกตได้ว่าช่วงสองสามปีมานี้หนังตระกูลหายนะโลก (Disaster Film) ถูกสร้างมากเป็นพิเศษ อาจด้วยเพราะความตื่นตัวในภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ดี The Road ต่างจากหนังโลกแตกเรื่องอื่นๆ (เช่น 2012) ตรงที่มันไม่มีฉากแอ็คชั่นใดๆ ทั้งสิ้น หนังไม่บอกด้วยซ้ำว่าอะไรคือสาเหตุของความพังพินาศ หรือตัวละครทุกตัวในหนังไม่มีชื่อเรียก พ่อและลูกชายถูกเรียกแทนว่า Man และ Son

จุดเด่นอีกอย่างของ The Road คือการเล่นกับความขัดแย้งในลักษณะของความเป็นคู่ตรงข้าม (Binary Opposition) โดยหากเราจับองค์ประกอบของหนังมาแยกพิจารณาแล้ว เราจะพบสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามมากมายหลายคู่ แต่ข้อดีของหนังคือคู่ขัดแย้งเหล่านี้ถูกสอดแทรกในหนังอย่างกลมกลืน ไม่ได้โดดเด่นเกินการสร้างอารมณ์ให้คนดูรู้สึกร่วมกับหนังแต่อย่างใด

คู่ตรงข้ามใน The Road อาจแบ่งเป็นสองประเภทด้วยกัน แบบแรกคือ คู่ตรงข้ามในเชิงตัวละคร ซึ่งก็มักจะพ่วงมาด้วยคู่ตรงข้ามในเชิงแนวคิด อย่างเช่น ตัวละครพ่อลูกซึ่งเลือกจะไม่กินเนื้อคน กับกลุ่มละครที่เหลือซึ่งเอาชีวิตรอดด้วยกันกินพวกเดียวกัน อันเป็นการตั้งคำถามว่าหากคนกินเนื้อคนด้วยกันแล้ว พวกเขาจะยังนับเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่

ภาวะการไล่ล่ามนุษย์กันเอง นำมาซึ่งความหวาดระแวงซึ่งกันและกันของเหยื่อกับผู้ล่า อย่างฉากในช่วงท้ายที่ชายหนุ่มถูกธนูโจมตีจากบ้านหลังหนึ่ง เขายิงปืนสวนกลับไปจนทำให้อีกฝ่ายถึงแก่ความตาย พระเอกตะโกนถามภรรยาของอีกฝ่ายว่า “พวกแกตามเรามาทำไม” เธอร่ำไห้พร้อมตอบว่า “แกนั่นแหละที่ตามเรามา” นั่นคือสถานะเหยื่อ-ผู้ล่ากลับตาลปัตรไปเสียหมด เพราะต่างคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ล่า

ในกลุ่มตัวละครนำมีความขัดแย้งแบบคู่ตรงข้ามเช่นกัน ที่เห็นได้ชัดคือ ชายหนุ่มกับภรรยาของเขา (ชาร์ลิซ เธียรอน) โดยในช่วงที่เกิดเหตุโลกแตกใหม่ๆ ทั้งคู่ถกเถียงกันอย่างรุนแรง ฝ่ายชายคิดว่าพวกเขาควรดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ฝ่ายหญิงกลับเชื่อว่าเราควรยิงตัวตายกันทั้งครอบครัว อันที่จริงดูเหมือนว่าสามี-ภรรยาคู่นี้จะขัดแย้งทางความคิดตั้งแต่โลกยังไม่แตก เพราะหญิงสาวไม่ต้องการมีลูก และเธอมีอาการซึมเศร้าหลังคลอด

ลักษณะของพระเอก ทั้งเห็นดีเห็นงามในการกำเนิดชีวิต, ต่อต้านการฆ่าตัวตาย, เชื่อมั่นในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ล้วนเอื้อให้เราคิดว่าตัวละครนี้จะเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้า ถึงกระนั้นเราไม่เคยเห็นเขาพูดสรรเสริญพระเจ้าแต่อย่างใด แม้ในฉากหนึ่งจะมีการใช้สัญลักษณ์ให้พระเอกและลูกนั่งอยู่ในตึกร้างที่มีแสงลอดหน้าต่างที่รูปร่างราวกับไม้กางเขน

ตัวละครแม่และเมียอย่างเธียรอนมีความน่าสนใจมาก เพราะบทหญิงสาวนี้ถูกขยายเพิ่มเติมจากในหนังสือ ฉากหนึ่งที่ติดตาผู้ชมหลายคน คือตอนที่ตัวละครนี้บอกให้สามีดูแลลูกชายและเดินทางลงใต้ จากนั้นเธอก็ผลุนผลันออกจากบ้านและหายเข้าไปในความมืด ทิ้งให้เราและชายหนุ่มสงสัยในชะตากรรมของเธอ

ฉากนี้มีความสำคัญเรื่องคู่ตรงข้ามทางความคิดเช่นกัน ในระดับแรกเห็นได้ชัดว่า ฝ่ายชายเลือกจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ฝ่ายหญิงไม่ต้องการเช่นนั้น แต่หนังก็ตั้งคำถามกับเราว่าในฉากที่เธอเลือกที่จะไปตาย ถือเป็นการเลือกทางเดินให้กับชีวิตตัวเองหรือไม่ ในขณะที่พระเอกต้องอยู่ต่อไปเพราะภาระบางอย่าง นั่นคือลูกชาย

แม้เธียรอนจะโผล่มาในหนังแค่ในฉากเล่าย้อนหลัง (ช่วงก่อนโลกแตก) แต่มันก็ส่งอิทธิพลต่อหนังทั้งเรื่อง สิ่งนี้ถูกเสริมด้วยการที่ตัวละครลูก (โคดี้ สมิต-แม็กฟี) หน้าตาคล้ายกับเธียรอนเป็นอย่างมาก (อันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้นักแสดงเด็กผู้นี้ได้รับการคัดเลือก) ความเจ็บปวดจึงอยู่ที่ว่าตลอดการเดินทาง เมื่อใดที่พระเอกมองไปยังลูกชาย ใบหน้าของภรรยาก็จะกลับมาหลอกหลอนทุกคราว

แน่นอนว่าคู่ตรงข้ามที่สำคัญที่สุดในหนังของคู่ของพ่อ-ลูก ซึ่งมีในหลายระดับด้วยกัน อย่างเช่น ฉากกลางเรื่องที่พวกเขาเข้าไปติดอยู่ในบ้านของพวกกินคน พ่อก็เกือบจะปลิดชีวิตลูกด้วยปืนเพื่อไม่ให้โดนถูกจับไปทรมาน แต่พอในช่วงท้ายที่พ่อป่วยหนัก ลูกเป็นฝ่ายครอบครองปืนแทน จนคนดูอดคิดไม่ได้ว่าลูกจะปลิดชีวิตพ่อเพื่อให้ไปสบายหรือไม่

ความขัดแย้งของพ่อลูกคู่นี้ ยังนำไปสู่คู่ตรงข้ามประเภทที่สอง คือคู่ตรงข้ามในเชิงปรัญชา นั่นคือเรื่องของคนดีและคนเลว โดยพ่อย้ำเสมอกับลูกว่าพวกเราเป็น ‘คนดี’ เพราะเราไม่กินคน หรือเราไม่ทำร้ายใครก่อน (เขายังพูดกับลูกชายด้วยว่าเราจะมีชีวิตต่อไป ตราบเท่าที่เรามี ‘ไฟในใจ’) แต่ในฉากที่ชาวผิวดำมาขโมยข้าวของจากพวกพระเอกไป ชายหนุ่มก็ลงโทษเขาอย่างรุนแรง แม้จะไม่ใช่ความรุนแรงในเชิงการทำร้ายร่างกาย แต่สิ่งที่เขาทำคือการมองข้ามคุณค่าของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ลูกชายรับไม่ได้กับสิ่งที่พ่อทำ พวกเขาถกเถียงกันอย่างรุนแรง จนในที่สุดเด็กน้อยก็พูดประโยคแทงใจดำพ่อว่า “พวกเรายังเป็น ‘คนดี’ อยู่หรือเปล่า” อันเป็นการจุดประกายคำถามมากมายแก่คนดู เช่น ผิดด้วยหรือที่เราจะเอาชีวิตรอด, ผิดหรือไม่ที่เราจะทำร้ายคนที่มาทำร้ายเราก่อน ฯลฯ นอกจากนั้นมันยังเป็นการสลับบทบาทจากที่พ่อเป็นผู้สอนลูก กลายเป็นว่าลูกเองก็ให้บทเรียนกับพ่อเช่นกัน

คู่ตรงข้ามเชิงปรัชญาที่สำคัญอีกคู่คือ เรื่องของความสิ้นหวังกับความหวัง โดยหนังเน้นย้ำเรื่องความสิ้นหวังมาตลอดทั้งเรื่อง มาจนฉากสุดท้ายที่ลูกชายได้พบกับอีกครอบครัวหนึ่งที่ชวนเขาร่วมเดินทางไปด้วย เหมือนกับที่พ่อสั่งเสียไว้ก่อนตายว่า “ลูกต้องหา ‘คนดี’ คนอื่นๆ ให้เจอ แล้วเดินทางไปกับพวกเขา” ฉากจบของหนังจึงเปรียบดังแสงสว่างที่ทอประกายความหวังเล็กๆ ในใจคนดู

เหตุสำคัญที่ฉากจบให้ความรู้สึกกินใจกับผู้ชม ก็เพราะบทสนทนาในช่วงท้ายที่เด็กชายถามชายแปลกหน้าว่า “พวกคุณมี ‘ไฟในใจ’ มั้ย” อีกฝ่ายนิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนตอบกลับว่า “มีสิ พวกเรามี” ซึ่งคำพูดประเภทนี้คงดูแปลกพิลึกในหนังเรื่องอื่นๆ แต่โชคดีที่ The Road ทำให้เราเชื่อในประโยคนี้ได้






Create Date : 11 มิถุนายน 2553
Last Update : 11 มิถุนายน 2553 18:51:46 น. 9 comments
Counter : 2212 Pageviews.

 
เข้ามาแวะทักทายจ้า

ส่วนหนังเรื่องนี้ ไม่ชอบเอาซะเลย จริงๆอยากพิมพ์ต่อว่าไม่ชอบตรงไหนบ้าง แต่ก็ลืมตัวหนังไปหมดแล้ว


โดย: จูริง วันที่: 12 มิถุนายน 2553 เวลา:2:12:02 น.  

 
เขียนดีจังครับ ตอนพี่ดูไม่เห็นนึกถึงอะไรอย่างนี้เลย (แต่สะเทือนใจตอนที่พระเอกลงโทษขโมยมากๆ) ไม่ถึงกับชอบหนังเรื่องนี้ แค่ดูได้เพลินๆ


โดย: แฟนผมฯ IP: 222.123.104.30 วันที่: 12 มิถุนายน 2553 เวลา:12:03:18 น.  

 
ยังบ่ได้ดูเลย =='


โดย: Seam - C IP: 58.9.198.83 วันที่: 16 มิถุนายน 2553 เวลา:8:53:53 น.  

 
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆจ้า..
(*-*)


โดย: zawadip (khonmanrak ) วันที่: 16 มิถุนายน 2553 เวลา:21:20:19 น.  

 
ปกติชอบเรื่องนี้มากๆอยู่แล้วครับ ได้อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกดียิ่งขึ้น เข้าใจตัวละครมากขึ้น ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราเป็นคนดีแค่ไหน ขอบคุณมากๆครับ


โดย: ต่อง IP: 61.91.113.94 วันที่: 23 มิถุนายน 2553 เวลา:23:23:29 น.  

 
ชอบตอนจบครับ

มันเหมือนกับว่า สิ่งที่หนีมาตลอด แท้จริงแล้วมันก็คือสิ่งที่เราหานั่นเอง


โดย: trufa วันที่: 27 มิถุนายน 2553 เวลา:1:42:12 น.  

 
น่าขนลุก
เราชอบหนังเรื่องนี้มากมาย


โดย: haro IP: 10.11.20.181, 203.153.163.34 วันที่: 30 มิถุนายน 2553 เวลา:11:46:11 น.  

 
ชอบตอนจบครับ


(*-*)


โดย: zawadio (khonmanrak ) วันที่: 19 กันยายน 2553 เวลา:13:47:19 น.  

 
ดูแล้วครับหนังเรื่องนี้ทำให้ผมน้ำตาไหล เป็นหนังที่ดีครับ


โดย: iceceiice IP: 58.10.167.62 วันที่: 25 ตุลาคม 2553 เวลา:21:25:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.